everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 9-10 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 9
[ปักหมุด] เม้าท์เรื่องลับที่ได้ยินในห้องน้ำ… [ฮอต]
[ปักหมุด] รีบต่อสายกับเจ้าของเรื่องที่ตึกข้างๆ มาฟังคำบอกเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าของรุ่นน้องชายที่ถูกรุ่นพี่แซ่เซียวตามตื๊อ [ฮอต] [ฮอต] [ฮอต]
ภายในชั่วข้ามคืนเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C ก็มีกระแสรุนแรง
โพสต์ปักหมุดนี้มีการแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางจนติดอันดับความนิยมอันดับหนึ่ง มีคนล็อกอินเข้าไปในเว็บบอร์ดมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เหยียนไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย เขากำลังวางแผนว่าจะดึงตัวนายเสื้อยืดเหลืองเข้าวงยังไง คนหน่วยก้านดีหายาก ถ้าไม่คว้าตัวไว้ก็ถือว่าน่าเสียดายมาก
ในระหว่างที่เว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C กำลังเปรี้ยงปร้าง เขากับหลี่เจิ้นกำลังหารือเรื่องแผนการรับมือ
[เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย C แบบนี้จะดึงตัวมาได้เหรอ เขาจะรังเกียจว่าเราอยู่คนละสายกันหรือเปล่า] หลี่เจิ้นถามด้วยน้ำเสียงลังเล
“ลองดูก่อน” ลู่เหยียนพูดในโทรศัพท์ “ฉันจะตามไปตีสนิทที่ห้องเรียนของพวกเขาสักคาบ เขาเรียนคอมพิวเตอร์ อยู่ปีสอง ฉันพอสืบพวกข้อมูลทั่วไปได้ ฉันว่าพรุ่งนี้จะนัดเขามากินข้าวคุยกันสักมื้อ”
หลี่เจิ้น [คอมพิวเตอร์? ข้ามสายกันเยอะเลยนะ]
ลู่เหยียน “สมัยก่อนตอนไต้สู่เรียนมหาวิทยาลัย เขายังเรียนการออกแบบภูมิทัศน์จัดสวนเลย นายลืมแล้วเหรอ”
หลี่เจิ้น [ฮ่าๆๆ ก็จริง]
คลาสของวันที่สองมีช่วงบ่าย เป็นวิชาบริหารธุรกิจ
ลู่เหยียนไปเข้าเรียนแทนตามปกติ เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข้อความที่ลูกค้าเป็นฝ่ายส่งมาให้ระหว่างอยู่ในคลาส
[เซียวหัง] ถึงแล้ว?
[ลู่เหยียน] ถึงแล้วครับ
[ลู่เหยียน] คุณสบายใจเรื่องที่ผมมาเข้าเรียนแทนได้ การไม่สายไม่เช้าเกินคือกฎข้อแรกของผมครับ
ลูกค้าตอบกลับมาแค่คำเดียว
[เซียวหัง] โอเค
ศาสตราจารย์อาวุโสบรรยายเรื่องทรัพยากรบุคคลอยู่ที่โพเดียม ตอนลู่เหยียนส่งข้อความให้ลูกค้า เขาไม่เคยคิดเลยว่าลูกค้าจะพาน้องมาดักรอเขา เนื่องจากเขาไม่เคยตีความคำว่าโอเคไปในความหมายอื่น
คำว่าโอเคนี้น่าจะหมายความตามนี้คือ
โอเค นายรอฉันได้เลย
นอกห้องคลาสเรียนใหญ่
บนบันไดตึกตรงทางเลี้ยวมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน
ตำแหน่งที่นั่งนี้อยู่ใกล้กับห้องเรียนมาก ห่างแค่ผนังกั้นเท่านั้น
เซียวหังนั่งอยู่ที่บันได ก้มหน้าแกะกระดุมสองเม็ด พับแขนเสื้อขึ้นช้าๆ เขามองคนที่อยู่ด้านล่างของบันได “อีกเดี๋ยวพอเขาออกมา นายกับเซ่าเฟิงไปเอาตัวเขามา”
[ไม่มีปัญหา ผมดูรูปแล้ว รับประกันว่าจะจัดการเขาให้หมอบเลย] ตี๋จ้วงจื้อพูด [แต่ทำไมผมดูรูปแล้วถึงรู้สึกคุ้นๆ หน้าตาหล่อมาก ลูกพี่ได้ดูแล้วหรือยัง]
เซียวหังดูกับผีสิ
เมื่อคืนกว่าเขาจะได้นอนก็แสนยากเย็น แต่เพิ่งจะเอนตัวได้ไม่เกินสิบนาทีก็ถูกสารพัดข้อความปลุกให้ตื่น
‘…ทุกคนล้วนมีเสรีภาพเท่าเทียมในการใช้ชีวิต’
‘…ไม่ต้องห่วงว่าเราจะมองนายเปลี่ยนไป ความรักเป็นเรื่องของความเท่าเทียม จงกล้าเป็นตัวเอง’
‘…ทุกคนมีสิทธิ์แสวงหาความสุข’
เซียวหังสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง นิ้วสัมผัสฝาเย็นๆ ของไฟแช็ก ภายในใจคิดว่าเดี๋ยวพอคนคนนั้นออกมาเขาจะซ้อมอีกฝ่ายสักยก
การดักรอคน
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้
ตี๋จ้วงจื้อคึกมาก [ทำไมผมตื่นเต้นจัง มีความรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสมัยมัธยมปลาย ตอนนั้นพี่หัง…]
เขาเผลอหลุดคำว่ามัธยมปลายออกมา
ตี๋จ้วงจื้อยังอยากพูดต่อแต่ชิวเซ่าเฟิงใช้ศอกกระทุ้งเขาหนึ่งครั้ง
ตี๋จ้วงจื้อเลยได้สติ รีบปิดไมค์เงียบ
“อย่าเอาแต่มอง” เซียวหังดูไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ “จำไว้ว่าต้องไปดักตรงมุม”
พอกริ่งเลิกเรียนดัง ห้องที่แสนสงบก็เต็มไปด้วยเสียงเฮหลังเลิกเรียนทันที
ในคาบนี้ลู่เหยียนไม่ได้ฟังอะไรมาก แต่เขาเขียนเพลงได้ครึ่งเพลงแล้ว ชายหนุ่มเก็บของแล้วพับกระดาษใบนั้นยัดใส่กระเป๋ากางเกง
ข้างนอกอากาศแจ่มใส แดดดี
เป็นวันที่ดีวันหนึ่ง
เหมาะกับการรับสมาชิกใหม่อย่างยิ่ง
ลู่เหยียนมองแดดนอกหน้าต่างแล้วก็คิดว่าจะไปหาว่าที่มือเบสของวงที่คณะคอมพิวเตอร์จากนั้นก็ชวนกินข้าว ผลคือเพิ่งจะเดินออกจากห้องเรียนได้สองสามก้าว เขาก็ถูกใครที่ไหนไม่รู้ลากตัวออกมาจากกลุ่มนักศึกษา
“ใช่เขาหรือเปล่า” ลู่เหยียนได้ยินเสียงหนึ่งถาม
“ใช่เขาเลย!” อีกคนบอก
คอยจนลู่เหยียนได้สติ เขาก็ถูกจับแขนซ้ายกับแขนขวา กดติดผนังแล้ว
ลู่เหยียน “พี่น้องทั้งสอง มีธุระอะไรหรือครับ”
ความนิ่งของคนคนนี้ทำให้ชิวเซ่าเฟิงฉุนขาดอย่างประหลาด “ตัวเองทำอะไรลงไปยังไม่รู้อีกหรือไง!”
ลู่เหยียนทวนคำเขา “ผมทำอะไร”
“…” ชิวเซ่าเฟิงหมดมุกคุยกับเขาเลยหันหน้าไปเรียก “ลูกพี่!”
จังหวะนี้เอง มีใครอีกคนเดินลงมาจากบันได คนคนนั้นเดินแบบไม่รีบไม่ร้อน เหมือนการดักรอคนเป็นแค่ความบังเอิญตอนเดินผ่าน พอชายคนนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา สายตาของลู่เหยียนก็เห็นนาฬิกาข้อมือเรือนที่คุ้นตา
สูงขึ้นไปคือข้อมือสวยได้รูป
สูงขึ้นไปอีก ดวงตาสองคู่ก็สบกัน
คุณชายใหญ่คือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของลู่เหยียน
นายพั้งก์ เซียวหังคิดออกแค่คำนี้
วันนี้คุณชายใหญ่ไม่ได้แต่งตัวเป็นทางการเหมือนคราวก่อน เขาแต่งตัวชิลมาก ถึงขั้นชิลกว่าคนส่วนใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัยเสียอีก รองเท้าเป็นรองเท้าแตะแบบคีบด้วย
แต่ที่น่าแปลกคือต่อให้เขาใส่รองเท้าแตะแบบคีบแต่ลุคกลับไม่ได้ดูโลว์ลงเลย ถ้าอีกเดี๋ยวเขามีคลาสต้องไปเข้าก็ยังทำให้คนที่เห็นมีความรู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นนักศึกษาประเภทที่จะหามุมในห้องเรียนเพื่อฟุบตัวหลับ
หน้าตาง่วงนอน ดูเหมือนพวกสายชิลสุดๆ
เซียวหังง่วงมากจริงๆ แต่พอคำว่านายพั้งก์เด้งออกมาจากสมอง กระแทกใส่หน้าผาก เขาก็ตื่นเต็มตาทันที
“คุณ” ลู่เหยียนเชื่อมโยงเรื่องคราวก่อนกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน “…มาเอาคืนเหรอ”
ครั้งก่อนลู่เหยียนตามไปขอโทษแต่เซียวหังไม่รับ หรือจะบอกว่าเขาตั้งใจจะเอาคืน แค่ยังไม่ถึงเวลา
ลู่เหยียนเข้าใจแล้ว ไว้เขาจะหาโอกาสไปเล่นงานเซียวหังให้หนัก
แต่พอลู่เหยียนมองคนผมแดงที่ล็อกแขนซ้ายเขากับคนแปลกหน้าที่ล็อกแขนขวา ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่าเขาต้องพูดอะไรออกไป “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าผมมาเข้าเรียนที่นี่ แต่พวกคุณจะสามรุมหนึ่งแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
ลู่เหยียนพูดได้แค่ครึ่งเดียว คุณชายใหญ่ก็ก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าว ทำให้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก ลู่เหยียนได้ยินคุณชายใหญ่พูดที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงปกติ “ฉัน เซียวหัง คณะเศรษฐศาสตร์”
“…”
เซียวหังพูดจบก็ก้าวถอยไปข้างหลัง กลับไปสู่ระยะห่างก่อนหน้า
เขาทำแบบนี้เพราะตั้งใจจะสื่ออะไร
ทำไมคำพูดคำจาแบบนี้ถึงได้คุ้นหูนัก
แต่ลู่เหยียนคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโลกจะแคบขนาดนี้
เขามาเข้าเรียนแทนคนอื่น และเซียวหังคนที่เขามาเข้าเรียนแทนคือคุณชายใหญ่คนนี้
ลู่เหยียนมองจ้องตาเซียวหังอยู่พักหนึ่งจนตัวเองเริ่มเข้าใจ ถึงแขนทั้งสองข้างจะถูกกดไว้ แต่เขายังขยับนิ้วกระดิกเรียก แนะนำตัวเองด้วยวิธีเดียวกัน
“ผม คนเร่ร่อนว่างงาน ลู่เหยียน”
เซียวหัง “…”
ตี๋จ้วงจื้อ “…”
ชิวเซ่าเฟิง “…”
กลุ่มคนที่เดินออกมาจากห้องหลังเลิกเรียนจากไปกันหมดแล้ว ระเบียงจึงกลับมาเงียบอีกครั้ง
“โอเค” เซียวหังบอก “เอาให้เขาดู”
พูดจบเซียวหังก็หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเหมือนไม่ใส่ใจ เขายื่นมือไปหาตี๋จ้วงจื้อ
เป็นพี่น้องกันมานานหลายปี ตี๋จ้วงจื้อย่อมตั้งสติได้ทันที เขาหยิบมือถือมาเปิดเว็บบอร์ดของมหาวิทยาลัย C แล้วยื่นส่งให้
ท่าทางกับการประสานงานทำให้ลู่เหยียนคิดถึงก๊วนที่เก่งแต่ทำกร่างแกล้งนักเรียนในโรงเรียนสมัยก่อน ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังคิดฟุ้งซ่าน ตัวอักษรสองบรรทัดที่เด่นสะดุดตาบนหน้าจอมือถือก็พุ่งเข้ามาในสายตาของเขา
‘เรื่องลับในห้องน้ำ’ กับ ‘คำบอกเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าของรุ่นน้องชาย’
เรื่องลับในห้องน้ำเป็นประเด็นร้อน แต่โพสต์อันที่สองค่อนข้างสร้างสรรค์กว่า เพราะใช้วิธีสัมภาษณ์
‘เจ้าของกระทู้ : เพื่อเป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของเจ้าของเรื่อง ในการสัมภาษณ์เจ้าของเรื่องจะใช้นามแฝงว่าเสี่ยวหัว เสี่ยวหัวคะ ไม่ทราบว่าคุณกับรุ่นพี่แซ่เซียวเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ
เสี่ยวหัว (นามแฝง) : เขาดังมากครับ ผมเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยเจอ เราไม่รู้จักกันเลย
เจ้าของกระทู้ : คุณมีความรู้สึกว่าเขาปิ๊งคุณตอนไหนคะ
เสี่ยวหัว : เขาบอกว่าเห็นผมเล่นเบสได้เท่มาก ผมเดาว่าเขาน่าจะคิดไม่ดีไม่งามกับผมตอนนั้น’
ลู่เหยียนอ่านคำว่า ‘คิดไม่ดีไม่งาม’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบมาก
‘เจ้าของกระทู้ : หลังจากนั้นเขาทำเรื่องแปลกๆ หรือเปล่าคะ
เสี่ยวหัว : พอออกจากห้องน้ำเขาก็ตามผมไปเข้าคลาส นั่งฟังเพลงอยู่ข้างผม แถมยังแบ่งหูฟังข้างหนึ่งให้ผมด้วย ตอนนั้นผมกลัวมากเลยครับ
เจ้าของกระทู้ : แบ่งหูฟัง?
เสี่ยวหัว : ครับ มันดูมีซัมธิงมาก ผมเลยไม่รับ
เจ้าของกระทู้ : คุณมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อย่างไร มีอะไรอยากบอกหรือเปล่าคะ
เสี่ยวหัว : ผมหนักใจมาก ไม่รู้ว่าควรรับมือกับการตามจีบแบบบ้าคลั่งของเขายังไงดี’
ลู่เหยียนเพิ่งแจ่มแจ้งในนาทีนี้
เมื่อวานนายเสื้อยืดเหลืองหนีไปไวมาก พอเขาตั้งใจจะแนะนำตัวเองใหม่อีกรอบ นายเสื้อยืดเหลืองก็โยนไม้ถูพื้นใส่เขาแล้วเผ่นหนีออกจากประตูไปด้วยความเร็วพอๆ กับการเล่นเบสของเขา
ลู่เหยียนตามออกไปด้วย เขากับนายเสื้อยืดเหลืองวิ่งไล่กันอยู่ในอาคารเรียน
แต่พอนายเสื้อยืดเหลืองวิ่งเข้าไปในห้องเรียน ศาสตราจารย์ก็ยืนอยู่บนโพเดียม กำลังเตรียมที่จะสอนแล้ว ทำให้ลู่เหยียนไม่สะดวกจะพูด
“เรื่องหูฟัง ผมแค่อยากให้เขาฟังเพลงของวงเรา” ลู่เหยียนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอธิบายจากตรงไหน “เขาเล่นเบสได้ไม่เลว และเมื่อสองสามวันก่อนวงเราเพิ่งมีคนออกไปสองคน…”
คำบอกเล่าของเขาไม่ค่อยลื่นไหล แทบไม่มีตรรกะหรือการเรียงลำดับก่อนหลัง พอพูดไปถึงตอนท้าย ลู่เหยียนก็ยกมือขึ้นเกาหัว สบถคำหยาบออกมาหนึ่งประโยค “บ้าเอ๊ย แม่มัน”
ตี๋จ้วงจื้อตัดบท “นายทำวงเหรอ”
ชิวเซ่าเฟิง “นายเล่นตำแหน่งอะไร มือกีตาร์?”
“…ชิ” เซียวหังไม่มีวันลืมฝีมือการเล่นกีตาร์สุดเพี้ยนของลู่เหยียน เขาหัวเราะเสียงเย้ยหยัน “เขา? กีตาร์?”
ลู่เหยียน “…”
ลู่เหยียน “สรุปคือเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ ผมจะไปเคลียร์เรื่องนี้ให้”
ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เจอคนคนนี้เป็นต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันมากมาย ครั้งก่อนเขาก็จับคนที่ระเบียงผิด
หรืออาจเป็นเพราะเขากับคุณชายคนนี้ดวงไม่สมพงศ์กันก็เป็นได้
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลู่เหยียนจะต้องรับผิดชอบจริงๆ ตอนอยู่ในห้องน้ำวันนั้นลู่เหยียนเกิดอาการสมองกระตุกชั่วคราวถึงได้พูดออกไปว่าตัวเองคือเซียวหัง
เซียวหังมองลู่เหยียนเหมือนกำลังประเมินความจริงใจจากคำพูดของเขา สุดท้ายชายหนุ่มก็โบกมือให้เพื่อนสองคน “ปล่อย”
ตี๋จ้วงจื้อ “จะปล่อยเขาไปแบบนี้เหรอ”
ชิวเซ่าเฟิง “ลูกพี่ ไม่อัดเขาสักยกก่อนเหรอ”
เซียวหังไม่ตอบ เขาเดินเหยียบรองเท้าแตะ แล้วหมุนตัวเดินออกไป
ลู่เหยียนคิดในใจว่าเมื่อก่อนคนคนนี้ไม่เคยอยู่ในแก๊งนักเลงจริงงั้นเหรอ
ลู่เหยียนตั้งใจจะคืนมือถือให้คนผมแดง แต่กลับกลายเป็นว่านิ้วเผลอไปโดนหน้าจอ โพสต์อันที่อยู่ตรงหน้าจึงเลื่อนลงทำให้เขาเห็นความคิดเห็นนิรนามหลายต่อหลายอัน
คอมเมนต์ 15 ‘รุ่นพี่แซ่เซียว ใช่เซียวหังหรือเปล่า คนที่เป็นลูกเศรษฐีคนนั้นน่ะนะ?’
คอมเมนต์ 16 ‘อ๊าๆๆ เซียวหังเหรอ ฉันรู้จักเขา! เคยเจอกันครั้งหนึ่ง เขาหล่อจริง ชาติตระกูลก็ดี หนุ่มหล่อสมัยนี้กลายเป็นเกย์กันไปหมดแล้วเหรอ QAQ’
คอมเมนต์ 17 ‘ดีอะไร หลอกได้แต่นักศึกษาหญิงสมองกลวง…เป็นแค่ลูกคนรวยๆ ที่ไม่ได้เรื่องได้ราว อย่าไปสนใจเขาเลย’
‘ไม่ได้เรื่องได้ราว’ สองคำนี้ผ่านสายตาเขาไปแวบหนึ่ง
ลู่เหยียนเงยหน้า แล้วก็เห็นแต่เงาที่เดินทอดน่องออกไปของเซียวหัง