everY
ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก
ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
วันที่ 11 กรกฎาคม คิดเพ้อเจ้อ
ห้องทำงานของเวินซูเหยากว้างขวาง บริเวณผนังยังวางตู้ไม้จริงขนาดใหญ่เอาไว้สองตู้
ตู้หนึ่งเป็นตู้สำหรับเก็บเวชระเบียน มันถูกล็อกเอาไว้
ส่วนอีกตู้เป็นตู้หนังสือส่วนตัวของเวินซูเหยา
การตรวจร่างกายของโจวมู่ใช้เวลานานมาก เวินซูเหยาไม่อยู่ สวี่จือตั้งใจจะสุ่มหยิบหนังสือจากตู้หนังสือออกมาอ่านฆ่าเวลาสักเล่ม
ตู้หนังสือจัดวางไว้ตำแหน่งด้านใน สวี่จือจำเป็นต้องเดินผ่านด้านหน้าตู้เวชระเบียน
ขณะกำลังเดินผ่านสวี่จือคิดว่าในตู้นี้คงยังเก็บเวชระเบียนของตนเอาไว้ แม้เขาจะไม่เคยอ่าน แต่ก็รู้ว่ามันเล่มใหญ่มาก
ห้องทำงานของเวินซูเหยามีหนังสือเยอะมาก ล้วนเป็นหนังสือเฉพาะทาง สำหรับสวี่จือแล้วทั้งแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา และเข้าใจยาก เขาสุ่มหยิบมาเล่มหนึ่ง แต่พลิกอ่านไปได้แค่ไม่กี่หน้าก็หลับไป
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โจวมู่ก็ตรวจเสร็จและกลับมาแล้ว อีกทั้งในมือยังถือหนังสือเล่มที่เขาอ่านก่อนจะหลับไปอยู่
คนเรามักขาดความระแวดระวังขณะเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน สวี่จือเองก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน
เขาไม่ได้เรียกโจวมู่ในทันที แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาพร่ามัว
โจวมู่นั่งอยู่บนโซฟาตัวตรงข้าม ก้มหน้าเล็กน้อย ถือหนังสือ ‘คู่มือการรักษาด้วยยาทางจิตเวช’ อ่านอย่างตั้งใจ
นี่น่าจะเป็นหนังสือที่เวินซูเหยาเปิดบ่อยๆ ในช่วงนี้ เนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงด้านลบจากยาและวิธีจัดการในหนังสือถูกพับมุมไว้หลายที่
ม่านหน้าต่างถูกเปิดออก ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัวเล็กน้อย น่าจะใกล้ค่ำแล้ว
ในห้องทำงานไม่ได้เปิดไฟ แสงจึงไม่ค่อยสว่างนัก แต่ดูแล้วเรื่องแสงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับโจวมู่ สวี่จือเดาว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ที่โจวมู่ได้อ่านหนังสือ
ดวงตาของโจวมู่หลุบลงเล็กน้อย จากมุมที่เขาก้มหน้าทำให้มองไม่เห็นดวงตาสีเข้มของเขา มองจากมุมของสวี่จือ เขาดูท่าทางว่านอนสอนง่ายมาก
โจวมู่อ่านหนังสือไม่เร็ว ช้ามากกว่าจะพลิกสักหน้า ขณะที่เขาพลิกหน้าหนังสือครั้งที่สองก็เงยหน้ามองสวี่จือแวบหนึ่ง
สวี่จือยังคงอยู่ในท่าที่กำลังจ้องมองอีกฝ่าย ไม่มีการตอบสนองไปชั่วขณะ การแอบมองถูกจับได้คาหนังคาเขา
สวี่จือเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ตื่นแล้ว?” โจวมู่วางหนังสือที่ถืออยู่ในมือลงบนตัก เงยหน้ามองสวี่จือพลางถาม
“อืม” สวี่จือตอบรับคำหนึ่ง ถามโจวมู่ว่า “เสร็จแล้ว?”
“อืม เสร็จหมดแล้ว” โจวมู่ปิดหนังสือ ลุกขึ้นยืนแล้ววางหนังสือกลับไปไว้บนชั้น ก่อนเดินมาข้างกายสวี่จือ “กลับตอนนี้เลยไหม”
“ซูเหยาล่ะ” สวี่จือหาทั่วห้องรอบหนึ่ง แต่ไม่พบเวินซูเหยา
“หมอเวินมีคนไข้” โจวมู่บอก “บอกให้นายไม่ต้องรอเขา”
“อืม” สวี่จือพยักหน้าอย่างเฉื่อยชา เท้ามือบนที่วางแขนโซฟาแล้วลุกขึ้นอย่างโซเซ “งั้นกลับกันเถอะ”
เขาหลับนานมาก ขาชาเล็กน้อย จึงยืนไม่มั่นคงไปชั่วขณะ เขาพลันถลาไปข้างหน้า ก่อนที่เข่าจะชนเข้ากับโต๊ะกาแฟจนเกิดเสียงดัง
โจวมู่วิ่งเข้าไปอย่างตาไวมือเร็ว ยื่นมือไปโอบเอวเขา ดึงเข้ามาในอ้อมกอดตนเอง “ไม่เป็นไรนะ”
หัวเข่าของสวี่จือชนเข้ากับมุมมนของโต๊ะกาแฟ ไม่ได้แรงแต่โดนจุดพอดี เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา
โจวมู่ใช้มืออีกข้างช่วยเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างลนลาน ถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เจ็บมากเหรอ”
เขายังคงอยู่ในท่าที่กอดสวี่จือไว้ ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ไอร้อนที่พ่นออกมาระหว่างพูดกระทบบนใบหน้าด้านข้างของสวี่จือ
บางทีอวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนทางเพศอาจตื่นตัวเร็วกว่าสมองนิดหน่อย สมาธิของสวี่จือเริ่มแตกกระเจิง
น้อยมากที่เขาจะใกล้ชิดกับคนอื่นแบบนี้ ดังนั้นจึงรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง โดยเฉพาะน้ำเสียงของโจวมู่ที่มีความห่วงใยผิดจากปกติ
สวี่จือมองสีหน้าท่าทางของโจวมู่โดยไม่รู้ตัว
หัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดมุ่นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยังคงยกขึ้นค้างไว้โดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี บนข้อนิ้วเปียกชื้นเล็กน้อย คือน้ำตาที่เช็ดมาจากหางตาของเขาเมื่อครู่
สวี่จือยอมรับว่าตนเป็นคนลามกโดยสมบูรณ์
ตอนเขาเขียนตัวละครโจวมู่นี้ เป็นตัวละครที่เขียนขึ้นตามความชอบของตนเองทั้งหมดจริงๆ
โจวมู่คนนี้ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกไปจนถึงออร่าจากภายใน ทั้งหมดสอดคล้องกับมาตรฐานที่ ‘สวี่จือชอบ’
สวี่จือคิดว่าหากโจวมู่ไม่ใช่คนที่มีตัวตนอันตรายอย่างนี้ เขาอาจจะควบคุมตัวเองไม่อยู่และมีอะไรกับโจวมู่ไปแล้ว
“สวี่จือ?” โจวมู่เอียงศีรษะเล็กน้อย ขัดจังหวะความคิดเลื่อนลอยของสวี่จือ “กระแทกโดนตรงไหน”
สวี่จือดึงความคิดกลับมา
น่าจะเป็นเพราะตอนที่เขาหลับมีคนมาปรับเครื่องปรับอากาศ ดังนั้นอุณหภูมิในห้องทำงานของเวินซูเหยาจึงไม่ได้ต่ำมาก อีกทั้งอุณหภูมิร่างกายของโจวมู่เองก็สูง อบอวลจนสวี่จือรู้สึกร้อนรุ่มอยู่บ้าง
มือของโจวมู่ใหญ่ ลำแขนก็แข็งแรงเช่นกัน ขณะโอบอยู่บนเอวของสวี่จือทำให้เขารู้สึกคิดหลอนไปว่าตัวเองถูกเผด็จศึกไปแล้ว
นี่อันตรายมาก
สวี่จือตั้งสติ ยืนตัวตรงแล้วผลักโจวมู่ออก
“ทำอะไรน่ะ!” สวี่จือเริ่มใช้สิ่งที่เขาถนัดอีกครั้ง นั่นก็คือใช้น้ำเสียงดุๆ ที่ใช้กับโจวมู่อย่างเคยชินมาขู่อีกฝ่าย
โจวมู่ปล่อยมือ ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับอารมณ์ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวของเขา ถามอีกรอบอย่างสุภาพ “กระแทกโดนตรงไหนเหรอ”
เขาพูดจบก็นั่งลงยองๆ เบียดอยู่ระหว่างโต๊ะกาแฟกับโซฟาด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ นิ้วโป้งกดเบาๆ บนเข่าของสวี่จือทีหนึ่ง “ตรงนี้เหรอ”
สวี่จือเองก็แค่รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตอนเพิ่งชน ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรนานแล้ว แต่นิ้วร้อนๆ ของโจวมู่กดลงบนหัวเข่าของเขา ทำให้กล้ามเนื้อน่องของเขากระตุกทีหนึ่งโดยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์
โจวมู่ไม่รู้เลยว่าสวี่จือกำลังคิดอะไรอยู่ เขานึกว่าตนเองกดจนอีกฝ่ายเจ็บ จึงคลึงด้วยแรงที่เบากว่าเดิม
สวี่จือรู้สึกจั๊กจี้ในใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียหน้าจึงยกขาหนีอย่างแข็งทื่อแล้วพูดกับโจวมู่ว่า “ไม่เป็นไร”
โจวมู่เก็บมือกลับมาแล้วลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้สวี่จือ “งั้นก็ดี”
พูดจบก็ชิงเดินไปทางประตูก่อน สวี่จือครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย วันนี้แอร์ไม่ค่อยเย็นเลยจริงๆ
สวี่จือขับรถไม่เป็น ทั้งสองจึงเรียกรถกลับบ้าน รถแท็กซี่จอดบริเวณประตูทางเข้าเขตชุมชน
โจวมู่ตามหลังสวี่จือโดยรักษาระยะห่างประมาณสามก้าว ดังนั้นเวลาที่โจวมู่พูดจึงมักทำให้สวี่จือรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายโอบล้อมเขาจากด้านหลัง
โจวมู่เอ่ย “หมอเวินบอกให้ฉันเอายาให้นาย”
สวี่จือฟังคำพูดนี้แล้วก็หันกลับไปถามอย่างตึงเครียด “พวกนายเจอกันแล้ว?”
“อืม” โจวมู่พยักหน้า สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นความภูมิใจและโอ้อวดตนเอง “เขาไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร”
สวี่จือตะลึงงันไปชั่วขณะ
พูดตามตรง ความคิดแรกของเขาไม่ใช่แบบนี้เลย
อาจเป็นเพราะโดยทั่วไปแล้วกลุ่มคนที่มีความผิดปกติทางจิตมักมีความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงต่อภาวะทางจิตของตนเองและรักในศักดิ์ศรีของตนอย่างมาก เมื่อได้ยินโจวมู่บอกว่าเวินซูเหยาฝากตนส่งยาให้ ความคิดแรกของเขาคือโจวมู่จะรู้หรือไม่ว่าเขาป่วยเป็นโรควิตกกังวล
แต่หลังจากตั้งสติได้ถึงพบว่าดูเหมือนวิธีการคิดของโจวมู่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
สวี่จือหันกลับมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ไม่ได้พูดประเด็นนี้ต่อ
โจวมู่ไม่ได้ยินคำชมจากสวี่จือก็ไม่ได้ท้อถอย เดินอยู่ด้านหลังสวี่จืออย่างเงียบๆ ต่อไป
การที่สวี่จือไม่เห็นโจวมู่ในสายตาทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นจึงสั่งโจวมู่อีกครั้งว่า “นายมาเดินข้างหน้า”
“ได้” โจวมู่ตอบรับคำหนึ่ง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าสวี่จือ
บ่าของเขากว้างมาก การสวมเสื้อยืดของสวี่จือจึงไม่พอดีตัวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสวี่จือจึงมองเห็นลายกล้ามเนื้อที่เป็นลอนสวยแข็งแรงใต้เสื้อยืดผ้าฝ้ายได้
จู่ๆ สวี่จือก็คิดถึงตอนที่เวินซูเหยาถามว่าโจวมู่เป็นคู่นอนวันไนต์สแตนด์ของเขาหรือเปล่า บอกตามตรงสวี่จือเองก็ยืนยันไม่ได้
ก่อนหน้านี้แม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์วันไนต์สแตนด์ แต่ก็รู้ว่าผู้ชายสองคนตื่นขึ้นมาโดยที่เปลือยกายกอดกันจะต้องไม่ใช่เรื่องที่บริสุทธิ์ใจแน่นอน
โจวมู่เป็นเกย์หรือเปล่าสวี่จือไม่รู้ ตอนที่เขาร่างคาแร็กเตอร์ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย แต่ตัวสวี่จือนั้นชอบผู้ชายจริงๆ
“มองฉันอยู่เหรอ” จู่ๆ โจวมู่ก็หยุดฝีเท้า หมุนตัวมาทางสวี่จือและเอ่ยปากถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
สวี่จือละสายตาออกอย่างร้อนตัว ก่อนจะมองไปรอบๆ และโต้แย้งด้วยความเกรี้ยวกราด “ใครมองนายกัน!”
“อืม ไม่ได้มอง” เสียงของโจวมู่สูงขึ้นเล็กน้อย ฟังแล้วดูเหมือนไม่ได้เชื่อคำพูดของสวี่จือ แต่ขณะที่กำลังจะหัวเราะก็อดกลั้นเอาไว้เพราะความน่าเกรงขามของสวี่จือ
แม้โจวมู่จะหน้าตาเคร่งขรึม แต่อันที่จริงแล้วยิ้มเก่งมาก สวี่จือพบว่าเวลาที่อีกฝ่ายยิ้มบริเวณแก้มฝั่งขวาจะมีลักยิ้มตื้นๆ อยู่จุดหนึ่งซึ่งหากไม่ดูดีๆ ก็มองไม่ออก
สวี่จือราวกับค้นพบของสนุกแปลกใหม่อะไรบางอย่าง เขายื่นมือไปจิ้มร่องบุ๋มเล็กๆ นั้นอย่างซุกซน “นี่คืออะไร”
“ลักยิ้ม” โจวมู่ปล่อยให้สวี่จือจิ้มอย่างไม่หนักไม่เบาโดยไม่หลบเลี่ยงอย่างอารมณ์ดี
“ชิ” สวี่จือจิ้มอีกสองที พูดเหน็บแนมอย่างไร้เหตุผล “ลูกผู้ชาย มีลักยิ้มอะไรกัน”
พูดจบก็ไม่มองโจวมู่อีก เดินไปข้างหน้าตามลำพัง
โจวมู่เดินตามไปจนถึงข้างกายสวี่จือ แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้มอง งั้นตอนนี้มองฉันหน่อยได้ไหม”
บางทีอาจเป็นเพราะการรับรู้ต่อสังคมในโลกแห่งความจริงยังคงมีความคลาดเคลื่อน เขาดูเหมือนไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นคำพูดมีนัยแอบแฝงและมีความออดอ้อนเล็กน้อย
อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยโทนเสียงราบเรียบ ทั้งยังรอสวี่จือตอบอย่างจริงจัง
สวี่จือขี้ร้อนมาก แม้ตอนนี้พระอาทิตย์จะลับลงหลังภูเขาไปแล้ว แต่อุณหภูมิที่สะสมมาตลอดทั้งกลางวันยังไม่สลายไป ดังนั้นลมในตอนนี้จึงล้วนเป็นลมร้อน
สวี่จือรู้สึกว่าแม้แต่คำพูดประโยคนี้ของโจวมู่ก็ถูกลมฤดูร้อนพัดจนร้อนไปด้วย นำมาซึ่งความอบอุ่นที่ไม่ควรจะมี แผดเผาจนหูของเขาร้อนเห่อ
“มองนายทำไม” สวี่จือหยุดฝีเท้าก่อนจะมองไปทางโจวมู่
โจวมู่มีท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง ทำให้สวี่จือคิดเพ้อเจ้อไปไกลได้ง่ายมาก ดังนั้นสวี่จือจึงใช้เวลาสองวินาทีในการทบทวนตัวเองครู่หนึ่ง
เขาพยายามโน้มน้าวตัวเองว่าแม้เขาจะเป็นเกย์ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนคนนี้ก็ไม่แน่ว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า
“ตรงนี้” โจวมู่เอ่ยพลางยื่นมือไปชี้บริเวณกระเพาะอาหาร “ว่างแล้ว”
สวี่จือ “…”
Comments
