everY
ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 3-4 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก
ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 3
วันที่ 11 กรกฎาคม เผ่าพันธุ์มนุษย์
ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาทีสวี่จือเห็นสีหน้าที่ดูมากล้นเกินจริงบนใบหน้าของโจวมู่เป็นครั้งที่สองแล้ว
โจวมู่หน้าตารูปลักษณ์สุขุมหนักแน่น สีหน้าเกินจริงขนาดนี้ไม่ควรปรากฏบนใบหน้าของเขา นี่ทำให้สวี่จือรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“พ่อ?” โจวมู่เอียงศีรษะไปข้างหนึ่งเล็กน้อย เอ่ยทวนคำพูดของสวี่จือ
“อืม” สวี่จือเบนสายตาหนีอย่างร้อนตัวอยู่บ้าง ดวงตาเขาจ้องมองมือของโจวมู่ที่วางไว้บนตักอย่างสบายๆ “นายเรียกฉันแบบนี้ได้”
ในห้องเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นจู่ๆ โจวมู่ก็หัวเราะออกมา
สวี่จือขมวดคิ้วพลางเงยหน้า พบว่ามุมปากของโจวมู่โค้งขึ้นหน่อยๆ ดวงตาโค้งหยีเล็กน้อย
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครมองก็ยากจะละสายตา ถึงอย่างไรคุณสมบัติทางกายภาพของพระเอกนิยายก็ค่อนข้างโดดเด่นเหนือชั้นอยู่แล้ว
แต่เงื่อนไขข้อแรกคือต้องไม่ใช่การอยู่ในบรรยากาศแบบนี้
โชคร้ายคือสวี่จือที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ในบรรยากาศแบบนี้พอดี และเขาก็เป็นคนที่ทำให้โจวมู่หัวเราะออกมา
“นายหัวเราะอะไร” อาการร้อนตัวที่สวี่จือมีอยู่เล็กน้อยหายไปแล้ว น้ำเสียงเขาเคร่งขรึมขึ้น บรรยากาศที่เดิมทีผ่อนคลายลงไปบ้างแล้วอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าโมโหสิ” โจวมู่นั่งตัวตรงคิดจะลงจากเตียง แต่ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ การเคลื่อนไหวจึงหยุดชะงักไปเสียก่อน เขาถามสวี่จือว่า “ฉันลงจากเตียงไปพูดได้ไหม”
สวี่จือจ้องเขา ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร
โจวมู่เสริม “ขาชานิดหน่อย”
สวี่จือคิดว่าตนเองไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ จึงพิจารณาครู่หนึ่งก่อนตอบรับ
โจวมู่ลงจากเตียงเป็นครั้งแรกของวันนี้
เขาตัวสูงมาก เมื่อยืนขึ้นทำให้สวี่จือรู้สึกได้ถึงความกดดันอันแข็งแกร่ง สวี่จือเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองทีหลังแล้ว จากนั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งด้วยความประหม่า
แต่โจวมู่กลับไม่ได้เดินเข้ามาอย่างที่สวี่จือคิด เขาขยับขาเบาๆ สักพักหนึ่งแล้วยืนตัวตรงอยู่ข้างเตียง
บางทีอาจเป็นเพราะโจวมู่ดูท่าทางปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ สวี่จือจึงเผลอคิดไปว่าส่วนสูงของคนคนนี้ก็สอดคล้องกับที่ตนเองเขียนไว้ในร่างตัวละคร
“พูดมาสิ” สวี่จือได้สติกลับมา ถามด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง “นายยิ้มอะไรอยู่”
โจวมู่ดูเหมือนอยากจะหัวเราะอยู่บ้าง แต่ท่าทีของสวี่จือเคร่งขรึมเกินไป สุดท้ายแล้วเขาจึงไม่ได้หัวเราะ แต่ทำท่าทางครุ่นคิด
ตอนที่สวี่จือรอจนหมดความอดทน โจวมู่ก็ถามขึ้นอย่างจริงจังว่า “ในนิยายของนาย ฉันอายุเท่าไหร่นะ”
“ยี่สิบเจ็ดปี” สวี่จือบอก
“งั้นปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้ว” โจวมู่ถามอีกครั้ง
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย” สวี่จือไม่พอใจที่โจวมู่สอบถามข้อมูลส่วนตัวของเขา น้ำเสียงฉุนเฉียวราวกับเพิ่งกินพริกแห้งมาห้ากิโลกรัม
“ฉันเดาว่าคงไม่ได้อายุมากกว่าฉัน” โจวมู่ไม่ได้รู้สึกใจฝ่อเพราะน้ำเสียงร้ายกาจของเขา หยั่งเชิงถาม “ยี่สิบสาม?”
สวี่จือไม่พูดไม่จา
“ยี่สิบสี่?” โจวมู่ทายอีกครั้ง
โจวมู่ “ยี่สิบห้า?”
“ยี่สิบหก” ในที่สุดสวี่จือก็บอกคำตอบด้วยสีหน้าถมึงทึง
โจวมู่หัวเราะอีกครั้ง เขาก้มหน้าเล็กน้อย ราวกับกำลังอธิบายเหตุผลให้กับเด็กน้อยที่สื่อสารไม่เป็นคนหนึ่งฟัง “งั้นนายคิดว่าผู้ใหญ่ที่อายุยี่สิบเจ็ดจะ…”
เขาชะงักไปหลายวินาที น่าจะกำลังคิดหาวิธีสื่อสารที่เหมาะสมกว่านี้
“จะเรียกคนที่ดูเด็กกว่าเขาคนหนึ่งว่าพ่อเหรอ” โจวมู่ยังคงถามอย่างนี้
สวี่จือมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ใบหูของเขากลายเป็นสีแดง แต่ยังคงปากแข็งพูดว่า “ฉันเป็นคนสร้างนายขึ้นมานะ”
หลังจากเขาพูดประโยคนี้ออกมาก็เริ่มมีความมั่นใจ และเริ่มตักตวงเพิ่มมากขึ้น “ดังนั้นในเชิงตรรกะแล้วฉันคือพ่อของนายจริงๆ”
โจวมู่ยังคงอยู่ในท่าที่กำลังก้มหน้ามองเขา เมื่อฟังคำพูดนี้แล้วก็ไม่ได้มีการตอบสนองที่พิเศษอะไร เพียงแต่พยักหน้าอย่างจริงจัง
ท่าทางของอีกฝ่ายที่มองสวี่จือนั้นดูใจจดใจจ่อมาก ทำให้สวี่จือคิดว่าโจวมู่น่าจะฟังคำพูดของเขาเข้าใจแล้ว
สวี่จือคิดนอกเรื่องขณะอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้อย่างหาได้ยาก เขาอดคิดถึงคำคำหนึ่งไม่ได้ ‘พฤติกรรมการฝังใจ’*
นี่จัดการยากมาก สวี่จือคิด
“งั้นคุณพ่อ…” โจวมู่ไม่ได้คัดค้านอีกดังคาด “คุณเล่าเรื่องของผมให้ผมฟังได้ไหม ผมยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่”
ตอนที่เขาเอ่ยคำพูดนี้ความสับสนและความใคร่รู้ในน้ำเสียงมีสัดส่วนพอๆ กัน ทว่ากลับไม่มีความกังวลหรือความตื่นตระหนกเลย
เขาดูยอมรับเรื่องที่ตนเองเป็นตัวละครในนิยายได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ตกใจในตอนแรกเริ่มเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดสุขภาพจิตก็ยังดีกว่านักเขียนอย่างสวี่จืออยู่มาก
นี่ทำให้สวี่จือคับข้องใจ เขาเหมือนเป็นคนโลกแคบที่สุดและสุขภาพจิตย่ำแย่ที่สุดในโลก
และตั้งแต่เมื่อกี้นี้บทสนทนาระหว่างพวกเขาที่ดูเหมือนว่าสวี่จือจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่าในความเป็นจริงโจวมู่กลับอยู่เหนือกว่ามาโดยตลอด
โจวมู่ราวกับเป็นผู้ท้าชิงที่โค่นแชมป์ได้สำเร็จ ได้สิทธิ์อำนาจมาอย่างชอบธรรม
“คุณพ่อ?” โจวมู่เร่งรัดอีกครั้ง
“อะไร!” สวี่จือตอบกลับประโยคหนึ่งอย่างฉุนเฉียว เขาเดินออกจากตำแหน่งเดิมสองสามก้าว ก่อนตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ฉันได้ยินแล้ว!”
โจวมู่ถามอีกรอบอย่างใจเย็น “แล้วเล่าให้ผมฟังตอนนี้ได้ไหม”
เมื่อนึกถึงไฟล์เอกสารในโน้ตบุ๊กที่ตอนนี้ได้หายไปพร้อมกับการมาเยือนของโจวมู่ สวี่จือก็ทึ้งหัวอย่างหงุดหงิด แต่ก็ช่วยไม่ได้ จึงทำได้แค่เล่าให้เขาฟังรอบหนึ่งโดยอาศัยความทรงจำ
“นายคือโจวมู่ ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ด เป็น…” เสียงของสวี่จือชะงักไป
ตอนที่ร่างตัวละครนี้เขามีไอเดียมากมาย โจวมู่จึงเป็นตัวละครที่มีมิติมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ในฐานะนักเขียนเขาควรคุ้นเคยกับตัวละครที่เขียนเป็นอย่างดี แต่เวลานี้สวี่จือกลับพูดเกี่ยวกับการออกแบบตัวละครของตัวเองไม่ออกเลย
เมื่อเผชิญหน้ากับโจวมู่ตัวเป็นๆ ซึ่งกำลังพูดคุยกับเขาอยู่ในห้องนอนของตัวเองแบบนี้ การจะอธิบายกับอีกฝ่ายว่านายเป็นใครนั้นทำให้สวี่จือรู้สึกแปลกมาก
เหมือนกับตอนสอบ ที่แม้ว่าจะได้คำตอบแล้ว แต่กลับพบว่าข้อสอบที่ตนเองทำเป็นอีกชุดหนึ่ง แถมยังมีโจทย์เพิ่มเติมมาเพิ่มระดับความยากง่ายอีก
“เป็นอะไรไปครับคุณพ่อ” โจวมู่ราวกับจงใจ คำก็คุณพ่อ สองคำก็คุณพ่อ เรียกจนสวี่จือรู้สึกเหมือนมีแมลงบินเข้าหูดังหวึ่งๆ
“หุบปาก” สวี่จือหันหน้าไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
โจวมู่เองก็หุบปากอย่างว่าง่าย
“ต้นฉบับที่เซฟไว้หายไปแล้ว” สวี่จือพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก ฟังดูค่อนข้างไม่มั่นใจ เหมือนกำลังอธิบายกับตัวเอง
“หืม?” โจวมู่ตอบรับคำหนึ่ง
“เพราะงั้นนาย…” สวี่จือเอ่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “นายแสดงตามใจชอบไปก่อนก็แล้วกัน”
“รับทราบครับคุณพ่อ” โจวมู่ตอบรับไปตามน้ำ
แล้วระหว่างพวกเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ
เป็นครั้งแรกที่สวี่จือได้สัมผัสกับตัวว่าการยกก้อนหินทับเท้าตนเอง* เป็นความรู้สึกอย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอโจวมู่หยอกแบบนี้ ความรู้สึกตึงเครียดและวิตกกังวลในตอนแรกก็หายไปแล้ว
เขาเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองโจวมู่ มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง
โจวมู่ไม่ได้หลบเลี่ยงใดๆ ถึงขั้นเลิกคิ้วตามสัญชาตญาณเมื่อสายตาของสวี่จือเคลื่อนจากปลายคางตัวเองมายังดวงตา
สวี่จือรู้สึกว่าตัวเองถูกเย้าหยอกเข้าให้แล้ว
บางทีโจวมู่อาจไม่ได้หมายความเช่นนี้ แต่ในสายตาของสวี่จือกลับเป็นแบบนี้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นพระเอกจากปลายปากกาของเขา ทุกอย่างจึงล้วนเกิดขึ้นมาเพราะความชอบของสวี่จือเอง
สวี่จือคิดอย่างไร้ขอบเขตว่าถูกคนแบบนี้เย้าหยอกก็ไม่เป็นไร
“สวี่จือ” จู่ๆ โจวมู่ก็เรียกเขา
“หืม?” สวี่จือได้สติกลับมา ไม่ได้บันดาลโทสะที่อีกฝ่ายเรียกชื่อผู้เป็นพ่อตรงๆ โดยไม่ให้ความเคารพ อย่างไรเสียเสียงของโจวมู่ก็นับว่าน่าฟัง เรียกสวี่จือแล้วทำให้เขาสบายใจกว่าเรียกว่าพ่อไม่น้อย
“ฉันหิวนิดหน่อยน่ะ” ทันใดนั้นโจวมู่ก็กล่าวพลางยกมือชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือดิจิตอลหน้าปัดสี่เหลี่ยมบนตู้หัวเตียง “ใกล้จะเที่ยงแล้ว”
“นายก็ต้องกินข้าวด้วยเหรอ” สวี่จือหลุดพูดออกมา น้ำเสียงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ทบทวนคำพูดที่พลั้งปากไปทันที
หากแบ่งตามเผ่าพันธุ์โจวมู่ควรจัดอยู่ในหมวดหมู่มนุษย์ และบรรลุนิติภาวะแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
และมนุษย์ต้องกินข้าว
“นายเข้าใจอะไรฉันผิดไปหรือเปล่า” โจวมู่กล่าวพลางกลับลงไปนั่งบนเตียงอย่างสบายๆ เขาเท้าแขนไปด้านหลัง เงยหน้ามองสวี่จือ
ทั้งสองทิ้งระยะห่างระหว่างกัน ขายาวๆ ของโจวมู่เหยียดอยู่บนพื้นตามอำเภอใจ เขาไม่ได้สวมถุงเท้า ฝ่าเท้าย่ำลงบนพรมสีเทาอ่อนซึ่งอยู่ใกล้กับเท้าสวี่จือมาก
บนตัวโจวมู่สวมชุดคลุมนอนสีเทาอ่อนตัวหนึ่ง คอเสื้อแหวกกว้าง กล้ามหน้าท้องแกร่งซ่อนตัวอยู่ในจุดที่ปกปิดมิดชิด
ลูกกระเดือกของสวี่จือขยับขึ้นลง เขาเขยิบเท้าเล็กน้อย
เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองอยู่กับคนแปลกหน้าตามลำพังครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และเริ่มประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง
การแสดงออกที่เห็นเป็นรูปธรรมคือ…หัวใจเต้นเร็วมาก
“บางทีนายอาจไม่ใช่มนุษย์” สวี่จือคิดอยู่ในหัวว่าบางทีโรควิตกกังวลของตนเองอาจจะกำเริบอีกแล้ว ขณะเดียวกันก็รับมือกับโจวมู่อย่างขอไปที
แม้คำพูดนี้เขาเองจะไม่เชื่อเลยก็ตาม
“ก็จริง” โจวมู่กลับไม่ได้คัดค้านคำพูดนี้ เขาพยักหน้า “งั้นพาฉันไปเช็กหน่อยไหม”
“ได้” สวี่จือว่า
เขาให้เวลาโจวมู่เตรียมตัวห้านาที จากนั้นเรียกรถแท็กซี่พาอีกฝ่ายไปโรงพยาบาล
เทคโนโลยีการรักษาในปัจจุบันสามารถให้คำตอบที่น่าเชื่อถือกับสมมติฐานข้างต้นได้
เพื่อนที่สวี่จือสนิทมากเปิดโรงพยาบาลเอกชน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ทำงานอยู่แผนกจิตเวช สวี่จือคิดว่าบางทีเขาจำเป็นต้องไปรับคำปรึกษาด้านจิตวิทยาสักหน่อย
* พฤติกรรมการฝังใจ (Imprinting) เป็นพฤติกรรมสัตว์ที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงหนึ่งของชีวิต โดยลูกสัตว์ที่เพิ่งเกิดมาจะมองว่าสัตว์ตัวแรกที่มันเห็นคือแม่ของมันและเรียนรู้จากสัตว์ตัวนั้น
* ยกก้อนหินทับเท้าตัวเอง เป็นสำนวน หมายถึงหาเรื่องใส่ตัว
Comments
