everY
ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 13 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 13
[เซียวหัง] ฉันจะไปหา
ลู่เหยียนอ่านประโยคนี้สองรอบ
ไม่รู้ว่าเขาตาฝาดไปหรือเปล่า ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกว่าคำพูดนี้มันชวนให้คิดไปไกลนิดหน่อย
เพราะตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว
เขาเพิ่งเข็นรถมอเตอร์ไซค์ของพี่เว่ยออกมาจากที่จอด ซึ่งก่อนที่จะได้รับข้อความจากเซียวหัง เขาตั้งใจจะไปที่ผับ
ซุนเฉียนเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน เขากลัวว่าลู่เหยียนออกจากผับไปแล้วจะลำบากเลยถามอีกฝ่ายว่าตัวลู่เหยียนเองกับหลี่เจิ้นอยากกลับไปร้องเพลงที่ผับต่อหรือเปล่า มีกันแค่สองคนก็ได้ แค่ช่วยให้ผับเขาครึกครื้นหน่อยก็พอ
ลู่เหยียนไม่ได้ตอบรับ เพราะคิดว่าจะให้ขึ้นเวทีกันแค่สองคนได้อย่างไร
พอเขาปฏิเสธหลายครั้งเข้า ซุนเฉียนก็ไม่พอใจ สุดท้ายเพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจและความรัก พวกเขาเลยนัดไปดื่มกับพี่เฉียนที่ผับกันสักครั้ง
มือข้างหนึ่งของลู่เหยียนยังจับรถอยู่จึงไม่สะดวกพิมพ์ข้อความ ดังนั้นเขาเลยกดปุ่มโทรออก “พี่เฉียนครับ ผมมีธุระกะทันหัน ไว้ค่อยนัดกันวันหลังนะครับ”
[แกนี่มีธุระทั้งวัน!] ซุนเฉียนตอบกลับมา น้ำเสียงห้าวกร่างด่ากราด [วงแกแตกแล้ว ตอนนี้ไม่มีงาน แกยังจะมีธุระที่ไหน…หรือมีแฟน?]
“…”
ซุนเฉียนพูดต่อ [ไปเจอกันที่ไหน ฝ่ายนั้นเป็นใคร ปีนี้อายุเท่าไหร่]
ลู่เหยียน “ไม่ใช่ครับ”
ซุนเฉียน [งานล่ะ ทำงานอะไร]
“พอได้แล้วครับพี่” ลู่เหยียนตัดบทเขา “คิดอะไรเพ้อเจ้อไม่ยอมหยุด”
ลู่เหยียนคุยกับซุนเฉียนเสร็จก็กดกลับไปที่หน้าแชตเพื่อส่งข้อความเสียงกลับไปให้คุณชายใหญ่ “คุณตรงมาที่ฟีนิกซ์ไนต์คลับได้เลย รู้ใช่ไหมว่าอยู่ไหน”
เซียวหังเดินออกจากสถานที่จัดงานเลี้ยง นอกสถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นถนนใหญ่ รถราวิ่งพล่าน แสงไฟหน้ารถสาดจ้าในความมืดมาจากสี่ทิศแปดทางทำให้ถนนเส้นนี้สว่างมาก
เขาเปิดโหมดหาตำแหน่งที่ตั้งในมือถือ
พอกดข้อความเสียง เสียงของลู่เหยียนก็ดังออกมาจากมือถือทันที
ฟีนิกซ์ไนต์คลับ เขาต้องรู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน
‘ฟีนิกซ์ไนต์คลับ’ คือสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียงของเมืองซย่าจิง
ลำพังแค่ชื่อก็บอกถึงตัวตนได้อย่างชัดเจนแล้ว ถึงมันจะไม่ได้อยู่ในเขตตัวเมือง แต่ก็ออกไปไม่ไกล ย่านนั้นเป็นย่านโคมแดงอันเป็นที่กล่าวขาน
เซียวหังมองรถที่วิ่งขวักไขว่อยู่บนถนนแล้วตอบว่า
[เซียวหัง] เที่ยวกลางคืนสุดเหวี่ยงขนาดนี้เชียว?
ข้อความเสียงจากลู่เหยียนตอบกลับมาเร็วมาก เพราะฝั่งนั้นมีลม เสียงจึงถูกลมพัดทำให้แตกเล็กน้อย หากแต่ยังบ่งบอกถึงอารมณ์ได้อย่างชัดเจนมากว่า [บ้าเอ๊ย!]
เซียวหังกดข้อความเสียง “นายเป็นบ้าหรือไง!”
ตามด้วยข้อความเสียงอีกอัน
“ถึงไปหายัยหกศูนย์หนึ่งที่ฟีนิกซ์ไนต์คลับ!”
และข้อความเสียงสุดท้าย
“รีบมาแล้วกัน อย่าให้เหล่าจือต้องคอย”
คำพูดไม่กี่ประโยคของเซียวหังฟังดูยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม อีกหนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมาเซียวหังก็ไปถึงฟีนิกซ์ไนต์คลับ และคอยอยู่เป็นนานสองนานแล้ว ลู่เหยียนยังขี่มอเตอร์ไซค์วนอยู่บนถนนใหญ่อยู่เลย
ย่านโคมแดงเป็นย่านที่ต้องใช้เซ้นส์ เพราะจีพีเอสนำทางได้ไม่แม่นยำ มันนำลู่เหยียนขับรถเข้าไปถึงแถวนั้นแล้ว ก่อนจะพบว่าข้างหน้าเป็นทางแยกหลายแพร่ง ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรเลี้ยวไปทางไหน
บนถนนไม่เห็นคน ลู่เหยียนผ่อนความเร็วรถลงเพื่อจอดตรงทางแยก เปิดหูฟังบลูทูธที่เสียบอยู่ที่หูซ้าย [คุณเบี่ยงออกจากเส้นทางสายหลัก]
[กำลังคำนวณเส้นทางใหม่]
บอกว่าคำนวณเส้นทางใหม่ตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมีคำตอบอื่นอีก
ลู่เหยียนพูดกับตัวเอง “ช่างคำนวณเนอะ”
หูฟัง [ขออภัย ไม่พบเส้นทางที่เหมาะสมข้างหน้า]
“…”
หูฟัง [เรียนสมาชิกวีไอพี การนำทางสิ้นสุด ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย]
“…แม่มัน?”
รู้ด้วยเหรอว่าเขาเป็นสมาชิกวีไอพีจีพีเอส
ทั้งที่เขาจ่ายเงินเพื่อเป็นสมาชิกวีไอพีจีพีเอสกากๆ แต่มันกลับลอยแพเขาแบบนี้เหรอ
ลู่เหยียนหยิบมือถือออกมาปิดแอพฯ จีพีเอส
กล่องแจ้งเตือนเด้งข้อความขึ้นมาหนึ่งประโยค
[เซียวหัง] อย่าให้เหล่าจือต้องรอ
“…”
ลู่เหยียนรู้มาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วว่าคุณชายคนนี้ดูท่าทางเฉื่อยเนือยแต่ความจริงแล้วมีนิสัยแบบเด็กๆ อยู่มาก
พูดจาเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนี้ คาดว่าน่าจะเป็นคนแบบนี้จริงๆ
ลู่เหยียนมองจีพีเอสที่ถูกตัวเองปิดไปกับทางแยกข้างหน้า สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจก้มหน้ารับชะตากรรมด้วยการโทรหาเซียวหังทางวีแชต หลังเสียงตู๊ดดังสองครั้งก็มีคนรับ ลู่เหยียนรวบรวมคำพูดบอกอีกฝ่ายไปว่า “ทางผมมีปัญหานิดหน่อย”
“ตอนนี้ผมอยู่…”
ลู่เหยียนพูดออกมาแค่ครึ่งเดียวก็เป็นอันต้องหยุด
เขาอยู่ที่ไหน
ที่นี่ไม่ยักจะมีป้ายบอก
เซียวหังยืนอยู่หน้าฟีนิกซ์ไนต์คลับใต้ป้ายแอลอีดีที่เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า มีแสงสวยงามสาดลงมา เขาได้ยินลู่เหยียนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ตอนนี้ผมอยู่ข้างเสาต้นหนึ่ง”
เซียวหัง “…”
[ข้างเสา?] เซียวหังคอยมาเกือบสามสิบนาทีจนหมดความอดทนไปนานแล้ว เขาคีบบุหรี่ไว้ที่ปลายนิ้วพลางเคาะเถ้าบุหรี่ออก [ชิ ทำไมไม่บอกล่ะว่านายอยู่บนดาวโลก]
“ถ้าคุณจะเข้าใจแบบนั้นก็โอเค”
เซียวหังถามต่อ [ข้างตัวนายนอกจากเสาแล้วยังมีอะไรอีก อย่าบอกนะว่าเสาอีกต้น]
ลู่เหยียนมองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งที่จะบ่งบอกสถานที่ที่ตนอยู่ได้ เขาบรรยายว่า “ข้างๆ มีป้ายบอกทางชี้ไปทางเหนือ ข้างบนเขียนว่าอีกห้าสิบเมตรจำกัดความเร็ว…”
สายถูกตัด
เซียวหังตัดสายทิ้ง
ยัง-เป็น-คน-อยู่-หรือ-เปล่า
ผ่านไปสองวินาที
[เซียวหังต้องการวิดีโอคอลล์กับคุณ โปรดกดตอบรับหรือปฏิเสธ]
โอเค
เขายังเป็นคนอยู่
ลู่เหยียนกดรับ กลางจอปรากฏใบหน้ารำคาญใจแบบสุดๆ ของเซียวหัง ผมของชายหนุ่มถูกลมพัดจนเริ่มยุ่ง ริมฝีปากบาง ตาชั้นเดียว สองตาหลุบต่ำเหมือนยังหลับไม่ตื่น แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางให้ไปแบบนี้ ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าหน้าตาของเซียวหังยังถือได้ว่าเป็นมิตรอยู่
เซียวหัง [แพนกล้องไปหน่อย]
ลู่เหยียนกดตัดไปกล้องหลัง
เซียวหังบอกอีก [หันขวา เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วตรง…ช่างเถอะ นายดึงกุญแจรถออก]
จะดึงกุญแจรถออกทำบ้าอะไร
ลู่เหยียน “แล้ว?”
เซียวหัง [รออยู่ตรงนั้น]
สายตัดไปอีกครั้ง
ม่านราตรีโรยตัวลงมา
ลู่เหยียนจอดรถ พิงมอเตอร์ไซค์สูบบุหรี่อยู่ข้างทาง พอสูบบุหรี่หมดไปครึ่งมวน เซียวหังก็โผล่มาจากทางแยก
เซียวหังมองพิจารณาเขาจากบนลงล่าง พูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันที่คุ้นหู “นายเป็นพวกชอบหลงทาง?”
ลู่เหยียนเพิ่งจะอัดควันเข้าปอดไปทีหนึ่ง คิดว่าเขาอยากพ่นควันใส่หน้าคนคนนี้มาก
วันนี้เซียวหังแต่งตัวเป็นทางการราวกับเป็นกองเงินเดินได้ จัดแต่งผมมาอย่างดี แถมยังฉีดน้ำหอมฟุ้ง
ลู่เหยียนยืนเต็มความสูง เดินเข้าไปใกล้ พากลิ่นบุหรี่ชวนให้สำลักเข้าไปหาเซียวหัง พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผมไม่เหมือนคุณที่เจนทาง มาเที่ยวไนต์คลับต้องแต่งตัวแบบนี้ด้วย”
“…”
ดวงไม่สมพงศ์
ในสมองของลู่เหยียนกับเซียวหังมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาพร้อมกัน
ขืนคุยกันต่อต้องสำลักแหง
พวกเขาจึงเลือกเงียบปากชั่วคราว
ลู่เหยียนเข็นรถตามหลังเซียวหัง พบว่าจริงๆ แล้วเขาอยู่ใกล้กับจุดหมายมาก แค่เลี้ยวตรงถนนเมื่อกี้ วิ่งผ่านอาคารสูงหลังนี้ไปก็จะเห็นไนต์คลับที่อยู่หลังตึกแล้ว
เดินไปได้สักพักเซียวหังก็ถามขึ้น “ก่อนหน้านี้นายบอกว่าผู้หญิงคนนั้นทำไมนะ”
“เธอชื่อคังหรู” ลู่เหยียนคาบบุหรี่ไว้ในปาก ตอบเสียงอู้อี้ “เมื่อสองสามปีก่อนเธอกู้ยืมเงินหกแสนมาจากบริษัทปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูง”
พี่เว่ยทำงานสายสินเชื่อ มีคนรู้จักที่เคยทำงานที่บริษัทแห่งนั้นเลยลองถามดู คิดไม่ถึงว่าพอถามปุ๊บจะได้ความปั๊บ
พอเพื่อนพี่เว่ยรู้ว่าคนที่เขาต้องการสืบเป็นสาวขายบริการก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังถามหาใคร เพื่อนคนนั้นจุ๊ปาก ‘เธอน่ะเหรอ ฉันจำได้ จำได้ดีเชียวล่ะ ตอนนั้นฉันมาทำงานนี้แล้ว ดูเหมือนบ้านจะอยู่ที่…เอ่อ อยู่ไหนฉันก็ลืม เพราะเรื่องมันนานมาแล้ว ตอนนั้นเธอไปกู้ยืมเงินเพื่อไปรักษาอาการป่วยของแม่ แต่สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ ตอนแรกเธอทำงานอยู่โรงงานอาหารแปรรูป แต่งานนั้นถ้าไม่กินไม่ใช้ มันก็ได้สองพันห้า แล้วจะเอาอะไรไปคืนเขา นี่ยังไม่นับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายไปอีกยี่สิบปีนะ’
บริษัทเงินกู้ของพวกพี่เว่ยเป็นบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมาย กู้ยืมไปเท่าไหร่ก็ใช้คืนเท่านั้น เรื่องดอกเบี้ยมีเขียนไว้อย่างชัดเจน แต่บริษัทที่คังหรูไปยืมเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยสูง
เรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยสูงคงไม่ต้องอธิบายมาก
เพราะไม่ว่าแต่ละปีจะคืนไปเท่าไหร่ ตราบใดที่ยังใช้ไม่หมด หนี้ที่เหลือจะงอกดอกเป็นก้อนออกมาเหมือนบอลหิมะ ยิ่งทบต้นยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าพูดด้วยคำของพี่เว่ยคือพวกเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนี้กู้ยืมแล้วก็อย่าคิดว่าจะหนีได้ เพราะดอกเบี้ยจะวิ่งตามจนเราตายนั่นแหละ
บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันที
เซียวหังถาม “เธอไม่ได้ใช้เงินก้อนนั้น?”
เงินที่เซียวฉี่ซานให้ ถึงเซียวหังจะไม่รู้จำนวนแน่ชัด แต่อย่างน้อยคงต้องเป็นหลักล้าน
“เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจ”
ลู่เหยียนพูดพลางอัดควันบุหรี่เข้าปากเป็นคำสุดท้าย ข้างหน้ามีตัวหนังสือว่า ‘ฟีนิกซ์ไนต์คลับ’ เป็นไฟนีออนส่องสว่าง
ลู่เหยียนพยายามคาดเดาเรื่องนี้จากมุมของคังหรู หญิงสาวผู้ที่จำเป็นต้องเดินออกมาจากโรงงานอาหารแปรรูป สุดท้ายลู่เหยียนก็เอ่ยว่า “…ถ้าใช้เงินก้อนนั้น เท่ากับเธอขายลูกจริงๆ”
ก่อนหน้านี้ลู่เหยียนบอกเซียวหังว่ามีข่าวดีหนึ่งเรื่องและข่าวร้ายหนึ่งเรื่อง
ข่าวดีคือผู้หญิงที่อยู่ห้องหกศูนย์หนึ่งคนนั้นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เพียงแต่เธอหนีไม่ได้ หรือต่อให้อยากเลี้ยงลูกก็ทำไม่ได้
แต่ต้นตอของ ‘ข่าวดี’ ข่าวนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีเลยจริงๆ
ลู่เหยียนพูดจบก็โยนก้นบุหรี่ลงถังขยะ แล้วเดินไปที่ลานจอดรถใต้ดิน
เขาเพิ่งจะดึงกุญแจรถออกก็ถูกเซียวหังล็อกคอจากด้านหลัง ทั้งสองคนตัวติดแนบชิดกันแบบทันทีทันใด
ลู่เหยียนกระแทกศอกใส่ท้องเซียวหังตามสัญชาตญาณ แต่เซียวหังไม่ยอมปล่อยมือ แถมยังลากลู่เหยียนไปหลบที่ด้านหลังในซอกแคบระหว่างรถกับผนังด้านข้าง “เงียบ”
กึกๆๆ
เมื่อกี้ห่วงแต่เรื่องจอดรถ ลู่เหยียนถึงเพิ่งได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงดังมาจากด้านนอก
เสียงนั้นดังมาจากที่ไกลๆ ก่อนจะเริ่มใกล้เข้ามา
ผู้หญิงที่เห็นหน้าไม่ชัดคนหนึ่งเดินเข้ามาทางประตู
ด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกล มีรถขนสินค้าหนึ่งคันเปิดไฟสว่าง แสงไฟจากหน้ารถส่องมาที่เธอจังๆ จากนั้นประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็เปิดออก ชายห้าคนลงจากรถสินค้า ชายคนที่เดินนำหน้าสุดคาบบุหรี่ไว้ในปาก เขาแย่งกระเป๋าในมือหญิงสาวไปดื้อๆ หยิบธนบัตรหนึ่งปึกออกมาจากด้านใน เขาคะเนน้ำหนักของปึกธนบัตรก่อนพูด “แค่นี้เองเหรอ”
น้ำเสียงของหญิงสาวเรียบสนิท “แค่นี้ จะเอาหรือไม่เอา”
น้ำเสียงคุ้นมาก
ผู้ชายคนนั้นส่งสัญญาณมือ แล้วชายอีกสี่คนก็มาล้อมหญิงสาวไว้
ชายคนนั้นก้มตัวเอาธนบัตรตบหน้าหญิงสาว “เงินแค่นี้มันจิ๊บจ๊อย ไม่พอจ่ายเป็นค่าเหนื่อยของพี่น้องพวกเราด้วยซ้ำ”
จังหวะนี้เอง แสงไฟหน้ารถก็ส่องให้เห็นใบหน้าหญิงสาว…นี่มันสาวห้องหกศูนย์หนึ่งที่พวกเขามาหากันวันนี้ไม่ใช่หรือ
คังหรูเหมือนจะเจอเรื่องแบบนี้บ่อย ใบหน้าของเธอจึงถึงขั้นไร้อารมณ์
ผู้ชายคนนั้นพูดสองสามคำก็ให้ทุกคนปล่อยมือ
คังหรูจัดทรงผมแล้วเดินออกไปจากลานจอดรถ
ลู่เหยียนกับเซียวหังอยู่ใกล้กันมาก บรรยากาศภายในลานจอดรถอบอ้าวจนร้อนนิดหน่อย
เขาจึงก้าวออกไปด้านข้าง
แต่ไม่รู้ว่าใครทิ้งขยะไว้บนพื้น เขาเลยเหยียบโดนกระป๋องที่ถูกล้อรถเหยียบจนแบนกระป๋องหนึ่ง
แกร๊ก
เสียงดังบาดหู
ผู้ชายที่กำลังนับเงินเงยหน้าขึ้นทันที “ใคร”
ลู่เหยียน “…”
เซียวหัง “…”
บรรยากาศทำเอาแทบหายใจไม่ออก
สถานการณ์ช่างประดักประเดิดเสียจริง
ลู่เหยียนหันไปสบตากับคุณชายใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ตัว ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความหมายอันเด่นชัดและหนักแน่นของกันและกัน
ลู่เหยียนคิดว่าต้องช่วยคังหรู แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะ
เพราะอีกฝ่ายเป็นชายฉกรรจ์ห้าคน
ห้าต่อสอง
สองคนแลกเปลี่ยนสายตากันสองวินาทีแล้วลู่เหยียนก็พยักหน้าให้เซียวหัง
ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าเซียวหังรับรู้ได้แล้ว
เมื่อความคิดเห็นตรงกัน ลู่เหยียนจึงพูดเสียงเบา “ผมจะนับสาม”
“สาม”
“สอง”
ยังไม่ทันได้พูดคำว่า ‘หนึ่ง’ ลู่เหยียนก็วิ่งเผ่นออกไปนอกลานจอดรถแล้ว!
เขาวิ่งได้เร็วมาก
ทิ้งเซียวหังที่มีปฏิกิริยาตรงกันข้ามกับลู่เหยียนคือพุ่งเข้าตะลุมบอนกับชายฉกรรจ์ห้าคนในเวลาเดียวกันกับที่ลู่เหยียนออกวิ่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ชวนให้เขาตะลึงงัน “…”
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN