everY
ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 13-15 #นิยายวาย
บทที่ 15
ต้นเหตุมาจากกลางดึกคืนหนึ่ง
โจวลั่วหยางพบว่าเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้วที่แอ็กหลุมเวยป๋อของตู้จิ่งไม่มีการโพสต์อะไรเลย นี่เป็นเรื่องดีหรือแย่เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
หรือว่าตู้จิ่งจะจับได้แล้วว่าเขาแอบอ่าน?
โจวลั่วหยางรู้ดีว่าการทำแบบนี้ไม่ดีเอาเสียเลย อย่างไรเสียการแอบอ่านข้อความบรรยายชีวิตในแต่ละวันที่เป็นเหมือนไดอารี่ของรูมเมตตัวเองก็น่าสงสัยว่าจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว เขาคิดจะเลิกเปิดหน้าเพจนั้นอยู่หลายครั้ง แต่บางครั้งที่เห็นตู้จิ่งนั่งเหม่อลอยเหมือนกำลังคิดอะไรในใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ
ตั้งแต่เด็กโจวลั่วหยางไม่ได้เป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็น ตอนที่พบแอ็กหลุมนี้ก็ไม่ได้กระหายใคร่รู้ในเรื่องราวใดๆ เลยแม้แต่สักนิด แต่เขาแค่ตกใจที่อ่านเจอประโยคที่ว่า ‘นับวันยิ่งไม่อยากมีชีวิตอยู่’ ก็เท่านั้น
หลังเข้าสู่ฤดูหนาวอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ พื้นที่ทางภาคตะวันออกของจีนเผชิญกับอุณหภูมิที่ลดฮวบ อาจเพราะได้รับผลกระทบจากฤดูกาล พฤติกรรมของตู้จิ่งจึงไม่ค่อยปกติ ราวกับอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วได้แช่แข็งคำพูดและความคิดของเขาไปพร้อมกัน คืนนี้โจวลั่วหยางไม่ได้อ่านเวยป๋อของตู้จิ่ง พอถึงเวลาห้าทุ่มโจวลั่วหยางก็เปิดไฟทิ้งไว้ให้ตู้จิ่งดวงหนึ่งด้วยความเคยชิน ก่อนจะสวมผ้าปิดตาแล้วเข้านอน
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจนปลุกให้โจวลั่วหยางตกใจตื่น
‘ใครน่ะ’ โจวลั่วหยางตกใจตื่นจากฝัน หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาทางลำคอ
‘ฉันเอง!’ เป็นเสียงหัวหน้าสาขาของโจวลั่วหยาง ‘โจวลั่วหยาง นายหลับแล้วเหรอ’
โจวลั่วหยางมีสีหน้างุนงง เขาพบว่าโคมไฟในห้องพักถูกปิดไปแล้ว ส่วนผ้าปิดตาก็ไม่รู้ว่าถูกใครถอดไปตั้งแต่เมื่อไหร่
‘ตู้จิ่ง’ โจวลั่วหยางเรียก
บนเตียงอีกหลังไม่มีใคร โจวลั่วหยางชักรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟ เป็นดังคาดเตียงของตู้จิ่งว่างเปล่า เขาจึงเปิดประตูให้หัวหน้าสาขาเข้ามา
‘พวกเขากลับมาจากร้านอินเตอร์เน็ต เจอรูมเมตของนายริมทะเลสาบ ชื่อตู้จิ่ง…’
ทันทีที่โจวลั่วหยางได้ยินคำพูดนี้ในหัวสมองก็มีเสียงตู้มดังขึ้น แต่ยังดีที่ประโยคต่อมาของหัวหน้าสาขายังพอที่จะดึงสติของเขาเอาไว้ได้
‘…เขานั่งอยู่ริมทะเลสาบ ไม่พูดคุยกับใคร ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม หรือพวกนายทะเลาะกัน? นายไปให้กำลังใจเขาหน่อยดีไหม คงไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นหรอกนะ หรือว่าปลงไม่ตก?’
โจวลั่วหยางรีบสวมเสื้อผ้า ก่อนจะเดินตามหัวหน้าสาขาลงจากตึกไป เขาขอโทษผู้ดูแลหอพักพลางคิดในใจว่าตู้จิ่งออกไปได้อย่างไร ปีนลงมาจากชั้นสองหรือ ออกไปเมื่อไหร่ แล้วไปทำอะไรที่ริมทะเลสาบคนเดียวกลางดึกกลางดื่นกัน
เวลาตีสองลมพัดแรงในหังโจวท่ามกลางค่ำคืนของฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ริมทะเลสาบมืดสนิท ระหว่างที่นักศึกษาชายคณะวิศวะฯ เครื่องกลเดินกลับมหาวิทยาลัยก็บังเอิญเห็นเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ริมทะเลสาบ เขาพลันตกใจไม่น้อย และพอเดินเข้าไปถามก็พบว่าเป็นตู้จิ่งคนที่ไม่เคยพูดเคยจา
ตู้จิ่งเพียงพยักหน้าให้อย่างเย็นชาแล้วกลับไปนิ่งเงียบอีกครั้ง เขาเป็นเช่นนี้มาตลอดไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน แต่ในสายตาของเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ มันช่างแปลกประหลาดอย่างที่สุด
พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี จึงได้แต่ไปเคาะห้องของหัวหน้าสาขาแล้วแจ้งให้ทราบ หัวหน้าสาขาโทรหาโจวลั่วหยางแต่เขาไม่ได้รับสายเลยต้องมาหาถึงห้อง เพื่อที่จะให้โจวลั่วหยางไปช่วยแก้ไขสถานการณ์
ตอนที่โจวลั่วหยางไปถึง เขาก็เห็นเพื่อนนักศึกษาชายคนหนึ่งช่วยเฝ้าอยู่ไม่ไกล
พวกเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ กับตู้จิ่ง แต่ส่วนใหญ่เห็นแก่หน้าโจวลั่วหยางจึงช่วยเขา แน่นอนว่าคนทั้งคน ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงปล่อยให้ตายไปโดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
โจวลั่วหยางกระซิบบอกขอบคุณ แล้วทำท่าบอกว่าเขาจะเข้าไปดูเอง ให้พวกเขากลับไปนอนได้แล้ว อากาศข้างนอกหนาวมาก แค่กางเกงกีฬากับเสื้อคลุมบางๆ ไม่เพียงพอที่จะกันลมได้ ทำให้เขาหนาวจนฟันกระทบกันดังกึกๆ
‘ตู้จิ่ง?’ โจวลั่วหยางไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป
พอตู้จิ่งได้ยินเสียงโจวลั่วหยางก็หันขวับไปทันที ในความมืดทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด
‘ลั่วหยาง?’ ตู้จิ่งเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นจึงเดินเข้ามาหาเขา
โจวลั่วหยางเห็นการตอบสนองอย่างนี้ก็วางใจขึ้นไม่น้อย เขาถาม ‘ทำไมนายไม่นอน’
ตู้จิ่งฟังออกว่าเสียงของโจวลั่วหยางสั่นจึงรีบถอดเสื้อคลุมให้เขาสวม ‘หนาวจะตาย! รีบกลับไปสิ!’
‘ฉันเห็นนายไม่อยู่ที่เตียง…’ โจวลั่วหยางบอก ‘ดึกป่านนี้นายมาทำอะไรริมทะเลสาบคนเดียว’
โจวลั่วหยางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อกลับมาถึงด้านล่างของหอพัก มือทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำจากอากาศที่หนาวจัด มือข้างหนึ่งของตู้จิ่งกุมมือเขาเอาไว้ แล้วจับจูงให้เดินไปโดยไม่ยอมพูดอะไร ส่วนมืออีกข้างนั้นถือขวดแก้วที่บรรจุโคลนไว้เต็มขวด นั่นเป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางจับมือกับผู้ชาย ฝ่ามือของตู้จิ่งอุ่นมาก จนทำให้ความกังวลของเขาหายไปจนหมดสิ้น
โจวลั่วหยางมองขวดใส่โคลนในมือของตู้จิ่งพลางถาม ‘นายลงจากตึกตอนตีสองเพื่อไปขุดไอ้นี่เนี่ยนะ’
ตู้จิ่งตอบรับหนึ่งเสียงแล้วกล่าว ‘เพิ่งนึกขึ้นได้น่ะ ไหนๆ ก็นอนไม่หลับเลยมานั่งริมทะเลสาบสักพัก’
‘นอนไม่หลับอีกแล้ว’ โจวลั่วหยางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ‘ค่อยไปตอนกลางวันไม่ได้เหรอ’
ทั้งสองคนกลับเข้าห้องพัก โจวลั่วหยางแจ้งข่าวกลับไปยังหัวหน้าสาขา บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว เป็นแค่เรื่องตื่นตกใจกันไปเอง ตู้จิ่งเทโคลนแฉะๆ ลงไปในตู้ควบคุมอุณหภูมิสำหรับเลี้ยงเต่า จากนั้นก็เกลี่ยให้เรียบแล้วจึงค่อยไปล้างมือ เต่าบึงตัวนี้พวกเขาเก็บได้ตรงริมทางเดินนอกเจดีย์เหลยเฟิง
ตอนนั้นเจ้าเต่าน้อยกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วพลางไต่ข้ามราวกั้นออกมา น่ากลัวว่าจะถูกคนเหยียบเข้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเต่าที่คนซื้อมาปล่อย แต่ไม่รู้ว่าทำไมจึงหนีออกมาได้ตัวหนึ่ง
โจวลั่วหยางเก็บมันขึ้นมาแล้วหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อ เขาคิดที่จะโยนมันกลับเข้าไปในสระแต่ตู้จิ่งห้ามไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่าในสระมีเต่าแก้มแดงอยู่มาก ถ้าปล่อยกลับไปกลัวว่ามันจะถูกรังแก
โจวลั่วหยางจึงนำสัตว์ไม่มีเจ้าของตัวนี้กลับมาที่ห้องพัก แล้วซื้อตู้ควบคุมอุณหภูมิจากอินเตอร์เน็ตมา แต่มันไม่ค่อยกินอาหาร อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อม ตู้จิ่งจึงบอกว่า ‘ฉันจะลองหาทางดู’
วิธีที่เขาคิดได้คือสร้างสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติขนาดเล็กให้มันโดยการเอาพืชมาปลูก ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้เจ้าเต่าน้อยไม่รู้สึกหวาดกลัวกับโลกที่ไม่คุ้นเคยจนเกินไป
หลังเก็บของอย่างลวกๆ เสร็จทั้งสองก็เข้านอนอีกครั้ง โจวลั่วหยางเห็นว่าบนเตียงของตู้จิ่งยังมีแสงสว่างจากหน้าจอมือถือ แสงนั้นสะท้อนใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา
‘นอนหลับไหม นอนเถอะ’ โจวลั่วหยางชวน
‘ก็ได้’ ตู้จิ่งกดโพสต์เวยป๋อแล้วปิดมือถือ
ก่อนนอนโจวลั่วหยางก็อดที่จะอ่านไม่ได้ โดยครึ่งเดือนที่ผ่านมาตู้จิ่งโพสต์ไว้ในแอ็กหลุมเวยป๋อแค่โพสต์เดียวเท่านั้น
[หวังว่าเจ้าตัวน้อยจะแข็งใจมีชีวิตต่อไปเหมือนฉัน]
กระทั่งเช้าวันถัดมาโจวลั่วหยางยังคงครุ่นคิดถึงความหมายของโพสต์นั้นในเวยป๋อ รวมถึงสภาพจิตใจของตู้จิ่งที่ไปนั่งตากลมหนาวริมทะเลสาบตามลำพังดึกๆ ดื่นๆ ที่แท้เขาเป็นพวกรักอิสระสุดๆ หรือป่วยจนควบคุมตัวเองไม่ได้กันแน่
‘เฮ้ ลั่วหยาง’
ในชั้นเรียนวิชาเฉพาะเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งนั่งลงข้างเขาแล้วถาม ‘เมื่อคืนรูมเมตนายไม่เป็นไรใช่ไหม’
โจวลั่วหยางรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่เห็นตู้จิ่งนั่งอยู่ริมทะเลสาบคนเดียวเมื่อคืน จึงพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจพร้อมบอก ‘เดี๋ยวมื้อเที่ยงฉันเลี้ยงข้าวพวกนายเอง เมื่อคืนตู้จิ่งแค่…’
เพื่อนนักศึกษาคนนั้นมองที่แท่นบรรยาย อาจารย์กำลังเขียนบรรยายประเด็นข้อสอบปลายเทอม นี่เป็นคาบสุดท้ายก่อนวันหยุดปีใหม่ ส่วนตู้จิ่งนั้นไปร่วมกิจกรรมกับชมรมยิงธนู โดยสมาชิกชมรมจะกินมื้อเที่ยงร่วมกัน และในตอนเย็นโจวลั่วหยางได้นัดเขาไปเคานต์ดาวน์ด้วยกัน
‘นายเห็นนี่ยัง’
โจวลั่วหยางถูกตัดบท อีกฝ่ายส่งกระทู้ในเว็บบอร์ดมาให้ทางมือถือ
‘อาการป่วยทางจิตหนักขนาดนี้ อนุญาตให้เรียนมหา’ลัยได้ไง’
ทันใดนั้นโจวลั่วหยางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร เลยได้แต่มองเพื่อนนักศึกษา เพื่อนคนนั้นทำท่าให้เขาอ่านต่อไป
ปฏิกิริยาแรกของโจวลั่วหยางคือ ตู้จิ่งเป็นคนโพสต์บทความนี้เหรอ แต่พอไล่อ่านแล้ว โชคดีที่ไม่ใช่
คนโพสต์เป็นนักศึกษาทั่วไปที่ไม่ลงชื่อ เขียนบรรยายถึง ‘ผู้ป่วยทางจิต’ คนหนึ่งในชั้นเรียน
‘ตอนฝึกทหารก็รู้สึกแล้วว่าเขาดูแปลกๆ เพราะเอาแต่ล้างขวดน้ำหนึ่งใบซ้ำๆ ต้องล้างขวดเกือบยี่สิบนาทีทุกวัน แถมยังมีเพื่อนนักศึกษาบังเอิญเห็นเขาต้องกินยาเป็นกำทุกวันด้วย
ตอนเข้าเรียนหลังเปิดเทอมคนคนนี้มักจะนั่งแถวหลังสุด ใครคุยด้วยก็ไม่ยอมตอบ พลิกเปิดหนังสือจากหน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายด้วยความรวดเร็ว แล้วเปิดกลับไปที่หน้าแรก ชอบเอานิ้วนางกับนิ้วก้อยคีบยางลบไว้ก้อนหนึ่ง สายตาทั้งเย็นชาและน่ากลัว ตอนมาเข้าเรียนเขาก็แต่งตัวเรียบร้อย แต่ต้องมีเสื้อคลุมติดมือมาด้วย มีคนสังเกตว่าเขาแค่เอาเสื้อคลุมมาในชั้นเรียนเท่านั้น แล้วถือกลับโดยไม่ได้สวมสักนิด
ในชั้นเรียนวิชาเฉพาะที่นั่งประจำของเขาอยู่แถวหลังสุดริมหน้าต่าง และในลิ้นชักที่นั่งของเขามีกระป๋องเครื่องดื่มใส่ไว้เต็มไปหมด
พอกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ไม่ว่าอาจารย์จะพูดจบหรือไม่ เขาจะเก็บหนังสือแล้วเดินออกไปเป็นคนแรก โดยเดินออกไปทางประตูหน้าห้องต่อหน้าทุกคนขณะที่ประตูเพิ่งเปิดได้บานเดียว
นอกจากเข้าเรียนก็กลับห้องพัก ไม่มากินอาหารร่วมกับใคร ส่งวีแชตไปไม่ตอบ เมื่อก่อนยังเห็นเขามาเรียนวิชาศึกษาทั่วไปพร้อมกับรูมเมต แต่ตอนหลังก็ไม่เข้าเรียนทั้งสองคน
ต่อมามีคนเห็นว่าดึกดื่นเขาไม่หลับไม่นอนอยู่หลายครั้ง เดินกลับไปกลับมาอย่างไร้จุดหมายที่ชั้นล่างของหอพักตอนตีสามกว่าๆ บางครั้งก็คุยกับต้นไม้ตอนตีสามตีสี่
บางครั้งตอนเวลาตีสามในฤดูหนาวก็จะมานั่งหลังตรงแหน็วบนม้านั่งยาวริมทะเลสาบ
ได้ยินว่าตอนเขาเข้าเรียน บันทึกในระเบียนระบุว่าเขาเป็นผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ไบโพลาร์’ ถ้าอาการป่วยกำเริบขึ้นมาจะทำร้ายตัวเองหรือฆ่าคนได้หรือเปล่า น่ากลัวเกินไปแล้ว’
โจวลั่วหยางรู้ว่าคนที่บรรยายมานี้ต้องเป็นตู้จิ่งแน่ และคนโพสต์ก็น่าจะเป็นเพื่อนนักศึกษาในชั้นเรียนเดียวกันกับเขา
ด้านล่างมีคอมเมนต์ของฝ่ายกิจการนักศึกษา
ฝ่ายกิจการนักศึกษา : สิ่งที่นักศึกษาแจ้งมาเป็นที่เข้าใจได้ จะดำเนินการตรวจสอบและให้คำตอบที่เหมาะสมอย่างรวดเร็วที่สุด
คอมเมนต์ด้านล่างต่อจากนั้นเป็นคอมเมนต์นิรนาม
คอมเมนต์นิรนาม : ฉันรู้จักคนที่คุณพูดถึง ฉันก็รู้สึกว่าเขามีปัญหาอยู่บ้าง ออกมาเดินตามถนนกลางดึก น่าตกใจจริงๆ นั่นแหละ
คอมเมนต์นิรนาม : สาขาอัตโนมัติละมั้ง ฉันก็รู้จัก คงจะเดินละเมอ?
คอมเมนต์นิรนาม : ใช่คนที่หน้าบากรึเปล่า
คอมเมนต์นิรนาม : (ข้อความนี้ถูกลบแล้วโดยผู้ดูแล)
คอมเมนต์นิรนาม : (ข้อความนี้ถูกลบแล้วโดยผู้ดูแล)
โจวลั่วหยาง ‘…’
ตอนที่โจวลั่วหยางอ่านจนถึงบรรทัดท้ายๆ เขารู้สึกโกรธมากจริงๆ จนถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
‘คอมเมนต์สุดท้ายถามว่าใช่ตู้จิ่งหรือเปล่า’ เพื่อนคนนั้นบอก ‘เขียนชื่อนามสกุลจริง แต่ถูกแอดมินลบไปแล้ว แต่ก็มีคนถามกันเยอะว่ากลางดึกเมื่อคืนวานเขาติดไม่ตกใช่ไหมว่าไปทำอะไร’
ชั่วขณะหนึ่งโจวลั่วหยางไม่รู้จะตอบอย่างไร เลยได้แต่บอกไปว่า ‘เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอื่นสักหน่อย ทำไมต้องไปซุบซิบนินทาในเว็บบอร์ดด้วย’
‘ฉันรู้’ เพื่อนคนนั้นว่า ‘ฉันไม่ใช่คนโพสต์กระทู้ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา ฉันเป็นห่วงนาย จริงไหมเรื่องที่เขากินยา แล้วเขาป่วยเป็นอะไรแน่’
ตอนแรกโจวลั่วหยางอยากบอกไปว่า ‘ฉันไม่รู้หรอก เขาไม่เคยบอก’ แต่พอมาคิดๆ ดูจึงเปลี่ยนคำพูด ‘ฉันไม่เคยถามเขา ไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวคนอื่น’
‘เขาไม่ได้ทำอะไรนายใช่ไหม’ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่คุยเล่นกันจนสนิทสนมกับโจวลั่วหยาง ‘เทอมหน้าอยากเปลี่ยนห้องพักไหม’
โจวลั่วหยางตอบเสียงแข็ง ‘ไม่เปลี่ยน เขาปกติดี’
คนคนนั้นตบบ่าโจวลั่วหยางอย่างเห็นใจแล้วพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก โจวลั่วหยางโกรธจนล็อกอินเข้าบัญชีตัวเองก่อนจะกดรายงานทุกข้อความ เหตุผลคือละเมิดความเป็นส่วนตัวของนักศึกษา ทั้งยังเขียน ‘เหตุผลอื่นๆ ที่รายงาน’ ยาวเหยียด สุดท้ายพอมาคิดๆ ดูแล้วก็ลบทิ้งทั้งหมด ทว่าแม้จะผ่านไปห้านาทีแล้วแต่ก็ยังโกรธไม่หาย เขาจึงกดรายงานอีกครั้งแล้วคอมเมนต์ตอบท้ายกระทู้นั้น โดยหลังจากที่กดรายงานไปห้าหกครั้งเขาถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
อีกคาบสองคาบหลังจากนี้โจวลั่วหยางตัดสินใจว่าจะไม่เรียนแล้ว ขณะที่ทุกคนนั่งพักผ่อนกับที่ เขาก็หอบหนังสือแล้วพรวดพราดออกไปทางประตูหน้าห้อง
‘เพื่อนในคลาสเดียวกับนายเป็นคนโพสต์หรือเปล่า’ โจวลั่วหยางถือมือถือมาถึงหน้าห้องเรียนสาขาอัตโนมัติ ก่อนจะยื่นให้หัวหน้าสาขาดู
วันนี้หลายชั้นเรียนบอกแนวข้อสอบปลายภาค หัวหน้าสาขาถูกขวางโดยไม่ทันตั้งตัว เขารับมือถือมาดูแค่แวบเดียว ไม่ได้อธิบายและไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว เพียงแค่ตอบมาว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าใครโพสต์’
ชัดเจนว่าพวกเขาได้อ่านกระทู้นั่นแล้ว โจวลั่วหยางพูดอย่างเดือดจัด ‘ใครโพสต์ เรียกมาคุยหน่อย’
หัวหน้าสาขาจึงบอก ‘ทำไมวันนี้ตู้จิ่งไม่มาเรียน เมื่อคืนเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม’
‘เขายังนอนหลับอยู่ที่ห้องพัก’
โจวลั่วหยางเดินผ่านหัวหน้าสาขาไป เมื่อเห็นนักศึกษาสาขาอัตโนมัติคนหนึ่งที่ตัวเองรู้จักก็ถามขึ้น
‘นายรู้ไหมว่าใครโพสต์กระทู้นี้’
นักศึกษาคนนั้นเผยสีหน้างุนงง เขาเหลือบมองแค่แวบเดียวเหมือนกันแล้วมองโจวลั่วหยาง ก่อนจะขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า แล้วทำท่าบอกโจวลั่วหยางว่าอาจารย์ยังบรรยายอยู่บนแท่นบรรยาย
‘ยังมีเรียนอีกสองคาบ’ คนคนนั้นบอก ‘อีกเดี๋ยวไว้นายค่อยไปถามหัวหน้าสาขาไหม’
‘เขาบอกแล้วว่าไม่รู้’ โจวลั่วหยางพูดเสียงดัง ‘เดี๋ยวฉันจะไล่ถามรายคนเลย เก่งแต่โพสต์แบบไม่ระบุตัวตนแต่ไม่กล้ารับใช่ไหม’
โจวลั่วหยางกวาดตามองทุกคน นี่เป็นชั้นเรียนขนาดใหญ่ โดยมีสาขาอัตโนมัติสองชั้นเรียนเรียนรวมกัน และเมื่อทุกคนได้ยินเสียงของโจวลั่วหยางก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองเขา
อาจารย์พูดขึ้น ‘โจวลั่วหยาง มีเรื่องอะไร เลิกเรียนค่อยถามได้ไหม’
หัวหน้าสาขาเดินเข้ามาบอกว่า ‘ลั่วหยาง อาจารย์ที่ปรึกษามีเรื่องจะคุยกับนาย ให้ไปพบที่ห้องพักอาจารย์ นายไปเถอะ’
อาจารย์ที่ปรึกษา รองคณบดี และอาจารย์อาวุโสที่ปู่ของโจวลั่วหยางรู้จักอยู่กันพร้อมหน้าในห้องประชุม โจวลั่วหยางเดินเข้าไปแล้วพยักหน้าให้อาจารย์อาวุโสพร้อมกับพูดว่า ‘ปู่ฉี’
‘ลั่วหยาง สวัสดี ปู่ของเธอสบายดีหรือเปล่า’ อาจารย์อาวุโสแซ่ฉีไต่ถาม
‘สบายดีครับ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘หลังเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่อสองปีก่อนก็พยายามฟื้นฟูร่างกายมาตลอด ตอนนี้พอจะเดินได้บ้าง แต่ยังเดินลงบันไดไม่ได้ครับ’
โจวลั่วหยางกับอาจารย์ฉีไม่นับว่าสนิทกันสักเท่าไหร่ ตอนเด็กๆ ก็เคยพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง พอมาเรียนแล้วก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ถึงบ้าน เพราะอาจารย์ฉีไม่ชอบให้ใครไปที่บ้านของเขา
สำหรับโจวลั่วหยางสิ่งเดียวที่รู้ก็คือเรื่องที่ปู่กับอาจารย์ฉีเคยต้องซุกอยู่ในคอกวัว* ด้วยกันมาก่อน แต่คุณสมบัติและประสบการณ์ของอาจารย์ที่เกษียณอายุท่านนี้ค่อนข้างอาวุโสในมหาวิทยาลัย ปกติหากไม่มีเรื่องอะไรก็แทบจะไม่เชิญเขามา ดังนั้นมีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือวันนี้พวกเขาวางแผนหารือเรื่องตู้จิ่งกันจริงๆ ส่วนที่โจวลั่วหยางถูกเรียกตัวมานั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
‘ในเมื่อพวกเขาคุยกันแล้ว’ อาจารย์ที่ปรึกษาเปิดฉาก ‘เลยเรียกตัวเธอมาด้วยเสียเลย’
อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิศวกรรมเฉพาะทาง ภาพลักษณ์เองก็ดูเป็นนักศึกษาปริญญาเอก เขารับผิดชอบนักศึกษาวิศวะฯ เครื่องกลสองชั้นเรียน วิศวะฯ อัตโนมัติสองชั้นเรียน ทั้งสี่ชั้นเรียนมีนักศึกษารวมกันสี่สิบกว่าคน โจวลั่วหยางได้รับการดูแลเป็นพิเศษจึงได้อยู่ตึกทิงเป้า เลยแทบไม่มีโอกาสได้พบหน้าเขา ด้วยปกติไม่ค่อยได้ติดต่ออะไรกับทางคณะและค่อนข้างอยู่อย่างอิสระ
ส่วนรองคณบดีเป็นอาจารย์หญิงวัยกลางคนที่ดูค่อนข้างดุ เธอถามเขาว่า ‘ลั่วหยาง เมื่อครู่นี้เธอทำอะไร’
โจวลั่วหยางเคยพบเธอในงานประชุมใหญ่ของคณะเท่านั้น อีกทั้งไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แต่รองคณบดีเรียกเขาว่า ‘ลั่วหยาง’ เห็นได้ชัดว่าพยายามไม่ทำตัวห่างเหินกับเขาต่อหน้าอาจารย์ฉี
อาจารย์ที่ปรึกษาใคร่ครวญแล้วถาม ‘อาการของตู้จิ่งในช่วงนี้ทำให้เธอเป็นกังวลบ้างไหม’
โจวลั่วหยางกำลังครุ่นคิด แต่อาจารย์ฉีกลับพูดขึ้น ‘เมื่อก่อนคุณยายของตู้จิ่งเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง ตอนหลังอาศัยอยู่เมืองนอกอยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาแม่ของเขาติดต่อฉันผ่านคนอื่นๆ ด้วยหวังว่าฉันจะช่วยดูแลเขาแทนสักพัก เด็กคนนี้ลึกๆ เป็นคนหัวรั้น’
‘…’
‘ฉันให้ทางหัวหน้าของคณะจัดให้พวกเธออยู่ด้วยกัน’ อาจารย์ฉีออกตัว ‘แต่ไม่ได้บอกเธอถึงความเจ็บปวดทรมานของเขา เรื่องนี้ต้องขอให้เธอยกโทษให้ฉันด้วย ลั่วหยาง ตั้งแต่เด็กเธอเป็นเด็กจิตใจดี โดยพื้นฐานแล้วฉันเชื่อมั่นว่าเธอจะเป็นเพื่อนกับตู้จิ่งได้’
โจวลั่วหยางตอบ ‘ผมแค่ไม่ค่อยเข้าใจครับ เขาไม่ได้ทำตัวมีปัญหากับใคร ทำไมถึงมีคนตั้งกระทู้บนเว็บบอร์ดและร้องเรียนเขากับเจ้าหน้าที่มหา’ลัยด้วย ไม่ชอบทำกิจกรรมกลุ่มก็แค่ไม่เข้า ทำไมต้องบังคับให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ทำแล้วมีความสุขเหรอครับ นี่มันยุคไหนแล้ว อุตส่าห์กดรายงานไปหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ทำไมผู้ดูแลเว็บบอร์ดถึงไม่ยอมลบกระทู้นี้ทิ้งเสียทีล่ะครับ’
‘ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย’ อาจารย์ที่ปรึกษาแก้ ‘เธอเข้าใจผิดแล้ว โจวลั่วหยาง เขามีความผิดปกติทางจิตระดับหนึ่งเลย เขาเคยบอกเธอเรื่องอาการป่วยบ้างหรือเปล่า’
โจวลั่วหยางตอบ ‘ผมไม่ได้ถาม’
รองคณบดีกล่าว ‘เขาป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง แต่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเรา ฉันได้อ่านเวชระเบียนเขาแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตส่วนใหญ่’
อาจารย์ฉีพูดขึ้นอีก ‘โรคไบโพลาร์กับพันธุกรรมมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันอย่างมาก การวิจัยโรคนี้ทั้งในและนอกประเทศยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่นับเป็นโรคจิตเภท จุดนี้เธอวางใจได้’
‘ผมไม่ได้ไม่วางใจ’ โจวลั่วหยางท้วง ‘เขากินยาทุกวัน ต้องกินยาตั้งเยอะ ไม่เคยสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์และไม่เคยทำร้ายใครด้วย’
อาจารย์ที่ปรึกษาเปรย ‘อืม ใช่แล้ว จากที่ฉันอ่านเวชระเบียนของเขา ตอนนี้อยู่ในช่วงติดตามดูอาการ ยังต้องรับการรักษาอยู่ แต่พฤติกรรมการออกไปข้างนอกกลางดึกกลางดื่นแบบนั้นมันออกจะ…’
‘เจี้ยนหลัน’ อาจารย์ฉีหันไปพูดกับรองคณบดี
รองคณบดีพยักหน้า ‘อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลค่ะ’
‘เขานอนไม่หลับเป็นประจำ’ โจวลั่วหยางบอก ‘เลยมักจะไม่ได้นอนทั้งคืน ผมจะคอยเตือนไม่ให้เขาออกไปข้างนอก ถ้าเพื่อนนักศึกษารู้สึกว่าตัวเองได้รับผลกระทบ ผมจะเสนอว่าให้เขากับผมออกไปเช่าห้องอยู่ข้างนอกครับ’
‘ร้ายแรงถึงขั้นนั้นเชียว?’ วิชาเอกของอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ใช่สาขาจิตวิทยา เมื่อได้ยินก็ตกใจมาก
‘โรคไบโพลาร์เป็นโรคที่มีอาการอารมณ์ดีกว่าปกติกับอาการซึมเศร้าร่วมกัน’ รองคณบดีหลี่เจี้ยนหลันอธิบาย ‘ต้องควบคุมไว้ด้วยยา ดูจากระดับการรักษาในปัจจุบันก็ไม่ผิดคาดที่เขาต้องกินยาไปตลอดชีวิต สถานการณ์ของเขาค่อนข้างจัดการยากทีเดียว เมื่ออยู่ในช่วงอาการทั้งสองแสดงออกมาพร้อมกัน’
‘ไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการนะครับ’ โจวลั่วหยางแย้ง ‘แค่แสดงออกว่าไม่ค่อยอยากพูดคุยกับใครเท่านั้น’
‘ตัวเขาเองน่าจะระวังไว้มาก’ อาจารย์ฉีถอดแว่นตา รองคณบดีจึงรีบส่งผ้าเช็ดแว่นให้เขาเช็ด
‘ปกติตอนอยู่ในห้องพักพวกเธอสองคนคุยกันบ้างไหม’ อาจารย์ที่ปรึกษาถามอีก ‘เขามีแนวโน้มว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม อย่างเช่น…’
‘คุยครับ’ โจวลั่วหยางตอบ ‘คุยกันบ่อยๆ’
โจวลั่วหยางไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องโพสต์ในแอ็กหลุมเวยป๋อ และไม่ได้พูดชี้แจง ‘อาการปกติ’ ของตู้จิ่งให้มากความอีก อย่างไรเสียอาจารย์ทั้งสามท่านตรงหน้าก็เป็นผู้มากประสบการณ์ หากเน้นย้ำซ้ำซากมากเกินไปกลับจะยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของตัวเองเสียเปล่าๆ
รองคณบดีเอ่ย ‘ฉันก็เคยคิดว่าจะให้ตู้จิ่งพักคนเดียวดีหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเป็นเวลานานอาจจะ…’
‘เป็นอย่างนี้ดีแล้วครับ’ โจวลั่วหยางไม่รู้สึกโกรธสักนิดที่พวกอาจารย์ปิดบังเขาเรื่องอาการป่วยของตู้จิ่ง กลับกันถ้าให้ตัวเขาเป็นคนเลือก หลังจากได้รู้จักพฤติกรรมของตู้จิ่งแล้วเขาก็คงเลือกที่จะอยู่กับอีกฝ่ายอยู่ดี
อาจารย์ที่ปรึกษาหันไปพูดกับรองคณบดีและอาจารย์ฉี ‘หรือไม่อย่างนั้นก็ให้เขาย้ายมาอยู่กับผม แล้วเปลี่ยนหอพักให้โจวลั่วหยาง’
‘ไม่ต้องหรอกครับ’ โจวลั่วหยางค้าน ‘ผมชอบเขามาก ชอบมากเลยล่ะครับ’
* คอกวัว คือสถานที่ที่กลุ่มยุวชนแดงหรือเรดการ์ดสร้างขึ้นเพื่อกักขังชนชั้นปัญญาชนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งมีบันทึกไว้ว่าผู้ที่ถูกกักขังใน ‘คอกวัว’ ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ทั้งด่าทอ ทุบตี และประจานให้อับอาย
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน โกลาหลกลกาล เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN