everY
ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 3-4 #นิยายวาย
บทที่ 4
วันที่ 11 กรกฎาคม คนรักร่วมชายคา
ตอนรับสายสวี่จือ เวินซูเหยากำลังตากแอร์อยู่ในห้องทำงาน เขาเพิ่งแกะบะหมี่ที่เพื่อนร่วมงานห่อกลับมาให้ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น
“เสี่ยวจือ?” เวินซูเหยาหยุดมือ ตั้งใจฟังเสียงจากปลายสายโทรศัพท์
“ซูเหยา” เสียงของสวี่จือดังออกมาจากโทรศัพท์ “ตอนนี้นายว่างหรือเปล่า ฉันจะไปที่โรงพยาบาลนายสักหน่อย”
มือของเวินซูเหยาที่กำลังหักตะเกียบหยุดชะงัก เขาเอาฝากล่องอาหารปิดกลับไป นั่งตัวตรงเล็กน้อย “ว่างสิ นายไม่สบายเหรอ”
“ไม่ใช่ฉัน” สวี่จือพูดตะกุกตะกัก อ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะเอ่ย “เป็นเพื่อนคนหนึ่ง”
“เพื่อนคนไหน” เวินซูเหยาถาม
“นายไม่รู้จักหรอก” สวี่จือตอบอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงกลับคลุมเครืออยู่บ้าง “งั้นเดี๋ยวฉันไปหานะ”
พูดจบก็วางสาย ไม่ให้โอกาสเวินซูเหยาได้ซักไซ้
เวินซูเหยาขมวดคิ้วใส่เสียงสัญญาณวางสาย เพื่อนของสวี่จือนั้นเขารู้จักเกือบทุกคน
ครึ่งชั่วโมงหลังวางสายสวี่จือก็มาถึงโรงพยาบาล เวินซูเหยาออกมารับพวกเขาด้วยตัวเอง
สวี่จือสังเกตเห็นว่าสายตาของเวินซูเหยาวนเวียนอยู่บนตัวโจวมู่
สวี่จือขยับไปด้านข้างอย่างเงียบๆ พยายามบังสายตาของเวินซูเหยา
“เสี่ยวจือ” เวินซูเหยาหันหน้าไปทางสวี่จือ แต่กลับไม่ได้เคลื่อนสายตาออกจากโจวมู่ เขาถามสวี่จือว่า “เพื่อนนาย?”
สวี่จือกลืนน้ำลาย รู้สึกลังเลเล็กน้อยว่าควรบอกความจริงกับเวินซูเหยาหรือไม่ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ร้ายแรงมาก ดังนั้นเขาจึงมองไปทางโจวมู่โดยไม่รู้ตัว
โจวมู่สบตาเขาแวบหนึ่ง ก่อนเดินไปข้างหน้าอย่างอาจหาญ
“สวัสดีครับ” โจวมู่เดินไปตรงหน้าเวินซูเหยา ขวางอยู่ด้านหน้าสวี่จือ “ผมโจวมู่ เป็นเพื่อนสมัยมหา’ลัยของสวี่จือ”
สวี่จือมองไม่เห็นสีหน้าของโจวมู่ แต่กลับเห็นสีหน้าของเวินซูเหยาที่เคร่งขรึมขึ้นชั่วขณะ
กระดิ่งเตือนในใจสวี่จือดังขึ้น เขากล่าวต่อตามคำพูดของโจวมู่อย่างรวดเร็ว “เขารู้สึกไม่สบายตัว ฉันเลยพาเขามาตรวจสักหน่อย”
“ตรวจด้านไหน” เวินซูเหยาถาม
“ทุกด้าน” สวี่จือกล่าว “ที่ตรวจได้ก็ตรวจให้หมดเลย”
“โจวมู่?” เวินซูเหยาไม่มองสวี่จือ เขาพินิจมองโจวมู่อยู่หลายรอบราวกับมีอะไรจะถาม
“ซูเหยา” สวี่จือเอ่ยปากปรามเวินซูเหยา ก่อนยื่นมือไปจับไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อเปลี่ยนทิศทาง ดันเขาให้เดินเข้าไปในโรงพยาบาล “เดี๋ยวฉันค่อยคุยกับนายอีกที”
เวินซูเหยาพยักหน้าแล้วหันกลับไปมองโจวมู่อีกแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่งการ “เข้ามาสิ”
พวกเขาเดินไปยังเคาน์เตอร์เวชระเบียน เวินซูเหยาพูดคุยกับพยาบาลสองสามประโยคแล้วให้คนพาพวกเขาไปตรวจเบื้องต้น
โจวมู่เดินอยู่ข้างหน้า จู่ๆ ก็หันกลับมามองสวี่จือแวบหนึ่ง สวี่จือสบตาอีกฝ่าย ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยิบตาให้เขาอย่างได้ใจ
เหมือนเด็กประถมที่วางแผนร้ายสำเร็จ
“เด็กน้อยชะมัด” สวี่จือเอ่ยประโยคหนึ่งเสียงเบา มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้จะเป็นองศาที่เล็กน้อยมาก แต่กลับเป็นสีหน้าที่เรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาครั้งแรกของสวี่จือนับตั้งแต่เช้าวันนี้เป็นต้นมา
ตัวเวินซูเหยาเรียนเฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่ได้ตรวจร่างกายของโจวมู่ด้วยตัวเอง แต่ส่งให้แพทย์เวรจัดการ
ขณะที่โจวมู่รอตรวจก็แสดงท่าทีว่าง่ายเป็นอย่างมาก เขาราวกับรู้ถึงความอันตรายของสถานะตนเอง จึงไม่ได้พูดมาก เพียงสื่อสารกับสวี่จือทางสายตาเป็นครั้งคราว แม้สวี่จือมักจะแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่นก็ตาม
การตรวจรายการแรกของโจวมู่คือการตรวจอัลตราซาวนด์หัวใจ หลังเวินซูเหยาเห็นพยาบาลพาโจวมู่เข้าไปในห้องอัลตราซาวนด์แล้วเขาก็เรียกสวี่จือไว้
“เสี่ยวจือ” เวินซูเหยาเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใย “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
คำถามนี้ของเวินซูเหยาพุ่งเป้าไปที่ความรู้สึกและสภาพจิตใจของสวี่จือ
ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบสวี่จือก็ป่วยเป็นโรควิตกกังวลในระดับรุนแรงพอสมควร เมื่อเวินซูเหยาเริ่มทำงานด้านจิตวิทยาก็ทำหน้าที่แพทย์ประจำตัวสวี่จือมาตลอด
คำถามนี้ตอบง่ายมาก สวี่จือนึกย้อนกลับไปครู่หนึ่ง ช่วงนี้เขารู้สึกเครียดครั้งเดียวคือเช้าวันนี้ที่เจอโจวมู่บนเตียง
แต่สวี่จือคิดว่าการรู้สึกเครียดในสถานการณ์แบบนั้นเป็นสิ่งสมเหตุสมผล จึงเลือกที่จะปิดบัง
“ไม่เป็นยังไง” สวี่จือส่ายหน้า เอ่ยอย่างมีพิรุธ “ทุกอย่างปกติดี”
“งั้นเหรอ” เวินซูเหยามองสวี่จือไม่วางตา ถามด้วยจังหวะเนิบช้า
นี่ทำให้สวี่จือรู้สึกว่าเวินซูเหยาจับได้แล้วว่าเขากำลังโกหก
“อืม” สวี่จือยังคงพยักหน้า ละสายตาออก พยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับเวินซูเหยา
เวินซูเหยาไม่ได้ถามต่อ เขาหมุนตัวเดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม ชายเสื้อกาวน์สะบัดพลิ้ว “การตรวจยังต้องรออีกสักพัก ไปนั่งที่ห้องทำงานฉันก่อนดีกว่า”
สวี่จือพยักหน้าแล้วตามไป เขารู้ว่าเวินซูเหยาไม่เชื่อ
ห้องทำงานของเวินซูเหยาอยู่เหนือห้องอัลตราซาวนด์ขึ้นไปชั้นหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ขึ้นลิฟต์ แต่เดินขึ้นบันไดไป
โรงพยาบาลมีขนาดไม่ใหญ่นัก และเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายจึงค่อนข้างสูง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีคนมาใช้บริการมากนัก บริเวณบันไดเลยมีแค่พวกเขาสองคนกำลังเดินอยู่
สวี่จือจ้องชายเสื้อกาวน์ที่พลิ้วไหวเล็กน้อยของเวินซูเหยาอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง
เวินซูเหยาเดินถึงห้องทำงานแล้วปิดประตู ก่อนให้สวี่จือนั่งลง
หลังเดินผ่านประตูเข้ามาทางซ้ายมือมีโซฟาอยู่ชุดหนึ่ง สวี่จือนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวชิดผนังเหมือนอย่างเคย เวินซูเหยารินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง จากนั้นนั่งลงตรงข้ามเขา
สวี่จือยื่นมือไปหมุนแก้วน้ำเพื่อจัดให้หูจับของแก้วตรงกับเส้นลายหินอ่อนบนโต๊ะ
“บอกมาเถอะ” เวินซูเหยาพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะพยักพเยิดปลายคางไปทางประตู “คนคนนั้นเป็นใคร”
“เพื่อนสมัยมหา’ลัย” สวี่จือยืนยันหนักแน่น แล้วกล่าวเสริมอย่างนึกว่าตนฉลาด “ไม่ค่อยได้เจอ เพราะงั้นนายเลยไม่รู้จัก”
เวินซูเหยาไม่ได้ตอบกลับทันที แต่ลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วดึงม่านหน้าต่างปิดลง
ตอนกลางวันแดดแรงมาก หลังปิดม่านแสงแดดแรงกล้าก็อ่อนลง บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมาทันที
นี่เป็นกลยุทธ์ที่เวินซูเหยาทำเป็นประจำเมื่อให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยากับสวี่จือ ใช้สภาพแวดล้อมที่สงบมาลดความระแวดระวังของเขา
“นายคิดว่าฉันเชื่อเหรอ” เวินซูเหยาเดินกลับมานั่งบนโซฟา ยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำอย่างผึ่งผาย รอให้สวี่จือเป็นฝ่ายสารภาพออกมาเอง
สวี่จือจ้องบัตรประจำตัวแพทย์ที่เวินซูเหยาติดไว้บริเวณอกซ้ายของเสื้อกาวน์ ต่อต้านอย่างเงียบๆ
ในฐานะเพื่อนที่มีอยู่ไม่มากของสวี่จือ เวินซูเหยาคือคนที่สวี่จือสามารถเชื่อใจได้ทุกอย่าง แต่การมีอยู่ของโจวมู่ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่จะยิ่งดีกว่า
ความสามารถเฉพาะทางของเวินซูเหยาไม่มีข้อกังขาเลย หากเขาจะถามให้ได้ สวี่จือก็ไม่อาจจะต่อต้าน จึงนิ่งเงียบเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้สวี่จือรู้สึกเหนือความคาดหมายคือเวินซูเหยาดูเหมือนจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไป
“เขาใส่เสื้อผ้าของนาย” เวินซูเหยาวางแก้วลง เอ่ยข้อสรุปของตนออกมา “พวกนายอยู่บ้านเดียวกัน”
สวี่จือถูกถามจนตะลึงงัน อ้าปากคิดจะโต้แย้ง แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วก็ตัดสินใจไม่เอ่ยออกไป แบบนี้ดีกว่าให้เวินซูเหยาซักไซ้ถึงตัวตนของโจวมู่เสียอีก
“แฟน?” เวินซูเหยาถาม
“ไม่ใช่” ครั้งนี้สวี่จือตอบเร็วมาก
“งั้นก็วันไนต์สแตนด์” เวินซูเหยาพิงโซฟาไปทางด้านหลัง หมุนไหล่อย่างเกียจคร้าน “ใช่ไหม”
สวี่จือคิดจะบอกว่าพวกเขาสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคนรัก แต่ทันใดนั้นกลับนึกถึงตอนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า เขากับโจวมู่ตระกองกอดกันโดยที่ร่างกายเปลือยเปล่า ดังนั้นเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็ไม่มีเสียงแล้ว
ทำได้เพียงนิ่งเงียบต่อไป
“ไม่เลวนี่” เวินซูเหยาเห็นเขาไม่ปฏิเสธก็พยักหน้า ประเมินโจวมู่โดยปราศจากอคติ “ดูเหมือนเป็นไทป์ที่นายจะชอบนะ”
สวี่จือคิดครู่หนึ่ง หากเขาจะหาแฟนหรือคู่นอนวันไนต์สแตนด์ล่ะก็ โจวมู่คงเป็นประเภทที่เขาจะเลือกจริงๆ
แต่เงื่อนไขข้อแรกคือโจวมู่ต้องเป็นมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ และจับต้องได้
“รู้จักกันได้ยังไง” เวินซูเหยาถามอีกครั้ง
คำถามนี้ตอบง่ายมาก คนปกติสามารถตอบออกมาได้ภายในวินาทีเดียว แต่สวี่จือทำไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจอ้อนวอนขอความเมตตา
“พี่เวิน” สวี่จือเอ่ย “อย่าถามเลยนะ”
สวี่จือเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย เสียงที่ค่อนข้างเยือกเย็นแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล นี่เป็นวิธีออดอ้อนที่เขาใช้เป็นประจำ เขาใช้วิธีนี้ในการรับมือกับเวินซูเหยาอย่างช่ำชอง
เวินซูเหยาช้อนตามองเขา ไม่ได้ดึงดันอีก ยกขาไขว่ห้างอย่างสบายๆ แล้วชี้ไปที่ใต้ตาของสวี่จือ “พักนี้หลับไม่สนิทเหรอ”
สวี่จือยกมือคลำใต้ตาแต่ไม่รู้สึกอะไร เขาหยิบแก้วมาดื่มน้ำ คิดถึงสภาวะการนอนในช่วงนี้ของตัวเองครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า “เปล่า นอนหลับเป็นเวลามาก”
เวินซูเหยาถอนหายใจ หยิบกระจกทรงกลมเล็กๆ บานหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะกาแฟแล้วส่งให้เขา “ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าแล้ว”
สวี่จือรับกระจกมาส่องแล้ววางลงอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันหลับสักสองงีบก็หายแล้ว”
“อีกสองวันนายมาหาฉันที่โรงพยาบาลอีกรอบนะ ฉันจะหาเวลาให้นายช่วงบ่าย ช่วยให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาให้นาย” เวินซูเหยาไม่สนใจน้ำเสียงที่ดูพูดเรื่องสมเหตุสมผลของเขา
“อืม” สวี่จือตอบรับอย่างอ้อมๆ แอ้มๆ “รู้แล้ว”
เวินซูเหยามองเขาอีกสองแวบ ก่อนจะดึงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกแล้วเดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ขีดๆ เขียนๆ สองสามบรรทัด “เอายานอนหลับกลับไปสักหน่อย”
ยานอนหลับที่เวินซูเหยาจ่ายให้ฤทธิ์แรงมาก ปกติเวลาเริ่มกินแรกๆ สวี่จือมักหลับเป็นตาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ้าปากหมายจะปฏิเสธ
แต่เวินซูเหยาไม่ให้โอกาส เขาพับกระดาษไม่กี่ทีแล้วก็ใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “เดี๋ยวฉันยังมีนัดกับคนไข้ นายนั่งคนเดียวสักพักนะ”
พูดจบก็เดินออกไปจากห้องทำงาน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
