ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 9-10 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ไฟล์ข้อมูลของการตกหลุมรัก บทที่ 9-10 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 10

หลับลึก

 

นาฬิกาชีวภาพของสวี่จือรวนแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่รวนก็อาจจะไม่ใช่แค่นาฬิกาชีวภาพ

ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ไล่โจวมู่ลงจากเตียง พวกเขาต่างแลกจูบกันหลายครั้ง

สวี่จือรู้สึกว่าจูบของโจวมู่ราวกับฝนของสี่ฤดู

บางครั้งอ่อนโยนลึกซึ้ง บางครั้งราวกับสายธารทะลักไหลบ่าเข้าไปเต็มดวงใจของสวี่จือจนเปียกชุ่ม ทำให้ความรู้สึกเสียวซ่านเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตของสวี่จือไม่จางหายไป

ต่อมาเมื่อโจวมู่ยื่นมือเข้าไปในกางเกงของสวี่จือ สวี่จือก็รู้สึกว่าวินาทีต่อไปตนเองกำลังจะตายแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาทำถึงแค่ตรงนี้

ความรู้สึกตื่นเต้นขณะจูบกับโจวมู่และความวิตกกังวลตอนเจอโจวมู่ครั้งแรกนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาถูกโจวมู่จูบ ราวกับเท้าเปล่าเปลือยเหยียบบนเมฆ ไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว ทว่าทำให้คนเสพติดอย่างยิ่ง

 

ยานอนหลับของเวินซูเหยาออกฤทธิ์ในตอนตีห้า สวี่จือซุกหลับอยู่ในอ้อมกอดของโจวมู่อย่างสับสนเป็นเวลานาน

และฝันแปลกไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สวี่จือที่อยู่ในความฝันไม่ได้อายุยี่สิบหกปี ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี

ในปีนั้นครอบครัวได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ พ่อแม่เขามีน้องชายให้เขา

ตอนที่น้องชายของเขาเพิ่งคลอดออกมาก็ได้รับคำทำนายจากปรมาจารย์ว่าจะเป็นใหญ่ในภายภาคหน้าเพราะร้องไห้เสียงดังกังวานเป็นพิเศษ

สิ่งที่เสียดแทงใจอยู่บ้างคือสวี่จือพักการเรียนอยู่ที่บ้านเพราะโรควิตกกังวลที่ทำอย่างไรก็รักษาไม่หายนั้นพอดี

สวี่จือตอนวัยรุ่นไม่ได้ต่างอะไรกับในตอนนี้ ตั้งแต่เด็กก็มีเพื่อนไม่กี่คน คนที่เข้ากันได้ดีเพียงหนึ่งเดียวคือเวินซูเหยาที่อยู่ข้างบ้าน

แต่ตอนนั้นเวินซูเหยาเพิ่งขึ้นมัธยมปลายปีที่สาม ดูเหมือนกำลังเตรียมตัวจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ง่วนอยู่กับการเรียนทั้งวัน มักขลุกอยู่แต่ในห้องไม่ออกมา

สวี่จือรู้ตัวว่าไม่ได้กลัวความโดดเดี่ยวสักเท่าไหร่ แต่เขาลืมไปแล้วว่าทำไมวันนั้นถึงได้ไปหาเวินซูเหยา

สวี่จือเดาว่าอาจเป็นเพราะเห็นว่าที่หน้าประตูบ้านของเวินซูเหยามีจักรยานเสือภูเขาที่เขาไม่เคยเห็นจอดอยู่คันหนึ่ง

บ้านของสวี่จืออยู่ข้างบ้านตระกูลเวิน พ่อแม่ของทั้งสองสนิทสนมกัน จึงรวมพื้นที่ว่างสองผืนหน้าบ้านเข้าด้วยกันแล้วสร้างแปลงดอกไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่แปลงหนึ่ง เหลือเพียงถนนแคบๆ สายหนึ่งไว้ตรงกลาง

เวินซูเหยาอยู่ชั้นสอง ส่วนสวี่จือวิ่งมาที่ถนนแคบๆ สายนั้น หันหน้าเข้าหาชั้นสองและร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง

สวี่จือตะโกนไปสามครั้งกว่าประตูระเบียงชั้นสองจะเปิดออก

พ่อของเวินซูเหยาเป็นสถาปนิก การออกแบบสถาปัตยกรรมและการจับคู่สีของบ้านเข้าขั้นละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนแม่ของเขาเป็นจิตรกรแนวนามธรรม* ด้วยเหตุนี้สไตล์การออกแบบโดยรวมของบ้านตระกูลเวินจึงผสมผสานกันหลากหลาย

ราวระเบียงชั้นสองเป็นเสาแบบโรมันสีขาวที่เรียบง่าย บนผนังใช้สีน้ำเงินเข้มและสีฟ้าอ่อนเป็นพื้น วาดดอกทานตะวันที่ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างเต็มผนัง

เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เวินซูเหยาเปิดประตูระเบียงชั้นสอง สวี่จือก็จะบอกว่าเขาเหมือนเพิ่งกลับมาจากทำไร่ทานตะวันเสร็จ

แต่คนที่เปิดประตูออกมาครั้งนี้กลับไม่ใช่เวินซูเหยา

เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเปิดประตูเดินออกมา เขามองสวี่จืออยู่หลายที ก่อนจะตะโกนเข้าไปในห้องด้วยเสียงที่ค่อนข้างทุ้มต่ำ “เด็กข้างบ้านมาหานายน่ะ”

ในความทรงจำนี่เป็นเพียงครั้งเดียวที่สวี่จือรู้สึกไม่พอใจเวินซูเหยา

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเวินซูเหยาต้องเรียกคนอื่นมาเล่นที่บ้านทั้งที่พวกเขาสองคนสนิทกันดี

ต่อมาเขาก็เกิดนึกถึงขึ้นมาอีกครั้งว่าตั้งแต่เด็กจนโตเขาเป็นคนที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเสมอ เพื่อนเล่นของเขามักอยู่ไม่นานแล้วก็ไปจากเขา

เขาคิดว่าเวินซูเหยาก็คงเหมือนกัน เขาเองก็ไม่อยากเล่นกับเวินซูเหยาแล้ว

แต่บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าตนเองถูกทิ้งอีกครั้ง เขายังคงรอจนกว่าเวินซูเหยาจะออกมาอย่างคนไม่เอาไหน

ไม่นานเวินซูเหยาก็ออกมา เขายืนติดกับผู้ชายคนนั้น ฟุบกับราวระเบียงแล้วตะโกนลงมาหาสวี่จือ “เสี่ยวจือ ขึ้นมาสิ!”

สวี่จือจ้องมองคนทั้งสองที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างตะลึงงัน อยากเดินสะบัดหนีด้วยความแง่งอน แต่กลับยังตัดใจไม่ได้ จึงเดินเข้าไปจากทางประตูใหญ่

เวินซูเหยาลงมาแล้ว กำลังรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขก พอเห็นเขาเข้ามาก็ถามว่า “ทำการบ้านที่ครูสอนพิเศษสั่งเสร็จแล้วเหรอถึงเอาแต่เที่ยวเล่น”

แน่นอนว่าสวี่จือไม่ได้ทำ เพราะไม่มีใครสนใจว่าเขาจะทำหรือไม่

แต่เวินซูเหยามักพูดกับเขาว่าถ้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ก็จำเป็นต้องทำการบ้าน

พอคิดถึงคนแปลกหน้าคนนั้นที่อยู่ชั้นบนแล้ว สวี่จือจึงไม่ได้บอกกับเวินซูเหยาว่าไม่อยากทำเหมือนอย่างเคย เขาเอ่ยว่า “เดี๋ยวจะกลับไปทำ”

เวินซูเหยาเป็นลูกบ้านอื่น* มาตั้งแต่เด็ก เรียนดี หน้าตาโดดเด่น นิสัยดีมาก รอบตัวมักมีเพื่อนอยู่เสมอ

และเป็นเพื่อนที่มีคุณภาพมากๆ แน่นอน ยกเว้นสวี่จือ

แต่สิ่งที่เขาได้ไม่เคยขาดเลยก็คือความโกรธของพวกเด็กๆ ที่มาจากทุกสารทิศ

ในจำนวนนั้นก็มีสวี่จือด้วยส่วนหนึ่ง

ในฐานะที่เป็นเด็กซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับ ‘ลูกบ้านอื่น’ มากที่สุด สวี่จือจึงใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของเวินซูเหยามาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเวินซูเหยาดีต่อสวี่จือมาก เกรงว่าสวี่จือคงตัดขาดกับเวินซูเหยาตั้งแต่ตอนสามขวบไปแล้ว

ปีนั้นสวี่จืออายุสามขวบ ส่วนเวินซูเหยาที่อายุสี่ขวบก็โด่งดังในแวดวงผู้ปกครองโรงเรียนอนุบาลด้วยภาพวาดเด็กน้อยที่มาตรฐานสูงลิบแล้ว

แม้สวี่จือจะคิดว่าเขาวาดเขียนไปมั่วๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่ถูกยกออกมาเปรียบเทียบกับเวินซูเหยา เขาก็ดีใจอยู่ดี

เพราะตอนนั้นเขายังเป็นเด็กที่สุขภาพแข็งแรง และพ่อแม่ของเขาก็เหมือนกับพ่อแม่ครอบครัวปกติทั่วไปที่คาดหวังว่าเขาจะสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ในอนาคต

“คนนั้นใครเหรอ” สวี่จือประคองโคล่าเย็นๆ กระป๋องหนึ่งไว้ในมือ ท่าทีไม่พอใจ ต้องการให้เวินซูเหยาอธิบายเกี่ยวกับเจ้าตัวน่ารำคาญข้างบนที่ยึดตัวเวินซูเหยาเอาไว้คนนั้น

“เพื่อนร่วมชั้นของฉันเอง” เวินซูเหยามองขึ้นไปชั้นบนแวบหนึ่ง “อยู่ทีมแข่งเดียวกับฉัน เขามาหาฉันเพื่อคุยเรื่องโจทย์ปัญหากัน”

“อ้อ” สวี่จือเอ่ย

เวินซูเหยาหยิบโคล่าไปจากมือเขา เปลี่ยนเป็นน้ำแตงโมที่เติมน้ำแข็งให้เขาแทน “ต้องแนะนำให้พวกนายรู้จักกันไหม”

“ไม่ต้องหรอก” สวี่จือปฏิเสธ

เขานั่งขัดสมาธิบนโซฟา ถามเวินซูเหยาว่า “งั้นพวกนายคุยกันเสร็จหรือยัง”

“ยังเหลืออีกนิดหน่อย” เวินซูเหยาไม่ปิดบังเขา “นายจะตามฉันขึ้นไปไหม”

“ไม่ไป” สวี่จือคว้าหมอนอิงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งมากอด แสร้งทำท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ “นายขึ้นไปก่อนเถอะ คุยกันเสร็จแล้วค่อยเรียกฉัน”

เวินซูเหยาพยักหน้า บอกสวี่จือว่าอย่างมากที่สุดอีกสิบนาทีเขาก็จะลงมา

สวี่จือพยักหน้าอย่างดูเหมือนไม่ใส่ใจ ปล่อยให้เขาขึ้นไปข้างบน

เวินซูเหยาเพิ่งขึ้นไป สวี่จือก็เริ่มจ้องนาฬิกาแขวนในห้องรับแขก พอครบสิบนาทีเขาก็จ้องไปที่บันไดอย่างอดรนทนไม่ไหว เหมือนกับว่าถ้าเกินสิบนาทีเมื่อไหร่ก็แสดงว่าเวินซูเหยาไม่มาเล่นกับเขาแล้วจริงๆ

แต่หลังจากสิบนาทีผ่านไปเวินซูเหยากลับไม่ได้ลงมา

สวี่จือเป็นคนที่ไม่ได้มีความอดทนอะไรนัก เขาเดาได้คร่าวๆ ว่าเวินซูเหยาคงเจอโจทย์ที่หินมาก แต่ก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อยู่ดี

เขารอมาสิบห้านาทีแล้ว แต่เวินซูเหยาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลงมา เขาจึงออกจากประตูแล้วเลี้ยวขวากลับบ้านตัวเอง

แม้ในบ้านจะไม่มีใครเลยสักคน แต่ก็ยังดีกว่าต้องรอคนที่อาจจะไม่อยากเล่นกับเขาแล้วอยู่ที่ชั้นล่าง

เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองรออยู่ในบ้านนานแค่ไหน และลืมไปแล้วว่าหลังจากนั้นเวินซูเหยามาหาเขาหรือไม่ แต่หลังจากนั้นพอเปลี่ยนฉาก เขาก็เริ่มฝันถึงอย่างอื่นแล้ว

ยังคงเป็นความฝันที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง

ตอนนั้นแม้ว่าเขาจะพักการเรียน แต่การเรียนก็ไม่ได้ตก สอบติดมหาวิทยาลัยที่อยู่ในอันดับไม่เลวเลย และอยู่ในเมืองนี้เอง

ในความฝันเขาได้รับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เพิ่งผ่านวันเกิดอายุสิบเก้าปี เหลียงย่าชิงแม่ของเขาก็มาคุยกับเขา

ประเด็นหลักคือเพื่อให้เขาไปเรียนได้สะดวก จึงช่วยซื้ออพาร์ตเมนต์ตกแต่งพร้อมอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยให้เขา เฟอร์นิเจอร์ครบครัน สามารถเข้าพักได้ทุกเมื่อ

ตอนนั้นอันที่จริงเขาเองก็คิดไว้ว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยก็จะย้ายออกไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเหลียงย่าชิงจะรีบร้อนกว่าเขาเสียอีก

เขาอยากบอกไปตรงๆ ว่าเขาดูห้องเองไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้วและจะย้ายออกไปเร็วๆ นี้ แต่เขากลับไม่พูดออกไป

เขาถามอย่างเกรี้ยวกราด “เฝ้ารอให้ผมไปขนาดนี้เชียวเหรอ”

เหลียงย่าชิงตกอกตกใจราวกับถูกเปิดโปงกะทันหัน แต่กลับยังคงกัดฟันพูดว่า “น้องชายลูกเพิ่งอายุสองขวบ ลูก…”

“รู้แล้ว” สวี่จือตัดบทเธอ ไม่ให้เธอได้พูดจบ “ผมจะไปเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้แหละ”

ถึงตอนนั้นเหลียงย่าชิงจะไม่ได้พูดประโยคนั้นจนจบ แต่สวี่จือก็รู้ว่าเธอจะพูดอะไร

เหลียงย่าชิงมีวุฒิภาวะมาก ไม่มีทางที่คำว่า ‘โรคประสาท’ สามพยางค์นี้จะออกจากปากมากระทบจิตใจสวี่จือตรงๆ แต่เธอจะพูดเรื่องนี้อย่างอ้อมค้อมแทน

เธออาจจะพูดว่า ‘น้องชายลูกเพิ่งอายุสองขวบ ลูกอยู่ด้วยกันกับเขา เขาอาจจะได้รับผลกระทบ’

หลังสวี่จือย้ายออกจากบ้านตั้งแต่อายุสิบเก้า เขาก็ไม่เคยพักอาศัยอยู่กับคนอื่นอีกเลย

นี่จึงเป็นครั้งแรก โจวมู่ผู้ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ประหลาดเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา แถมอาศัยอยู่ในบ้านเขาไม่ถึงสองวันก็ถึงกับได้หลับในห้องนอนของเขา บนเตียงของเขา

เวินซูเหยาเคยบอกว่าการอยู่ในสภาวะหลับลึกจะไม่ฝัน

แต่สวี่จือฝันติดต่อกันมาสองคืนแล้ว ไม่ถูกทอดทิ้งก็ถูกทอดทิ้ง ด้วยเหตุนี้สวี่จือจึงวินิจฉัยไปว่าตนเองนอนหลับไม่สนิท

ส่วนที่ว่าทำไมถึงหลับไม่สนิท สวี่จืออนุมานโดยผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว และก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าน่าจะเป็นเพราะโจวมู่จูบเขานานเกินไป

นานเสียจนสวี่จือรู้สึกว่าถ้าโจวมู่อยู่ข้างกายเขาตลอด บางทีการหลับลึกก็อาจจะทำได้ง่ายมาก

 

* ศิลปะแนวนามธรรม คือศิลปะที่ไม่มุ่งเน้นการแสดงภาพของสิ่งที่เหมือนจริงในธรรมชาติหรือสิ่งรอบตัว แต่จะเน้นการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินผ่านการใช้สี เส้น รูปทรง และองค์ประกอบทางศิลปะอื่นๆ

* ลูกบ้านอื่น เป็นคำที่เปรียบเปรยถึงเด็กที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมโดดเด่น

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 1-2

บทที่ 1 เสียงเคาะระฆังบอกโมงยามดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอันคุ้นเคยเตือนให้คนเก่าคนแก่ในวังตระหนักได้ว่าเพลานี้เป็น...

ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ข้าจะรักท่านให้มาก บทที่ 1-2

บทที่ 1 ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน สานวาสนากับท่านอาของอดีตคู่หมั้น บทที่ 1-2

บทที่ 1 เวลาเช้าตรู่กู้เจี้ยนหลีรออยู่หน้าโรงจำนำเป็นเวลานานมากแล้ว ในมือของนางกำปิ่นรูปผีเสื้อคู่ประดับพู่ระย้าไว้อันหน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 3-4

บทที่ 3 เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ช...

community.jamsai.com