everY
ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 9-10 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก
ผู้เขียน : สือเอ้อร์ซาน (十二三)
แปลโดย : Lucky Luna
ผลงานเรื่อง : 心动文档 (Xin Dong Wen Dang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
Doc3 จูบได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อคืนสวี่จือบอกโจวมู่ว่าจะให้เขาย้ายออกหรือไม่ จึงทำให้โจวมู่เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่อถึงเวลาตีสามตรงขณะที่สวี่จือเตรียมจะนอนตามนาฬิกาชีวภาพของตนเอง โจวมู่ก็มาเคาะประตู
เขาใช้น้ำเสียงที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกล่าวถ้อยคำที่คนขี้ขลาดมากถึงจะพูด “ไฟห้องรับแขกเปิดไม่ติดแล้ว ฉันไม่กล้านอนคนเดียว”
สวี่จือพยายามโน้มน้าวเขา “ตอนฉันเขียนร่างคาแร็กเตอร์ นายไม่ใช่คนขี้ขลาดนะ”
ในความเป็นจริงการออกแบบคาแร็กเตอร์ต่างๆ มากมายที่เกี่ยวกับโจวมู่ล้วนถูกล้มล้างภายในเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน
เมื่อสวี่จือบอกโจวมู่ว่าเขาไม่ได้กลัวความมืด บนใบหน้าของโจวมู่ก็เผยความรู้สึก ‘นายพูดแรงขนาดนี้ได้ยังไงกัน’ ทำให้สวี่จือต้องทบทวนครู่หนึ่งว่าตนเองทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า
“ถ้าฉันนอนที่ห้องรับแขกคนเดียว…” เดิมทีโจวมู่ก็นั่งอยู่ใกล้มากแล้ว ขณะเอ่ยคำพูดนี้ก็ยิ่งเข้าใกล้สวี่จือมากขึ้น “นายไม่เป็นห่วงฉันเหรอ”
บนตัวเขาสวมชุดคลุมนอนที่สวี่จือหยิบให้ ขณะขยับตัวก็ส่งกลิ่นน้ำยาซักผ้าอ่อนๆ ออกมา
ซึ่งเหมือนกับของสวี่จือ
สวี่จือสติหลุดลอย
“ทำไมฉันต้องห่วงนายด้วย” มือของสวี่จือที่เท้าเตียงอยู่ขยับไปด้านข้าง ออกห่างจากกลิ่นที่ทำให้เขาประหม่าเล็กน้อย
“อืม…” โจวมู่ดูเหมือนครุ่นคิดอย่างจริงจัง และถามกลับทันทีว่า “ไม่เป็นห่วงเหรอ”
ที่หัวเตียงของสวี่จือมีโคมไฟตั้งพื้นแสงวอร์มไลต์แบบเดียวกับที่ห้องรับแขกตั้งอยู่ เสี้ยวหน้าด้านข้างของโจวมู่อยู่ในรัศมีแสงไฟ เผยให้เห็นสีหน้าจริงจังที่ทำให้สวี่จือใจอ่อน
สวี่จือยอมอ่อนข้อให้แล้ว ถึงอย่างไรการทิ้งตัวละครในนิยายคนหนึ่งไว้ที่ห้องรับแขกตามลำพังก็อาจจะเกิดปัญหาจริงๆ
สวี่จือลุกขึ้นยืนแล้วก้มมองโจวมู่ “ไปสิ”
โจวมู่แหงนหน้ามองสวี่จือ “หืม?”
สวี่จือมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แล้วเดินตรงออกไปข้างนอก “ไปย้ายโซฟาเข้ามา”
โจวมู่ “…”
ในบ้านหลังนี้สวี่จือถืออำนาจสั่งการสูงสุด ราวกับราชาที่สามารถบัญชาการได้ตามอำเภอใจอยู่ในปราสาทของตน
เขาตกลงที่จะให้โจวมู่เข้ามาในห้องบรรทมของราชา แต่ไม่อนุญาตให้นอนเตียงของเขา
ดังนั้นโจวมู่จึงต้องนอนบนโซฟาที่เขานอนมาแล้วหนึ่งคืนซึ่งถูกย้ายเข้ามาในห้องนอนของสวี่จือตัวนั้น
สวี่จือยังไม่เคยมีประสบการณ์นอนร่วมห้องกับคนอื่น แม้เขากับโจวมู่จะต่างคนต่างนอน แต่เสียงลมหายใจของอีกคนหนึ่งในเวลากลางคืนก็ทำให้ความรู้สึกของการมีตัวตนอยู่ชัดเจนมาก
นาฬิกาชีวภาพของสวี่จือและยานอนหลับที่เวินซูเหยาจ่ายให้ล้วนหมดฤทธิ์แล้ว เขานอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงหลายรอบ ไม่ง่วงเลยสักนิด
โจวมู่หายใจสม่ำเสมอ ดูท่าทางหลับไปแล้ว
สวี่จือนอนอยู่สักพักก็คิดจะไปทำงาน เขาลุกขึ้นอย่างเบามือเบาเท้า เดินเท้าเปล่ามาที่หน้าโซฟา คอยสังเกตโจวมู่โดยอาศัยไฟเรืองๆ ในห้องนอน
อาจเป็นเพราะเพิ่งมาเยือนใหม่ ประสบการณ์บนโลกยังไม่ลึกซึ้ง บนตัวโจวมู่มักมีความจริงจังบางอย่างที่ไม่เข้ากับวัย บางทีอาจเรียกได้ว่าไร้เดียงสาด้วยซ้ำ
เขาไม่เคยพูดจามีความหมายแอบแฝง มักพูดกับสวี่จือตรงๆ ‘สวี่จือ มีใครเคยบอกนายไหมว่านายหน้าตาดีมาก’ และก็จะพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง ‘สวี่จือ ฉันห่างจากนายไม่ได้หรอก’
แต่เขาก็เก่งในทักษะการใช้ชีวิตรอบด้านเหมือนผู้ชายอายุยี่สิบเจ็ดปีทุกคน
สวี่จือมองโจวมู่ ใจลอยไปชั่วขณะ
ในตอนนี้เองโจวมู่ก็ลืมตาขึ้นมา ทั้งสองสบตากันโดยไม่ทันตั้งตัว
สวี่จือตกใจ อุทานออกมาเบาๆ เซถลาไปข้างหลังหลายก้าว
โจวมู่ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือสวี่จือเอาไว้ในตอนที่เขากำลังจะลงไปนั่งกับพื้น
“เป็นอะไรไป” โจวมู่ประคองสวี่จือยืนให้มั่น ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยที่เขาไม่หลับไม่นอนมาแอบดูตนตอนกลางดึก “นอนไม่หลับเหรอ”
สวี่จือพยักหน้า พูดแต่งเรื่องขึ้นมามั่วๆ “นายกรน รบกวนฉันน่ะ”
โจวมู่ “…”
“สวี่จือ” โจวมู่หัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วพูดกับสวี่จือว่า “ฉันยังไม่หลับนะ”
ห้องนอนไม่ได้เปิดไฟ เมื่อพูดคุยกันในความมืดแม้แต่เสียงลมหายใจถี่กระชั้นก็ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน ราวกับว่าทั้งสองแนบชิดกระซิบกระซาบกัน มีความวาบหวิวอยู่รางๆ
สวี่จืออดเดาไม่ได้ว่าสีหน้าของโจวมู่ในเวลานี้เป็นอย่างไร เสียงฟังดูอ่อนโยนมาก ถ้าอย่างนั้นสีหน้าท่าทางจะอ่อนโยนเหมือนกันไหมนะ
สวี่จือตกใจกับการคาดเดาที่เพ้อเจ้อของตนเอง ก่อนจะเดินกลับไปนั่งตรงขอบเตียงโดยไม่มีเหตุผล
โจวมู่ลุกขึ้นจากโซฟา ย้ายไปนั่งข้างๆ สวี่จืออย่างเนิบช้า เสียงลมหายใจยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้น
“อยากให้ฉันอยู่คุยเป็นเพื่อนนายเหรอ” โจวมู่ถาม
โจวมู่เหมือนจงใจ อยู่ใกล้สวี่จือมากขณะที่พูด ในความมืดสวี่จือมองไม่เห็นว่าใกล้แค่ไหนกันแน่ แต่เขารู้สึกว่าขอแค่ตัวเองเอียงศีรษะเล็กน้อย ริมฝีปากของอีกฝ่ายก็คงจะปัดโดนใบหูของเขา
“ไม่ต้อง” สวี่จือปฏิเสธด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า สวี่จือรู้สึกว่าโจวมู่หายใจถี่ขึ้นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย
“นายกลับไปเถอะ” สวี่จือบอกพลางยื่นมือไปผลักโจวมู่ แต่กลับไม่ได้กะตำแหน่งให้ดี
เดิมทีเขาคิดจะผลักไหล่ของอีกฝ่าย แต่ตำแหน่งกลับต่ำลงไป
ชุดคลุมนอนของโจวมู่คอเสื้อกว้างมาก ซ้ำยังแบะออกไปด้านข้าง ดังนั้นมือของสวี่จือที่เย็นเล็กน้อยจึงกดไปโดนหน้าอกของเขาโดยตรง
สวี่จือคิดว่าถ้าตอนนี้เปิดไฟจะต้องเห็นท่าทางระเริงของโจวมู่แน่นอน
เขาใช้เวลาตอบสนองเพียงสองวินาทีก็เตรียมจะชักมือกลับ ทว่ากลับถูกโจวมู่คว้าปลายนิ้วไว้
“นายไม่ได้ห่มผ้า?” โจวมู่จับมือของสวี่จือมาบีบไว้ในมือแล้วถูสองที “ทำไมถึงเย็นขนาดนี้”
เวลาที่สวี่จือนอนจะติดอากาศเย็น จึงมักปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ต่ำมาก
“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย” สวี่จือเอ่ยเสียงเบาก่อนจะชักมือกลับ ไม่สนใจน้ำเสียงห่วงใยของเขา “นายรักษาระยะห่างกับฉันจะดีที่สุด”
เขากล่าวและเริ่มผลักไสโจวมู่อีกครั้ง “นายรีบกลับไปนอนซะ”
“ทำไม” โจวมู่ไม่ยอมไป ถามด้วยน้ำเสียงพาซื่อและสับสน “ทำไมต้องรักษาระยะห่างด้วย”
“ยังจะเพราะอะไรอีกล่ะ” สวี่จือว่า “รักษาระยะห่างเป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่หรอกเหรอ”
ตอนนี้โจวมู่เปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นคนที่ความอยากรู้อยากเห็นล้นเหลือ เขาต้องการให้สวี่จืออธิบายกับเขาให้ได้ ราวกับว่าหากสวี่จือไม่ให้คำตอบที่ตรงประเด็น เขาก็จะไม่ไปนอนอย่างว่าง่าย
สำหรับคำตอบของคำถามนี้สวี่จือคิดไว้หลายรูปแบบ เช่นว่า ‘นายอันตรายมาก’ ‘ฉันยังไม่เชื่อใจนายมากเท่าไหร่’
แต่สุดท้ายเขาก็ได้ยินตัวเองพูดออกไปว่า “ฉันชอบผู้ชาย”
“อ้อ” โจวมู่ตอบรับคำหนึ่ง ดูเหมือนไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย เขาถามสวี่จือว่า “งั้นฉันเข้าใจว่าฉันมีเสน่ห์ดึงดูดนายได้หรือเปล่า”
สวี่จือไม่ตอบคำถามนี้ เพียงเอ่ยด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิม “นายเป็นสิ่งที่ฉันเขียนออกมา”
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องพูดแบบนี้ เพียงรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง แต่ก็มีความคาดหวังที่ค่อนข้างเลือนราง เลือนรางเสียจนสวี่จือไม่แน่ใจว่าความคาดหวังนี้มีอยู่จริงหรือไม่
“ถ้านายต้องการล่ะก็” โจวมู่ทำลายความเงียบ ใช้น้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่าเป็นอารมณ์แบบไหนพูดกับสวี่จือว่า “ฉันได้”
สวี่จือใจเต้นผิดจังหวะไปจังหวะหนึ่ง
คำพูดนี้ของโจวมู่สองแง่สองง่าม สวี่จือไม่รู้ว่าสื่อถึงอะไรที่เฉพาะเจาะจง จึงเริ่มนึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้เปิดไฟ ไม่อย่างนั้นเขาคงสามารถตัดสินได้โดยการสังเกตสีหน้าของโจวมู่ไปแล้ว
“สวี่จือ?” โจวมู่เรียกเขา
“นายหมายความว่ายังไง” สวี่จือได้แต่ถามอีกฝ่าย “ได้อะไร”
“หมายความว่า…” โจวมู่ดึงมือของสวี่จือมาวางไว้บนบ่าตน “นายไม่จำเป็นต้องรักษาระยะห่างกับฉัน นายจะทำอะไรกับฉันก็ได้ทั้งนั้น ฉันยินดีมาก” โจวมู่กล่าว
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณตีสี่ เป็นช่วงเวลาที่คนเรามักสมองตื้อพอดี ว่ากันว่าเวลาคนเราตื่นไม่เต็มตาจะถูกความปรารถนาครอบงำร่างกายได้ง่าย
สวี่จือเองก็ตื่นไม่ค่อยเต็มตา เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนบนบ่าของโจวมู่ ขยับไปข้างหน้าเหมือนถูกมอมเมา
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองพลันใกล้กันจนปลายจมูกแทบจะชนกัน
โจวมู่รุกมาก เขาแนบหน้าผากกับสวี่จือ ปลายจมูกเสียดสีข้างแก้มสวี่จือ แล้วถามว่า “นายอยากจูบหรือว่ามีเซ็กซ์กับฉัน”
น้ำเสียงเป็นธรรมชาติราวกับเดิมทีพวกเขาทำแบบนี้กันมาตลอด
อวัยวะขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในอกของสวี่จือพุ่งชนสะเปะสะปะเหมือนกำลังจะทะลวงกรงซี่โครงออกมาข้างนอก
สวี่จือกลืนน้ำลาย เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “จูบสิ”
เพิ่งสิ้นเสียงโจวมู่ก็ขยับเข้ามาแล้ว
เขายื่นมือข้างหนึ่งไปที่ท้ายทอยของสวี่จือ มืออีกข้างบีบเบาๆ ที่ปลายคางอีกฝ่าย ริมฝีปากเคลื่อนที่อย่างเนิบช้าตั้งแต่ข้างแก้มของสวี่จือ จูบอันนุ่มนวลทว่าแห้งกร้านจรดลงมาสามครั้ง ที่ข้างแก้ม ปลายจมูก และมุมปากของสวี่จือ
ครั้งที่สี่ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน สวี่จือนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อตครั้งแรกสมัยเด็กๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ตอนเขาอายุเพียงแปดขวบ เพราะแม่บ้านละเลยเขาจึงเดินเท้าเปล่าไปเหยียบปลั๊กเครื่องซักผ้าที่ชุ่มน้ำ จำได้เพียงแค่ว่ากระแสไฟแล่นผ่านจากฝ่าเท้ามายังข้างเอว ชาหนึบยากจะทนไหว
หากไม่ใช่เพราะเวลานี้เขามีความสามารถในการไตร่ตรอง เขาคงสงสัยว่าเขากำลังประสบอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อตเป็นครั้งที่สองในชีวิต
อีกอย่างทั้งที่จุดที่สัมผัสกันครั้งนี้อยู่ตรงริมฝีปาก ทว่าความรู้สึกเสียวซ่านกลับเริ่มแผ่ลามมาจากหัวใจ ดังนั้นสวี่จือจึงแน่ใจว่าเขาไม่ได้ถูกไฟฟ้าช็อต
เขากำลังจูบกับโจวมู่
โจวมู่สัมผัสได้ว่าสวี่จือใจลอย จึงออกแรงกัดริมฝีปากล่างของเขาทีหนึ่ง “ตั้งใจหน่อยสิครับ”
สวี่จือเริ่มจูบกับโจวมู่ด้วยความตั้งใจ ปลายลิ้นของโจวมู่เหมือนปลาที่เริงร่า แหวกว่ายเข้าไปตามโพรงปากของสวี่จือ เกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นของสวี่จือกวัดแกว่งไปด้วยกัน
จูบนี้ต่อเนื่องกันนานอย่างยิ่ง นานจนสวี่จือหายใจไม่ออก โจวมู่ถึงได้ถอนปลายลิ้นออกมา
เขาดูดเม้มริมฝีปากล่างของสวี่จือครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยลมหายใจกระเส่า “ชอบไหม”
น้ำเสียงจริงจังราวกับกำลังถกปัญหาวิชาการที่เคร่งเครียดอะไรสักอย่าง
“ฉันชอบหรือไม่ชอบ…” สวี่จือเอ่ย “แล้วเกี่ยวอะไรด้วย”
โจวมู่หยุดการกระทำเล็มเลีย นิ้วโป้งเช็ดริมฝีปากสวี่จือเบาๆ ทีหนึ่ง “นายชอบฉันก็ต่อ ไม่ชอบฉันจะได้ปรับปรุง”
“ทำไม” สวี่จือถาม
ทำไมต้องปรับปรุงด้วย
“เพราะฉันมีตัวตนอยู่เพื่อนาย” โจวมู่เอ่ย “ทุกอย่างของฉันล้วนเป็นของนายโดยไม่ต้องมีเหตุผล”
สวี่จือกะพริบตาท่ามกลางความมืด เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ชอบสิ”
จากนั้นพวกเขาก็จูบกันต่อไป
‘Doc3 : วันที่ 13 กรกฎาคม สวี่จือแน่ใจแล้วว่าเขาประสบอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อตเป็นครั้งที่สองในชีวิต และฆาตกรคือโจวมู่’
Comments
