everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย
บทที่ 6
หลังมื้อเลี้ยงส่ง ลู่เหยียนไม่ได้ออกจากบ้านสองวัน
นอกจากนอนแล้ว เขาก็แทบไม่ได้ทำอย่างอื่น พอหิวก็ต้มบะหมี่ กินเสร็จก็ล้มตัวลงนอน
มือถือแบตฯ หมด เครื่องเลยดับไปโดยอัตโนมัติ ทว่าลู่เหยียนไม่สนใจ เอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
เขาบอกไม่ได้ว่าเวลานี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ กำลังหนีหรือทำใจ
หลังเจียงเย่าหมิงกับหวงซวี่ออกจากวง การแสดงทั้งหมดของวงก็หยุดชะงักเป็นการชั่วคราว และไม่ใช่แค่การแสดง แม้แต่ช่วงเวลาที่ใช้สำหรับซ้อมใหญ่ประจำสัปดาห์ที่เคยมีอยู่มากมายตอนนี้เวลาเหล่านี้กลับถูกลบให้กลายเป็นความว่างเปล่า
ความว่างนี้ค่อยๆ รัดพันเหมือนเถาวัลย์ที่มองไม่เห็น
อันที่จริงชีวิตของลู่เหยียนก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมาก
ในที่สุดเช้าวันที่สามเขาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้า โกนตอหนวดที่ขึ้นมาอย่างประณีตจนเกลี้ยงเกลาก่อนไปทำผมใหม่ที่ร้านตัดผม จากนั้นก็กลับมาต้มน้ำร้อน ระหว่างคอยน้ำเดือด เขาตั้งใจหาสายชาร์จ แต่ค้นตู้อยู่นานสองนานกลับเจอแผ่นซีดีที่มีภาพวาดหยาบๆ แผ่นหนึ่ง
มันเป็นอัลบั้มแรกของวงพวกเขา
โดยเฉพาะการตั้งชื่อนั้นดูเบียว* เสียเหลือเกิน นั่นก็คือ ‘ปีศาจกินคน’
ลู่เหยียนเป็นคนวาดปกอัลบั้มเอง เขาวาดหัวแพะภูเขาด้วยอารมณ์ศิลปินแนวแอ็บสแตร็กต์ ชายหนุ่มไม่เคยเรียนวาดรูป แต่เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ถูกนำไปลงกับห้องอัดแล้ว เขาเลยจำเป็นต้องทำเอง
เพลงไตเติ้ลมีเอกลักษณ์โดดเด่น จุดที่เสียงสูงที่สุดในเพลงเริ่มด้วยเสียงใสทุ้มต่ำสองประโยคของลู่เหยียน จากนั้นก็เป็นการรัวกลอง ใส่ทำนองแบบจัดเต็ม
“ทุบอดีตให้แหลก
ยังจะเหลือไว้ให้ใคร
รีบไปสิ
รีบไปสิ
รีบไปสิ
เรียกหาเทพอะไรล่ะ
ต่อให้ต้องร่วงลงมาไม่หยุดก็ไม่เป็นไร”
จังหวะรุนแรงมีความบ้าคลั่งราวกับอยากฉีกทึ้งทุกสิ่ง
อัลบั้มถูกส่งไปขายที่ร้านขายแผ่นเสียงแล้วปรากฏว่าขายดีเกินคาด เจ้าของร้านขายแผ่นเสียงหยอกพวกเขาเล่นว่า ‘เมื่อไหร่จะเปิดคอนเสิร์ตล่ะ’
‘สักวันครับ’ ตอนนั้นเจียงเย่าหมิงปาดเหงื่อ พูดอย่างมีไฟ ‘เราจะต้องไปยืนอยู่บนเวทีที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุด!’
ลู่เหยียนหาสายชาร์จเจอแล้วก็เสียบเข้ากับมือถือ พอเครื่องบูตอัตโนมัติ ลู่เหยียนก็เห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายมากมาย
ซุนเฉียน หลี่เจิ้น หวงซวี่…
ลู่เหยียนโทรกลับหาซุนเฉียนก่อนเป็นคนแรก
การแคนเซิลการแสดงแบบกะทันหันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีการประกาศเรื่องการแสดงออกไปหลายวันแล้ว การแคนเซิลอย่างกระชั้นชิดย่อมต้องส่งผลกระทบต่อผับ ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องชดใช้ให้ซุนเฉียน
แต่ซุนเฉียนเป็นคนใจกว้างเปิดเผย ไม่ใช่คนที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้ เทียบกับเรื่องการแสดงแล้ว เขากลับนึกห่วงวัยรุ่นสี่คนนี้มากกว่า [จะขอโทษอะไรฉันนักหนา สุดท้ายแล้วพวกนายสี่คนคุยกันว่าไง]
ลู่เหยียนไม่พูดมาก เพียงแค่บอกไปว่า “ที่บ้านพวกเขาสองคนมีปัญหาครับ”
เมื่อก่อนซุนเฉียนเคยเล่าว่าเขาเคยทำวงตอนสมัยหนุ่มๆ ไหนเลยจะฟังความหมายจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังประโยค ‘ที่บ้านมีปัญหา’ ไม่ออก
วงประจำโรงเรียนที่เขาตั้งขึ้นมาในตอนนั้นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ทุกคนต่างแยกกันไปหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำงาน แต่งงาน มีลูก…
ซุนเฉียนถอนหายใจอยู่ในอกเงียบๆ
วงของพวกลู่เหยียนไม่ใช่วงแรกที่มาเล่นประจำที่ผับของเขา วัยรุ่นกลุ่มนี้ตั้งวงกันมาแล้วก็แยกกันไป แต่แน่นอนว่าชื่อวง ‘จอมปีศาจ’ นี้เป็นวงที่เล่นประจำมานานที่สุด
สี่ปี
ในช่วงระยะเวลาสี่ปีนี้เขามีความรู้สึกแบบไหนกัน ซุนเฉียนจำได้ว่าตอนนั้นลู่เหยียนเป็นนักร้องนำที่ไม่เคยขึ้นเวทีมาก่อน
ทักษะการคุมเวทีของเขาไม่เอาอ่าวเสียเลย จนเกิดอุบัติเหตุระหว่างการแสดงเป็นระยะ ไมค์ตกเวทีสองสามครั้ง ครั้งที่หนักที่สุดคือคนร่วงลงจากเวทีไปพร้อมกับไมค์
ซุนเฉียนมีความรู้สึกว่าขนาดคนนอกอย่างตนยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แล้วนับประสาอะไรกับลู่เหยียน เขาจึงปลอบอีกฝ่ายว่า [ชีวิตคนเราก็แบบนี้ ความฝันมันลวงตา บางครั้งเราคุยเรื่องความฝันเอาไว้มาก แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม โดยเฉพาะร็อกแอนด์โรล…นายอย่าท้อใจเลย วงการเรามันก็เป็นแบบนี้ อยู่ใต้ดินยังพอได้ แต่ถ้าอยากจะขึ้นไปอยู่บนดินมันยากมาก]
ลู่เหยียนไม่พูดอะไร
ซุนเฉียน [ชีวิตน่ะนะบางครั้งมันจะสอนให้นายรู้จักการประนีประนอม]
ซุนเฉียนกำลังพูดๆ อยู่ ทันใดนั้นลู่เหยียนกลับเรียกเขา “พี่เฉียนครับ”
ซุนเฉียน [?]
“แต่ผมคิดว่า…” ตอนที่ลู่เหยียนพูดนั้นมันเหมือนกับว่าความรู้สึกของเขาได้ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ครึ่งประโยคหลังของชายหนุ่มจึงทอดเสียงช้าลงมาก “…ชีวิตไม่เคยเป็นสิ่งที่จะประนีประนอมกันได้”
ซุนเฉียนฟังคำพูดประโยคนี้แล้วนิ่งงันไป
ลู่เหยียน “เลิกคุยกันดีกว่าครับพี่เฉียน อีกเดี๋ยวผมยังต้องไปส่งพวกเขาสองคนที่สถานีรถไฟ”
ลู่เหยียนเก็บของเตรียมออกเดินทาง อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังสนั่นมาจากนอกประตู
เป็นเสียงเตะประตู
ตามมาด้วยเสียงอาละวาดที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของหญิงสาวแปลกหน้า “นังไพร่ มายั่วผัวคนอื่นแล้วยังคิดว่าวันนี้จะรอดไปอีกเหรอ ออกมานะ…”
ทันใดนั้นห้องหกศูนย์หนึ่งก็เปิดประตู
ผู้หญิงห้องหกศูนย์หนึ่งเป็นคนที่ลู่เหยียนไม่รู้จักชื่อ วันนี้เธอสวมชุดเดรสเปลือยหลังสีดำ แต่งตัวแบบคนที่ขายเรือนร่าง ท่าทางเหมือนเพิ่งจะกลับมาถึงที่พักได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ล้างเครื่องสำอาง หน้าตามีแต่แววเหนื่อยล้า ลิปสติกกับอายแชโดว์หนาเตอะ นับเป็นความสวยที่ดูราคาถูกมาก
เธอพิงกรอบประตู นิ้วคีบบุหรี่สำหรับผู้หญิงมวนเรียวยาว พอเธอเปิดประตูห้องหกศูนย์หนึ่งก็ถูกผู้หญิงแปลกหน้าที่มาทุบประตูตบจนหน้าหันหนึ่งฉาด
แต่เหมือนเธอจะไม่ใส่ใจเลยสักนิด หญิงสาวทัดผมที่ตกลงมาข้างแก้มไว้ที่หลังใบหู อัดควันเข้าปอดหนึ่งครั้ง “พอได้แล้วหรือยัง”
“ไม่รู้จักดูแลผู้ชายของตัวเองให้ดีเอง” เธอหัวเราะตอนพ่นควัน “จะวิ่งมาโวยวายกับฉันทำไม”
คำพูดประโยคนี้ยั่วให้หญิงแปลกหน้าตาแดง
แต่สาวห้องหกศูนย์หนึ่งไม่คิดจะเจรจากับเธอให้มากกว่านี้ เพียงแค่บอกว่า “ถ้าเธอยังไม่ไปอีก ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“เธอจะแจ้งตำรวจ? แจ้งเลย ฉันจะดูซิว่าตำรวจจะจับฉันก่อน หรือจับกะหรี่แบบเธอก่อน…”
เสียงที่เปล่งคำว่ากะหรี่ออกมาแหลมปรี๊ดจนเหมือนจะกรีดแยกอากาศ
สาวห้องหกศูนย์หนึ่งไม่พูดอะไรทั้งสิ้นก่อนจะปิดประตู
ลู่เหยียนที่มองเห็นละครตลกฉากนี้เข้าเต็มๆ รู้สึกวางหน้าไม่ถูก พอเห็นประตูห้องหกศูนย์หนึ่งตอนนี้ มันทำให้เขานึกถึงคุณชายใหญ่นิสัยแย่คนนั้น
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็หาความเชื่อมโยงระหว่างสองคนนี้ไม่ได้เลย
เขามาหาเธอด้วยเรื่องอะไร
เขาอยากพูดอะไรกับเธอเหรอ
แต่คุณชายใหญ่บอกว่าไม่จำเป็นแล้ว
ลู่เหยียนกำลังรู้สึกขัดแย้งว่าเขาควรยุ่งเรื่องของชาวบ้านดีหรือไม่
…ช่างเถอะ
ลู่เหยียนดึงสายตากลับมา
ในใจบอกว่าจะยุ่งให้มากความไปเพื่ออะไร
ตั๋วที่ทั้งเจียงเย่าหมิงกับหวงซวี่ซื้อคือตั๋วรถไฟไปเมืองชิงตอนสิบโมงเช้าของวันนี้ หลี่เจิ้นตั้งใจว่าจะโทรบอกเรื่องนี้กับลู่เหยียนเพื่อที่จะถามเขาว่าจะไปส่งคนทั้งสองหรือไม่ แต่กลับโทรไม่ติด
สถานีรถไฟคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
อากาศร้อนอบอ้าว ทุกที่รอบตัวมีแต่ผู้คนที่เหงื่อไหลไคลย้อยซึ่งกำลังรีบเร่งเดินทาง
ลู่เหยียนมองเห็นสมาชิกสองคนของวงพวกเขาอยู่ในกระแสธารของผู้คนที่ลากกระเป๋าเดินทาง แบกสัมภาระ พร้อมด้วยหลี่เจิ้น ท่ามกลางฝูงชนที่ไหลไปไม่หยุดมีเพียงพวกเขาสองคนที่แบกกระเป๋าเครื่องดนตรีไว้บนหลัง
การมาต่อสู้ที่เมืองซย่าจิงสี่ปีไม่ได้ทำให้สัมภาระของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น
ลู่เหยียนยังเดินไปไม่ถึง หวงซวี่ก็มองเห็นเขาได้แต่ไกล
“พี่เหยียน!” หวงซวี่ตะโกน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเซอร์ไพรส์ “เปลี่ยนทรงผมแล้วเหรอครับ”
ลู่เหยียนยิ้ม “อืม เป็นไง”
หวงซวี่ “หล่อ”
เขากลัวลู่เหยียนจะไม่เชื่อเลยย้ำอีกรอบ “หล่อจริงๆ แต่หล่อไม่เหมือนเมื่อก่อน”
หลังตัดผม ลู่เหยียนดูไม่ได้เป็นกบฏต่อสังคมเหมือนเมื่อก่อน เห็นเครื่องหน้าชัดขึ้น พอปอยผมตรงหน้าผากถูกลมพัดก็กลายเป็นทรงแสกกลาง
“เมื่อคืนฉันโทรหานายไม่ติด ยังนึกว่านายจะไม่มา” หลี่เจิ้นเอ่ย
“มือถือแบตฯ หมด ลืมชาร์จ”
“ยอมนายเลย ทำไมถึงไม่ลืมตัวเองไปด้วยเลยล่ะฮะ”
“ยุ่งน่า นี่ก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ” ลู่เหยียนเอาขนมที่ซื้อเตรียมไว้ส่งให้ “กลัวพวกนายมัวแต่จัดการนู่นนี่ ฉันซื้อมาไม่ได้เยอะอะไร เอาไปแบ่งกันนะ”
“จะซื้อของพวกนี้มาทำอะไร” เจียงเย่าหมิงรับมา “พวกเราก็มี”
ลู่เหยียนพูดเสียงเด็ดเดี่ยว “ดีเลย งั้นคืนมาให้ฉัน”
เจียงเย่าหมิง “พี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
ลู่เหยียน “คืนมาให้ฉัน”
“มีที่ไหนเอาของที่ให้คนอื่นไปแล้วคืน”
พวกเขายังคงบ่นเรื่องขนมราคาสองสามเหมาที่ไม่มีสารอาหาร ลู่เหยียนเงยหน้ามองตารางรายงานรถไฟขาเข้าบนหน้าจอที่เปลี่ยนเป็นอันล่าสุด จากเมืองซย่าจิงไปเมืองชิง รถไฟขบวนที่เคหนึ่งสองหก “เช็กตั๋วแล้วใช่ไหม”
“เอาบัตรประชาชนมาครบแล้วใช่ไหม”
“เอามาแล้วครับ กลับไปผมจะส่งของประจำเมืองชิงมาให้พวกพี่! เจียงปิ่ง* ของเราสุดยอดจริงๆ…”
ขณะที่เจียงเย่าหมิงกำลังพูดอยู่นั้น ลู่เหยียนก็ก้าวออกไปตบไหล่เขากับหวงซวี่ “ได้ ฉันจะคอยนะ เดินทางปลอดภัย”
หลี่เจิ้นก็เข้าไปร่วมวงด้วย
ภาพที่ผู้ชายตัวโตๆ สี่คนกอดไหล่กันนั้นนับว่าไม่น่าดูเป็นอย่างมาก ลู่เหยียนเตรียมจะปล่อยมือแล้วถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว เขาได้ยินหวงซวี่พูดเสียงเบาสามพยางค์ออกมากลางวงที่เขาทั้งสี่คนเอาหัวชนกันว่า “ผมขอโทษ”
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกมากจริงๆ
เพื่อนร่วมวงที่อยู่ด้วยกันมาสี่ปีกำลังจะแยกกันไปคนละทิศละทางแล้ว
เมืองซย่าจิงกับเมืองชิงอยู่ห่างกันถึงสองพันกว่ากิโลเมตร
ลู่เหยียนเข้าใจว่าตัวเองทำใจมาสองวันน่าจะโอเคแล้ว แต่พอมาถึงตอนนี้ เขาถึงเพิ่งรู้ซึ้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทุกสิ่งที่เขาเตรียมไว้ในสมองช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาสองคนต้องไปแล้วจริงๆ
ถึงหลายปีมานี้ฝีมือการเล่นกีตาร์ของหวงซวี่จะไม่ได้คืบหน้ามาก แต่ต่อไปเขาจะไม่ได้ยินมันอีกแล้ว
เจียงเย่าหมิงชอบติงว่าอารมณ์เบสของตัวเองต่ำเกินไป ตอนอยู่ในห้องอัดเลยแอบปรับระดับเสียงของตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้ตอนแสดงเมื่อไปอยู่ใกล้กับลำโพงก็มีเสียงดังปัง
ที่ข้างหูมีเสียงเบาแสนเบาดังมาอีกหนึ่งประโยค “ผมขอโทษ”
ประโยคนี้เป็นของเจียงเย่าหมิง
“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับขบวนรถเคหนึ่งสองหกกรุณาเตรียมตรวจตั๋วเพื่อขึ้นรถด้วยค่ะ”
เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นรถไฟดังขึ้นเป็นรอบที่สองแล้ว ทั้งคู่ก้มหน้าหาตั๋วกับบัตรประชาชน ลากกระเป๋าเดินทางเตรียมไปตรวจตั๋ว พลันได้ยินเสียงลู่เหยียนดังมาจากด้านหลังของพวกเขาว่า “…พวกนายสองคนเล่นพอหรือยัง”
“จะขอโทษทำไม เอาคำขอโทษกลับไปให้หมด”
“อยากออกจากวงเหรอ”
“ทำเรื่องขอออกจากวงให้ฉันหรือยัง”
คำพูดที่พูดโพล่งออกมาแบบรัวๆ เหมือนประทัดกำลังระเบิดของลู่เหยียนทำเอาอีกสามคนงุนงงไปเลย
“คิดดีนี่”
“ไม่ว่าพวกนายสองคนจะอยู่ที่ไหน ต่อไปจะทำอะไร จะไปขายเจียงปิ่งที่เมืองชิงหรือปลูกต้นหอมอยู่บ้านนอก พวกนายจะเป็นส่วนหนึ่งของ VENT ไปตลอดกาล”
สุดท้ายลู่เหยียนก็พูดว่า “นี่ไม่ใช่การออกจากวงและไม่ใช่การแยกวง วง VENT จะไม่แยกกัน”
หลี่เจิ้นได้สติ “ใช่! ไม่แยกกัน! แต่ขายเจียงปิ่งยังพอว่า ไอ้ปลูกต้นหอมนี่มันอาชีพพิลึกกึกกืออะไรวะ…”
จบประโยคนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรไปพักหนึ่ง
เจียงเย่าหมิงหันหลัง ยกมือเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของหวงซวี่ค่อยๆ แดงขึ้นจนกระทั่งน้ำตาริน “พี่เหยียน…”
ลู่เหยียนพูดจบก็รู้สึกซาบซึ้งมาก ยิ่งเห็นท่าทางของหวงซวี่ ก็ยิ่งทำให้อยากยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเขา
ผลคือวินาทีต่อมาหวงซวี่พูดด้วยน้ำเสียงขาดห้วงปนสะอื้นว่า “เหยียน…พี่เหยียน ผมไปแล้ว พี่ต้องตั้งใจหัดกีตาร์ของพี่นะ…พี่เล่นกีตาร์ได้กากจริงๆ แย่มาก”
“พี่เล่นแย่แล้วยังเรื่องมากอีก น่ารำคาญมากจริงๆ ไม่ใช่มือกีตาร์ทุกคนจะพูดง่ายเหมือนผมนะ เก่ง…เก่งจริงพี่ต้องเล่นเอง…”
มือของลู่เหยียนที่ยื่นออกไปชะงักค้าง
หวงซวี่ร้องไห้จนเกือบสะอึกแต่ยังคงพูดต่อ “พี่ว่านิ้วพี่ยาวขนาดนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร…”
ลู่เหยียน “…”
ลู่เหยียนอยากเอาคำพูดก่อนหน้านี้ของตัวเองกลับคืนมามาก
ยุบวงนี้ไปเลยดีกว่า
ภาพการรวมตัวครั้งสุดท้ายจึงเกือบเป็นการที่หลี่เจิ้นต้องลากตัวลู่เหยียนไว้เพื่อไม่ให้เขาอัดเพื่อนร่วมวงในที่สาธารณะ เจียงเย่าหมิงกับหวงซวี่ร้องไห้ขณะส่งตั๋วให้เจ้าหน้าที่และบอกลา
สุดท้ายรถไฟที่มุ่งหน้าไปเมืองชิงก็ได้พาเด็กหนุ่มวงร็อกสองคนที่เคยแบกเครื่องดนตรีมาถามที่หน้าประตูหลุมหลบภัยว่า ‘วงของพวกพี่กำลังเปิดรับคนหรือเปล่าครับ’ จากไปในฤดูร้อน
* จื่อ เป็นคำนามบางครั้งจะใช้ในการเรียกขานชื่อบุคคล
* เซาเข่า คือเนื้อเสียบไม้ปิ้งย่าง
* เบียว มาจากคำว่าจูนิเบียว (Chuunibyou) เป็นคำสแลงในภาษาญี่ปุ่นที่นำมาใช้นิยามโรคเด็ก ม.2 (Middle School 2nd Year Syndrome) หมายถึงการแสดงออกว่าตนเองรู้ไปหมดทุกสิ่ง โดยการแสดงออกที่ว่านี้เป็นไปในเชิงเสียดสีคนที่โตกว่า รวมถึงการคิดว่าตนเองดีกว่า เหนือกว่าทุกคน หรืออาจถึงขั้นคิดว่าตนเองมีพลังวิเศษ
* เจียงปิ่ง คือแป้ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายเครป มักใส่ไข่ ผัก หรือเนื้อต่างๆ ก่อนจะห่อเป็นชิ้นเพื่อให้กินง่าย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 4 ต.ค. 65