Color Rush
ทดลองอ่าน Color Rush บทที่ 2 #นิยายวาย
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การบูลลี่
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิตและการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
ตอนที่ 2
ผมและน้ากลับเข้ามานั่งบนโซฟาในห้องผู้อำนวยอีกครั้ง น้าประสานมือทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันก่อนจะเริ่มแสดงละครตามที่น้าได้เกริ่นเอาไว้เมื่อกี้ ซึ่งแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นการแสดง แล้วน้าก็เริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่จั๊กจี้หู
“คุณแม่ของจินซังคะ ยอนอูของดิฉันจะย้ายไปเรียนที่อื่นเอง คุณแม่ช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ยคะ”
ไม่รู้ว่าน้าคิดอะไรถึงได้หงายการ์ดย้ายโรงเรียนออกมา น้าคิดว่าต่อยเพื่อนแค่ครั้งเดียวถึงกับต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนเลยเหรอ ทั้งที่น้าก็เคยมีเรื่องชกต่อยมามากมายก็น่าจะรู้ดี แต่น้ากลับพูดเรื่องย้ายโรงเรียนออกมา ผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะเลอะเทอะเกินไปแล้ว จึงเรียก “น้า” เบาๆ แต่น้าก็ส่งเสียงจุ๊กลับมาเพื่อให้ผมหุบปาก
“รู้สินะว่าช่วงนี้เรื่องความรุนแรงในโรงเรียนกำลังเป็นประเด็นใหญ่ ต่อให้ฉันไม่เอาเรื่องคราวนี้หลานคุณก็อาจจะไปต่อยเด็กคนอื่นเหมือนที่ต่อยลูกฉัน แล้วหลานคุณก็คงจะโตไปเป็นอะไรไม่ได้นอกจากอันธพาล”
มีเรื่องหนึ่งที่แม่ของหมอนั่นไม่รู้ คือถ้าหมอนั่นยังเที่ยวพูดจาโสมม พวกเพื่อนๆ ก็จะพากันหนี แล้วหมอนั่นก็จะหางานไม่ได้ แต่งงานไม่ได้ สุดท้ายก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากคนที่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน
“คุณแม่ขา เราไม่ได้กลัวกฎหมายค่ะ แต่เรากลัวคุณลุงของยอนอูน่ะค่ะ”
“พูดอะไรน่ะ ไม่กลัวกฎหมายงั้นเรอะ”
แม่ของหมอนั่นนั่งเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทีที่กดดันพวกเรามาตั้งแต่เมื่อกี้นี้ แต่ตอนนี้เธอกลับขยับหลังออกจากพนักพิงแล้วโน้มตัวมาข้างหน้า
“ใช่ค่ะ คุณลุงของยอนอูน่ากลัวกว่ากฎหมายเสียอีก ดิฉันพายอนอูมาเลี้ยงดูเองก็เพราะอยากให้เขาเป็นผู้เป็นคน เพราะคุณลุงมีแต่อยากจะให้ยอนอูใช้กำลัง ถ้ามีใครมาแกล้งยอนอู คุณลุงก็จะไม่แก้ปัญหาด้วยคำพูด ตอนยอนอูอยู่ ม.ต้น คุณลุงก็ใช้กำปั้นและกำลังแก้ปัญหา ดิฉันอยากให้ยอนอูเป็นผู้เป็นคนจริงๆ ค่ะ ถ้ามีข่าวลือว่ายอนอูต่อยเพื่อนแพร่ออกไป คุณลุงก็คงจะยิ้มร่าแล้ววิ่งโร่เข้ามาบอกว่า ‘แก๊งมีซุลได้ผู้สืบทอดแล้ว’ จากนั้นก็คงจะส่งพวกคุณอามาเฝ้าทั้งขาไปขากลับจากโรงเรียนแน่ๆ เลยค่ะ”
น้าพูดถึงคุณลุงที่ผมไม่มี เพราะพ่อของผมเป็นลูกโทน แล้วพวกคุณอาที่ว่านั่นคือพวกคุณอาที่ไหนกัน น้าคลายมือที่ประสานกันเหมือนตอนสวดภาวนาออก แล้วใช้ฝ่ามือปิดตาทั้งสองข้างราวกับเหนื่อยหน่ายใจ ผู้อำนวยการและครูประจำชั้นจ้องหน้ากันเพื่อแลกเปลี่ยนบทสนทนาผ่านทางสายตา สีหน้าของหมอนั่นดูซีดลง เขามองแม่ของตัวเองด้วยใบหน้าที่สีเทาเหมือนกับสีปูน ส่วนแม่ของหมอนั่นก็คงจะอึ้งกับเรื่องเหลวไหลของน้า สีหน้าจึงไม่มีความโมโหและความกดดันเหมือนเมื่อครู่แล้ว มันเป็นสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน
“ตอนยอนอูอยู่ ม.ต้น คุณลุงสั่งใช้พวกคุณอาคอยรับส่งที่โรงเรียน ยอนอูก็เลยไม่มีเพื่อน พอยอนอูขึ้น ม.ปลาย ดิฉันก็ขอร้องคุณลุงไปว่าอย่าทำแบบนั้นอีกเลย”
ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนั้น แต่ก็คงจะตรวจสอบยากสักหน่อย เพราะช่วงที่กำลังจะจบ ม.ต้น บ้านที่ผมอยู่จะรีโมเดลลิ่ง ผมจึงต้องย้ายบ้าน ส่วนเรื่องที่ผมไม่มีเพื่อนก็เพราะผมแค่ไม่สนใจที่จะคบเพื่อน ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เช่นกัน…เพราะแม่หายตัวไป ผมจึงไม่มีสติสตังมาใส่ใจกับเรื่องเพื่อน
จู่ๆ น้าก็ยื่นมือไปจับมือของแม่หมอนั่น แม่ของหมอนั่นดูผงะไปเล็กน้อย แต่คงเป็นเพราะน้ากำลังจ้องมองด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อล้น เธอจึงไม่ดึงมือออก ที่น้ายกฝ่ามือขึ้นไปปิดตาเมื่อกี้ก็เพื่อเรียกน้ำตานี่เอง
“คุณแม่ของจินซังคะ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป…เฮ้อ ดิฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้”
“ลองว่ามาซิ”
แม่ของจินซังยังคงพูดห้วนๆ โดยไม่มีหางเสียง แต่น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย ไม่ใช่น้ำเสียงโมโหเหมือนเมื่อกี้ น้าถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะบีบมือของแม่หมอนั่นแรงยิ่งขึ้น จนผมสังเกตเห็นว่ามือของเธอกลายเป็นสีขาว
“จินซังจะไปไหนมาไหนตอนกลางคืนไม่ได้นะคะ”
น้ากระซิบกระซาบราวกับกำลังบอกความลับที่ยิ่งใหญ่ ทันใดนั้นแม่ของหมอนั่นก็ชักมือออก เป็นผลทำให้มือของน้าค้างอยู่กลางอากาศสักครู่ แล้วน้าก็ค่อยๆ เก็บมือกลับ แม่ของหมอนั่นมองผมกับน้าสลับกัน
“นี่กำลังขู่ฉันเหรอ”
แม้จะถามแบบนั้น แต่น้ำเสียงกลับสั่นมาก มุมปากของน้าชี้ลงแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ
“คุณแม่คะ ดิฉันไม่ได้ขู่ แต่เป็นห่วงค่ะ”
“คุณน้าของยอนอูคะ เรื่องมันชักจะไหลไปในทางแปลกๆ แล้วนะคะ”
ในที่สุดผู้อำนวยการก็ระงับการแสดงของน้า ขนาดผมเองยังคิดเลยว่าใครจะไปเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่แล้วจู่ๆ มือถือของน้าก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงเรียกเข้าทั่วไป แต่ด้วยความที่น้าวางมือถือเอาไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา ทุกคนจึงได้เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
‘ลุงของยอนอู-เครื่องบดสังหารแห่งแก๊งมีซุล’
“เฮือก!”
น้ายกสองมือขึ้นปิดปากก่อนจะสูดลมหายใจเข้าด้วยท่าทางที่โอเวอร์สุดๆ จากนั้นก็เบิกตาโพลงราวกับคนที่เห็นสายเรียกเข้าจากบริษัทเงินกู้ น้าแกล้งทำมือสั่นงกๆ เพื่อให้ทุกคนเห็นแล้วกดรับสายนั้น ว่าแต่น้าบันทึกชื่อนั้นเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“สวัสดีค่ะ…คุณพี่”
[หว่าไงซาดน สบายดีใช่มะ]
ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นสำเนียงถิ่นแปลกๆ ของแถบไหน เพราะมันฟังดูเพี้ยนไปหมด
น้าเหลือบมองแม่ของหมอนั่นหนึ่งครั้งก่อนจะหลุบตาลงมองพื้น ดูเหมือนน้าเองก็ขำกับสำเนียงแปลกๆ นั่นเหมือนกัน ภาพที่น้ายกไหล่ขึ้นตอนรับสายเพื่อให้คนอื่นเห็นว่ากำลังประหม่านั้นดูน่าขำมาก แต่กลับไม่มีใครขำออกมาเลย
“หนูก็ต้องสบายดีสิคะ ว่าแต่คุณพี่โทรมามีธุระอะไรเหรอคะ”
[ยอนอูสบายดีมะ เดือดเนื้อร้อนใจก็บอกได้สำเหมอเน้อ แต่ข้าทำอย่างอื่นไม่เป็นนะ ใช้เป็นแต่ใช้กำลังคนนิ]
“คุณพี่คะ ยอนอูสบายดีค่ะ”
[เหรอ ถ้าไม่สบายจะส่งเด็กๆ ไปให้ หายห่วงเน้อ]
“ไม่ต้องค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”
[อิหยัง ยอนอูไม่ชอบพวกอาๆ บ่]
“ยอนอูใช้ชีวิตอย่างปกติสุขดีค่ะ”
[บอกเปิ้นหน่อยสิว่าพวกเฮาชาวแก๊งมีซุลคิดถึงเปิ้นมาก บอกให้เปิ้นมาหาหน่อย ถ้าเปิ้นมาคราวหน้า ข้าจะสอนวิธีการใช้มีดให้]
“คุณพี่คะ หนูจะเลี้ยงดูยอนอูแบบปกติค่ะ คุณพ่อของยอนอูก็ต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
[เพราะงั้นก็เลยโดนแทงแบบนั้นไม่ใช่เรอะ เพราะใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาน่ะ]
ตอนที่คำพูดนี้หลุดออกมา เสียงกลืนน้ำลายของหมอนั่นก็ดังก้องภายในห้องผู้อำนวยการ ตอนนี้สีหน้าของหมอนั่นซีดลงจนเกือบเป็นสีเทาหิมะและยิ่งดูเหมือนแป้งที่นวดแล้วเข้าไปอีก ไอ้คนปิดพลาสเตอร์แผ่นเบ้อเริ่มแถมมีทิชชูอุดจมูกน่ะ
[ซาดน งั้นค่อยคุยกันใหม่ มีเรื่องอะหยังก็ติดต่อมาได้ ข้าซื้อที่ดินริมทะเลไว้ละ ที่นั่นมีเพรียงเกาะอยู่เยอะ ถ้าฝังเอาไว้ที่นั่นก็ดูไม่ออกหรอกว่าเป็นคนนิ]
“คุณพี่คะ คือพอดีหนูออกมาข้างนอก”
[อ้าว ยังบ่เลิกงานเหรอ ให้ข้าจัดการเก็บหัวหน้าให้เอาบ่]
“ไม่ใช่ค่ะ มีธุระอย่างอื่นค่ะ”
[เหรอ งั้นไว้ค่อยคุยกันเน้อ]
แล้วบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างน้ากับคุณลุงภาษาถิ่นที่ผมไม่เคยมีก็จบลง น้าแกล้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ถ้าจะให้ใครมาช่วยก็น่าจะหาคนที่มันเข้าท่าหน่อย คนนั้นน่ะจะสำเนียงยอนบยอนก็ไม่ใช่ จะว่าสำเนียงจังหวัดคยองซังก็ไม่ใช่ จังหวัดชุงชองก็ไม่ใช่ จังหวัดชอลลาก็ไม่ใช่อีก แล้วมันเป็นภาษาของถิ่นไหนกันนะ
ผมไม่อาจซ่อนแววตาสมเพชเอาไว้ได้ แต่หมอนั่นกับแม่กลับซ่อนแววตากังวลเอาไว้ไม่มิด เช่นเดียวกันกับครูประจำชั้นและผู้อำนวยการ
“ขอโทษค่ะ ถ้าไม่รับสายคุณลุงอาจส่งพวกอาๆ มาดูน่ะค่ะ”
“เอ่อ คุณน้าคะ เรื่องครอบครัวของยอนอู เท่าที่ฉันรู้ก็ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องคุณแม่นะคะ”
ครูประจำชั้นพูดออกมาราวกับต้องการถามว่ามนุษย์ที่ชอบใช้กำลังคนนี้เป็นลุงของผมจริงๆ หรือเปล่า เรื่องที่น้าพูดมาเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ แต่ไม่มีใครในสี่คนนั้นแย้งขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่าซื่อหรือบื้อกันแน่ ในบรรดาคนกลุ่มนี้มีแต่ผมคนเดียวที่มองดูสถานการณ์ด้วยความงุนงง
“ขอโทษนะคะคุณครู ดิฉันกลัวว่าถ้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้วคุณครูจะมีอคติ…”
“โอ๊ย ไม่หรอกค่ะ โชคดีนะคะที่มารู้ตอนจบเทอมแล้ว”
ครูประจำชั้นโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนจะหลบสายตาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับโล่งอก
ทันใดนั้นน้าก็คว้ามือของแม่หมอนั่นที่วางไว้บนตักขึ้นมากุมไว้
“คุณแม่คะ ดิฉันขอร้องนะคะ ช่วยทำให้เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นนะคะ ดิฉันจะให้ยอนอูย้ายโรงเรียนเองค่ะ นะคะ”
“เอ่อ คือ…ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่ แกก็พูดขอบคุณด้วยสิ”
ทีตอนพูดว่า ‘ขอบคุณค่ะคุณแม่’ ทำเป็นพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยหวานหู แต่พอหันมาพูดกับผมกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่กดจนราบเรียบ ช่างไม่มีความเท่าเทียมเอาเสียเลย ผมไม่คิดจะขอโทษสักนิด แต่น้ากลับจับท้ายทอยของผมแล้วกดลง ผมจึงรีบปัดมือของน้าออกเพราะไม่คิดจะขอโทษ คราวนี้น้าก็เลยจิกผมของผมเอาไว้
“ไม่เป็นไร…ค่ะ”
พอเห็นแบบนั้นแม่ของหมอนั่นก็เป็นฝ่ายห้ามเสียเอง เมื่อกี้ยังพูดไม่มีหางเสียงอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับพูดแบบนี้ ใช่เลย มันเป็นทีท่าอันน่าขยะแขยงของคนที่โอนอ่อนให้กับคนที่แข็งแกร่งกว่า แต่ก้าวร้าวกับคนที่อ่อนแอกว่า ตอนนี้ผมรู้ชัดแล้วว่าครอบครัวของหมอนั่นอบรมสั่งสอนกันมาแบบไหน
***
“นี่ แถวนี้มีเขตสูบบุหรี่มั้ย”
น้าหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต จากนั้นก็มองไปรอบๆ โรงเรียน
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง”
“แกไม่สูบบุหรี่เหรอ”
“มันใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่จะมาถามเด็ก ม.ปลาย มั้ยว่าไม่สูบบุหรี่เหรอ”
“ความเป็นผู้ใหญ่จะแสดงออกมาก็ต่อเมื่อได้ของที่ต้องการ”
พอพูดจบ น้าก็เดินออกจากประตูโรงเรียน แล้วไปยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี ผมไม่เข้าใจเลยว่าบุหรี่มันอร่อยตรงไหน
“ทำไมผมต้องย้ายโรงเรียนด้วย”
“ไปเริ่มต้นในที่ใหม่ดีกว่าอยู่ในที่ที่ไม่มีเพื่อนสนิทสักคน”
“จะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอ”
“ถึงยังไงก็มีแผนจะย้ายบ้านอยู่แล้ว ได้ยินว่าคราวหน้าถ้ากล้าแหย็มกับสมาคมอีกก็จะเอาถึงตายแน่ะ”
นั่นอาจจะเป็นโรคประจำอาชีพของน้าก็ได้ น้าไม่ใช่ผู้ผดุงความยุติธรรม แต่น้าก็มีความกล้าหาญ ซึ่งนั่นก็เป็นตัวเรียกความซวยอย่างหนึ่ง การได้ทำงานเป็นพีดีที่สถานีโทรทัศน์มันก็ดีอยู่หรอก แต่ปัญหาคือรายการนั้นเป็นรายการแฉความจริง พอทำรายการแฉที่นั่นที่นี่ก็เลยถูกขู่ฆ่าอยู่บ่อยๆ ตอนที่แม่ยังอยู่ น้าก็ทำตัวเหมือนนกย้ายถิ่นที่อยู่ไปที่อื่น นานๆ จะกลับบ้านมาที แต่หลังจากที่แม่หายตัวไป น้าก็ต้องอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อดูแลผมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ปัญหาก็คือการข่มขู่นั้นเริ่มลงรายละเอียดมากขึ้น และความสามารถในการแสดงของน้าก็เพิ่มขึ้นอย่างหาสาระไม่ได้เช่นกัน
“ขอย้ายไปทำรายการอื่นไม่ได้เหรอ”
“นี่ งานอดิเรกของฉันคือการเราะฟันเพื่อนๆ นะ พอโตมาก็ได้เราะฟันคนอย่างถูกกฎหมาย แล้วฉันจะเลิกทำทำไมล่ะ มันก็สนุกอยู่นะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ”
ผมกลืนคำว่ามันอันตรายเกินกว่าผู้หญิงจะทำลงไป เพราะเมื่อก่อนน้าก็ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตคนที่ไล่ตาม แล้วจับทุ่มจนกระดูกหักมาแล้ว แต่โลกมันก็โหดร้ายเกินกว่าหนุ่มสาวไฟแรงจะทัดทานเอาไว้ได้
“มันก็ยังอันตรายนี่”
“แกน่ะอันตรายหนักกว่าฉันอีก หน้าสวยๆ แบบนี้จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่โหดร้ายนี้ได้ยังไง”
“ไม่ได้สวยสักหน่อย”
“บ้าชะมัด เหมือนพี่ไม่มีผิด พอถามว่าหน้าสวยๆ แบบนี้จะใช้ชีวิตได้ยังไง พี่ก็ตอบกลับมาว่าไม่สวยสักหน่อย แต่พอเจอพี่เขยเท่านั้นแหละ ก็รีบมาถามฉันเลยว่า ‘พี่สวยมั้ย’ เอาเถอะ สองแม่ลูกเหมือนกันจริงๆ”
“แม่อาจจะถามเพราะแม่ไม่รู้ว่าตัวเองสวยก็ได้”
แม่ พ่อ หรือน้าคือคนในครอบครัวเดียวกัน การพูดบอกกันว่าสวยก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่บางครั้งพวกผู้หญิงก็ชอบเถียงกันเรื่องความสวย หรือบางครั้งก็บอกว่าไม่อยากยืนข้างๆ เพราะอีกฝ่ายสวยมาก ซึ่งมันสร้างความเหนื่อยหน่ายใจให้กับคนที่ได้ยินเหลือเกิน
ผมมองแค่ว่าคนเราเดิมทีก็น่าจะมีรูปลักษณ์แบบนี้กันอยู่แล้ว โชคดีที่ตาสองชั้นของผมตกลงมานิดหน่อย ไม่เหมือนแม่กับน้า และใบหน้าก็ไม่ได้มีจุดบกพร่องอะไรมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าตัวเองไม่ได้มีเสน่ห์พอที่จะมัดใจใครได้หรอก
“ที่ฉันให้แกย้ายโรงเรียนเพราะยังไงก็ต้องย้ายบ้านอยู่แล้ว คราวนี้จะส่งไปโรงเรียนชายล้วนนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ไม่คิดจะมีแฟนอยู่แล้วนี่”
“แต่โรงเรียนชายล้วนมันเหม็นอะ”
“ฉันส่งแกไปโรงเรียนชายล้วนก็เพราะอยากให้แกมีเพื่อน!”
“ก็บอกว่าไม่จำเป็นไง”
น้าอัดบุหรี่เข้าปอดถี่ๆ พอผมถอยหลังไปก้าวหนึ่ง น้าก็มองมาที่ผมและแสร้งพูดจาสงสารผมทั้งที่บุหรี่ยังคาอยู่ที่ปาก
“ถ้างั้นก็คิดถึงเกรดอันน้อยนิดของแกสิ พวกผู้หญิงตั้งใจเรียนกันจะตาย พอมองแก ฉันก็รู้สึกแปลกใจนะ ถ้าจะเรียนก็เรียนไป ถ้าจะไม่เรียนก็ไม่ต้องเรียน แต่แกกลับทำตัวไม่ชัดเจนเอาซะเลย”
“เรื่องนั้นน้าพูดได้เหรอ”
“ฉันเรียนเก่งนะจ๊ะ ตั้งใจเรียนด้วย”
“พอเครียดก็ไปหาเรื่องเราะฟันพวกผู้ชายเนี่ยนะ”
“ไม่ได้ทำเยอะอย่างที่แกคิดนะ!”
“แม่เคยบอกว่าถ้าเอาฟันของเด็กผู้ชายที่น้าเราะมาร้อยเป็นสร้อยก็คงได้เส้นนึงแล้ว”
“พี่สาวฉันก็นะ”
หลังจากพูดหยอกล้อกันไปมา น้าก็ทำหน้าหงิกแล้วอัดบุหรี่เข้าไปจนชุ่มปอด เราสองคนยืนอยู่อย่างนั้นโดยรู้กันดี หลังจากที่แม่หายไปเมื่อสองปีก่อน แม่ก็ไม่เคยติดต่อมาเลยสักครั้ง เราสองคนออกตามหาแม่กันทั่วทุกสารทิศ และผมก็เคยได้ยินคำพูดซึ่งเหมือนกับที่หมอนั่นพูดจากป้อมตำรวจด้วย
‘มีลูกชายอยู่แล้วก็เลยยากที่จะแต่งงานใหม่ เพราะงั้นก็เลยทิ้งลูกชายไปน่ะสิ’
เราสองคนได้แต่หวังว่าแม่จะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง ดูภายนอกก็เหมือนเราจะไม่ได้ออกตามหาแม่กันแล้ว น้าออกไปทำงานตามปกติ ส่วนผมก็ไปโรงเรียน หลังจากที่ออกตามหาแม่กันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังตลอดหนึ่งปีเต็ม เราสองคนก็ตระหนักได้ว่าถ้าไม่มีที่จะให้ออกตามหาอีกต่อไปแล้ว ก็มีอยู่สองอย่าง หนึ่ง แม่ทิ้งเราไปแล้ว และสอง แม่ไม่ได้มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
เราขมวดปมจบเรื่องทั้งที่ยังไม่ได้ฟังธงว่าบทสรุปคือข้อไหน เราพูดจาหยอกล้อกันเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ตอนนี้เราสามารถพูดคุยเรื่องแม่ได้อย่างสบายใจเพราะแม่หายตัวไปได้สามปีแล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังคงตามหาแม่อยู่ ไม่ว่าจะยังไงผมก็จะตามหาแม่ที่สาบสูญไป ตอนอยู่ที่โรงเรียน ผมก็ใช้มือถือค้นหารูปโน้นรูปนี้ดูในอินเตอร์เน็ต เพราะผมคิดว่าอาจจะได้เห็นแม่จากที่ไหนสักที่ ดูคลิปจากกล้องวงจรปิดที่ไม่ต้องใส่รหัสผ่าน และเช็กทุกวันว่ามีใครเอาเลขบัตรประชาชนหรือหนังสือรับรองตัวตนของแม่ไปสมัครเว็บไซต์ใหม่ๆ หรือเปล่า
ผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำแบบนี้อยู่คนเดียว แต่แล้วน้าก็ยังบอกให้ผมเลิกทำ คนโกหก
น้าพกมือถือสองเครื่อง หนึ่งเป็นเครื่องที่ใช้เบอร์เดิมตอนที่แม่หายไป และอีกหนึ่งเป็นเครื่องที่เปลี่ยนเบอร์ใหม่เพราะถูกข่มขู่ ถ้ามีเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามาในเบอร์เดิมซึ่งใช้ตอนที่แม่หายไป น้าก็จะรีบรับทันที แม้ว่าโดยมากจะเป็นสแปมหรือไม่ก็เป็นการโทรมาข่มขู่ก็ตาม
ตอนย้ายออกจากบ้านที่เคยอยู่กับแม่ เราได้ขอร้องบริษัทจัดหาอสังหาริมทรัพย์ คนดูแลไซต์ก่อสร้างรีโมเดลลิ่งบ้าน และคนของบริษัทที่ดูแลการแบ่งเช่าเอาไว้ว่าถ้าแม่กลับมาหรือมาถามหา ก็ให้บอกเบอร์ติดต่อของน้า แม้ทุกคนจะมีท่าทีไม่เต็มใจนัก แต่น้าก็ขอร้องเอาไว้อย่างหนักแน่น
น้าจำไม่ได้ว่าแม่ใส่ที่คาดผมในวันที่ตัวหายไป ส่วนผมจำได้ แต่เพราะผมเป็นโมโน…ผมก็เลยไม่รู้ว่าที่คาดผมนั้นมีสีอะไร ผมไม่รู้ว่าสีเทาที่ตาผมเห็นนั้นแท้ที่จริงเป็นสีอะไร
ผมดัดสีเทาดำยาวถึงรักแร้ วันพีซผ้าชีฟองสีฟ้า รองเท้าปลายกลมสีน้ำตาล ตากลมโต เปลือกตาสองชั้นเด่นชัด ใบหน้าเรียวยาว จมูกเล็ก ปีกจมูกเป็นรูปหยดน้ำแต่ปลายจมูกเรียว ริมฝีปากบนอูมออกมาเล็กน้อยและมีริมฝีปากเป็นสีแดงเข้ม เวลายิ้มจะเห็นลักยิ้มจางๆ ที่แก้มด้านซ้าย
น่าเสียดายที่ผมไม่รู้ว่าวันพีซสีฟ้าคือสีแบบไหน รองเท้าสีน้ำตาลเป็นสียังไง และที่บอกว่าริมฝีปากเป็นสีแดงนั้นหมายความว่าอะไร ช่วงหนึ่งแม่ก็คงจะรู้ เพราะพ่อที่เป็นโพรบเคยบอกกับแม่ที่เป็นโมโนว่าแม่เหมาะกับวันพีซสีฟ้าซึ่งถ้าใส่กับรองเท้าสีน้ำตาลก็จะยิ่งสวย และพ่อยังบอกแม่เรื่องริมฝีปากสีแดงด้วย
แม่บอกว่าไม่สามารถลืมคัลเลอร์รัชในวินาทีที่พบกับพ่อได้ แม้ว่านั่นจะทำให้แม่เป็นลมล้มลงจนหัวเข่าแตก แต่แม่ก็บอกว่ามันดีมาก เสี้ยววินาทีที่ได้พบกับโพรบ โมโนจะรับรู้สีได้ และจะเป็นลมเพราะสมองทำงานหนักอย่างกะทันหัน คัลเลอร์รัชจะเกิดขึ้นซ้ำๆ จนกว่าจะชินกับโพรบ ส่วนการเป็นลมก็เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อสีมากเกินไป
ในช่วงนั้นแม่ตั้งใจจีบพ่อมาก น้าเล่าให้ฟังตามการประเมินของน้าว่า ‘ดูไม่ได้เลยจริงๆ’ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อก็คอยผลักไสแม่ด้วย โดยพ่อบอกแม่ว่าเราเป็นเพื่อนกันเถอะ เพราะตอนพบกับแม่ พ่อกำลังรักษามะเร็งอยู่ แต่แม่บอกว่าไม่เป็นไร และเพราะอย่างนั้นแม่จึง…พ่อ น้าบอกว่า ‘ถ้าสลับเพศกัน พี่ก็คงจะต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้ว’ หลังจากนั้นผมก็เกิดมา โรคประสาทไม่รับรู้สีเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ โรคตาบอดสีก็เป็นโรคทางกรรมพันธุ์เช่นเดียวกัน ผมเกิดมาในสภาพที่สวิตช์การรับรู้สีในสมองปิดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งพ่อและแม่ก็ยังคิดในแง่ดี พ่อไม่ได้อยู่กับผมนานนัก แต่ก็อยู่ได้นานกว่าที่หมอคาดเอาไว้ พ่อมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีกห้าปี แม้ในปีสุดท้ายร่างกายจะทรุดโทรมมากก็ตาม
ผมไม่ค่อยรู้หรอกว่าทำไมแม่ถึงเลือกพ่อและทำไมแม่ถึงปรารถนาในตัวพ่อขนาดนั้น
[เกิดเหตุชายอายุประมาณสี่สิบปีลักพาตัวและกักขังหญิงอายุประมาณสามสิบปี คนรอบตัวให้ข้อมูลว่าฝ่ายชายเป็นโรคประสาทไม่รับรู้สีหรือที่เรียกว่าโมโน เขารับรู้สีได้เมื่อเห็นหญิงสาวคนนี้ เขาจึงยึดติดกับหญิงสาวคนนี้มาก]
คดีต่างๆ ที่โมโนทำกับโพรบถูกรายงานออกทีวี โมโนดูยึดติดกับคนพวกนั้นมาก ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลักษณ์ที่สื่อสร้างให้หรือเปล่า แต่ความจริงมันก็เป็นแบบนั้น ว่ากันว่าถ้าโมโนเจอโพรบก็จะยึดติดเอามากๆ เพราะกลัวจะไม่เห็นสีอีก ผมเลยคิดว่าการที่โมโนไม่เจอโพรบก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกับทั้งสองฝ่ายมากกว่า
ทางโรงเรียนแจ้งว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายของ ม.ปลาย ปีหนึ่งแล้ว ก็เลยจะทำเรื่องให้ผมย้ายโรงเรียนตอนขึ้น ม.ปลาย ปีสองเลย ไม่รู้ว่าแม่ของเกี๊ยวแบนโดนการแสดงบ้าๆ ของน้าหลอกเอาหรือเปล่า เพราะสุดท้ายแม่ของหมอนั่นก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่
แล้วน้าก็ถามผมผู้ต้องย้ายโรงเรียนเป็นนัยๆ ว่า
‘ไม่มีใครเสียดายเลยเหรอ’
ผมพยักหน้า หนึ่งปีที่ผ่านมาผมจำชื่อเพื่อนในโรงเรียนไม่ได้สักคน สมัย ม.ต้น หลังจากที่แม่หายไป ผมไม่ค่อยได้เล่นกับเพื่อนๆ ก็เลยห่างเหินกันไปนานแล้ว
น้าไม่ยอมปล่อยให้ผมทำอะไรตามอำเภอใจตลอดปิดเทอมฤดูหนาว สำหรับบางคนอาจจะเป็นเรื่องน่าอิจฉาเอามากๆ เพราะน้าซื้อเกมมาให้เยอะแยะ แถมยังเอาคอมพิวเตอร์ที่แค่ดูเผินๆ ก็รู้ว่าเป็นของดีมาให้อีก ไม่รู้ไปสั่งประกอบที่ไหน พอผมลองใช้โปรแกรม 3DP CHIP* ดู ก็รู้ว่าการ์ดจอไม่ใช่แบบที่แถมมากับตัวเครื่อง แต่เป็น GeForce
ผมใช้เจ้าเครื่องนั่นทำโปรแกรมง่ายๆ ด้วย Python เพื่อใช้ครอว์ลิ่ง รูปและคลิปวิดีโอจากโลกโซเชียล แต่ทำไปทำมาน้าก็จับได้และลบของพวกนั้นทิ้งไปทั้งหมด แล้วน้าก็รู้เข้าจนได้ว่าการ์ดจอไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นเกม แต่มีไว้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่อง
จากนั้นน้าก็ซื้อการ์ตูนและนิตยสารให้แล้วยึดมือถือกับคอมพิวเตอร์ไป เพราะอย่างนั้นผมก็เลยต้องเหนื่อยเดินหาข้อมูลเอาเอง ปัญหาคือน้าไปบอกตามสถานีตำรวจและป้อมตำรวจที่ผมไปบ่อยๆ ว่าถ้าผมมาให้ไล่ผมกลับไป ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ไปเดินด้อมๆ มองๆ แถวบ้านเก่าที่เคยอยู่กับแม่เท่านั้น
เมื่อก่อนตอนที่แม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคประสาทไม่รับรู้สี แม่ก็ออกไปพบปะและทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มชาวโมโน เราคิดว่าอาจจะเจอแม่ที่นั่นก็ได้ ก็เลยสมัครสมาชิกและลองค้นหาดูในกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ซึ่งน้าชอบมาก และน้าก็ยังบอกให้ผมลองเข้าร่วมประชุมสามัญดูด้วย แต่การประชุมจะมีขึ้นในเดือนมีนาคม ผมจึงไปร่วมไม่ได้ ทั้งที่สมัครเข้าร่วมประชุมเอาไว้แล้วแท้ๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 26 ม.ค. 65