ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1

ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 5

ตอนลู่เหยียนขับมอเตอร์ไซค์กลับไป คนของบริษัทรื้อถอนเวยเจิ้นเทียนก็ไปกันหมดแล้ว ลู่เหยียนลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วโยนกุญแจไปให้พี่เว่ย “พี่เว่ยครับ ผมคืนลูกชายให้พี่นะ”

พี่เว่ยรับไป เขาเดินวนสำรวจรถมอเตอร์ไซค์แสนรักตั้งแต่แฮนด์ไปจนถึงล้อรอบแล้วรอบเล่า

“เป็นไงครับ” ลู่เหยียนสะบัดข้อมือพลางเอ่ยถาม “ขอค่ารักษาป้าจางคืนมาได้หรือเปล่า”

เมื่อพี่เว่ยมั่นใจว่ารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไม่มีปัญหาอะไรก็ห้อยกุญแจไว้ที่เอว ก่อนจะหัวเราะหึๆ “ได้มาแล้ว สองพันห้า พี่เว่ยของแกออกโรงเองยังจะมีหนี้ที่ทวงไม่ได้อีกเหรอ”

“โม้เก่ง” ลู่เหยียนยอ

“งั้นพี่ไปทำงานแล้วนะ” พี่เว่ยดูเวลา “คืนนี้นายมีขึ้นแสดงใช่หรือเปล่า ถ้าไม่มีคืนนี้เราสองคนไปดื่มด้วยกัน พี่ไม่ได้ดื่มกับนายนานแล้ว”

ตามปกติ นอกจากลู่เหยียนจะไปรับงานพาร์ตไทม์สองสามงานในช่วงกลางวันแล้ว งานหลักของเขาคืองานกลางคืน พอตกเย็นเขาเป็นต้องมุดเข้าไปในผับ

ลู่เหยียน “ไว้วันอื่นดีกว่าครับ ตอนเย็นผมมีงานต้องวิ่ง”

 

ลู่เหยียนชินกับการไปเตรียมตัวที่ผับล่วงหน้าสองชั่วโมง พอใกล้ถึงเวลาเขาก็เริ่มเก็บข้าวของ

เขาเพิ่งจะใส่กางเกงเสร็จ กางเกงยีนเอวต่ำมีโซ่สีทองเกาะอยู่ตรงกระดูกสะโพก ลู่เหยียนเปลือยท่อนบนไปค้นตู้เสื้อผ้าไป เขาหาอยู่นานกว่าจะฉุกคิดได้ว่าวันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมายทำให้เขายังไม่ได้เคลียร์เรื่องสำคัญ

ลู่เหยียนโยนเสื้อกั๊กกลับไป ก่อนจะลงมือค้นเบอร์ของ ‘ซุนเฉียน’ ที่อยู่ในบันทึกการโทรออกมา

เสียงตื๊ดดังอยู่สองครั้งก็มีคนรับสาย

ทันทีที่สายถูกรับก็มีเสียงเพลงไนต์คลับสุดฮิตระเบิดออกมาทำเอาหูแทบดับ และเนื่องจากเสียงที่ว่านั้นดังมาก ตอนเสียงดังลอดโทรศัพท์ออกมาเลยมีเสียงแตกอยู่บ้าง [ซ่าๆๆ สังคมสั่นคลอน! ช็อปนาฬิกาๆ! ฉันฟุบตัวอยู่ในผ้าห่มเก่าๆ! ไม่โยกไม่ได้แล้ว!]

“…”

ลู่เหยียนเอามือถือออกห่างจากหูไปนิดหนึ่ง “พี่เฉียน”

จากนั้นปลายสายถึงมีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังออกมา เสียงพูดดังกว่าเสียงเพลงไนต์คลับ เขาตะโกนเต็มเสียง [รอเดี๋ยว! ฉันกำลังยุ่ง!]

เสียงหายไปพักหนึ่ง

หลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาอีกประโยค [กล้ามาเสพยาในร้านเหล่าจือ…โยนมันออกไปแล้วแจ้งตำรวจด้วย! โยนไปไกลๆ หน่อย เอาให้ห่างจากผับเราไปสักแปดถนน…ลู่เหยียน ตกลงนายมีเรื่องอะไร]

ลู่เหยียนดูปฏิทิน วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคม เขาจึงมีความรู้สึกว่าวิธีเข้าเรื่องสำคัญควรจะต้องอ้อมค้อมนิดหนึ่ง “พี่เฉียนครับ สุขสันต์วันแรงงาน วันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมนะครับ”

ตอนนี้ซุนเฉียนกำลังยืนอยู่หน้าประตูผับ เขาเพิ่งจัดการคนที่เข้าไปแอบในห้องน้ำเสร็จ กำลังอารมณ์เสียได้ที่

[วันผีบ้าอะไร] ซุนเฉียนทนไม่ไหวแล้ว [ลู่เหยียน นายมีอะไรก็รีบพูดมา!]

ลู่เหยียนถึงค่อยบอก “คืองี้ครับ ผมทำผมเสร็จแล้ว เอาใบเสร็จไปเบิกได้ใช่หรือเปล่าครับ”

[อะไรนะ…]

ซุนเฉียนเปิดผับอยู่แถวๆ ย่านการค้าของเมืองซย่าจิง ถึงจะเป็นร้านเก่าแก่แต่นโยบายสมัยนี้เข้มงวดกวดขันมากขึ้นเรื่อยๆ การเปิดผับไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าวัยรุ่นสักกลุ่มมาแอบจัดปาร์ตี้เสพยากันตอนกลางคืนแล้วถูกจับ ต่อให้เขากระโดดลงแม่น้ำหวงเหอเพื่อล้างตัวยังไงก็ล้างไม่สะอาด หากไม่ระวังเป็นได้โดนใบเตือน

ตามปกติแล้วซุนเฉียนงานยุ่งมาก พอได้ยินเรื่องทำผม เขาจึงนึกไม่ออกไปชั่วคราว

จนลู่เหยียนบอก “ไอ้ผมทรงเซ่อซ่าหลากสีที่ดูไกลๆ เหมือนกองไฟ ดูใกล้ๆ เหมือนไม้กวาดนั่นไงครับ ผมขอร้องให้พี่เป็นคนใจดีมีเมตตาหน่อยนะ”

ลู่เหยียนตั้งวงขึ้นมา รวมกันเป็นเด็กหนุ่มสี่คน เล่นประจำที่ร้านของซุนเฉียนมาเกือบสี่ปีแล้ว

อาทิตย์ที่แล้วซุนเฉียนเสนอให้ลู่เหยียนเปลี่ยนไปทำผมที่มีความพิเศษมากขึ้น

แต่…

“พี่เฉียน” ระหว่างที่ซุนเฉียนกำลังใช้ความคิด บาร์เทนเดอร์คนหนึ่งก็เดินออกมาจากในร้าน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอยากคุยด้วย

ซุนเฉียนปวดหัวมาก เขาโบกมือให้บาร์เทนเดอร์คอยเดี๋ยว [ผมทรงนั้นเซ่อซ่าที่ไหน! หล่อเท่ชัดๆ! บอกได้สองคำว่าหล่อโคตร! สมัยพี่เฉียนของนายทำวงตอนหนุ่มๆ ผมทรงนี้ฮิตมาก ตอนนั้นฉันก็ทำทรงนี้ วัยรุ่นอย่างพวกนายสมัยนี้ไร้รสนิยมจริงๆ แต่การแสดงของวงนายคืนนี้แคนเซิลแล้วไม่ใช่เหรอ]

“แคนเซิล?”

[ใช่ เมื่อกี้เอง ต้าหมิงกับซวี่จื่อ* โทรมาหาฉัน บอกว่ามาไม่ได้ ฉันนึกว่าพวกนายคุยกันแล้วซะอีก ฉันยังถามพวกเขาเลยว่านายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า แต่พวกเขาสองคนอึกๆ อักๆ อยู่นานกว่าจะบอกว่ารู้แล้ว]

ระหว่างที่ซุนเฉียนพูด ปลายสายก็เงียบเสียงไป

ซุนเฉียนอยากถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สุดท้ายพูดออกไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก [พวกนาย…เฮ้อ]

จนลู่เหยียนวางสายก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองพูดอะไรออกไป และเขาบอกอะไรซุนเฉียนบ้าง

สมองเขาว่างอยู่นานมาก

เสียงมือถือดังขึ้น บนนั้นมีข้อความที่เหมือนกันสองข้อความ

ข้อความหนึ่งเป็นของหวงซวี่ ส่วนอีกข้อความเป็นของเจียงเย่าหมิง

 

[หวงซวี่] / [เจียงเย่าหมิง] พี่ครับ เราสองคนไม่ทำแล้วนะ

 

ข้อความต่อมาคือคนที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งรู้เรื่องนี้

 

[หลี่เจิ้น] ??????

[หลี่เจิ้น] นี่มันเกิดอะไรขึ้น! พวกเขาพูดจาเหลวไหลอะไร!

[หลี่เจิ้น] วันนี้เป็นวันแห่งการโกหกเหรอ

[หลี่เจิ้น] แต่วันนี้มันวันแรงงานนะ!

[หลี่เจิ้น] ชิบ เรื่องจริงงั้นเหรอ?!

 

ลู่เหยียนจ้องจอมือถือก่อนจะหลับตา และเมื่อลืมตาอีกครั้งเขาก็พิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘เอาจริง แล้วพิมพ์เพิ่มอีกสองประโยค

 

[ลู่เหยียน] ทั้งสองคนออกมาเจอกันหน่อย

[ลู่เหยียน] ที่เดิมนะ

 

พอลู่เหยียนส่งข้อความเสร็จ เขาก็ไม่สนใจแล้วว่าหลี่เจิ้นจะตอบว่าอะไร ชายหนุ่มโยนมือถือไปด้านข้าง

สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่วอลล์เปเปอร์ที่เป็นด่างดวง บนนั้นมีโปสเตอร์แปะอยู่ ถึงจะบอกว่าเป็นโปสเตอร์ แต่ความจริงเป็นรูปที่ลู่เหยียนถ่ายเองแล้วพริ้นต์ออกมา

ฉากในโปสเตอร์เป็นผับ มีไฟสลัวส่องลงมาจากเหนือศีรษะ ทำให้เวทีที่ฝืนเบียดกันได้สี่คนเหมือนจะเปล่งประกาย

ด้านล่างเวทีเป็นมือที่ชูสูง

พวกเขาเร้นตัวอยู่ในความมืดและส่งเสียงเชียร์ตามวิธีของตัวเอง

บนเสาหน้าเวทีแขวนผ้าเอาไว้หนึ่งผืน

ผ้าผืนนั้นมีลักษณะเหมือนธง บนนั้นมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษสี่ตัวว่า ‘VENT’

ด้านล่างสุดของโปสเตอร์เขียนว่า

 

‘สมาชิกของวง นักร้องนำ-ลู่เหยียน, มือกลอง-หลี่เจิ้น, มือกีตาร์-หวงซวี่, มือเบส-เจียงเย่าหมิง’

 

ที่เดิมที่ลู่เหยียนบอกคือแผงลอยข้างถนน

ตามปกติพอทำการแสดงเสร็จ พวกเขามักจะมาดื่มเหล้า คุยเรื่องเพลง คุยเรื่องการแสดง คุยเรื่องสัพเพเหระสนุกๆ กันที่นี่เป็นประจำ

ตอนที่หวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงโผล่ออกมาตรงทางตัดข้างหน้า บาร์บีคิวก็ถูกย่างไปพอสมควรแล้ว หลี่เจิ้นคนเดียวดื่มเบียร์หมดไปสองขวด เขากอดขวดเบียร์พลางระบายความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว “จะบอกให้เร็วหรือช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ดันเลือกมาบอกเอาตอนจะเริ่มทำการแสดงเนี่ยนะ มีเรื่องอะไรที่ทุกคนคุยกันไม่ได้? ฮะ? พี่น้องกันนะโว้ย พี่น้องกัน ทำกันแบบนี้เหรอ”

ลู่เหยียนนั่งอยู่ข้างเขา เคาะเถ้าบุหรี่ทิ้ง ไม่พูดอะไร

“พี่เหยียน พี่เจิ้น” หวงซวี่ตัวไม่ได้สูง รูปร่างผอมบาง เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงลังเลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประดักประเดิด “ทรงผมพี่เหยียนอินเทรนด์มากเลยนะครับ”

เจียงเย่าหมิงยืนอยู่ด้านหลัง ผงกศีรษะ “อินเทรนด์มากจริงๆ มองเห็นได้แต่ไกลเลย”

ทั้งสี่คนนั่งโต๊ะเดียวกัน บรรยากาศอึมครึม

ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมวงที่อยู่ด้วยกันมานานถึงสี่ปี ลู่เหยียนจึงทำลายความเงียบว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไหนว่ามาซิ”

หวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงสองคนก้มหน้า ไม่พูดไม่จา สักพักหวงซวี่ถึงพูดเสียงตะกุกตะกัก “แม่ผมป่วย…”

พวกเขาสองคนเหมือนกันมาก ตอนอายุสิบหกแบกเครื่องดนตรีตระเวนไปทั่วท่ามกลางการคัดค้านอย่างเต็มกำลังของคนที่บ้าน ไม่มีใครเข้าใจว่าอะไรคือวงดนตรี อะไรคือ ‘ร็อกแอนด์โรลไม่มีวันตาย’

แต่ในเวลาเดียวกันกับที่ชีวิตมอบความกล้าให้แก่พวกเรา มันก็คอยสอนให้พวกเรายอมแพ้อยู่เรื่อยๆ

จะทำวงได้สักกี่ปี

จะอยู่ใต้ดินได้สักกี่ปี

การฝึกแบบไม่แยกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนด้วยอารมณ์เร่าร้อนตอนนี้ตกค่ำเป็นต้องนอนตาค้างอยู่บนเตียงเพราะนอนไม่หลับ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองไม่หยุดคือความคิดที่ไม่รู้ว่าแตกหน่องอกรากออกมาตอนไหนว่าพอได้แล้วมั้ง

ความจริงการแยกวงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด

มีให้เห็นบ่อยถมเถไป

หลายปีมานี้ในงานซ้อมใหญ่ของหลุมหลบภัย วงดนตรีหลากหลายรูปแบบในหลุมหลบภัยล้วนมาแล้วไป เป็นวงแล้วแยกวง

ความฝันแสนแพรวพราว ความจริงแสนจริงแท้ ตอนเป็นวัยรุ่นบุกตะลุยเพื่อปณิธาน ไล่ตามความฝัน แต่พอผ่านไปหลายปีถึงค่อยรู้ว่าสุดท้ายมันมีสายใยที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้อยู่บนตัว พอมันออกแรงกระตุก ก็ต้องกลับไป

ลู่เหยียนจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองสูบบุหรี่ไปกี่ตัว “…ร่างกายของคุณน้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตัดสินใจแล้วใช่ไหม”

หวงซวี่เงยหน้าทันควัน เขากลั้นไว้ต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลริน พูดเสียงสะอื้น “พี่เหยียน”

อันที่จริงลู่เหยียนไม่เก่งเรื่องการรับมือกับบรรยากาศเศร้าๆ แบบนี้ เขาจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบเหล้าจากตู้แช่ “คุยกันดีๆ อย่ามางอแงต่อหน้าเหล่าจือ”

หลี่เจิ้นวางขวดเหล้าที่กอดลงพลางว่า “ร้องไห้แงๆ หาอะไร คนไม่รู้จะนึกว่าเราเล่นซีรี่ส์ดราม่าที่ฉายตอนสองทุ่ม”

มื้อส่งท้ายมื้อนี้กินกันถึงสี่ทุ่มกว่า

กิจการของแผงเซาเข่า* ดีมาก เด็กหลายคนมารวมตัวกันที่แผง เขตซย่าเฉิงไม่ใช่พื้นที่ที่เจริญที่สุด แต่คนในพื้นที่ต่างคนต่างก็พยายามแข่งขันเพื่อที่จะเอาชนะกัน เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ข้อดีเพียงข้อเดียวของเขตพื้นที่นี้คือกลางคืนมองเห็นดาว

ท้องฟ้าในวันนี้เป็นเหมือนกับทุกๆ วัน

หลังอาหารมื้อนี้สิ้นสุด ลู่เหยียนไม่ได้นั่งรถสาธารณะ แต่ใช้วิธีเดิน เนื่องจากดื่มเหล้าไปเยอะเกินไป พอเดินไปได้ครึ่งทาง กระเพาะก็ตีกลับเลยต้องนั่งยองเพื่ออาเจียนแห้ง

อาจเพราะดื่มไปเยอะ ชายหนุ่มจึงมองเงาที่เกิดจากไฟริมทางแล้วนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนเจอหวงซวี่กับเจียงเย่าหมิงครั้งแรก

อันที่จริงฝีมือการเล่นของสองคนนี้ไม่ได้โดดเด่นนัก ที่เขากับหลี่เจิ้นไปเจอก็เพราะพวกเขาไปเทสต์กับวงอื่นแล้วไม่ได้รับเลือก แต่ตอนนั้นเด็กหนุ่มสองคนนี้มีไฟเต็มตัว เวลาพูดถึงดนตรีดวงตาจะเป็นประกาย

ในสมองมีภาพหมุนวนภาพแล้วภาพเล่าจนมาถึงแผงเซาเข่า ดวงตาของหวงซวี่ไร้ประกายตอนบอกว่า ‘ผมซื้อตั๋วรถเที่ยวกลับเอาไว้แล้ว เป็นตั๋วรถไฟเที่ยวอีกสามวันข้างหน้า อาการของแม่ผมกำลังทรงตัว คนที่บ้านหางานในตัวเมืองไว้ให้ผมเรียบร้อย เป็นงานซ่อมรถ…สมัยก่อนตอนเรียนอยู่อาชีวะผมเคยเรียนด้านนี้ แต่ไม่ได้เรียนจนจบ ถึงอย่างนั้นรายได้ก็ค่อนข้างมั่นคง’

ลู่เหยียนยันตัวกับราวข้างทาง หนทางข้างหน้าเหมือนภาพลวงตา ท่ามกลางแสงที่ตัดสลับกันมันดูไม่เหมือนความจริงเอามากๆ

เขาใช้เวลาเดินกลับที่พักถึงหนึ่งชั่วโมงกว่า ในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่านี้ ลู่เหยียนมีเรื่องให้คิดกลับไปกลับมามากมาย

ฤดูร้อนเมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นวงของพวกเขาเพิ่งตั้งใหม่ๆ เป็นวงที่พอพูดชื่อออกไปก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ทุกคนเข้าขากันดีมาก ถ้าจะหาคำมาบรรยายก็ต้องบอกว่าร่วมแรงเป็นหนึ่ง พวกเขาใช้แรงกายเพื่อแสดงเจตจำนงว่าเปิดทาง นี่เป็นที่ของเหล่าจือ!

ตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2019 พวกเขาซ่อนอยู่ในหลุมหลบภัยในเมืองแบบลืมวันลืมคืน เป็นความบ้าคลั่งลำพองที่อยู่ภายในห้องว่างอันเร้นลับ มืดดำ ปิดทึบ

ลู่เหยียนเดินไปถึงหน้าประตูโซนเจ็ด ท่ามกลางซากปรักหักพัง อาคารหมายเลขหก ยูนิตที่สามเปิดไฟสว่างไว้หลายดวง

ขึ้นตึก

เปิดประตู

ลู่เหยียนยืนอยู่ในห้องอาบน้ำแล้วถึงเพิ่งตื่นจากภาพลวงตา น้ำเย็นจัดราดรดศีรษะ พอสระผมทรงไม้กวาดตั้งสูงบนหัวเขาก็ลู่ลงมาแนบสนิท

ผมทรงบ้าบอที่ทำเพื่อการแสดง สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกนำขึ้นแสดง

บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน

อาจเป็นความเสียใจ

ถ้ารู้แต่แรก เขาจะทุ่มเททำไปเพื่ออะไร

พอลู่เหยียนอาบน้ำเสร็จ เขาไม่สนใจจะเช็ดผมให้แห้ง ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งยันซิงก์ไว้ ส่วนมืออีกข้างหยิบกรรไกรมาเล็งเพื่อหาจุดตัดที่ดีที่สุด

หลังทำไปได้สักพัก น้ำยาย้อมผมก็เริ่มหลุดออก สีแดงกับสีม่วงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำดังเดิม เพียงแต่ยังไม่ค่อยสม่ำเสมอ ยังมีจุดที่เป็นด่างดวงแตกต่างกัน

สุดท้ายลู่เหยียนใช้ความรู้สึกในการตัดผมแบบส่งๆ ไปสองสามฉับ

เศษผมติดหน้า เขาจึงใช้น้ำล้างหน้า เมื่อล้างเสร็จก็ลืมตาดูในกระจก

หลังตัดผมสั้นก็เหลือปลายผมที่ยังเป็นสีย้อมแบบเห็นไม่ชัดอยู่สองสามปอย ลู่เหยียนที่ไม่ได้ตัดผมสั้นมาสองสามปีลูบต้นคอด้านหลังที่เผยออกมาข้างนอกอย่างรู้สึกไม่คุ้นชินเอามากๆ

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com