ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 5-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 5-6 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 6

พฤติกรรมการฝังใจ

 

สวี่จือยอมรับว่านอกจากเขาจะเป็นคนลามกตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว ยังเป็นคนที่นิสัยชั่วร้ายอีกด้วย

ตอนเช้าโจวมู่เคยบอกว่าหิวแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเช้าสวี่จือมัวแต่ตื่นตกใจ บวกกับความอยากแก้แค้นในใจที่ตนเองยังไม่เต็มใจจะยอมรับอยู่นิดหน่อย เขาจึงปล่อยให้โจวมู่หิวมาทั้งวัน

ตอนเขาพาโจวมู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล พบว่าในห้องทำงานของเวินซูเหยามีบะหมี่ชุดหนึ่งพอดี เขาจึงใช้มันแทนมื้อเที่ยงโดยไม่เกรงใจ

แต่สถานการณ์ในตอนนี้คือโจวมู่ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีเงินติดตัวสักเหรียญ ทั้งโลกรู้จักสวี่จือแค่คนเดียว แต่สวี่จือกลับกินเองจนอิ่มโดยไม่สนใจเขาเลยสักนิด

คราวนี้หูของสวี่จือร้อนขึ้นมาจริงๆ

“งั้นนาย…” สวี่จือแสร้งทำท่ากระแอมทีหนึ่ง หันหลังไม่มองโจวมู่ แล้วถามอ้อมแอ้มว่า “งั้นนายจะกินอะไรล่ะ”

“ได้หมดเลย” โจวมู่ตอบ

จากนั้นเขาก็เน้นย้ำอีกรอบหนึ่งโดยไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ว่า “หิวจัง ตั้งแต่เช้าก็…”

“เงียบนะ!” สวี่จือตัดบท ไม่ให้เขาพูดต่อ

หลังพูดจบก็เดินไปที่ร้านโจ๊กเจ้าประจำของตนอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าโจวมู่ตามมาหรือไม่

แต่สวี่จือยังคงได้ยิน โจวมู่ที่ตามมาด้านหลังคล้ายกับกำลังหัวเราะ

 

ร้านโจ๊กเปิดอยู่ในเขตชุมชน ใกล้กับยูนิตที่สวี่จืออาศัยอยู่มาก รสชาติก็ไม่เลวทีเดียว ที่นี่จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับการกินข้าวของสวี่จือ

เถ้าแก่ร้านโจ๊กเป็นชายวัยกลางคนที่ใจดีมาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่สวี่จือคุ้นหน้าคุ้นตาเพียงหนึ่งเดียวในเขตชุมชนแห่งนี้

อันที่จริงสวี่จือจำคนไม่ค่อยได้ แต่เถ้าแก่ร้านโจ๊กรูปร่างหน้าตามีเอกลักษณ์มาก บริเวณหางตาขวามีรอยปานสีเขียวขนาดเท่าเล็บมือ ด้วยเหตุนี้สวี่จือจึงจำหน้าตาของเถ้าแก่ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาร้าน

สวี่จือพาโจวมู่เดินเข้าไปในร้าน เถ้าแก่ถือที่คีบไม้กำลังคีบปาท่องโก๋ห่อให้ลูกค้า เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ผงกศีรษะให้อย่างสุภาพ

อาจเป็นเพราะสวี่จือพาคนแปลกหน้ามา เถ้าแก่จึงไม่ได้คุยเล่นกับเขาเหมือนอย่างเคย เพียงถามว่า “จะสั่งอะไรล่ะ”

“โจ๊กข้าวโอ๊ตชุดหนึ่ง เกี๊ยวกุ้งนึ่งชุดหนึ่ง” สวี่จือสั่งอาหารแล้วเสริมอีกว่า “ห่อกลับดีกว่าครับ”

“ขอโทษที” เถ้าแก่เช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนทีหนึ่งแล้วยิ้มให้สวี่จืออย่างขออภัย “ไม่มีเกี๊ยวนึ่งแล้ว”

สวี่จือนิ่งงันก่อนจะเอ่ยอย่างประนีประนอมว่า “งั้นเอาแค่โจ๊กก็ได้ครับ”

“เอาสองชุดครับ” จู่ๆ โจวมู่ก็ขยับมาข้างหน้า พูดกับเถ้าแก่ว่า “รบกวนคุณด้วยครับ”

จากนั้นหันไปมองสวี่จืออีกครั้งแล้วพูดตามตรงว่า “ชุดเดียวไม่พอหรอก”

“อา…” สวี่จือคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ เขากะพริบตาปริบๆ อย่างมึนงง บอกเถ้าแก่ว่า “งั้นก็สองชุดครับ”

พูดจบสวี่จือก็เริ่มไม่พอใจ โจวมู่หมายความว่าอะไร จะกินสองชุดพูดกับเขาก็พอแล้วนี่ ทำอย่างกับว่าเขาจงใจไม่ให้คนอื่นกินอิ่มอย่างนั้นแหละ

“ได้เลย” เถ้าแก่พยักหน้า พอห่อเสร็จก็ส่งให้พวกเขาอย่างคล่องแคล่ว และบอกให้กลับดีๆ ด้วยความสุภาพ

สวี่จือรับกล่องอาหารมาแล้วออกไปก่อนโดยไม่รอโจวมู่

เขาพาโจวมู่กลับบ้าน วันนี้อยู่ที่โรงพยาบาลของเวินซูเหยาทั้งวัน ไม่มีเวลาไปเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้สำหรับอีกคน เพราะฉะนั้นหลังจากเข้าประตูมาโจวมู่จึงยังคงเท้าเปล่าอยู่

สวี่จือเปิดไฟตรงโถงทางเข้า หยิบรองเท้าสลิปเปอร์ออกมาจากในตู้รองเท้า แล้วบอกโจวมู่ว่า “นี่เป็นของซูเหยา นายสวมก่อนเถอะ”

โจวมู่เตรียมจะสวมรองเท้าแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงัก จากนั้นก็ย่ำพื้นเท้าเปล่าต่อไป

“เป็นอะไรไป” สวี่จือเปลี่ยนรองเท้าแล้วยืดตัวขึ้นมาถามอีกฝ่าย

“นายบอกว่า…” โจวมู่ยืนยันกับสวี่จือ “นี่เป็นรองเท้าของหมอเวิน?”

“ถูกต้อง” สวี่จือพยักหน้า

“งั้นฉันไม่สวมแล้ว” ไม่รู้ว่าโจวมู่เป็นอะไรไปจึงไม่ยอมสวมรองเท้าของเวินซูเหยา เขาไม่รอให้สวี่จือได้พูดอีก เดินเข้าไปนั่งบนโซฟาในห้องเอง

สวี่จือมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง เนิ่นนานกว่าจะได้สติอย่างรู้ตัวช้า ดูเหมือนว่าตนเองจะถูกโจวมู่ชักสีหน้าใส่แล้ว

“นายไม่ชอบสวมก็ไม่ต้องสวม” สวี่จือกล่าว “ไม่สวมก็ดี”

เขาคิดในใจอย่างขุ่นเคือง บางทีพรุ่งนี้เช้าพอตื่นขึ้นมาโจวมู่มาทางไหนก็คงกลับไปทางนั้นแล้ว ใครจะสนว่าอีกฝ่ายจะสวมหรือไม่สวมรองเท้า

โจวมู่นั่งบนโซฟา หันมามองเขาแวบหนึ่ง ถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม “เป็นของหมอเวินจริงๆ เหรอ”

“ไม่ใช่ของเขาแล้วจะเป็นของนายหรือไง” สวี่จือหิ้วโจ๊กสองกล่องเดินเข้ามา ไม่สนใจเขาอีก

สวี่จือนั่งบนโซฟา หยิบเอาช้อนใช้แล้วทิ้งสีเหลืองอ่อนคันหนึ่งออกมาจากในถุงแล้วส่งให้โจวมู่

โจวมู่รับช้อนมาแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก หลุบตาลง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับกำลังแง่งอน

สวี่จือคิดว่าหากโจวมู่คนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริงมาโดยตลอดก็น่าจะเป็นคนประเภทที่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีใครทำให้เขาไม่พอใจ และไม่มีใครกล้ายั่วโมโหเขา

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าตอนนี้โจวมู่ดูน่าสงสารมาก

คิดถึงตรงนี้สวี่จือยังคงถามอีกฝ่ายว่า “ทำไมนายไม่สวมรองเท้าของซูเหยา”

“นายคิดว่าไงล่ะ” โจวมู่เงยหน้ามองเขา น้ำเสียงราวกับว่าเป็นเรื่องที่สวี่จือควรจะรู้อยู่แล้ว

“ใครจะสนนายว่าเพราะอะไร” สวี่จือบ่นงึมงำ แต่ยังคงพินิจมองอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้าโจวมู่ไม่วางตา พยายามหาเหตุผลให้เจอ

โจวมู่สบตากับเขาด้วยความใจเย็น ให้เขาได้มองอย่างเปิดเผย

สวี่จือมองโจวมู่ ความคิดที่ค่อนข้างไร้สาระอย่างหนึ่งค่อยๆ ก่อเกิดขึ้นมา

ในโลกของสัตว์ ลูกนกเกิดใหม่บางตัวจะผลักพี่น้องตัวอื่นๆ ออกจากรังเพราะหวงแม่ โจวมู่คงไม่ได้…

เกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของบ้าๆ อะไรกับเขาแล้วล่ะมั้ง

สวี่จือกะพริบตาพลางสั่นสะท้าน รู้สึกขยะแขยงกับความคิดเพ้อเจ้อของตนอยู่บ้าง จึงไม่ถามต่ออีก

“รีบกินสิ” สวี่จือเปลี่ยนเรื่อง

โจวมู่มองเขาโดยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ อยู่หลายวินาที จากนั้นก็พยักหน้า

สวี่จือ “…”

โจวมู่ราวกับขาดความอยากรู้อยากเห็นมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้ถามซักไซ้ต่อ แต่แกะฝาของกล่องโปร่งใสนั้นออก ส่งช้อนคันหนึ่งให้สวี่จือ

โจวมู่เมินเฉยต่อคำพูดครึ่งๆ กลางๆ ของสวี่จือไปโดยสิ้นเชิง

“นี่ นายไม่มีอะไรจะถามฉันเลยเหรอ” สวี่จือจ้องโจวมู่อย่างเหลือเชื่อ

“ไม่มีนะ” โจวมู่กินโจ๊ก “นายมีอะไรจะถามฉัน?”

สวี่จือถูกดักจนไปไม่เป็น ทั้งที่ประเด็นเมื่อครู่ยังไม่จบแท้ๆ

“รีบกินเถอะ” โจวมู่ดันกล่องอาหารไปทางสวี่จือ “เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”

สวี่จือไม่ใช่คนกินจุ ตอนบ่ายกินบะหมี่ของเวินซูเหยาไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยหิว บวกกับเขายังอยู่ในอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย จึงไม่ได้สนใจคำพูดของโจวมู่

โจวมู่หรี่ตา ราวกับจู่ๆ ก็นึกถึงอะไรขึ้นได้ เขาหยั่งเชิงถามสวี่จือ “นายกินมาแล้ว?”

สวี่จือกะพริบตา นึกถึงตอนที่ตัวเองกินอาหารคนเดียวลับหลังโจวมู่ก็พลันอ่อนลง ทว่ายังคงตะคอกอย่างปากแข็ง “ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง!”

“งั้นทำไมไม่กินล่ะ” โจวมู่ถาม

สวี่จือหันหน้าหนีไม่มองเขาอีก พูดพึมพำว่านายไม่ต้องยุ่ง

โจวมู่จึงไม่สนใจเขาอีก ตักโจ๊กเข้าปากช้อนหนึ่ง เคี้ยวอย่างเนิบช้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่พอใจอย่างยิ่ง “กินมาแล้วแน่เลย”

คราวนี้สวี่จือถูกน้ำเสียงที่ทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้านายของโจวมู่ทำให้โมโห เขามองอีกฝ่ายกินโจ๊กด้วยท่าทางผึ่งผายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ย้ายชามโจ๊กหนีอย่างวางอำนาจ

โจวมู่เงยหน้ามองเขา ใช้สายตาถามเขาว่าเป็นอะไรไป

“ใครอนุญาตให้นายพูดกับฉันแบบนี้” สวี่จือเอ่ย

สวี่จือถลึงตาใส่โจวมู่ แจกแจงกฎระเบียบที่เขาตั้งเอาเองฝ่ายเดียวให้อีกฝ่ายฟัง “นายพูดกับฉัน ท่าทีต้องเคารพกัน น้ำเสียงต้อง…”

“สวี่จือ” โจวมู่ขัดจังหวะสวี่จือ

“อะไร” สวี่จือถามกลับโดยอัตโนมัติ

จู่ๆ โจวมู่ก็วางช้อนแล้วขยับเข้ามาใกล้สวี่จือ เขาเหมือนไม่รู้จักมารยาททางสังคมอะไรนัก เข้ามาใกล้จนสวี่จือสามารถนับขนตาของเขาได้ในพริบตา

โจวมู่มองสวี่จือ เอ่ยอย่างเนิบช้า “ตาของนายเป็นประกายมาก”

โจวมู่เหมือนไม่รู้จักทักษะการสื่อสารอะไร เมื่อกี้ยังคุยกันเรื่องกินโจ๊กอยู่แท้ๆ จู่ๆ กลับพูดถึงรูปร่างหน้าตาของสวี่จือ

“มีใครเคยบอกนายไหมว่า…” โจวมู่กล่าวต่อ “นายหน้าตาดีมาก”

ขณะที่เขาพูดไอร้อนก็พ่นกระทบบนใบหน้าด้านข้างของสวี่จือ รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ลูกกระเดือกของสวี่จือขยับ แต่ตัวไม่ได้ผละออก

เมื่อรู้ตัวว่าโจวมู่กำลังพูดอะไรอยู่ สวี่จือจึงกัดลิ้นด้วยความประหม่าเล็กน้อย กล่าวโทษเขาอย่างแข็งนอกอ่อนใน “ทำไมนายเป็นคนแบบนี้เนี่ย!”

พูดก็พูดไปสิ เข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม!

โจวมู่ราวกับได้ยินความในใจของสวี่จือ จึงยกมุมปากหัวเราะออกมาทีหนึ่งแล้วผละออกไป “แบบไหนล่ะ”

สวี่จือรู้สึกว่าเวลานี้ตนเองเหมือนถูกตัณหาครอบงำจิตใจ สมองไม่ค่อยแจ่มชัด จึงไม่พูดจาอีก

“งั้นฉันจะพูดกับนายดีๆ นะ” โจวมู่ดึงกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งมารองบนโต๊ะแล้ววางช้อนลงไป เมื่อเอ่ยปากกลับเป็นการตอบคำถามก่อนหน้าของสวี่จือ

“ฉันไม่สวมรองเท้าของเวินซูเหยา” โจวมู่เอ่ย

“ทำไม” สวี่จือถาม

“ไม่ว่าอะไรก็ตามฉันยอมรับแค่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับสวี่จือเท่านั้น” น้ำเสียงของโจวมู่ดื้อดึงอย่างยิ่ง “ฉันรู้จักแค่สวี่จือ”

“คนอื่นฉันไม่ยอมรับ” โจวมู่เสริม

สีหน้าของเขามุ่งมั่นอย่างยิ่ง คำพูดเหมือนกับว่าโจวมู่ไว้วางใจและยอมรับสวี่จือแบบไม่มีข้อกังขา และมีความสมเหตุสมผลโดยธรรมชาติ

สวี่จือใจเต้นรัวเร็วในทันใด เขาหลบสายตาของโจวมู่ ก้มหน้าอย่างรวดเร็ว สงบสติอารมณ์ของตนเองอยู่ตลอด

“งั้นก่อนหน้านี้ล่ะ” สวี่จือถาม “ก่อนหน้านี้ นายเป็นใคร”

“ไม่ใช่ใครทั้งนั้น” โจวมู่กล่าว “ในฐานะที่เป็นตัวละครในนิยาย ชีวิตของฉันเริ่มต้นตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมาเห็นนาย”

เสียงของเขาทุ้มต่ำเล็กน้อย เอ่ยช้าๆ “ฉันเป็นแค่โจวมู่”

นี่เป็นคำพูดที่ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาได้อีก แต่ท่าทางตอนโจวมู่พูดนั้นจริงจังมาก ทำให้คำพูดเหล่านี้มีความหนักแน่นขึ้นมา

สวี่จือเงยหน้ามองเครื่องปรับอากาศส่วนกลางครู่หนึ่ง ไฟสีเขียวสว่างอยู่ แสดงว่าทำงานปกติ แต่เขากลับรู้สึกร้อนนิดหน่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ

เขาดันโจ๊กไปข้างหน้าโจวมู่ “นายนอนที่ห้องรับแขกแล้วกัน”

จากนั้นก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com