everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ลู่เหยียนเหยียบเนินที่ก่อตัวขึ้นมาจากก้อนหินระเกะระกะตรงปากซอยแล้วย่อตัวลง มองแผ่นกระดาษกับใบปลิวที่ติดเต็มประตูร้านอยู่ห่างๆ
ด้านบนติดคำว่า ‘ลายสัก’ แบบส่งๆ ตัวอักษรโย้เย้ ตรงคำว่าลายสักนี้ยังมีคำโฆษณาสั้นกระชับอีกสองสามประโยคว่า ‘ลดราคา หัวละ 40% สองหัวลด 50%’
ไม่มีบริการพิเศษ
บรรทัดที่มีตัวอักษรขนาดใหญ่สุดเขียนว่า ‘ยินดีต้อนรับขาไพ่มาเรียนรู้ทักษะการเล่นไพ่กัน’
เขาไม่สนใจว่าที่นี่จริงๆ แล้วจะเป็นบ่อนไพ่หรือร้านตัดผม แต่สรุปได้ว่าราคาสระไดร์ของที่นี่ลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์อย่างที่หลี่เจิ้นบอก แต่มีข้อแม้ว่าราคาลดนี้ห้ามทำเกินสามคน
พอหาร้านตัดผมเจอ หลี่เจิ้นก็ส่งข้อความมาให้เขาไม่ต่ำกว่าสิบข้อความ
[หลี่เจิ้น] คุณพี่เหยียนครับ หาร้านเจอหรือยัง
[หลี่เจิ้น] ฉันแชร์โลเกชั่นของร้านไว้ในกรุ๊ปแล้วนะ ถ้าหาไม่เจอก็ไปดูได้
[หลี่เจิ้น] อย่าไปเชื่อเซ้นส์เรื่องทิศทางพิสดารของนาย รวมไปถึงสัมผัสที่หกล่ะ
[หลี่เจิ้น] ถึงหรือยัง
[หลี่เจิ้น] ถึงยัง
ลู่เหยียนดีดเถ้าบุหรี่แล้วตอบกลับหนึ่งบรรทัด
[ลู่เหยียน] ถึงแล้ว เพี้ยนเอาเรื่อง
ไม่ใช่แค่เพี้ยนอย่างเดียว แต่แผนการนี้มันชวนให้รู้สึกไม่มั่นใจเอามากๆ เพราะก้อนหินไม่รู้ที่มาซึ่งเขากำลังเหยียบอยู่ตอนนี้กองนี้อาจจะเป็นขยะที่เหลือจากงานก่อสร้างที่ไหนสักแห่ง
มองจากไกลๆ เหมือนละแวกนี้จะมีปล่องไฟโรงงานที่กำลังพ่นควันออกมาหลายสาย
ควันพิษลอยออกมาไม่หยุด ทำเอาท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึนไปครึ่งผืน
ลู่เหยียนเอาบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งตัวมาคาบไว้ในปากแล้วอัดควันหนึ่งครั้ง ในสมองมีคำพูดของเจ้าของผับดังวนเวียนอยู่ ‘ฉันมีคำขอกับข้อเสนอแนะเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการแสดงของพวกนายครั้งนี้…’
คำขอเล็กๆ
ข้อเสนอแนะ
เขามีความรู้สึกว่าพอตัวเองมานั่งยองๆ อยู่ที่นี่แล้ว มันทำเอาแทบลุกไม่ขึ้นจริงๆ
ลู่เหยียนนั่งยองอยู่ครู่หนึ่งก่อนทิ้งบุหรี่ลงพื้น ใช้ปลายเท้าขยี้ดับก้นบุหรี่ แล้วเดินลงจากกองหินไป
ร้านตัดผมเบื้องหน้ามีขนาดเล็กอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยมีเนื้อที่แค่ครึ่งเดียวของหน้าร้าน ส่วนอีกครึ่งฝืนใช้ไม้กระดานกั้นไว้ โต๊ะที่ใช้เล่นไพ่ยังกว้างกว่าพื้นที่สำหรับตัดผมเสียอีก
ตอนลู่เหยียนก้มหน้าเดินเข้าไป คนที่โต๊ะข้างในกำลังพูดเกทับกัน “สองรอบ”
“สามเอาหนึ่ง”
“แม่มันสิ จ๊าก!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาด้านใน “ช่างครับ ทำผม”
ดูท่าคนกลุ่มนี้จะเคยเจอเรื่องที่ทำให้ต้องแยกวงอย่างกะทันหันกันมาไม่น้อยแล้ว เพียงไม่ถึงสามนาทีก็เผ่นหนีกันชนิดไม่เห็นเงา
เหลือแค่พี่ชายเจ้าของร้านที่ย้อมผมทอง บนลอนยุ่งๆ ยังมีโรลพลาสติกสองอันม้วนติดอยู่
“คุณมาได้จังหวะพอดีเลย ขืนเล่นต่อได้แพ้แน่” เจ้าของร้านเก็บไพ่ขึ้น แล้วยืนพิงผนัง พูดภาษาถิ่นเสียงเข้มว่า “ช่วงนี้มือตกฉิบหาย…”
เจ้าของร้านพูดพลางแอบมองไปทางประตูแวบหนึ่งเพื่อพิจารณารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายตามความเคยชินของอาชีพ
ภาพลักษณ์แรกคือความร้าย
บอกไม่ถูกว่าร้ายตรงไหน แต่ทั่วทั้งตัวมีกลิ่นอายความร้ายกระจายออกมา
คนที่เข้ามาทางประตูสวมเสื้อยืดสกรีนลายภาษาอังกฤษ ตรงหางคิ้วที่ตวัดเฉียงขึ้นมีหมุดคิ้วสองตัว ลักษณะไม่เหมือนคนทั่วไป ถึงบนหูจะไม่มีอะไร แต่ก็เห็นรูเจาะเป็นแถวถี่ยิบ ซึ่งอยู่ตามแนวกระดูกหูถึงเจ็ดแปดรู
ขายาวตรง ผมยาวมาก
เนื่องจากเขายืนย้อนแสงจึงทำให้มองเห็นหน้าไม่ค่อยชัด ข้างหลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ทรงยาวสีดำ
ลู่เหยียนวางกระเป๋ากีตาร์ลง ประโยคแรกที่พูดดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาอย่างยิ่ง ชายหนุ่มต่อราคาเอาดื้อๆ ว่า “ไม่เป็นไร แค่คิดราคาให้ผมถูกหน่อยก็พอ”
เจ้าของร้านเป็นคนร่าเริงดีเหมือนกัน “ได้สิ อยากทำทรงอะไร”
“เดี๋ยวนะ ขอผมหารูปก่อน” ลู่เหยียนก้มหน้าสไลด์หาข้อความในแชต ปัดขึ้นไปหลายอัน “ทรงตามนี้”
“นี่ผมไม่ได้โม้นะ แต่ไม่มีทางหาช่างฝีมือดีในละแวกนี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะทรงอะไรผมก็ทำให้คุณได้แบบเป๊ะๆ เลย”
เจ้าของร้านยอตัวเองจนติดลมมากขึ้นเรื่อยๆ “ขอผมดูหน่อย รับประกันว่าตัดออกมาเหมือนเด๊ะ…”
พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ ลู่เหยียนก็ค้นรูปออกมาได้พอดี
เสียงของเจ้าของร้านหายไปทันควัน
ผมทรงนั้นกระแทกสายตาอย่างรุนแรง
ทั้งแดง ทั้งม่วง ไล่เลเยอร์หลายชั้น มีหน้าม้าปิดตา ทั้งที่ผมครึ่งหัวยังตั้งเด่อย่างบ้าคลั่งเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่บนหัว เส้นผมที่ดูพิลึกกึกกือทุกเส้นล้วนแสดงให้เห็นถึงออร่าของนายแบบในรูป…แนวพั้งก์ร็อก
ผมทรงนี้ของลู่เหยียนใช้เวลาทำกว่าสี่ชั่วโมง กว่าจะเดินออกจากร้าน ฟ้าก็มืดแล้ว
หมดสเปรย์จัดแต่งทรงผมไปสองกระป๋อง แถมยังต้องไดร์ผมจนปวดหัวอีก
ตอนนี้ในหัวเขามีเพลงหนึ่งดังวนไม่ยอมหยุด พั้งก์ พั้งก์ สระตัด สระตัด เป่าวู้ๆ
ลู่เหยียนได้กลิ่นแสบจมูกของน้ำยาย้อมผม เขาเปิดกล้องหน้ามือถือ อาศัยแสงจากบาร์เบอร์โพลสามสีเขากวาดตามองเร็วๆ แล้วอดสบถด่าคำหยาบเบาๆ หนึ่งประโยคไม่ได้
เมื่อภาพตัวอย่างกลายมาเป็นความจริง ผลงานที่อยู่บนหัวของเขาน่าตกใจกว่าที่จินตนาการเอาไว้เยอะ
นี่มันอะไร
นี่เขากำลังทำบ้าอะไร
การเดินบนถนนมันต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนบ้าที่โดดเด่นที่สุดบนถนนงั้นเหรอ
ลู่เหยียนจ้องมองตัวเองในกล้อง ก่อนจะกดปุ่มเปิดล็อกหน้าจอเพื่อปิดหน้าจอ
บาร์เบอร์โพลสามสีหมุนติ้ว
ข้างๆ นั้นมีลำโพงขนาดใหญ่ มีเสียงดังออกมาจากชิ้นส่วนเก่าๆ เป็นเสียงซ่าๆ ซึ่งเพลงที่เปิดนั้นเป็นเพลงเก่า [ขอโทษที่ฉันไม่ยอมเชื่อฟัง มีเสรี เป็นอิสระ]* ลำโพงขนาดใหญ่ร้องไปได้ครึ่งเพลง จอมือถือที่เพิ่งจะดับลงไปก็พลันสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
[หลี่เจิ้น] ทำผมเสร็จแล้วหรือยัง
[หลี่เจิ้น] ทำจริงอะ?
[หลี่เจิ้น] ไหนตอนอยู่ต่อหน้าพี่เฉียนบอกว่าต่อให้ตีให้ตายก็ไม่ยอมทำ ใครจะไปหาวงใหม่ก็เอาเลย ไม่ว่ายังไงเหล่าจือ** ก็ไม่ยอมทำไม่ใช่เหรอ
[หลี่เจิ้น] นายนี่มันยืดได้หดได้จริงๆ
[หลี่เจิ้น] ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน คืนนี้ที่ผับไม่มีงาน พี่เฉียนให้ฉันบอกนายว่าให้เลื่อนการแสดงไปเป็นคืนพรุ่งนี้ นายก็เก็บทรงผมตอนนี้ไว้ให้ดีๆ ล่ะ
[หลี่เจิ้น] หรือไม่นายหามุมดีๆ เซลฟี่มาให้พวกพี่ๆ ดูสักรูปได้ปะ
ลู่เหยียนขี้เกียจพิมพ์เลยส่งข้อความเสียงไปหนึ่งข้อความ รู้สึกโกรธจนขำ “ฉันยังต้องเก็บทรงผมไว้?”
พอพูดจบ เขาก็ปล่อยมือ
หลังคิดทบทวนแล้ว ลู่เหยียนก็กดปุ่มข้อความเสียงอีกครั้ง
“ถ่ายบ้าอะไร” ลู่เหยียนบอก “ตอนนี้เหล่าจืออารมณ์ไม่ดีเบอร์สุด”
หลายปีมานี้เขาตั้งวงดนตรีขึ้นมาหนึ่งวง งานหลักคือการเล่นประจำที่ผับ
วันนั้นตอนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ในผับ เขาบอกปัดซุนเฉียนไปอย่างสิ้นเยื่อขาดใยจริงๆ
เรื่องแบบนี้ใครทำคนนั้นบ้า
แต่บางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องยอมก้มศีรษะเพื่อความอยู่รอด
ลู่เหยียนยัดมือถือใส่กระเป๋า เดินออกไปสองก้าว ลำโพงก็ส่งเสียงมาอีกว่า [วิ่งไล่ตามท่ามกลางสายลม…ท่ามกลางสายหมอก มองไม่เห็นเงา…]
ลู่เหยียนฟังเพลงแล้วนึกย้อนไปถึงสายตาของเจ้าของร้านทำผมตอนที่เขาเดินออกจากร้าน สายตานั้นบอกชัดว่าหน้าก็ตาดี ทำไมถึงมีรสนิยมแปลกๆ
พื้นที่บริเวณนี้อยู่ใกล้กับที่อยู่ของเขามาก ใช้เวลาเดินแค่สิบกว่านาทีก็ถึง
เพราะอยู่ใกล้กัน สภาพแวดล้อมจึงไม่ต่างกันมากนักคือมีดัชนีชี้วัดความเจริญในระดับต่ำเตี้ยเหมือนกัน ทั้งแบบก่อสร้างที่ดูงงๆ รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยที่ไม่เอาอ่าว
ร้านที่เปิดอยู่ตามข้างทางก็เหมือนเปิดกันเล่นๆ
ร้านอาหารหลายร้านแทบจะเขียนว่าไม่ได้จดทะเบียนการค้า อาหารไม่ถูกสุขอนามัย ถ้าไม่กลัวเจอน้ำมันด้อยคุณภาพก็มาได้เลย
ส่วนร้านอินเตอร์เน็ตยิ่งแล้วใหญ่ เหลือแค่ยังไม่ได้แขวนป้ายบอกว่าตัวเองเป็นร้านอินเตอร์เน็ตเถื่อนก็เท่านั้น
แน่นอนว่าที่นี่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เนื่องจากปีที่แล้วมันเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่หลักในการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบซึ่งมีการถ่ายโอนและซื้อขายประจำปี 2018…กฎข้อแรกของการมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองซย่าจิงคือถ้าเจอคนจากเขตซย่าเฉิงให้เดินอ้อมคนที่มาจากเขตนี้ไปได้เลย เนื่องจากแปดในสิบนั้นย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
คิดอะไรย่อมได้แบบนั้น
ลู่เหยียนเพิ่งจะเดินผ่านถนนสายอาหารมาถึงละแวกปากทางเข้าคอนโดฯ ก็เห็นว่าใต้แสงไฟริมทางห่างออกไปห้าเมตรมีคนสองคนนั่งอยู่
ท้องฟ้ามืดสนิท แสงไฟริมทางเลยทำให้เงาของทั้งคู่ดูยืดยาว
หนึ่งในนั้นตบไหล่อีกคน
“น้องชาย ฉันรู้ว่าการเลี้ยงลูกคนเดียวมันไม่ง่าย ฉันก็เลิกกับเมียและเอาลูกมาเลี้ยงเหมือนกัน มันเหนื่อยหน่อยแหละ แต่พวกเราเป็นผู้ชาย มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทุกครั้งที่กลับถึงบ้านไปเห็นท่าทางตอนนอนของลูก ฉันก็รู้สึกได้ถึงคำคำหนึ่งก็คือคุ้มค่า! ไอ้ความเหนื่อยยากทั้งหลายนี่มันคุ้มค่าแล้ว…”
ชายอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “พี่ครับ นั่นมันสองคำนะ”
“ช่างหัวมันเถอะว่าจะหนึ่งหรือสองคำ สรุปคือฉันเข้าใจนาย ฉันรู้ดีว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไง ฉันเองก็เคยรู้สึกแย่อย่างนายเหมือนกัน”
คนพูดใส่ชุดคนงานก่อสร้างสีเทา ไม่รู้ว่านี่เป็นสีเดิมของชุดอยู่แล้ว หรือใส่นานจนกลายเป็นแบบนี้ เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา บนหน้ามีรอยมีดลากยาวจากหางตาไปถึงหลังหู
ลู่เหยียนชะงักฝีเท้า
จากนั้นเขาก็เดินก้าวออกไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว แล้วไปนั่งยองๆ อยู่หลังชายทั้งสองคนอย่างเงียบๆ
ราวกับวิญญาณเกาะหลัง
ทั้งสองกำลังคุยกันแบบอินจัดจนไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดๆ
คอยจนคนหน้าบากพูดจบ คนจิตตกก็พยักหน้าสุดชีวิตเหมือนได้เจอคนที่รู้ใจ เขาพูดเสียงสำเนียงต่างถิ่นว่า “ใช่ครับ มันแย่มากจริงๆ เขาบอกจะไปก็ไปเลย ไม่ได้สนใจความรู้สึกของผมเลยสักนิด ลูกเป็นของผมคนเดียวหรือไง!”
รอจนอีกฝ่ายตัดพ้อจบ คนหน้าบากก็หรี่ตาพลางเปลี่ยนเรื่องคุย “แต่ตอนนี้พี่ลุกขึ้นยืนหยัดได้แล้ว พี่จะเปิดใจพูดกับนายเลยแล้วกัน สิ่งสำคัญที่สุดของผู้ชายคือการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ตอนนี้ในมือพี่มีธุรกิจหนึ่งอยู่ นายแค่ต้องลงเงิน…”
นิ้วทั้งห้าของคนหน้าบากเพิ่งจะยื่นออกไป พลันข้างหลังก็มีแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนดัดนิ้วทั้งห้าของเขาไปด้านหลังอย่างแรง!
“ใครวะ! ไอ้หมาตัวไหนวอนหาเรื่องตาย!” คนหน้าบากโวยวาย หันหลังไปมอง
นอกจากทรงผมที่เว่อร์วังแบบสุดขั้วแล้ว ใบหน้าที่อยู่ใต้เส้นผมไม่เป็นทรงซึ่งมีหลากหลายสีนั้นเขาคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้น…ดวงตาของชายหนุ่มเรียวยาว เปลือกตาเป็นร่องลึกหนึ่งเส้น หางตาเฉียงขึ้น ท่าทางดุดันเอาเรื่อง และให้ความรู้สึกเหมือนตัวร้ายแบบที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน สีหน้าตอนไม่พูดให้ความรู้สึกแบบ ‘เหล่าจือจะอัดแก’
“ลู่เหยียน?!”
“ผมเอง” ลู่เหยียนยิ้มทักเขา แต่มือกลับไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยสักนิด “พี่เตา ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน แผลหายแล้วเหรอ ดูมีเรี่ยวมีแรงดีนะเนี่ย คราวก่อนหลอกคนซื้อลูกกลอนมังกรพยัคฆ์ คราวนี้เป็นเรื่องอะไรอีกล่ะ บอกผมหน่อยสิ ขอผมรวยด้วยคน”
พอบอกออกไปแบบนี้ ไหนเลยที่คนสำเนียงต่างถิ่นจะไม่รู้ว่าตัวเองเกือบตกหลุมพราง
ลู่เหยียนมองเขา “คุณไม่ใช่คนที่นี่ มาใหม่เหรอ”
“ผม…คือบ้านผมอยู่เมืองชิง ผมมาทำงานที่นี่…”
“เมืองชิงเป็นเมืองที่ดีนะ” ลู่เหยียนพูดแล้วนึกอยากสูบบุหรี่ขึ้นมา เขาก้มหน้าควานหาในกระเป๋า พอช้อนสายตาขึ้นมาก็เห็นว่าคนคนนั้นยังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “จะอึ้งทำอะไร หนีสิ”
คนคนนั้นถึงได้สติ ใช้ทั้งมือและขาลุกพรวด วิ่งหนีไปตามถนน
คนหน้าบากตาแดง “เฮ้ย! น้องชาย กลับมา…ไอ้ลู่เหยียน ปล่อยสิโว้ย!”
รอจนอีกคนหนีไปไกลแล้ว ลู่เหยียนถึงค่อยผ่อนแรงลง
คนหน้าบากถูกดัดนิ้วอย่างแรงจนขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง ลู่เหยียนตีมือเขาเหมือนไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้น ตีดังเพียะแล้วยัดบุหรี่ที่เพิ่งค้นออกมาได้ใส่มือคนหน้าบาก “พี่เตา บุหรี่สักตัวไหม”
คนหน้าบากด่าคำว่าแม่นายสิอย่างโขมงโฉงเฉงอยู่ในใจ
อยู่ดีๆ ก็มาดัดนิ้วชาวบ้าน
แถมดัดแล้วยังตีมือเขาก่อนสูบบุหรี่อีก นี่มันใช่เรื่องที่คนเขาทำกันงั้นเหรอ หน้ายังมียางอายอยู่หรือเปล่า
“ขวางเส้นทางทำมาหากินของคนอื่นเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่เขานะ ทำไมถึงไม่ไปร้องเพลงของตัวเองล่ะ ชอบมาระรานฉันอยู่นั่น ฉันบอกนายแล้วไงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย”
คนหน้าบากโมโหจนเสียงเริ่มสั่น แต่เขายังคงรับบุหรี่มาคาบไว้ในปาก ก่อนจะลุกขึ้นจากบันไดข้างทางพลางนวดนิ้วขณะพูดพร้อมหมุนตัว ผลก็คือเห็นคนที่บนหน้าเขียนคำว่า ‘เหล่าจือจะอัดแก’ ที่ขวางเส้นทางทำมาหากินของเขาเดินหนีไปไกลสามสิบเมตรแล้ว
เมื่อเห็นแบบนั้น เสียงของคนหน้าบากเลยสั่นหนักขึ้น บุหรี่ที่คาบอยู่ในปากสั่นจนร่วง “หนีเหรอ! เก่งจริงก็อย่าหนีสิวะ!”
ลู่เหยียนแบกกระเป๋ากีตาร์ แสงจากไฟริมทางส่องศีรษะของเขา ดูราวกับเปลวไฟสีแดงม่วงที่ตั้งเป็นก้อนสูงร่วมยี่สิบเซนติเมตรท่ามกลางแสงจ้า เส้นผมทุกเส้นถูกส่องจนเป็นมันวับ
ชายหนุ่มชูมือขึ้น โบกมือหย็อยๆ กลางอากาศ มีเสียงลอยกลับมาว่า “ไปแล้วนะครับ พี่เตา วันนี้ผมมีธุระ ไว้คราวหน้าผมค่อยมาเคลียร์บัญชีเก่ากับพี่”
คนหน้าบากด่ากราด โยนบุหรี่ลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำพร้อมทั้งไล่ตามไป
ทว่าขาทั้งสองข้างของเขานั้นก้าวไปสองก้าวก็ไม่แน่ว่าจะได้ระยะเท่ากับก้าวเดียวของคนคนนั้น เนื่องจากสมรรถภาพของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก คนหน้าบากตามไปได้แค่ครึ่งทางก็ตามต่อไม่ไหว พอมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา คนหน้าบากเลยหยุด เท้าเอว แล้วพูดเสียงหอบ “เคลียร์บัญชีเก่าบ้าอะไร รีบไสหัวไปเลย!”
ลู่เหยียนถึงค่อยผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เมื่อไปถึงสี่แยกก็เลี้ยวเข้าไปทางขวา
ข้างหน้านั้นห่างออกไปไม่ไกลคือย่านพักอาศัยหมายเลขเจ็ด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าโซนเจ็ด
ชื่อนี้ตั้งกันแบบตามใจชอบ ชื่อของย่านพักอาศัยมักต้องตั้งตามลำดับก่อนหลัง แต่ตอนนี้มันเป็นย่านที่ต้องฝืนทนจำใจอยู่กัน…เนื่องจากเมืองซย่าจิงพัฒนาเป็นเมืองใหม่เกรดเอแล้ว เขตซย่าเฉิงที่ดูเป็นประชากรระดับล่างจึงเป็นอุปสรรคต่อการสร้างภาพลักษณ์ ทำให้เมื่อสองสามปีก่อนมีการออกนโยบายสนับสนุนให้ธุรกิจเอกชนกว้านซื้อที่ดินไปพัฒนา
โซนเจ็ดเลยถูกรื้อถอนออกไปพอสมควร รอบๆ มีแต่เศษซากปรักหักพัง หนองน้ำและเหล็กเส้นทับซ้อนจนกลายเป็น ‘เนินดินบนหลุมศพ’
พื้นที่เละเทะ รกร้างจนแทบราบเป็นหน้ากลองแบบนี้มีอาคารหนึ่งหลัง…ไม่สิ อาคารครึ่งหลังตั้งอยู่
ข้างตึกเขียนว่า ‘อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สาม’