ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 2

 

ลู่เหยียนเดินขึ้นตึกไปได้ไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูดังปึงๆ

“พี่เหยียน พี่เหยียนอยู่หรือเปล่า!”

“พี่!”

“พี่ สนใจผมหน่อย!”

ลู่เหยียนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า มืออยู่บนเข็มขัดหนัง ซิปกางเกงยีนรูดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาจำต้องรูดกลับขึ้นมาอีกครั้ง “จางเสี่ยวฮุย มีธุระอะไร”

เด็กหนุ่มที่เอาแต่เคาะประตูอยู่ข้างนอกเมื่อเห็นประตูเปิดก็รีบดึงมือกลับแทบไม่ทัน

เขายังเด็กมาก อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี สวมรองเท้าแตะแบบคีบพังๆ คู่หนึ่ง ถึงกาวจะหลุด แต่เด็กหนุ่มยังใส่ได้สบายมาก เขาเกาศีรษะ ยื่นของในมือที่ซ้อนทับกันเป็นก้อนเต้าหู้ออกไป “คืองี้ครับ วันนี้ในตึกมีประชุม ป้าจางวานให้คนเอานี่กลับมาจากโรงพยาบาล เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากป้า แต่ตอนประชุมพี่ไม่อยู่ พรุ่งนี้คนของบริษัทรื้อถอนจะมาอีกรอบ…แม่เจ้า ผมของพี่!”

เขาพูดพลางชูนิ้วโป้ง “สุดปัง!”

จางเสี่ยวฮุยพูดไม่ผิด ถึงผมทรงนี้จะดูไม่เหมือนมนุษย์มนา และการที่ใครเอาไม้กวาดมาวางบนศีรษะแบบชี้ฟ้าคนคนนั้นต้องดูอุบาทว์แน่นอน แต่ลู่เหยียนกลับต่างออกไป

จางเสี่ยวฮุยยังจำตอนที่ตนเพิ่งย้ายเข้ามาในตึกนี้เมื่อสองปีก่อนได้ ตอนนั้นใกล้วันไหว้พระจันทร์ เด็กหนุ่มเลยเตรียมเอาขนมไหว้พระจันทร์หลายกล่องไปให้เพื่อนบ้าน ตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นบนสุด ตอนเคาะประตูห้องหกศูนย์สอง จางเสี่ยวฮุยได้พบลู่เหยียนครั้งแรก เขาถึงกับมึนงงไปเล็กน้อย ผมยาว เจาะคิ้ว ต่างหูเรียงแถว บนตัวมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นหัวขบถอีกด้วย

ชายผมยาวหรี่ตามองจางเสี่ยวฮุยแล้วพ่นควันออกจากปากหนึ่งที ‘มาใหม่เหรอ’

ควันนั้นทำให้จางเสี่ยวฮุยลืมไปเลยว่าตัวเองมาทำอะไร

เวลานี้ผมยาวของชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นไม้กวาดชี้ฟ้าหลากสีสวยงามไปแล้ว

จางเสี่ยวฮุย “พี่เหยียนครับ พี่เล่นแอพฯ Kuaishou* เหรอครับ”

ขมับของลู่เหยียนเด้งตัวตูมทันที

จางเสี่ยวฮุยรู้ดีว่าทุกคนต้องออกไปทำงานด้วยความยากลำบากเลยพูดให้กำลังใจ “ช่วงนี้กลุ่มจั้งอ้าย** กำลังดัง พี่มีทั้งฝีมือแถมหน้าตายังเด่นกว่าใคร ต้องดังใน Kuaishou แน่นอนครับ”

“เสี่ยวฮุย” ลู่เหยียนมองเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วกระดิกนิ้วเรียกเด็กหนุ่ม “มานี่หน่อยซิ”

จางเสี่ยวฮุยเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตราย “ผม เอิ่ม อยู่ดีๆ ก็นึกได้ว่าตัวเองมีธุระ”

“นายมีสมองหรือเปล่า” ลู่เหยียนงอนิ้วดีดหน้าผากจางเสี่ยวฮุยโดยไม่ออมแรง “อย่างฉันเนี่ยนะจะเล่น Kuaishou?”

จางเสี่ยวฮุยกุมหัว “ไม่ครับ ไม่ๆๆ ผมผิดไปแล้วครับพี่เหยียน”

ลู่เหยียนทำท่าจะดีดอีก แต่พอเห็นจางเสี่ยวฮุยหลับตา เขาก็คลายมือแล้ววางบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “เอาล่ะ ขอบใจที่วิ่งมา พรุ่งนี้ฉันน่าจะอยู่ ถ้าพวกเขากล้ามา…”

จางเสี่ยวฮุยเดาได้ว่าลู่เหยียนกำลังจะพูดอะไร ในสมองมีแปดประโยคผ่านเข้ามา แต่ผลคือเขาเดาไม่ถูก

ลู่เหยียน “…ฉันจะอัดพวกเขาเอง”

ความสัมพันธ์ภายในตึกนี้แปลกประหลาด ทุกคนต่างเป็นผู้เช่าที่จ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งปี แต่อยู่ดีๆ ย่านพักอาศัยนี้กลับถูกบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งซื้อไปเพื่อพัฒนาที่ดินโดยที่เจ้าของไม่บอกสักคำ แถมยังหอบเอาเงินค่าเช่ากับค่าชดเชยหนีไปด้วย

เดิมทีมีปัญหาแค่เรื่องการเช่า แต่การแสดงออกของคนที่ทางบริษัทใหญ่ส่งมาเจรจานั้นแย่มาก ทำให้คุยกันได้ไม่ถึงสองประโยคก็มีการลงไม้ลงมือ ฝ่ายนั้นผลักป้าจางที่อยู่ชั้นหนึ่งล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล

ความเกลียดชังจึงเริ่มขึ้นด้วยสาเหตุนี้

ถ้าอยากรู้นักว่าใครประมือด้วยยากกว่ากัน ก็เป็นคนที่เช่าห้องพักราคาถูกซึ่งอยู่มานานกลุ่มนี้ที่ไม่เคยสู้แล้วแพ้

การแสดงที่ถูกกำหนดไว้ในคืนนี้ถูกเลื่อนออกไปเป็นพรุ่งนี้ทำให้แผนกลับไปเก็บกระเป๋ากีตาร์เพื่อออกไปที่ผับของลู่เหยียนล่ม เขานอนบนเตียง หวังจะหลับสักงีบ แต่เพื่อไม่ให้โดนผม เขาจึงต้องรักษาระยะห่างจากพื้นเตียงด้วยการนอนขดตัวในลักษณะนี้ไปทั้งคืน

 

เช้าตรู่วันต่อมา

ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น หลังโซนเจ็ดถูกรื้อถอน ในละแวกใกล้เคียงจึงไม่มีร้านอาหาร ต่อให้เป็นตอนเช้า แผงขายอาหารเช้าก็ไม่มาเปิดร้านที่นี่ ทำให้ทั้งโซนเจ็ดดูเหมือนโซนร้าง

ลู่เหยียนนอนเร็วทำให้ตื่นเช้า ยังไม่ถึงหกโมงเขาก็ลุกขึ้นมาต้มบะหมี่ เขาเติมน้ำใส่กา และในระหว่างที่รอให้น้ำเดือด ชายหนุ่มก็นั่งเอาหลังพิงเตาตรงเคาน์เตอร์ ก่อนจะฉุกคิดท่วงทำนองหนึ่งขึ้นมาได้เลยเคาะนิ้วกับกระเบื้องเป็นพักๆ

ส่วนมืออีกข้างผลักเปิดหน้าต่างซึ่งอยู่ด้านข้าง

แม้สภาพแวดล้อมที่นี่จะไม่ดี โดยเฉพาะโซนของพวกเขา แต่ถ้ามองจากตำแหน่งของลู่เหยียนในเวลานี้จะเห็นพระอาทิตย์ลอยขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าได้ แสงสว่างอาบย้อมท้องฟ้าครึ่งหนึ่งให้เป็นสีแดงสว่างไสว

ลู่เหยียนมองมันอยู่พักหนึ่งแล้วจึงดึงสายตากลับมา ที่นี่ยังคงเป็นเขตซย่าเฉิง และเศษซากยังคงเป็นเศษซาก…ทว่าสายตาของเขากลับไปเห็นรถคันหนึ่งเข้า

 

หน้าซุ้มประตูโซนเจ็ดที่ถูกรื้อจนเละเทะมีรถสปอร์ตสีเทาเงินคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งส่วนท้ายรถถูกปรับแต่งให้ชวนตกตะลึง ดูแล้วราวกับจะเหาะขึ้นฟ้าได้

มันเป็นรถที่ไม่น่าจะมาโผล่อยู่ที่นี่ รถที่วิ่งกันอยู่บนถนนแถวนี้ถ้าไม่ใช่จักรยานไฟฟ้าก็เป็นรถมือสอง ทว่าตั้งแต่ไฟหน้ายันท้ายรถคันนี้ล้วนมีคำว่า ‘ผิดแผกแปลกแยก’ สี่คำฉายชัด

เมื่อวานจางเสี่ยวฮุยบอกว่าใครจะมานะ

…‘พรุ่งนี้คนของบริษัทรื้อถอนจะมาอีกรอบ’

มาซะเช้าเชียว ลู่เหยียนคิดในใจ

 

คนตึกนี้ออกไปแต่เช้าตรู่กลับมาก็ดึกดื่น ต่างคนต่างทำงาน มีกันทุกสายอาชีพ

แต่โดยรวมแล้วคนตึกนี้ทำงานไม่ต่างกันมากนัก

ลู่เหยียนมองรอบสุดท้าย เมื่อแน่ใจว่ามีรถมาจอดที่นี่แค่คันเดียว ข้างหลังไม่มีรถขุดขนาดใหญ่ตามมาอีก และดูไม่ใช่การข่มขวัญ เขาก็ฮัมเพลง แล้วเลื่อนสายตาไปมองไอร้อนที่ลอยออกจากหม้อ ขณะใช้ข้อนิ้วเคาะกระเบื้องเย็นเฉียบ

ลู่เหยียนงอนิ้วเคาะกระเบื้องอย่างได้อารมณ์ พอเริ่มคันมือนิดๆ ก็หยิบกีตาร์ที่แขวนอยู่บนผนังลงมา

ห้องที่เขาอยู่เป็นห้องเดี่ยวขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณยี่สิบตารางเมตร เครื่องเรือนมีอยู่ไม่กี่ชิ้นซึ่งต่างมาอยู่รวมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

ส่วนใหญ่พื้นที่ภายในห้องขนาดไม่ถึงยี่สิบตารางเมตรนี้ใช้วางเครื่องดนตรี มีกีตาร์สองสามตัว กีตาร์ไฟฟ้าที่ไม่รู้ว่าไปควานหามาจากตลาดของมือสองที่ไหน กับแผ่นซีดีหลากหลายแบบ

ลู่เหยียนนักร้องนำที่กำลังต้มน้ำร้อนกอดกีตาร์ เสียบไฟ ไล่สายจากบนลงล่าง

แล้วเขาก็ไล่สายตามทำนองที่ฮัมเป็นรอบที่สอง

 

ลู่เหยียนไม่ได้สังเกตเห็นว่ารถคันที่ดูเหมือนจะเหาะได้คันนั้นดับเครื่องยนต์แล้ว และอีกครึ่งนาทีต่อมา ประตูหลังก็เปิดออก

ชายคนหนึ่งก้าวลงจากรถ

บนข้อมือของเขาสวมนาฬิกาที่หน้าปัดเป็นแบบฝังเพชร เสื้อผ้าที่สวมคือเสื้อเชิ้ตสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีต แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นสองสามส่วนแบบตามใจฉันเอามากๆ เผยให้เห็นข้อมือครึ่งหนึ่ง บนแขนเสื้อที่พับขึ้นมาปรากฏรอยเปื้อนจางๆ ที่เห็นได้ไม่ชัด เป็นรอยด่างสีเบจหนึ่งรอย แต่ถูกสีดำขับเน้นให้ชัดขึ้นมาก

“ลูกพี่ จะเข้าไปจริงๆ เหรอ” หน้าต่างรถลดลง ศีรษะหนึ่งมุดออกมาทางด้านคนขับ เจ้าของศีรษะย้อมผมทั้งหัวเป็นสีแดง คนผมแดงมองซ้ายมองขวาแล้วถอนหายใจ “ผมเพิ่งเคยมาโซนนี้ครั้งแรก นี่มันที่คนอยู่เหรอ นี่มันตึกอันตรายชัดๆ ดูใกล้พังแล้ว”

ข้างหน้าเป็นซุ้มประตูครึ่งอันซึ่งพังแล้ว

ป้อมยามหน้าประตูถูกรื้อ

ถนนที่เดินมีพื้นราบอยู่ไม่กี่ก้าว

สรุปคือยับเยินทุกที่

คนที่ลงจากรถเพียงมองสภาพแวดล้อมโดยรอบแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ทำตัวโอเวอร์แบบคนผมแดง แต่กลับถึงขั้นไร้อารมณ์ความรู้สึก

เขาดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เนื่องจากเขาควานหาบุหรี่ออกมาหนึ่งห่อ ก้มหน้า ใช้ปากกัดเอาบุหรี่หนึ่งตัวออกมา แต่เห็นได้ชัดมากว่าความรำคาญใจที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวกับซากตึกตรงหน้า

“ไฟ” เซียวหังคาบบุหรี่ไว้พลางเอ่ย

คนผมแดงเข้าใจทันที รีบล้วงเอาไฟแช็กออกมาจุดพรึ่บ ใช้สองมือประคองออกไปทางหน้าต่างรถ “ตรงนี้!”

เซียวหังก้มตัวไปจุดบุหรี่

ควันลอยคลุ้งอยู่เบื้องหน้าคนผมแดง

พอคนผมแดงจุดบุหรี่ให้เซียวหังเสร็จก็โยนไฟแช็กไปไว้บนเบาะข้างคนขับ มือทั้งสองข้างวางบนพวงมาลัย ลูบไล้มันไปมาเหมือนกำลังลูบคลำผู้หญิงคนหนึ่ง “รถคันนี้ของพี่เจ๋งมาก เป็นความฝันสูงสุดของผู้ชาย ขับมันส์ชะมัด! ลูกพี่ ผมขอเอาไปขับแถวนี้อีกสักสองรอบได้ไหม”

“ตี๋จ้วงจื้อ”

คนผมแดงที่ได้ยินชื่อของตัวเองอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเอ่ย “ครับ?”

เซียวหัง “ไสหัวไป”

ตี๋จ้วงจื้อ “…”

“ไสหัวไปดูซิว่าแถวนี้มีซูเปอร์ฯ ไหม” เซียวหังสูบบุหรี่พลางเดินห่างออกไปสองก้าว แล้วพูดเสริมว่า “แล้วซื้อนมผงสูตรสำหรับเด็กแพ้นมวัวกลับมาด้วย”

“พี่ใหญ่ อย่าพูดอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ สิ” ตี๋จ้วงจื้อบอก

เซียวหังเดินไปที่ใต้ตึกหลังนั้น ไม่รู้ว่าอาคารหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อไหร่ แต่เหมือนเคยมีคนมาตีกันที่ประตู ทำให้ประตูทางเข้าออกโย้ แค่ผลักทีเดียวก็พัง

ชายหนุ่มแบมือ ในมือมีกระดาษหนึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนว่า ‘ย่านพักอาศัยร่วม อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สาม ห้องหกศูนย์หนึ่ง’

 

[ลูกพี่ เมื่อกี้บอกว่านมผงอะไรนะ] ตี๋จ้วงจื้อขับรถออกไปไกลได้ห้าร้อยเมตรแล้วถึงค่อยโทรหาเซียวหัง [ทอมมี่? แบรนด์เมืองนอกเหรอ]

“นมผงสูตรสำหรับเด็กแพ้นมวัว แพ้นมน่ะ” เซียวหังขยี้ดับบุหรี่ที่เหลือเกินครึ่งตัว

[ผมกำลังไปแล้ว] ตี๋จ้วงจื้อเหยียบคันเร่ง [เจ้าหนูกินนมสูตรปกติแล้วแพ้ได้ด้วย? ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าแค่นมผงจะเรื่องมากขนาดนี้ พี่เพิ่งจะเลี้ยงเด็กได้ไม่กี่วันยังรู้เยอะ…]

เซียวหังวางสาย

ถึงแม้เสียงพูดจ้อของตี๋จ้วงจื้อจะหายไปจากข้างหูแล้ว แต่โลกก็ไม่ได้สงบขึ้นด้วยสาเหตุนี้ เพราะในเวลาเดียวกันนี้มีเสียงกีตาร์ดังมาจากบนตึกระลอกหนึ่ง เสียงแว่วๆ นั้นกระตุ้นอารมณ์อย่างมาก ทั้งยังส่งพลังมาอย่างรุนแรงราวกับผ่าอากาศออกเป็นสองส่วน

กีตาร์ไฟฟ้า

เพียงแต่ทักษะการเล่นกับอุปกรณ์ไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิง ดีดแบบติดๆ ขัดๆ จนเรียกได้ว่าเป็นเสียงปีศาจ ในระหว่างนั้นมีเสียงหอนกับเสียงผิดคีย์เพราะกดนิ้วไม่แน่นดังออกมาด้วย…ถ้ามีการแบ่งระดับการเล่นกีตาร์ คนที่เล่นอยู่ตอนนี้อาจไม่มีคุณสมบัติเข้าแข่งขัน

เพราะเขาดีดได้ระยำตำบอน

ในโถงทางเดินแคบๆ มีใบปลิวติดอยู่เต็มไปหมด และมีภาพกราฟิตี้ที่ใช้สีแดงพ่นแบบมั่วซั่ว ความเสื่อมโทรมแบบเฉพาะตัวของเขตซย่าเฉิงได้แสดงออกมาผ่านรอยแยกบนผนังแบบไม่จำเป็นต้องอธิบาย

สิ่งที่แสดงตัวออกมาพร้อมกันคือเสียงกีตาร์ที่มีพลังสังหารรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเซียวหังเดินขึ้นไปถึงชั้นหก เสียงกีตาร์ทำลายโลกก็อยู่ใกล้เขามาก ห่างเพียงแค่ผนังที่ดูไร้ประสิทธิภาพกั้นเท่านั้น

จากเสียงกีตาร์เปลี่ยนเป็นการกดเพื่อไล่เสียง คาดว่าคงอยากโชว์ทักษะแต่ไม่มีอะไรให้โชว์

“…”

เสียงกีตาร์หยุดไปสองอึดใจ ก่อนเซียวหังจะได้ยินเสียงฮัมเพลงแว่วๆ ดังอยู่ในอากาศที่ลอยตัวออกไป

เสียงผู้ชาย

เนื้อเสียงไม่เลว ร้องได้ตรงจังหวะ ดีกว่าดีดกีตาร์เยอะ

 

ลู่เหยียนเล่นโน้ตสุดท้ายเสร็จก็หลับตาอย่างดื่มด่ำ อารมณ์ยังคงพลุ่งพล่านอยู่ ต้องใช้เวลาสามวินาทีเต็มๆ กว่าที่เขาจะลืมตา

ชายหนุ่มสะบัดข้อมือซ้ายเบาๆ โน้ตที่กำลังเขียนอยู่ถูกปรับแก้สองสามตัว เขาเอากีตาร์ไปแขวนไว้ที่เดิม เทน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่แล้วเอาชามปิดเป็นฝา

ลู่เหยียนอ่านโน้ตที่แก้จนหน้ากระดาษเป็นลายพร้อยอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง วางแผนว่าจะตั้งชื่อ เขาเลยหยิบปากกาเขียนอักษรสองตัวที่ตำแหน่งบนสุดว่า ‘โบยบิน’

แต่รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่

ก็ขีดทิ้ง

เขาเขียนอีก ‘เหินกันวัยรุ่น’

…?

ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ จะเล่นมุกหรือไง

‘ร่อน’

ขีดไปขีดมาสี่ห้าครั้ง สุดท้ายจึงเหลือแค่อักษรตัวโตที่เขียนแบบสบายๆ บนหัวกระดาษว่า ‘ยังคิดไม่ออก’

ลู่เหยียนตบกระดาษลงบนโต๊ะ จากนั้นก็โทรหาหลี่เจิ้น

เพื่อไม่ให้หลี่เจิ้นเมินตั้งแต่แรกเห็น ลู่เหยียนจึงหาอีโมติคอนสิบกว่าอันจากในคลังอีโมติคอนมาส่งไปให้ชุดหนึ่งก่อน เขาทำเรื่องป่วนทำนองนี้ได้คล่องมือมาก

[ลู่เหยียน ปู่นายสิ!] หลี่เจิ้นโทรมาอย่างไว

ลู่เหยียน “อย่าเอาแต่ถามถึงปู่ฉันสิ ปู่ฉันสบายดี สุขภาพแข็งแรง กินอิ่มนอนหลับ”

[…] หลี่เจิ้นอดรนทนไม่ไหวแล้ว [นี่เพิ่งจะกี่โมง ฉันกำลังนอน แต่นายดันมาปลุกฉันให้ตื่น!]

“เห็นเพลงใหม่แล้วหรือยัง”

หลี่เจิ้นรู้สึกสติกระเจิดกระเจิงพร้อมทั้งรู้สึกแปลกใจในเวลาเดียวกัน [คอยเดี๋ยวนะ ฉันจะดูเดี๋ยวนี้]

ยังไม่ดูยังพอว่า พอดูแล้วยิ่งย่อยยับ

[นี่มันเรื่องบ้าอะไร นายเขียนอะไรมาฮะ…ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าเขียนหนังสือบ้าบอแบบนี้ไม่มีใครเขาอ่านออก เขียนให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม แม่โว้ย ขอฉันดูหน่อยซิ ฉันอ่านได้แค่ชื่อเอง!] ยิ่งพูดเสียงของหลี่เจิ้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาพยายามอีกหน่อยน่าจะไปร้องโซปราโนได้เลย [ชื่อ…ยังคิดไม่ออก!]

ลู่เหยียนลูบคอ “อ่านไม่รู้เรื่อง งั้นให้ฉันเล่นให้ฟังดีไหม”

หลี่เจิ้นเงียบกริบเหมือนคนตาย

อันที่จริงมาตรฐานการเขียนเพลงของลู่เหยียนนั้นถือว่าดีมาก ระหว่างความมานะพยายามกับพรสวรรค์ เขาคือแบบที่สาม คือคนที่มีพร้อมทั้งความมานะพยายามและพรสวรรค์ ในฐานะนักร้องนำเขาร้องเพลงได้ดีเยี่ยม การที่วงของเขามีอิทธิพลอยู่ในย่านนี้และเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘วงจอมปีศาจ’ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เพียงแต่ลู่เหยียนจะส่งฉบับร่างที่ไม่มีใครอ่านเข้าใจมาทุกครั้ง ลำพังแค่ฉบับร่างยังพอรับได้ ถ้าไม่ฟังที่เขาเล่นก็จะไม่เข้าใจเลย…แต่เขาดีดกีตาร์ได้ห่วยมากจริงๆ

หลี่เจิ้นตื่นเต็มตา ไม่เหลือความง่วงอีกต่อไป

[ฉันยังไม่ตื่นดี] หลี่เจิ้นอธิบาย [เหยียนเอ๋อร์ ฉันมีความรู้สึกว่าถึงโน้ตอันนี้ของนายจะดูสับสน แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อกี้ฉันไม่ได้ใช้ความรู้สึกไปจับเอง]

ลู่เหยียน “งั้นลองใช้ความรู้สึกอีกทีนะ”

หลี่เจิ้น [ได้ ฉันจะใช้ความรู้สึกไปจับก็แล้วกัน]

หลังวางสาย ลู่เหยียนพับกระดาษไปแปะที่ตู้เย็น ตอนจะเปิดฝาบะหมี่ เขาพลันฉุกคิดได้ว่าชามที่ใช้เป็นฝาถ้วยบะหมี่ใบนี้เป็นของที่ยืมมาจากห้องตรงข้ามเมื่อหลายวันก่อน

คนที่อยู่ห้องตรงข้ามเป็นสาวโสด ผมยาว เพิ่งย้ายมาได้ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เหยียนไม่รู้แม้แต่ชื่อของเธอ โดยปกติหญิงสาวมักไม่ค่อยพูด ตอนกลางคืนไม่รู้ว่าไปไหน และตอนกลางวันเธอจะกลับมาประมาณเที่ยงๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน

ลู่เหยียนกะจะเอาชามไปคืนให้เธอก่อนที่เขาจะลืม และก่อนออกจากห้อง เขายังเลือกส้มสองสามลูกจากถาดผลไม้ใส่ชามแล้วเปิดประตู…

ภายในอาคารผุพังของพวกเขา

บนระเบียงทางเดินแคบๆ ของชั้นหก

ณ ที่แห่งนี้ เวลานี้ มีคนที่ดูน่าสงสัยอย่างยิ่งยืนอยู่คนหนึ่ง เป็นผู้ชาย

 

* เพลง : 海阔天空 (ไห่โควเถียนคง) ศิลปิน : Beyond

** เหล่าจือ แปลว่าพ่อ ใช้เป็นคำเรียกแทนตัวเองอย่างโอ้อวดถือตัวว่าเก่ง

* Kuaishou เป็นแอพพลิเคชั่นของจีน สำหรับลงคลิปวิดีโอสั้นๆ คล้าย TikTok

** กลุ่มจั้งอ้าย เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่ชอบแต่งตัวแนวพั้งก์ร็อก

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 2 .. 65

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com