everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 11-12 #นิยายวาย
บทที่ 12
ลู่เหยียนได้ยินเซียวหังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เซียวฉี่ซานไม่มีทางเก็บลูกนอกสมรสไว้ข้างตัว เดือนหน้าเขาจะถูกส่งไปเมืองนอก ถ้าเธอไม่แคร์ก็โอเค”
เซียวฉี่ซาน
น่าจะเป็นพ่อของเซียวหังหรือเปล่า
คราวนี้สาวห้องหกศูนย์หนึ่งไม่ได้ปฏิเสธในทันที เธอเอาแต่ทำท่าไม่สนใจ เมื่อคุยกันได้ครึ่งทาง เธอก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันได้เงิน…ยกเด็กให้พวกเธอ เราคุยกันเคลียร์แล้ว”
“อย่ามาหาฉันอีก” เธอพูดทิ้งท้าย
นับตั้งแต่หญิงสาวปรากฏตัว ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าท่าทางของเซียวหังผิดปกติ
เหมือนเขากำลังแสดงความรู้สึกอย่างหนึ่งออกมาแบบเงียบๆ แต่รุนแรงว่าในเมื่อไม่อยากได้ แล้วทำไมถึงมีเขา
ในเมื่อไม่คิดจะเลี้ยงดูเขา
แล้วทำไมถึงคลอดเด็กคนนี้ออกมา
เหมือนเขาอยากพูดประโยคเหล่านี้ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นปิดประตู
ความสัมพันธ์นี้วุ่นวายมาก
ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังคิด ทารกในอ้อมแขนก็นอนไม่เป็นสุข พอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวตรงทางเดิน เด็กน้อยก็ลืมตา เด็กน้อยนอนมองแบบงงๆ น้ำตาเอ่อคลอดวงตาทั้งสอง ท่าทางอยากเสาะหาคนคุ้นเคยท่ามกลางคนแปลกหน้าตามสัญชาตญาณ
ลู่เหยียน “เขาตื่นแล้ว ท่าทางเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ”
เซียวหังกำลังจะอุ้มเด็กมาจากมือของลู่เหยียน แต่ช้าไปหนึ่งก้าว เพราะพอเขาแตะโดนเสื้อกล้ามตัวน้อยบนตัวของทารก เด็กน้อยก็ร้องจ้า “อุแว้…”
เด็กน้อยยังคาบจุกนมไว้ ขนาดร้องไห้ก็ยังไม่ลืมดูดจุกนม พอร้องๆ แล้วเหนื่อยก็หยุดดูดสองครั้ง
เซียวหังทำอะไรไม่ถูก “เมื่อกี้นายร้องเพลงอะไร”
ลู่เหยียน “วงดนตรีกบ กบตัวน้อยกระโดด”
เซียวหัง “…”
ยังไม่ต้องพูดว่าเป็นวงอะไร ตอนที่เซียวหังได้ยินคำว่าวงเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมในคลังเพลงของลู่เหยียนถึงได้มีเพลงแบบนี้
ในระหว่างที่คุยกันเด็กน้อยดูดจุกนมแก้มป่องเหมือนอมอะไรไว้ในปาก สุดท้ายเด็กน้อยก็อ้าปากปล่อยจุกนม กำหมัดเล็กๆ แน่นเหมือนสะสมกำลังไว้สำหรับการร้องไห้รอบสองได้มากพอแล้ว
ผู้ชายโสดที่ไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กสองคนทำได้เพียงร้องเพลงวงดนตรีกบเพื่อกล่อมเด็ก
แต่ครั้งนี้ไม่ว่าลู่เหยียนจะร้องอ๊บๆ แบบไหนก็ไม่มีประโยชน์
ลู่เหยียนได้ไอเดีย “เขาอาจชอบฟังคุณร้องมากกว่า”
เซียวหังเกือบแปะคำว่า ‘ไม่มีทาง’ ไว้บนหน้าผาก “เขาไม่ชอบหรอก”
ลู่เหยียน “ลองดูก่อน”
เซียวหัง “ฉันก็ลองพ่อ…”
เซียวหังสบถคำหยาบแค่ครึ่งเดียวแล้วก็ไม่ได้พูดต่ออีก
“เนื้อเพลงง่ายมาก ฟังรอบเดียวก็ร้องได้แล้ว”
ลู่เหยียนบอกทำนองเขาโดยใช้คำว่า ‘ลา’ แทนเนื้อเพลง
เซียวหังถูกเขาวอแวจนทนไม่ไหว ยังคงเอาแต่ตบหลังเด็กน้อยพลางร้อง ‘ลา’ ตามทำนองของลู่เหยียนสองเสียง
ลู่เหยียนทำวงดนตรีมานานเลยมีความสามารถในการสังเกตเสียงทุกรูปแบบได้อย่างฉับไว และมีนิสัยชอบบันทึกเสียงอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
ตามปกติเขาจะติดพกปากกาบันทึกเสียง เวลานึกครึ้มก็บันทึกเสียงต่างๆ ตัวอย่างเช่น เสียงตอนฝนตก เสียงล้อรถลุยแอ่งน้ำ เสียงโหวกเหวกของแผงขายผักที่สุดแสนอึกทึก
ถึงเซียวหังจะร้องเพี้ยนแต่เสียงก็เหมือนกับตัวเขาคือเย็นชาและเกียจคร้าน
ลู่เหยียนคันยุบยิบในใจ
อยากอัดเอาไว้
ทั้งสองคนร้องเพลงโดยใช้คำว่าลาแทนเนื้อเพลงอยู่ที่ระเบียงนานมาก แต่เด็กน้อยยังคงร้องไห้ แถมร้องหนักขึ้นด้วย เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่รุนแรงนี้ทำให้พวกเขาสองคนก็เหมือนคนเซ่อซ่าไปเลย “…”
เซียวหังบอกด้วยน้ำเสียงอดทน “ยังจะลาอีกไหม”
“ไม่ลาแล้ว…ไม่ลาแล้ว” ลู่เหยียนยอมแพ้ “ปกติเขาร้องเพราะอะไร”
เซียวหังนิ่วหน้าก่อนสรุปว่า “หิว ง่วง อารมณ์ไม่ดี…”
จังหวะนี้เองเด็กน้อยที่ร้องรอบสองเสร็จแล้วก็เริ่มดูดจุกนม กำปั้นเล็กๆ วางอยู่บนหน้าอก
เมื่อเอาความเป็นไปได้ต่างๆ ที่เซียวหังพูดมาโยงเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนจึงหันไปจ้องห่วงดึงบนจุกนมพร้อมกัน “หิวเหรอ”
เด็กน้อยกะพริบตา ทำเสียงแอ๊ะๆ เหมือนกำลังรับคำ
ก่อนเซียวหังจะออกจากบ้าน เขาป้อนนมให้เด็กน้อยหนึ่งครั้ง คิดว่าทั้งไปและกลับจะใช้ระยะเวลาไม่เกินสองชั่วโมง โดยไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ แบบที่จะทำให้เด็กตื่นแล้วอาละวาด
ถ้าเด็กหิวจริง ระยะทางจากเขตซย่าเฉิงเข้าไปที่ใจกลางเมืองก็ไม่ใกล้ คงปล่อยให้เด็กร้องไห้ไปตลอดทางไม่ได้
ลู่เหยียนถาม “คุณเอานมมาด้วยหรือเปล่า”
“อยู่ในรถ”
ช่วงที่เซียวหังลงจากตึกไปเอาขวดนม ลู่เหยียนยังคงอยู่บนห้อง อุ้มเด็กไว้ขณะที่ตัวเองต้มน้ำร้อน
ไม่ว่าอย่างไรลู่เหยียนก็คิดไม่ถึงว่าค่าชดเชยเรื่องไปเข้าเรียนแทนจะกลายมาเป็นการที่มีเด็กน้อยปากดูดจุกนมหนึ่งคนมาอยู่ในอ้อมแขน เขาถอนหายใจ ตบหลังเด็กน้อยเบาๆ “อย่าร้องนะ เดี๋ยวพี่นายก็กลับมา”
ถึงทักษะการโอ๋เด็กของพี่ชายเจ้าหนูจะแย่มาก แต่ก็ยังดีที่เขายังถือว่าเป็นมือโปรด้านการชงนม ฝีไม้ลายมือคล่องแคล่ว โดยเฉพาะตอนทดสอบอุณหภูมิที่หลังมือ เหมือนภาพในโฆษณานมผงเป๊ะ
แต่ในระหว่างที่เซียวหังกำลังชงนมผงเดี๋ยวๆ ก็ทำท่ารำคาญ เดี๋ยวๆ ก็ทำท่าอดทน ดูพิกลมาก ดูออกเลยว่า ‘เหล่าจือไม่ได้อยากทำเรื่องพรรค์นี้’ แต่มือไม้ยังคงว่องไว
ลู่เหยียนรินน้ำที่เหลือออกมา “ทักษะการโอ๋เด็กแย่ แต่ชงนมใช้ได้ ที่บ้านคุณไม่มีคนดูแลเขาเหรอ”
เซียวหัง “มีคนรับใช้”
สำหรับคนเขตซย่าเฉิงอย่างลู่เหยียน คำว่าคนรับใช้ถือเป็นอะไรที่อยู่ไกลกันมาก
เขาย่อมคาดไม่ถึงว่าต่อให้มีคนรับใช้ แต่คนรับใช้ไม่มีทางเอาใจใส่ลูกนอกสมรสที่ไม่มีใครต้องการคนหนึ่ง อย่างก่อนหน้านี้ที่เด็กน้อยดื่มนมผงธรรมดาจนเป็นภูมิแพ้ตั้งหลายวันก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น
ลู่เหยียนมองเซียวหังดึงห่วงเอาจุกนมออกจากปากเด็กแล้วยื่นขวดนมไปให้แทน
เด็กน้อยคลายหมัดเล็กๆ ก่อนจะกอดขวดนมแล้วเริ่มดูด
ถ้าเป็นตอนอยู่ข้างล่างเมื่อกี้ ลู่เหยียนอาจจะหัวเราะและแหย่เซียวหังเล่น แต่พอมีเรื่องกับสาวห้องหกศูนย์หนึ่งเมื่อครู่ เมื่อเขามองเด็กแล้วก็รู้สึกทอดถอนใจ เด็กเพิ่งจะอายุกี่เดือนเอง จะบอกไม่เอาก็ไม่เอา
“นี่ นายพั้งก์”
ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังสะท้อนใจ เขาก็ได้ยินเซียวหังเรียก
ถึงแม้การที่เรื่องเละเทะในบ้านเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นจะส่งผลให้เขาวางตัวไม่ถูกนิดหน่อย แต่เซียวหังยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องในวันนี้ขอบคุณนะ”
ต้องขอบคุณเขาแหละ
“เดี๋ยวนะ”
ลู่เหยียนส่งสัญญาณให้เซียวหังหยุด “ย้อนคำพูดหน่อยซิ คุณเรียกผมว่าอะไรนะ พั้งก์อะไร”
ลู่เหยียนสงสัยว่าเซียวหังคงจะไม่ได้ฟังการแนะนำตัวของเขาคราวก่อน ด้วยนิสัยของคุณชายคนนี้แค่เขาสังเกตเห็นคำว่าเร่ร่อนว่างงานในประโยคที่บอกว่า ‘คนเร่ร่อนว่างงาน ลู่เหยียน’ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
เป็นจริงตามคาด
คุณชายเจ้าอารมณ์ “นายชื่ออะไร”
“ลู่เหยียน” ลู่เหยียนโกรธจนขำ “ลู่ที่มาจากคำว่าเส้นทาง เหยียนที่มาจากคำว่ายาวนาน”
เซียวหังชงนมเสร็จก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน ลู่เหยียนผลักหน้าต่างข้างตัวให้เปิดออกแล้วมองรถแต่งคันนั้นแล่นออกจากโซนเจ็ดไป
พอเห็นว่าเซียวหังจากไปแล้ว พี่เว่ยถึงค่อยขึ้นมานั่งเม้าท์กับลู่เหยียนที่ห้อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ฉันได้ยินพวกนายทะเลาะกับสาวห้องหกศูนย์หนึ่งเหรอ”
“ไม่ได้ทะเลาะ” ลู่เหยียนบอก “สาวห้องหกศูนย์หนึ่งเขามีลูก…”
เขาพูดเรื่องของคนอื่นมากไม่ได้
ลู่เหยียนเบือนหน้าหนี เลิกพูด “พี่เลิกถามเถอะ”
“แต่ฉันอยากรู้นี่นา ยิ่งนายไม่บอกฉันยิ่งอึดอัด”
“งั้นก็อึดอัดไปนะ” ลู่เหยียนกล่าว
“…” พี่เว่ยโมโห “ไอ้นี่ ทีตอนยืมรถฉันไม่เห็นทำท่าแบบนี้เลย!”
“ก็มันคนละเรื่องกัน”
ลู่เหยียนล้างผักเสร็จก็หยิบมีดมาเริ่มหั่นมะเขือเทศ
พี่เว่ยหยิบแอปเปิ้ลบนโต๊ะของลู่เหยียนขึ้นมากัดหนึ่งคำ “แต่พูดถึงลูก คนที่ทำอาชีพนี้ไม่มีคนไหนยอมมีหรอก ต่อให้เผลอมีขึ้นมาก็ยอมร้องไห้แล้วเอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านคนอื่นมากกว่า ไม่มีทางเลี้ยงเอง”
มีดที่อยู่ในมือของลู่เหยียนชะงักค้าง “ทำไมล่ะ”
พี่เว่ยส่ายหน้า ถอนหายใจ “พวกนายไม่เข้าใจ สภาพแบบนั้นจะเลี้ยงลูกได้ยังไง”
“กะหรี่ไง! นายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ากะหรี่ทำอะไร”
“นั่นมันไม่ใช่ข่าวลือนะ เมื่อสองสามวันก่อนฉันไปเก็บหนี้ แม่มันเถอะ…เจ้าลูกกระต่าย* นั่นติดหนี้แต่ดันไปเที่ยวไนต์คลับแล้วโดนฉันจับได้ ฉันเจอห้องหกศูนย์หนึ่งอยู่ที่ไนต์คลับนั่น คนทำอาชีพนี้ถ้าไม่เน่าถึงกระดูกก็อยากนอนเพื่อหาเงินให้ได้เร็วๆ…บางคนไม่มีทางอื่นถึงต้องมาทำงานนี้ แล้วพอเข้ามาทำ ถ้าไม่ตายก็ไม่มีทางหนีออกไปได้”
“ต่อให้อยากเลี้ยงก็เลี้ยงไม่ได้ ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด แล้วยังจะให้ชีวิตลูกต้องมาพังไปอีกคนหรือไง”
ลู่เหยียนฟังมาถึงตรงนี้ก็นึกถึงตอนที่เซียวหังถามผู้หญิงคนนั้นว่า ‘ลูกเธอ จะเอาหรือไม่เอา’ แล้วก็อยากรู้เหลือเกินว่าตอนที่ผู้หญิงคนนั้นสูบบุหรี่เธอทำหน้าอย่างไรตอนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มควัน
“พี่เว่ย” ลู่เหยียนตัดบทเขา “ช่วยหน่อยสิ พี่พอจะช่วยสืบเรื่องของห้องหกศูนย์หนึ่งให้ผมได้หรือเปล่า”
เซียวหังกลับถึงบ้านได้ไม่นาน ประตูใหญ่ที่มีลวดลายอยู่ด้านนอกก็เปิดดังแอ๊ด ตามมาด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เคลื่อนเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แล่นตรงไปยังโรงรถ
คนรับใช้วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากครัวไปโค้งตัวเปิดประตูเพื่อคอยรับใช้ที่ประตูก่อน
เมื่อชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก คนรับใช้ก็รับเสื้อของเขามา ก้มศีรษะลง “คุณเซียว…”
อายุของชายคนนี้ไม่เกินสี่สิบปี สวมชุดสูท ท่วงท่ากิริยามีความน่าเกรงขามราวกับออกมาจากกระดูก ปราศจากความอบอุ่น เขาไม่มองคนรับใช้ข้างตัวสักนิด เดินตรงไปที่ห้องรับแขกด้วยท่าทางแบบคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง คุ้นชินกับการมีคนรองมือรองเท้ามานานแสนนาน
ชายคนนั้นพูดเสียงหนัก “เซียวหังกลับมาแล้วหรือยัง”
คนรับใช้ “กลับมาแล้วค่ะ วันนี้คุณชายออกไปข้างนอกรอบหนึ่งแล้วตรงกลับบ้านเลย”
เซียวหังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาไม่แม้แต่จะขยับตัว จนเซียวฉี่ซานเดินจากโถงด้านหน้ามาที่ห้องรับแขกแล้ว เขาถึงค่อยหยิบรีโมตโทรทัศน์มาเปลี่ยนช่องอย่างไม่ใส่ใจ
เหมือนอย่างที่เซียวฉี่ซานไม่มองคนรับใช้ เซียวหังเองก็ไม่มองเซียวฉี่ซานเหมือนกัน
เซียวฉี่ซานเดินมาตรงหน้าเซียวหัง บังจอพอดี สายตาของเซียวหังหลุบมองกระดุมแสนสวยหนึ่งเม็ดตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าเซียวฉี่ซาน
“หลายวันมานี้แกไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย”
นอกจากความไม่พอใจแล้ว บนใบหน้าของเซียวฉี่ซานก็ไม่มีอารมณ์อื่นอีก น้ำเสียงของเขาฉุนเฉียว “วันๆ เอาแต่คลุกคลีทำเรื่องไร้สาระอยู่กับเด็กไม่เอาไหนแซ่ตี๋กับแซ่ชิว คนหนึ่งบ้านเปิดไนต์คลับ อีกคนบ้านเปิดบ่อนพนัน มีแต่คนประเภทนั้น อับอายขายหน้า รู้หรือเปล่าว่าคนข้างนอกเขาพูดถึงพวกแกยังไง…กลุ่มขยะ!”
“ฉันอุตส่าห์ใช้เส้นเพื่อให้แกได้เข้ามหาวิทยาลัย C แกไม่ไปฟังเลกเชอร์ยังพอว่า…แต่แกต้องสัญญาว่าจะไปเรียน เอาใบปริญญามาให้ฉันให้ได้”
“…”
เซียวหังเห็นชัดว่าเซียวฉี่ซานนิ่วหน้า สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ เมื่อเทียบกับเรื่องลูกชายไม่เอาไหน สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจมากกว่าคือการที่ลูกชายไม่เอาไหนคนนี้ไปทำเขาเสียหน้าอยู่ข้างนอก
“ผมไม่เหมือนพ่อ แม้แต่ลูกยังทำออกมาเล่นๆ ได้”
เซียวหังเอนตัวไปด้านหลัง เสื้อเชิ้ตบนตัวเขาถูกปลดกระดุมออกหลายเม็ด ท่าทางเกียจคร้าน พร้อมทั้งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “…พ่อเนี่ยสุดๆ ไปเลย”
เพียะ!
ฝ่ามือฟาดลงมา ดวงตาของเซียวหังไม่กะพริบเลยสักนิด เขารับฝ่ามือนั้นไปเต็มๆ
ชายหนุ่มใช้นิ้วเช็ดมุมปาก เขาถามเซียวฉี่ซาน “สะใจไหม”
เซียวฉี่ซานมองท่าทางของลูกชายอย่างเดือดดาลแต่หาที่ระบายออกไม่ได้ เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในใจเขามีความเกรงลูกชายคนนี้อยู่นิดๆ และไม่รู้ด้วยว่าความกลัวนี้มันเกิดขึ้นมาจากไหน “คืนนี้ประธานหวังของเหิงเจี้ยนกรุ๊ปจะจัดงานเลี้ยง แกต้องไปกับฉัน”
เขาเสริมอีกหนึ่งประโยค “แม่แกก็มา”
เซียวหังตอบรับคำสั่งของเซียวฉี่ซาน ด้านนอกของงานเลี้ยงแม่ที่เขาไม่ได้ติดต่อมาครึ่งปีก้าวลงจากรถเบนซ์
เธอสวมชุดราตรีหางปลาสีดำ ควงแขนเซียวฉี่ซาน
รอบๆ มีแต่เสียงชื่นชม “คุณเซียวกับคุณนายเซียวรักกันดีจริงๆ ขนาดผ่านมาตั้งหลายปี ยังสวีตหวานกันอยู่เลย”
“จริงด้วย รักกันดีจริงๆ”
“…”
สถานที่จัดงานหรูหราอลังการ
เป็นงานเลี้ยงดินเนอร์ของไฮโซ
ไฟที่ส่องลงมาจากมุมโถงจัดงานทั้งสี่ด้านสาดไปที่ชุดราตรีประดับเพชรหลากหลายรูปแบบรอบตัวกับเครื่องประดับเพชร เปล่งแสงระยับจนหายใจไม่ออกและชวนให้ตาลาย
เมื่อมองไปที่จอมือถือ เซียวหังก็เห็นว่าคนที่ถูกเซ็ตชื่อไว้บนมือถือว่า ‘นายพั้งก์’ ส่งข้อความมากมายมาให้เขา
[นายพั้งก์] มีข่าวดีหนึ่งข่าว กับข่าวร้ายหนึ่งข่าว อยากฟังอันไหนก่อน
[นายพั้งก์] ช่างเถอะ เลิกอ้อมค้อมกับคุณแล้ว
[นายพั้งก์] 601…
เวลานี้เซียวหังไม่สนใจหกศูนย์หนึ่งอะไรนั่นแล้ว
หกศูนย์หนึ่งจะเป็นยังไงก็ช่างสิ
เขาแค่อยากออกไปจากที่นี่ ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ยิ่งดี
ที่ด้านหน้า ห่างออกไปห้าสิบเมตร
เซียวฉี่ซานจัดผ้าคลุมไหล่ให้ภรรยาของตน ทั้งสองคนมองตาและยิ้มให้กัน เขาพูดคุยกับคนรอบตัวพลางมองมาทางเซียวหังเป็นการบอกให้เขารีบไปหา
แกอยู่ไหน
มาหาฉัน
เซียวหังพิมพ์ข้อความสองอันเสร็จก็ส่งยิ้มมุมปากให้เซียวฉี่ซาน และในจังหวะที่เซียวฉี่ซานเข้าใจว่าเขากำลังจะเดินไปหา…ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกไปจากงานท่ามกลางสายตาผู้คน
* ห้าใหญ่สามหนา เป็นคำเปรียบเปรยถึงคนที่รูปร่างเทอะทะ อ้วนท้วน ห้าใหญ่ ได้แก่ มือสองข้าง เท้าสองข้าง และศีรษะ สามหนาคือขา เอว และคอ
* ลูกกระต่าย เป็นคำด่า หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมไร้มารยาท ต่ำทราม ชอบก่อปัญหา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 7 ต.ค. 65