everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 5
ตอนลู่เหยียนขับมอเตอร์ไซค์กลับไป คนของบริษัทรื้อถอนเวยเจิ้นเทียนก็ไปกันหมดแล้ว ลู่เหยียนลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วโยนกุญแจไปให้พี่เว่ย “พี่เว่ยครับ ผมคืนลูกชายให้พี่นะ”
พี่เว่ยรับไป เขาเดินวนสำรวจรถมอเตอร์ไซค์แสนรักตั้งแต่แฮนด์ไปจนถึงล้อรอบแล้วรอบเล่า
“เป็นไงครับ” ลู่เหยียนสะบัดข้อมือพลางเอ่ยถาม “ขอค่ารักษาป้าจางคืนมาได้หรือเปล่า”
เมื่อพี่เว่ยมั่นใจว่ารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไม่มีปัญหาอะไรก็ห้อยกุญแจไว้ที่เอว ก่อนจะหัวเราะหึๆ “ได้มาแล้ว สองพันห้า พี่เว่ยของแกออกโรงเองยังจะมีหนี้ที่ทวงไม่ได้อีกเหรอ”
“โม้เก่ง” ลู่เหยียนยอ
“งั้นพี่ไปทำงานแล้วนะ” พี่เว่ยดูเวลา “คืนนี้นายมีขึ้นแสดงใช่หรือเปล่า ถ้าไม่มีคืนนี้เราสองคนไปดื่มด้วยกัน พี่ไม่ได้ดื่มกับนายนานแล้ว”
ตามปกติ นอกจากลู่เหยียนจะไปรับงานพาร์ตไทม์สองสามงานในช่วงกลางวันแล้ว งานหลักของเขาคืองานกลางคืน พอตกเย็นเขาเป็นต้องมุดเข้าไปในผับ
ลู่เหยียน “ไว้วันอื่นดีกว่าครับ ตอนเย็นผมมีงานต้องวิ่ง”
ลู่เหยียนชินกับการไปเตรียมตัวที่ผับล่วงหน้าสองชั่วโมง พอใกล้ถึงเวลาเขาก็เริ่มเก็บข้าวของ
เขาเพิ่งจะใส่กางเกงเสร็จ กางเกงยีนเอวต่ำมีโซ่สีทองเกาะอยู่ตรงกระดูกสะโพก ลู่เหยียนเปลือยท่อนบนไปค้นตู้เสื้อผ้าไป เขาหาอยู่นานกว่าจะฉุกคิดได้ว่าวันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมายทำให้เขายังไม่ได้เคลียร์เรื่องสำคัญ
ลู่เหยียนโยนเสื้อกั๊กกลับไป ก่อนจะลงมือค้นเบอร์ของ ‘ซุนเฉียน’ ที่อยู่ในบันทึกการโทรออกมา
เสียงตื๊ดดังอยู่สองครั้งก็มีคนรับสาย
ทันทีที่สายถูกรับก็มีเสียงเพลงไนต์คลับสุดฮิตระเบิดออกมาทำเอาหูแทบดับ และเนื่องจากเสียงที่ว่านั้นดังมาก ตอนเสียงดังลอดโทรศัพท์ออกมาเลยมีเสียงแตกอยู่บ้าง [ซ่าๆๆ สังคมสั่นคลอน! ช็อปนาฬิกาๆ! ฉันฟุบตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆ! ไม่โยกไม่ได้แล้ว!]
“…”
ลู่เหยียนเอามือถือออกห่างจากหูไปนิดหนึ่ง “พี่เฉียน”
จากนั้นปลายสายถึงมีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังออกมา เสียงพูดดังกว่าเสียงเพลงไนต์คลับ เขาตะโกนเต็มเสียง [รอเดี๋ยว! ฉันกำลังยุ่ง!]
เสียงหายไปพักหนึ่ง
หลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาอีกประโยค [กล้ามาเสพยาในร้านเหล่าจือ…โยนมันออกไปแล้วแจ้งตำรวจด้วย! โยนไปไกลๆ หน่อย เอาให้ห่างจากผับเราไปสักแปดถนน…ลู่เหยียน ตกลงนายมีเรื่องอะไร]
ลู่เหยียนดูปฏิทิน วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคม เขาจึงมีความรู้สึกว่าวิธีเข้าเรื่องสำคัญควรจะต้องอ้อมค้อมนิดหนึ่ง “พี่เฉียนครับ สุขสันต์วันแรงงาน วันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมนะครับ”
ตอนนี้ซุนเฉียนกำลังยืนอยู่หน้าประตูผับ เขาเพิ่งจัดการคนที่เข้าไปแอบในห้องน้ำเสร็จ กำลังอารมณ์เสียได้ที่
[วันผีบ้าอะไร] ซุนเฉียนทนไม่ไหวแล้ว [ลู่เหยียน นายมีอะไรก็รีบพูดมา!]
ลู่เหยียนถึงค่อยบอก “คืองี้ครับ ผมทำผมเสร็จแล้ว เอาใบเสร็จไปเบิกได้ใช่หรือเปล่าครับ”
[อะไรนะ…]
ซุนเฉียนเปิดผับอยู่แถวๆ ย่านการค้าของเมืองซย่าจิง ถึงจะเป็นร้านเก่าแก่แต่นโยบายสมัยนี้เข้มงวดกวดขันมากขึ้นเรื่อยๆ การเปิดผับไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าวัยรุ่นสักกลุ่มมาแอบจัดปาร์ตี้เสพยากันตอนกลางคืนแล้วถูกจับ ต่อให้เขากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด หากไม่ระวังเป็นได้โดนใบเตือน
ตามปกติแล้วซุนเฉียนงานยุ่งมาก พอได้ยินเรื่องทำผม เขาจึงนึกไม่ออกไปชั่วคราว
จนลู่เหยียนบอก “ไอ้ผมทรงเซ่อซ่าหลากสีที่ดูไกลๆ เหมือนกองไฟ ดูใกล้ๆ เหมือนไม้กวาดนั่นไงครับ ผมขอร้องให้พี่เป็นคนใจดีมีเมตตาหน่อยนะ”
ลู่เหยียนตั้งวงขึ้นมา รวมกันเป็นเด็กหนุ่มสี่คน เล่นประจำที่ร้านของซุนเฉียนมาเกือบสี่ปีแล้ว
อาทิตย์ที่แล้วซุนเฉียนเสนอให้ลู่เหยียนเปลี่ยนไปทำผมที่มีความพิเศษมากขึ้น
แต่…
“พี่เฉียน” ระหว่างที่ซุนเฉียนกำลังใช้ความคิด บาร์เทนเดอร์คนหนึ่งก็เดินออกมาจากในร้าน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอยากคุยด้วย
ซุนเฉียนปวดหัวมาก เขาโบกมือให้บาร์เทนเดอร์คอยเดี๋ยว [ผมทรงนั้นเซ่อซ่าที่ไหน! หล่อเท่ชัดๆ! บอกได้สองคำว่าหล่อโคตร! สมัยพี่เฉียนของนายทำวงตอนหนุ่มๆ ผมทรงนี้ฮิตมาก ตอนนั้นฉันก็ทำทรงนี้ วัยรุ่นอย่างพวกนายสมัยนี้ไร้รสนิยมจริงๆ แต่การแสดงของวงนายคืนนี้แคนเซิลแล้วไม่ใช่เหรอ]
“แคนเซิล?”
[ใช่ เมื่อกี้เอง ต้าหมิงกับซวี่จื่อ* โทรมาหาฉัน บอกว่ามาไม่ได้ ฉันนึกว่าพวกนายคุยกันแล้วซะอีก ฉันยังถามพวกเขาเลยว่านายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่พวกเขาสองคนอึกๆ อักๆ อยู่นานกว่าจะบอกว่ารู้แล้ว]
ระหว่างที่ซุนเฉียนพูด ปลายสายก็เงียบเสียงไป
ซุนเฉียนอยากถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สุดท้ายพูดออกไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก [พวกนาย…เฮ้อ]
จนลู่เหยียนวางสายก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองพูดอะไรออกไป และเขาบอกอะไรซุนเฉียนบ้าง
สมองเขาว่างอยู่นานมาก
เสียงมือถือดังขึ้น บนนั้นมีข้อความที่เหมือนกันสองข้อความ
ข้อความหนึ่งเป็นของหวงซวี่ ส่วนอีกข้อความเป็นของเจียงเย่าหมิง
[หวงซวี่] / [เจียงเย่าหมิง] พี่ครับ เราสองคนไม่ทำแล้วนะ
ข้อความต่อมาคือคนที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งรู้เรื่องนี้
[หลี่เจิ้น] ??????
[หลี่เจิ้น] นี่มันเกิดอะไรขึ้น! พวกเขาพูดจาเหลวไหลอะไร!
[หลี่เจิ้น] วันนี้เป็นวันแห่งการโกหกเหรอ
[หลี่เจิ้น] แต่วันนี้มันวันแรงงานนะ!
[หลี่เจิ้น] ชิบ เรื่องจริงงั้นเหรอ?!
ลู่เหยียนจ้องจอมือถือก่อนจะหลับตา และเมื่อลืมตาอีกครั้งเขาก็พิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘เอาจริง’ แล้วพิมพ์เพิ่มอีกสองประโยค
[ลู่เหยียน] ทั้งสองคนออกมาเจอกันหน่อย
[ลู่เหยียน] ที่เดิมนะ
พอลู่เหยียนส่งข้อความเสร็จ เขาก็ไม่สนใจแล้วว่าหลี่เจิ้นจะตอบว่าอะไร ชายหนุ่มโยนมือถือไปด้านข้าง
สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่วอลล์เปเปอร์ที่เป็นด่างดวง บนนั้นมีโปสเตอร์แปะอยู่ ถึงจะบอกว่าเป็นโปสเตอร์ แต่ความจริงเป็นรูปที่ลู่เหยียนถ่ายเองแล้วพริ้นต์ออกมา
ฉากในโปสเตอร์เป็นผับ มีไฟสลัวส่องลงมาจากเหนือศีรษะ ทำให้เวทีที่ฝืนเบียดกันได้สี่คนเหมือนจะเปล่งประกาย
ด้านล่างเวทีเป็นมือที่ชูสูง
พวกเขาเร้นตัวอยู่ในความมืดและส่งเสียงเชียร์ตามวิธีของตัวเอง
บนเสาหน้าเวทีแขวนผ้าเอาไว้หนึ่งผืน
ผ้าผืนนั้นมีลักษณะเหมือนธง บนนั้นมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสี่ตัวว่า ‘VENT’
ด้านล่างสุดของโปสเตอร์เขียนว่า
‘สมาชิกของวง นักร้องนำ-ลู่เหยียน, มือกลอง-หลี่เจิ้น, มือกีตาร์-หวงซวี่, มือเบส-เจียงเย่าหมิง’
ที่เดิมที่ลู่เหยียนบอกคือแผงลอยข้างถนน
ตามปกติพอทำการแสดงเสร็จ พวกเขามักจะมาดื่มเหล้า คุยเรื่องเพลง คุยเรื่องการแสดง คุยเรื่องสัพเพเหระสนุกๆ กันที่นี่เป็นประจำ
ตอนที่หวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงโผล่ออกมาตรงทางตัดข้างหน้า บาร์บีคิวก็ถูกย่างไปพอสมควรแล้ว หลี่เจิ้นคนเดียวดื่มเบียร์หมดไปสองขวด เขากอดขวดเบียร์พลางระบายความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว “จะบอกให้เร็วหรือช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ดันเลือกมาบอกเอาตอนจะเริ่มทำการแสดงเนี่ยนะ มีเรื่องอะไรที่ทุกคนคุยกันไม่ได้? ฮะ? พี่น้องกันนะโว้ย พี่น้องกัน ทำกันแบบนี้เหรอ”
ลู่เหยียนนั่งอยู่ข้างเขา เคาะเถ้าบุหรี่ทิ้ง ไม่พูดอะไร
“พี่เหยียน พี่เจิ้น” หวงซวี่ตัวไม่ได้สูง รูปร่างผอมบาง เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงลังเลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประดักประเดิด “ทรงผมพี่เหยียนอินเทรนด์มากเลยนะครับ”
เจียงเย่าหมิงยืนอยู่ด้านหลัง ผงกศีรษะ “อินเทรนด์มากจริงๆ มองเห็นได้แต่ไกลเลย”
ทั้งสี่คนนั่งโต๊ะเดียวกัน บรรยากาศอึมครึม
ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมวงที่อยู่ด้วยกันมานานถึงสี่ปี ลู่เหยียนจึงทำลายความเงียบว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไหนว่ามาซิ”
หวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงสองคนก้มหน้า ไม่พูดไม่จา สักพักหวงซวี่ถึงพูดเสียงตะกุกตะกัก “แม่ผมป่วย…”
พวกเขาสองคนเหมือนกันมาก ตอนอายุสิบหกแบกเครื่องดนตรีตระเวนไปทั่วท่ามกลางการคัดค้านอย่างเต็มกำลังของคนที่บ้าน ไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรคือวงดนตรี อะไรคือ ‘ร็อกแอนด์โรลไม่มีวันตาย’
แต่ในเวลาเดียวกันกับที่ชีวิตมอบความกล้าให้แก่พวกเรา มันก็คอยสอนให้พวกเรายอมแพ้อยู่เรื่อยๆ
จะทำวงได้สักกี่ปี
จะอยู่ใต้ดินได้สักกี่ปี
การฝึกแบบไม่แยกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนด้วยอารมณ์เร่าร้อนตอนนี้ตกค่ำเป็นต้องนอนตาค้างอยู่บนเตียงเพราะนอนไม่หลับ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองไม่หยุดคือความคิดที่ไม่รู้ว่าแตกหน่องอกรากออกมาตอนไหนว่าพอได้แล้วมั้ง
ความจริงการแยกวงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด
มีให้เห็นบ่อยถมเถไป
หลายปีมานี้ในงานซ้อมใหญ่ของหลุมหลบภัย วงดนตรีหลากหลายรูปแบบในหลุมหลบภัยล้วนมาแล้วไป เป็นวงแล้วแยกวง
ความฝันแสนแพรวพราว ความจริงแสนจริงแท้ ตอนเป็นวัยรุ่นบุกตะลุยเพื่อปณิธาน ไล่ตามความฝัน แต่พอผ่านไปหลายปีถึงค่อยรู้ว่าสุดท้ายมันมีสายใยที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้อยู่บนตัว พอมันออกแรงกระตุก ก็ต้องกลับไป
ลู่เหยียนจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองสูบบุหรี่ไปกี่ตัว “…ร่างกายของคุณน้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตัดสินใจแล้วใช่ไหม”
หวงซวี่เงยหน้าทันควัน เขากลั้นไว้ต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลริน พูดเสียงสะอื้น “พี่เหยียน”
อันที่จริงลู่เหยียนไม่เก่งเรื่องการรับมือกับบรรยากาศเศร้าๆ แบบนี้ เขาจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบเหล้าจากตู้แช่ “คุยกันดีๆ อย่ามางอแงต่อหน้าเหล่าจือ”
หลี่เจิ้นวางขวดเหล้าที่กอดลงพลางว่า “ร้องไห้แงๆ หาอะไร คนไม่รู้จะนึกว่าเราเล่นซีรี่ส์ดราม่าที่ฉายตอนสองทุ่ม”
มื้อส่งท้ายมื้อนี้กินกันถึงสี่ทุ่มกว่า
กิจการของแผงเซาเข่า* ดีมาก เด็กหลายคนมารวมตัวกันที่แผง เขตซย่าเฉิงไม่ใช่พื้นที่ที่เจริญที่สุด แต่คนในพื้นที่ต่างคนต่างก็พยายามแข่งขันเพื่อที่จะเอาชนะกัน เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ข้อดีเพียงข้อเดียวของเขตพื้นที่นี้คือกลางคืนมองเห็นดาว
ท้องฟ้าในวันนี้เป็นเหมือนกับทุกๆ วัน
หลังอาหารมื้อนี้สิ้นสุด ลู่เหยียนไม่ได้นั่งรถสาธารณะ แต่ใช้วิธีเดิน เนื่องจากดื่มเหล้าไปเยอะเกินไป พอเดินไปได้ครึ่งทาง กระเพาะก็ตีกลับเลยต้องนั่งยองเพื่ออาเจียนแห้ง
อาจเพราะดื่มไปเยอะ ชายหนุ่มจึงมองเงาที่เกิดจากไฟริมทางแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนเจอหวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงครั้งแรก
อันที่จริงฝีมือการเล่นของสองคนนี้ไม่ได้โดดเด่นนัก ที่เขากับหลี่เจิ้นไปเจอก็เพราะพวกเขาไปเทสต์กับวงอื่นแล้วไม่ได้รับเลือก แต่ตอนนั้นเด็กหนุ่มสองคนนี้มีไฟเต็มตัว เวลาพูดถึงดนตรีดวงตาจะเป็นประกาย
ในสมองมีภาพหมุนวนภาพแล้วภาพเล่าจนมาถึงแผงเซาเข่า ดวงตาของหวงซวี่ไร้ประกายตอนบอกว่า ‘ผมซื้อตั๋วรถเที่ยวกลับเอาไว้แล้ว เป็นตั๋วรถไฟเที่ยวอีกสามวันข้างหน้า อาการของแม่ผมกำลังทรงตัว คนที่บ้านหางานในตัวเมืองไว้ให้ผมเรียบร้อย เป็นงานซ่อมรถ…สมัยก่อนตอนเรียนอยู่อาชีวะผมเคยเรียนด้านนี้ แต่ไม่ได้เรียนจนจบ ถึงอย่างนั้นรายได้ก็ค่อนข้างมั่นคง’
ลู่เหยียนยันตัวกับราวข้างทาง หนทางข้างหน้าเหมือนภาพลวงตา ท่ามกลางแสงที่ตัดสลับกันมันดูไม่เหมือนความจริงเอามากๆ
เขาใช้เวลาเดินกลับที่พักถึงหนึ่งชั่วโมงกว่า ในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่านี้ ลู่เหยียนมีเรื่องให้คิดกลับไปกลับมามากมาย
ฤดูร้อนเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นวงของพวกเขาเพิ่งตั้งใหม่ๆ เป็นวงที่พอพูดชื่อออกไปก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ทุกคนเข้าขากันดีมาก ถ้าจะหาคำมาบรรยายก็ต้องบอกว่าร่วมแรงเป็นหนึ่ง พวกเขาใช้แรงกายเพื่อแสดงเจตจำนงว่าเปิดทาง นี่เป็นที่ของเหล่าจือ!
ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019 พวกเขาซ่อนอยู่ในหลุมหลบภัยในเมืองแบบลืมวันลืมคืน เป็นความบ้าคลั่งลำพองที่อยู่ภายในห้องว่างอันเร้นลับ มืดดำ ปิดทึบ
ลู่เหยียนเดินไปถึงหน้าประตูโซนเจ็ด ท่ามกลางซากปรักหักพัง อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สามเปิดไฟสว่างไว้หลายดวง
ขึ้นตึก
เปิดประตู
ลู่เหยียนยืนอยู่ในห้องอาบน้ำแล้วถึงเพิ่งตื่นจากภาพลวงตา น้ำเย็นจัดราดรดศีรษะ พอสระผมทรงไม้กวาดตั้งสูงบนหัวเขาก็ลู่ลงมาแนบสนิท
ผมทรงบ้าบอที่ทำเพื่อการแสดง สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำขึ้นแสดง
บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน
อาจเป็นความเสียใจ
ถ้ารู้แต่แรก เขาจะทุ่มเททำไปเพื่ออะไร
พอลู่เหยียนอาบน้ำเสร็จ เขาไม่สนใจจะเช็ดผมให้แห้ง ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งยันซิงก์ไว้ ส่วนมืออีกข้างหยิบกรรไกรมาเล็งเพื่อหาจุดตัดที่ดีที่สุด
หลังทำไปได้สักพัก น้ำยาย้อมผมก็เริ่มหลุดออก สีแดงกับสีม่วงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำดังเดิม เพียงแต่ยังไม่ค่อยสม่ำเสมอ ยังมีจุดที่เป็นด่างดวงแตกต่างกัน
สุดท้ายลู่เหยียนใช้ความรู้สึกในการตัดผมแบบส่งๆ ไปสองสามฉับ
เศษผมติดหน้า เขาจึงใช้น้ำล้างหน้า เมื่อล้างเสร็จก็ลืมตาดูในกระจก
หลังตัดผมสั้นก็เหลือปลายผมที่ยังเป็นสีย้อมแบบเห็นไม่ชัดอยู่สองสามปอย ลู่เหยียนที่ไม่ได้ตัดผมสั้นมาสองสามปีลูบต้นคอด้านหลังที่เผยออกมาข้างนอกอย่างรู้สึกไม่คุ้นชินเอามากๆ