everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย
บทที่ 8
ชื่อฟังดูไม่แย่
แต่นิสัย
ลู่เหยียนนึกถึงใครอีกคนที่แซ่เดียวกันกับคนที่เขารับงานเข้าเรียนแทน แต่เขาไม่รู้ว่าคนคนนั้นมีชื่อจริงว่าอะไร
คนแซ่เซียวต้องหยิ่งแบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ
การที่อีกฝ่ายปฏิเสธคำขอเป็นเพื่อนของลู่เหยียนทำเอาคู่สนทนาวางตัวไม่ถูกเอามากๆ เหมือนกัน เขาขอโทษรัวๆ
[คู่สนทนา] ฉันเบลอเอง ฉันลืมบอกเรื่องนี้ให้พี่รู้ นายคอยเดี๋ยวนะ โทษที
ตอนเซียวหังได้รับคำขอเป็นเพื่อน เขากำลังชงนมอยู่ในครัว ชายหนุ่มเคลื่อนไหวไม่สะดวกจนรู้สึกรำคาญ เนื่องจากบนตัวเขามีเป้อุ้มทารกอันหนึ่งทำให้บริเวณหน้าอกโป่งพอง ดูผิดปกติ
เซียวหังก้มมองเจ้าตัวที่ทำให้หน้าอกเขาโป่งพอง
แล้วก็เจอดวงตากลมโตใสแจ๋วคู่หนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นโตมากเป็นพิเศษ คล้ายองุ่นดำสองเม็ด
ทารกน้อยอายุยังไม่ถึงสี่เดือน น่าจะกำลังหิว พอได้กลิ่นนมแต่ยังไม่ได้ดื่มสักทีเลยหลับตาแล้วเริ่มร้องไห้ “แว้…”
เขาร้องงอแงไม่หยุดราวกับถูกบิดเปิดก๊อก
น้ำเสียงของเซียวหังฟังดูไม่ดีเอามากๆ “จะร้องทำไม”
ทารกน้อยยังคงร้องอยู่
เซียวหัง “เลิกร้องได้แล้ว รำคาญ”
เสียงร้องยังไม่หยุด
เซียวหังสะกดความรู้สึกที่อยากโยนเด็กในอกทิ้ง เขานิ่วหน้าพลางหยดนมหนึ่งหยดลงบนหลังมือเพื่อทดสอบอุณหภูมิ พอทดสอบเสร็จถึงค่อยใส่จุก แล้วยัดเข้าปากทารก
จังหวะนี้เอง หน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งดับไปก็สว่างขึ้น
[ชิวเซ่าเฟิง] พี่หัง!
[ชิวเซ่าเฟิง] พี่อย่ากดปฏิเสธเขาสิ นั่นมันคนเข้าเรียนแทนที่ผมหามาให้พี่นะ!
เซียวหังไม่รู้เลยว่าทำไมเรื่องเข้าเรียนแทนถึงมาโผล่ในต่างหน้าแชตตอนนี้ เดี๋ยวนี้ได้
เขาโทรกลับหาชิวเซ่าเฟิงทันที “เข้าเรียนแทนอะไร”
[ช่วงนี้ลูกพี่มีธุระยุ่งไม่ใช่เหรอ จ้วงจื้อเองก็ด้วย พวกพี่สองคนทิ้งผมไปเที่ยวที่ไหนล่ะ] ชิวเซ่าเฟิงพูดพลางแสดงน้ำใจของพี่น้องอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง [แต่ไม่เป็นไร ถึงพวกพี่จะทำแบบนี้กับผม แต่ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เพื่อให้พี่เที่ยวได้อย่างสนุกสบายใจ…]
ชิวเซ่าเฟิงพูดยังไม่ทันจบ เซียวหังก็บอก “ไม่ต้อง”
ชิวเซ่าเฟิง […]
เซียวหัง “ไปบอกยกเลิกเขาซะ”
[ไม่รู้สึกเหรอว่าพี่ทำแบบนี้มันเกินไป!] ชิวเซ่าเฟิงโมโห [เรื่องไปเที่ยวแล้วไม่พาผมไปด้วยยังพอว่า! แต่พี่ยังจะเหยียบย่ำน้ำใจของพี่น้องแบบนี้อีกเหรอ!]
เซียวหังพูดในใจว่าเที่ยวบ้าอะไรล่ะ
เขาอยู่บ้านเลี้ยงเด็กจนไม่ได้หลับได้นอนเลยต่างหาก
แต่เรื่องของเด็ก พูดไปแล้วก็วุ่นวายมาก เมื่อสองสามวันก่อน เจ้าหนูตี๋จ้วงจื้อโดนเขาดัดสันดานด้วยการให้ไปซื้อนมแค่นั้นก็ยุ่งพอแล้ว
แล้วจะให้เล่ายังไงอีก
จะให้เล่าว่าเซียวฉี่ซาน เดรัจฉานเฒ่าไปไข่เรี่ยราดข้างนอกจนได้น้องชายต่างแม่มาให้เขาหนึ่งคนเหรอ
แถมเด็กคนนี้ก็รู้ดี แค่เซียวหังป้อนนมเขาครั้งเดียวก็ไม่ยอมกินนมที่คนอื่นป้อนอีก
ชิวเซ่าเฟิงยิ่งพูดยิ่งเยอะ เซียวหังเลยตัดบท “ก็ได้ นายให้เขาแอดมาอีกรอบ”
เซียวหังกดตอบรับ รูปโพรไฟล์ในวีแชตของคู่สนทนาเป็นรูปกีตาร์หน้าตาประหลาดสีดำแดงตัวหนึ่ง
ชิวเซ่าเฟิง [คนนี้ ผมเฟ้นมาอย่างดีเพื่อให้เหมาะกับภาพลักษณ์ของพี่ เลือกอยู่สามวันสามคืนกว่าจะได้ แต่พี่กลับทำกับผมแบบนี้เหรอ]
เซียวหัง “ขอบใจ”
[เขาหล่อจริงนะ] ชิวเซ่าเฟิงเปลี่ยนเรื่อง [มีรูปด้วยนะ พี่อยากดูไหม]
“ไม่อยาก” เซียวหังถือขวดนม “ฉันดูเป็นคนที่สมองมีปัญหาหรือไง”
[ไม่มีธุระอย่ามายุ่ง] ฉันตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของนายแล้ว ตอนนี้เราเริ่มแชตกันได้
ชื่อแบบพี่ชายอารมณ์ร้อนนี้ทำเอาคนพูดไม่ออกได้ง่ายๆ หลังได้รับการตอบรับ ลู่เหยียนก็รีบเปลี่ยนชื่อไอดีของอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าจะส่งอะไรให้เลยพิมพ์ทักแบบมีมารยาทไปหนึ่งประโยค ‘สวัสดีครับ’
สุดท้ายคู่สนทนาก็ไม่ตอบ
ลู่เหยียนคิดแล้วส่งข้อความไปอีกสองสามข้อความ
[ลู่เหยียน] ผมมีประสบการณ์การทำงานพาร์ตไทม์มานานหลายปี
[ลู่เหยียน] ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ มีใจบริการแบบที่ให้ความสำคัญต่อลูกค้า มีความรับผิดชอบต่อการเข้าเรียนแทนเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริการ
[ลู่เหยียน] ทำเกรดดีเยี่ยม นำเสนองานยืนหนึ่ง
คราวนี้คู่สนทนาตอบ
แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือจุดหกจุด
[เซียวหัง] ……
คุยเรื่องเข้าเรียนแทนกันไปพอสมควรแล้ว ลู่เหยียนตั้งใจว่าจะถือโอกาสในช่วงบ่ายตอนที่ในตึกไม่มีใคร ฝึกเล่นกีตาร์แล้วตอนเย็นค่อยไปนัดดื่มกับพี่เว่ย เมื่อตัวเองบอกเขาว่าให้ไปดื่มกันคราวหน้า เวลาที่เจอกันทุกครั้งพี่เว่ยเลยเอาแต่บ่นว่าไอ้คราวหน้าของลู่เหยียนคือเมื่อไหร่
ตามปกติแล้วเวลาที่ทุกคนในตึกอยากรวมตัวกันจะขึ้นไปที่ดาดฟ้า คอยจนฟ้ามืดแล้วบนดาดฟ้าจะมีการกางโต๊ะพลาสติกตัวเล็กหนึ่งตัว
ลู่เหยียนแบกเบียร์ครึ่งลังขึ้นไปบนดาดฟ้า นอกจากพี่เว่ยแล้ว เขาเจอจางเสี่ยวฮุยอยู่ที่นั่นด้วย
“เป็นไง” ลู่เหยียนวางลังเบียร์ลง “เสี่ยวฮุย ปกตินายไม่ดื่มด้วยนี่”
จางเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “อย่าพูดเลยพี่ หลายวันมานี้ผมโคตรซวย”
“กว่าจะได้บทพูดสองประโยคก็ไม่ง่าย ยังจะมาถูกตัวประกอบคนอื่นแย่งไปอีก…”
จางเสี่ยวฮุยไม่มีงานที่เป็นหลักเป็นฐาน
เขามีความฝันอยากเป็นนักแสดง ในทุกๆ วันจางเสี่ยวฮุยจะวิ่งรอกอยู่ตามโรงถ่ายใหญ่ๆ เริ่มต้นการแสดงจากบทซอมบี้จนออกหนังสือชื่อว่า ‘ด้วยการบำรุงดูแลตัวเองของซอมบี้’ ได้ จากนั้นเขาก็ได้แสดงเป็นตัวประกอบเล็กๆ ที่เริ่มมีบทพูด แต่จนถึงวันนี้บทพูดแต่ละบทของเขายังไม่เคยมีเกินหกคำ
“อยากแย่งก็แย่งไปสิ เพราะถึงยังไงในกองก็ยังขาดสาวใช้อยู่หนึ่งคน ผมเลยไปบอกผู้กำกับว่าผมเล่นเป็นผู้หญิงได้” จางเสี่ยวฮุยเงยหน้าขึ้นกรอกเบียร์เข้าปากหนึ่งอึก “…ผู้กำกับบอกว่าผมบ้า”
ลู่เหยียน “พยายามเข้าเจ้าหนู ถ้าทักษะการแสดงสามารถก้าวข้ามเรื่องเพศไปได้ ดูซิว่าผู้กำกับจะพูดยังไง”
จางเสี่ยวฮุย “ใช่เลย!”
พวกเขาดื่มเบียร์กันหมดไปสองสามกระป๋อง พี่เว่ยก็พูดเสียงอ้อแอ้ “เหยียนเหยียนร้องสักเพลงได้ปะ ไม่ได้ฟังนายร้องเพลงนานแล้ว กีตาร์ของนายล่ะ ไปเอามาเล่นหน่อยซิ”
ลู่เหยียน “โอเค ผมจะไปเอามาเดี๋ยวนี้”
จางเสี่ยวฮุยห้ามไม่อยู่ “ไม่ต้องกีตาร์หรอก พี่เว่ยดื่มเยอะเกินไปแล้วจริงๆ…”
ลู่เหยียนลงไปเอากีตาร์ขึ้นมา นิ้วกดสายกีตาร์ เขานึกถึงคำเตือนพร้อมน้ำหูน้ำตาของหวงซวี่ก่อนจากไป ‘พี่เล่นกีตาร์ได้กากจริงๆ แย่มาก’ ลู่เหยียนพลันคิดในใจในนาทีนั้นว่าตอนนี้รถไฟของพวกเขาคงไปถึงเมืองจิงโจวแล้ว
มือซ้ายของลู่เหยียนเปลี่ยนคอร์ด ก่อนจะเปลี่ยนเพลงกะทันหัน เสียงกีตาร์ตะกุกตะกักไหลออกมาตามร่องนิ้ว
เขาหลับตา รอจังหวะ แล้วจึงเปล่งเสียงร้อง
“But you’ll be alright now sugar
(เธอต้องดีขึ้นแน่นอน)
You’ll feel better tomorrow
(พรุ่งนี้เธอต้องดีขึ้นแน่นอน)
Come the morning light now baby
(พรุ่งนี้ท้องฟ้าจะเปิดเอง)
…
Don’t you cry
(อย่าร้องไห้เลยนะ)
Don’t you even cry
(อย่าร้องไห้อีกเลย)”*
เสียงร้องดังอยู่ในยามค่ำคืนอย่างนุ่มนวล
ลู่เหยียนไม่ได้ดื่มเยอะมาก ตามตารางเรียนที่คู่สนทนาส่งมาพรุ่งนี้แปดโมงเช้ามีคลาสเรียนหนึ่งคาบ
วิชาการเงินระหว่างประเทศ
จากเขตซย่าเฉิงไปมหาวิทยาลัย C ต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ตอนเช้าลู่เหยียนคาบขนมปังพร้อมรื้อตู้เสื้อผ้า เขาพบว่าเสื้อผ้าของตัวเองส่วนใหญ่เป็นชุดสำหรับทำการแสดง มีลายดอกลายดวงทุกแบบ ทั้งแบบติดขน ห้อยโซ่เงิน…ลู่เหยียนค้นแล้วค้นอีกจนไปเจอกระโปรงหนึ่งตัวอยู่ด้านล่าง…เขาไม่มีอะไรให้ใส่ไปมหาวิทยาลัย
เสื้อยืดเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่บนเสื้อยืดที่เขาหยิบติดมือออกมาสกรีนประโยคภาษาอังกฤษว่า ‘I will fuck you.’
เสื้อยืดตัวอื่นๆ ก็ไม่รอด
คนพเนจรอย่างลู่เหยียนได้เจอกับความท้าทายแรกในงานพาร์ตไทม์ของเขาแล้ว
สุดท้ายลู่เหยียนรื้อตู้เสื้อผ้าจนเจอเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่ง ใส่คู่กับกางเกงยีน บวกกับผมที่เพิ่งตัดสั้นของเขา และบนตัวไม่ได้มีเครื่องประดับมากมายทำให้ลู่เหยียนดูเหมือนผู้เหมือนคนขึ้นมาบ้าง
ตอนลู่เหยียนไปถึงหน้ามหาวิทยาลัย C บังเอิญว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมามหาวิทยาลัยพอดี
มหาวิทยาลัย C เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่อายุร้อยปี ตั้งอยู่ย่านศูนย์กลางการค้าของเมืองซย่าจิง เป็นความเงียบสงบท่ามกลางความอึกทึก
เมื่อมองจากประตูเข้าไปจะเห็นว่าหลังป้ายอักษรสีทองมีแนวร่มไม้เป็นทางยาว พวกนักศึกษาขี่จักรยานอยู่ในสวนของมหาวิทยาลัย เสียงกระดิ่งจักรยานกริ๊งกร๊างดังอยู่ตามถนนใต้เงาไม้
ห้องเรียนวิชาการเงินระหว่างประเทศเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ มีทั้งหมดสองสามร้อยที่นั่ง
ลู่เหยียนตั้งใจถ่ายรูปก่อนเดินเข้าไปด้านใน
และเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นภาพที่ถ่าย ณ ตอนนั้น เขาจึงชูสองนิ้วเข้าไปในเฟรมด้วย
[ลู่เหยียน] [แนบรูป]
[ลู่เหยียน] ถึงแล้วนะครับ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซียวหังถึงตอบ
[เซียวหัง] ไม่ต้องส่งให้ฉัน
ลู่เหยียนนั่งอยู่แถวท้ายสุดของห้องในวิชาการเงินระหว่างประเทศ เขาฟังศาสตราจารย์อาวุโสที่อยู่บนโพเดียมบรรยายเรื่องความสัมพันธ์ด้านการเงินกับสกุลเงินต่างประเทศ
อันที่จริงจะบรรยายเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะลู่เหยียนฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
ลู่เหยียนใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ส่วนมืออีกข้างพิมพ์ตอบ
[ลู่เหยียน] นี่คือความกระตือรือร้นในการทำงานของผมครับ
ผ่านไปครึ่งคาบ ศาสตราจารย์อาวุโสก็ปิดพาวเวอร์พ้อยต์
“ต่อไปให้ทุกคนหยิบกระดาษออกมา…อาจารย์จะไม่เช็กชื่อเพราะพวกคุณมีกันเยอะ เสียเวลา เวลาที่เหลือนี้ให้เขียนบทความสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับคลาสนี้พร้อมเขียนชื่อกับรหัสนักศึกษา แล้วรวบรวมมาส่งอาจารย์ตอนเลิกเรียน”
ศาสตราจารย์อาวุโส “เลือกหัวข้อกันเอาเอง ให้มันเกี่ยวกับคลาสนี้”
มีการบ้านในคลาสด้วย
ลู่เหยียนคิดว่าเดี๋ยวเข้าอินเตอร์เน็ตไปก๊อปเอามาเขียนก็ได้
แต่ศาสตราจารย์อาวุโสบอก “ห้ามเข้าไปก๊อปในอินเตอร์เน็ต เพราะอาจารย์ดูแค่แวบเดียวก็ดูออกแล้ว ไม่ว่านักศึกษาจะเขียนออกมาเป็นแบบไหน ขอให้เขียนเองก็พอ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ อย่าคิดว่าเป็นการรบกวน”
ลู่เหยียนมีความรู้สึกเหมือนจะเจอกับความท้าทายที่สองในงานพาร์ตไทม์ของเขาแล้ว
ทุกคนก้มหน้าเขียนกันแกรกๆ ลู่เหยียนกดมือถือออกจากหน้าเว็บไป๋ตู้เพื่อรายงานสถานการณ์ให้นายจ้างทราบ
[ลู่เหยียน] มีการบ้านในคลาสที่ต้องส่งด้วย
[ลู่เหยียน] ผมไม่เคยเรียนเรื่องนี้…แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ผมจะจัดการเอง โอเคไหม
[เซียวหัง] แล้วแต่เลย
…ลูกค้ารายนี้คุยด้วยยากเหมือนเดิม
ลู่เหยียนวางมือถือไว้ข้างๆ และเริ่มคิดว่าจะเขียนบทความสรุปเนื้อหาอย่างไรดี
เขาไม่รู้เรื่องวิชาการเงินเลยต้องเฉไฉไปเรื่องอื่น นอกจากชื่อ รหัสนักศึกษา และหัวข้อแล้ว สิ่งที่เขาเขียนเป็นประโยคแรกคือ
‘คลาสนี้ทำให้ผมรับรู้ถึงออร่าแห่งคัมภีรภาพกับภูมิความรู้อันกว้างขวางของศาสตราจารย์ได้อย่างดีที่สุด ต้นท้อไม่พูดแต่ผลสร้างเส้นทาง* ศาสตราจารย์คือวิศวกรผู้สร้างจิตวิญญาณของมนุษย์ ถ่ายทอดเปลวไฟแห่งปัญญา เป็นตะเกียงเรือนำทางท่ามกลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหมือนแสงแรกในยามเช้าที่ให้ความสว่างแก่ผม’
วันนี้มีคลาสเช้าแค่คาบเดียว
[ลู่เหยียน] เรียนเสร็จแล้วครับ
[ลู่เหยียน] คุณจะจ่ายหรือน้องของคุณจ่ายครับ?
คู่สนทนาโอนเงินมาเดี๋ยวนั้น
[เซียวหัง] [แจ้งการโอนเงิน]
ลู่เหยียนเดินออกไปข้างนอกพลางกดรับเงินที่โอนมา เขากำลังคิดว่าจะนั่งรถกลับ
เขาหลงทางเก่ง แค่ขามาสามารถหาห้องเรียนได้อย่างราบรื่นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ผลคือพอเดินออกประตูข้างของอาคารเรียน เมื่อมีการเปลี่ยนทิศเขาก็เริ่มมึน
ลู่เหยียนไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปถึงไหน แต่ข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีบูธอยู่สองสามแถว
บรรยากาศคึกคักมาก
สายตาของลู่เหยียนมองข้ามบูธพวกนี้ไปอยู่ที่ตัวหนังสือสามตัวว่า ‘ชมรมคนดนตรี’
การรับสมัครสมาชิกยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ ที่บูธชมรมคนดนตรีจึงมีคนเตรียมงานอยู่สองสามคน และขาตั้งวางโน้ตกับเครื่องดนตรีอีกสองสามชนิด
ริมสุดมีชายตัวเตี้ยใส่เสื้อยืดสีเหลืองกำลังตั้งเสียงอยู่
เบส
ลู่เหยียนไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะมาตรฐานของวงมหาวิทยาลัยมีค่าเท่ากับมือสมัครเล่น
เขากำลังจะหาทางกลับต่อ แต่เมื่อชายคนนั้นตั้งเสียงเสร็จก็ถือโอกาสตบเบส** แม้คุณภาพของลำโพงจะไม่ดีทำให้เสียงที่ออกมาซ่า แต่ถ้าพูดด้วยใจที่เป็นธรรมแล้ว ฝีมือของคนคนนี้…ใช้ได้
ทักษะดี มีความชำนาญ
ความเร็วของเขาสามารถทำให้คนอ้าปากค้างได้ แต่ในเวลาเดียวกันทุกเสียงที่เล่นออกมานั้นชัดเจนทั้งหมด
การตบเบสนี้กินเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที เนื่องจากรอบๆ มีคนไม่เยอะและคุณภาพของลำโพงไม่ดีเลยสักนิด จึงไม่ค่อยดึงดูดความสนใจคนเท่าไหร่นัก พอนายเสื้อยืดเหลืองเล่นท่อนนี้เสร็จก็ก้มตัวถอดสายสะพายออก แล้วส่งเบสไปให้คนที่อยู่ข้างๆ “โอเค ตั้งเสียงเสร็จแล้ว”
ลู่เหยียนได้ยินคนข้างๆ ถามมือเบสว่า “นายไม่อยู่เล่นที่บูธเราสักแป๊บนึงก่อนเหรอ”
นายเสื้อยืดเหลือง “ฉันไม่ได้อยู่ชมรมของพวกนาย จะอยู่เล่นด้วยทำไม อีกเดี๋ยวฉันมีเรียนด้วย”
นายเสื้อยืดเหลืองพูดแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำในอาคารเรียนข้างหน้าไป
นายเสื้อยืดเหลืองอาจไม่เคยคิดเลยว่าการเข้าห้องน้ำครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา เนื่องจากพอเขาเข้าห้องน้ำเสร็จ ตอนที่เดินออกมาจากคอกกั้นก็เห็นว่ามีคนพิงผนังในห้องน้ำฝั่งตรงกันข้ามกับที่กั้นฝั่งเขา
เป็นผู้ชาย
แถมเป็นผู้ชายที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ด้วย
ชายคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะอาดสะอ้านอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่กลับมีออร่าที่ย้อนแย้งแบบบอกไม่ถูก
พอเห็นเขาเดินออกมา ชายคนนั้นก็ดับบุหรี่ “เมื่อกี้ฉันเห็นนายเล่นเบส เท่มาก”
นายเสื้อยืดเหลืองใจสั่น
ถึงตามปกติลู่เหยียนจะไม่มีศักดิ์ศรี สามารถขโมยคนของวงแบล็กพีชได้ แต่เขากลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการดึงตัวคนแปลกหน้าที่เจอตัวแบบต่อหน้า
ลู่เหยียนกระแอมหนึ่งครั้ง เรียบเรียงคำพูดพลางกล่าว “ฉันสนใจนายมาก”
ลู่เหยียนคิดไม่ถึงว่าประโยคที่พูดไปในที่แบบนี้ ในลักษณะนี้ของเขา จะสามารถตีความไปทางอื่นได้มากมาย แถมเขายังไม่ทันสังเกตด้วยว่านายเสื้อยืดเหลืองมีสีหน้าแตกตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้านายโอเค…เรา…” เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ฉันมีวง นายอยากมาแจมด้วยไหม
แต่ลู่เหยียนยังพูดไม่ทันจบ นายเสื้อยืดเหลืองก็หยิบไม้ถูพื้นข้างๆ มาขวางไว้ที่หน้าอก “นายเป็นใคร!”
“ฉัน…” ลู่เหยียนเข้าเรียนแทนคนอื่นได้อินสุดๆ “คณะเศรษฐศาสตร์ เซียวหัง”
* ผู้ชายไม้ขีดไฟ เป็นคำสแลง หมายถึงคนหลอกลวง
* Qzone เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีรูปแบบคล้ายกับเวยป๋อ (Weibo)
* เพลง : Don’t Cry ศิลปิน : Guns N’ Roses
* ต้นท้อไม่พูดแต่ผลสร้างเส้นทาง เป็นสำนวน หมายถึงคนจริงใจย่อมมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนมานิยมชมชอบ
** ตบเบส เป็นเทคนิคที่มือเบสในปัจจุบันนิยมเล่นกันมาก มักใช้ในเพลงแนวฟังก์
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 ต.ค. 65