DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 1.1 ถึง 1.2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
การมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 1-1
คริสต์มาสที่เลวร้ายที่สุด
ปัก!
ผมเคาะปุ่มเอ็นเทอร์ด้วยความหงุดหงิดและเดือดดาล เคอร์เซอร์ที่กะพริบอยู่ด้านหลังจุดฟูลสต็อปของประโยคสุดท้ายเลื่อนลงมาหนึ่งบรรทัด ผมตรวจสอบรหัสนักศึกษากับชื่อเป็นครั้งสุดท้ายว่าเขียนถูกต้องหรือยัง ก่อนจะคลิกที่ปุ่มบันทึก
‘รายงานปลายภาค_แก้ไข_ครั้งสุดท้าย_final_รอบนี้_ครั้งสุดท้ายจริงๆ_เฮ้อขอร้องล่ะ_ทำไมฉันถึงได้มาลงเรียนวิชานี้กันนะ | tlqkf.hwp’
สภาพดูไม่จืดเลยแฮะ คำพูดที่ผมโอดครวญมาตลอดสามวันร่ายยาวอยู่ในชื่อไฟล์ ก่อนชื่อไฟล์ที่มีแต่คำพูดเลอะเทอะจะถูกปรับแก้ใหม่ให้เรียบร้อยขึ้น
‘ปี 20xx_เทอม 2_การจัดการเชิงกลยุทธ์_20xx019653_ชองโฮฮยอน.hwp’
ผมรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่วเพื่อกรอกที่อยู่อีเมล จากนั้นก็แทรกไฟล์แนบ ก่อนจะกดส่ง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรลงไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คงมีคำพูดเวิ่นเว้ออย่าง ‘เรียนอาจารย์ที่เคารพ ช่วงนี้สภาพอากาศกำลังเย็นลง อาจารย์สุขภาพแข็งแรงดีไหมครับ’ แบบนี้เขียนลงไปอยู่ล่ะมั้ง
“อ๊ากกก…”
ผมฟุบตัวลงบนเตียงพร้อมกับร้องโหยหวนออกมาเหมือนคนใกล้ตาย สีของเพดานมืดลงสลับกับสว่างขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจนผมตาลายไปหมด
นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว ตั้งสามวันที่ผมอดหลับอดนอนแทบจะสิงโน้ตบุ๊กเพื่อเขียนรายงานปลายภาคอันแสนโหดร้ายนี่ ในระหว่างที่คนอื่นๆ เขาทำรายงานและสอบปลายภาคกันเสร็จหมดแล้ว และตอนนี้ก็กำลังจัดปาร์ตี้หรือไปออกทริปท่องเที่ยวฉลองปิดเทอมกันอยู่ ส่วนผมกลับต้องมาติดแหง็กอยู่ในห้องโดยที่ขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย
เนื่องจากวันคริสต์มาสใกล้มาถึงแล้ว จึงมีพวงดอกไม้ขนาดใหญ่แขวนประดับอยู่ที่ประตูทางเข้าออกของหอพัก ทุกครั้งที่เดินผ่านหน้าประตูนั่น ผมจะรู้สึกเหมือนถูกยั่วโมโหให้อยากเขวี้ยงพวงดอกไม้นั่นทิ้งลงพื้น กระทืบซ้ำ แล้วจุดไฟเผามันอยู่ตลอดเวลา
ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นรูมเมตก็ปิดเทอมก่อนผมไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ หมอนั่นบอกว่าจะจองบ้านพักตากอากาศแล้วไปเที่ยวกับแฟนสาวในวันคริสต์มาส ก่อนจะแพ็กกระเป๋าด้วยหน้าตาชื่นมื่นแล้วหายตัวไปด้วยความเร็วแสง พอเห็นแผ่นหลังที่ดูระริกระรี้และโล่งใจนั่นแล้วก็ยิ่งสุมไฟแห่งความโกรธในตัวผมให้มากขึ้นไปอีก
ข้อสอบพวกวิชาเอกที่ขึ้นชื่อว่าโหดหินต่างก็ประเดประดังเข้ามา พอเคลียร์จบหมดแล้วก็ยังเหลือรายงานปลายภาคของวิชาเอกที่เคยผัดวันประกันพรุ่งอยู่อีกวิชาหนึ่ง ปริมาณงานที่ต้องเค้นออกมาให้ได้คือห้าสิบหน้ากับเวลาที่เหลืออยู่อีกสามวัน
ผมถอนหายใจยาวขณะเดินไปร้านสะดวกซื้อที่ชั้นหนึ่งของหอพักในสภาพน่าอดสูเหมือนผู้บัญชาการกองทัพที่บุกเข้าไปในทัพศัตรูเพียงลำพัง ผมไล่หยิบพวกเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟขวด และหมากฝรั่งแก้ง่วงขึ้นมาทีละอย่างจนเต็มมือ ก่อนจะเรียกพนักงานพาร์ตไทม์เพื่อขอให้ยกเครื่องดื่มชูกำลังมาให้ทั้งกล่อง ผมยังจำสีหน้าของพนักงานพาร์ตไทม์ในตอนนั้นที่มองผมเหมือนเป็นตัวประหลาดได้ดี
ความทรงจำหลังจากนั้นไม่ค่อยชัดเจนนัก รู้แค่ว่าผมปิดมือถือแล้วโยนทิ้งไป ก่อนจะล็อกกลอนประตู รวบปิดผ้าม่านกันแสง แล้วพิมพ์รายงานอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับใส่ที่อุดหูอยู่ในห้องที่มืดสนิทตลอดเวลาจนแยกไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน
ผมพิมพ์จุดฟูลสต็อปที่ท้ายประโยค ก่อนจะกดปุ่มคอนโทรลเอสตามความเคยชินแล้วมองนาฬิกาที่อยู่ตรงมุมล่างของจอคอมพิวเตอร์ด้วยดวงตาลึกโหล รู้ตัวอีกทีก็เหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนถึงกำหนดส่งงาน
ในที่สุดก็เสร็จสักที ภาคเรียนของผมสิ้นสุดลงในวินาทีที่คลิกส่งรายงาน คะแนนจะออกมาเป็นยังไงก็ช่าง สิ่งเดียวที่สำคัญคือตอนนี้มันได้จบสิ้นลงแล้ว
“ปั่นรายงานแค่สามวัน แต่เหมือนอายุขัยลดลงไปสามปีเลยแฮะ…”
ผมพึมพำเสียงแหบพร่าขณะควานหาผ้าห่มมาคลุมตัว ความง่วงที่ฝืนถ่างตามาตลอดสามวันด้วยสารพัดวิธีถาโถมเข้ามาเต็มที่ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองคงจะนอนสลบเป็นตาย ต่อให้ข้างนอกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามหรือระเบิดนิวเคลียร์ลงก็ตาม
ผมรู้สึกปวดแสบกระเพาะเพราะกรอกแต่กาเฟอีนและทอรีน* ลงคอตอนท้องว่าง แต่ถึงอย่างนั้นความง่วงงุนกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมเมินเฉยโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ตรงมุมหนึ่งแล้วหลับตาลงในสภาพสลบเหมือดเหมือนคนใกล้ตาย
ตอนนี้ไม่มีใครมาฉุดผมไว้ได้อีกแล้ว ผมจะนอน ต่อให้โลกจะถึงกาลล่มสลายเดี๋ยวนี้ ผมก็จะนอนหลับให้เต็มอิ่ม หรือถ้าจะต้องตายก็ให้มันนอนไหลตายไปเลย ลาก่อนทุกคน ผมจะปลดเปลื้องทุกพันธนาการของโลกใบนี้และออกเดินทางตามหาความสุขแล้วครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขเหมือนกันนะครับ!
ผมหลับตาขณะพึมพำเรื่องเพ้อเจ้อกึ่งละเมอออกมาในใจ กระแสน้ำวนสีแดงและสีน้ำเงินหมุนคว้างอยู่บนดวงตาที่ปิดสนิท ก่อนที่สติสัมปชัญญะของผมจะมอดดับลงจนสลบไปในที่สุด
ผมลืมตาขึ้น ดวงตาหนักอึ้งราวกับมีกาวทาปิดเปลือกตาเอาไว้ ผมค่อยๆ พลิกตัวพร้อมกับครางฮือ ปลายนิ้วแตะเข้ากับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวนอน โทรศัพท์ยังเสียบอยู่กับที่ชาร์จแบตฯ ผมสลบไปนานมาก มีพักหนึ่งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะหลับไปอีกครั้งด้วยความเพลีย ดูเหมือนผมจะเสียบสายชาร์จโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้ตอนที่กำลังสะลึมสะลืออยู่
ผมหาวหวอดใหญ่พร้อมกับบิดขี้เกียจ นี่ผมนอนไปนานแค่ไหนกันนะ หนึ่งวันหรือสองวัน? แม้จะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาหลายครั้ง แต่ก็มั่นใจได้เลยว่าหลับไปนานมาก ทว่าแค่ร่างกายที่ตรากตรำจนเหนื่อยล้าถึงขีดสุดสดชื่นขึ้นบ้างผมก็พอใจแล้ว
ผมเดินโงนเงนเข้าไปอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำ หอพักของมหาวิทยาลัยเก็บเสียงได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เสียงอาบน้ำจากห้องข้างๆ จึงเล็ดลอดเข้ามาเป็นประจำ และถ้าหากมีคนใช้น้ำอุ่นจากท่อเดียวกัน น้ำที่ไหลออกมาก็จะมีแต่น้ำอุ่น แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม รอบด้านเลยเงียบสงัดราวกับป่าช้า มีเพียงเสียงของน้ำอุ่นที่ไหลซู่ลงมาเรื่อยๆ เท่านั้น
หลังจากเพลิดเพลินกับการอาบน้ำที่แสนเงียบสงบ ผมก็เอาผ้าขนหนูคลุมหัวแล้วเดินออกมา โดยไม่ลืมปรับลดอุณหภูมิของฮีตเตอร์ที่ทำงานหนักระหว่างที่ผมนอนหลับอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่นุ่มสบาย ตอนนี้ค่อยรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
หน้าจอโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้เปิดเครื่องแจ้งโชว์ว่าแบตเตอรี่ถูกชาร์จเต็มแล้ว ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดหัวและกดปุ่มเปิดเครื่อง โลโก้ผู้ผลิตและเครือข่ายโทรศัพท์ปรากฏขึ้นมาตามลำดับ ก่อนภาพพื้นหลังหน้าจอที่คุ้นเคยจะปรากฏขึ้น
“ฮะ?”
ผมขมวดคิ้วมองดูหน้าจอที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากนั้น ตัวเลขที่เคยเห็นเลือนรางตอนงัวเงียเริ่มชัดเจนขึ้น
สายที่ไม่ได้รับและข้อความแน่นเอี้ยดเต็มหน้าจอ ปิดโทรศัพท์แล้วหายตัวไปตั้งหลายวัน ข้อความจะกองพะเนินเป็นภูเขาก็ไม่แปลก แต่ทำไมถึงมีเบอร์เลขสามหลัก* โทรเข้ามาด้วยนะ
สายส่วนใหญ่โทรมาจากครอบครัว พ่อ แม่ และน้องสาว ชื่อของทั้งสามคนสลับกันปรากฏในรายชื่อที่ไม่ได้รับสาย
พวกเขาน่าจะส่งข้อความมาเพื่อปลอบขวัญลูกชายผู้น่าสงสารที่แม้แต่ในช่วงวันคริสต์มาสก็ยังติดแหง็กอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ลึกกลางป่ากลางเขา…ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น หรือว่าไม่ได้ติดต่อกันนานมากจนครอบครัวเข้าใจผิด คิดว่าผมหายสาบสูญไปแล้ว? ผมก็แอบกังวลว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็เคยบอกล่วงหน้าไปแล้วนะว่ายุ่งมากเลยอาจจะกลับบ้านไม่ได้
ก่อนอื่นโทรไปบอกที่บ้านให้พ่อกับแม่สบายใจก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็บอกว่าลูกชายของพวกเขายังไม่ตาย ยังอยู่รอดปลอดภัยดี ถึงจะเกือบตายเพราะโหมงานหนัก แต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่ อย่าได้กังวลไปเลย
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก กรุณาฝากข้อความหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณ…”
ทว่าเมื่อลองโทรไปกลับมีแต่เสียงตอบรับอัตโนมัติดังมาจากปลายสาย ผมโทรไปหาแม่และพ่อตามลำดับ แต่ท่านทั้งสองไม่มีใครรับเลยลองโทรไปหาน้องสาวอีกคน ซึ่งก็ยังไม่มีคนรับเหมือนเดิม
ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ติดต่อไม่ได้พร้อมกันทั้งสามคนเนี่ยนะ? นี่ทิ้งผมแล้วยกโขยงไปเที่ยวต่างประเทศทั้งครอบครัวในช่วงสิ้นปีหรือยังไงกัน ไม่สิ ถ้าไปต่างประเทศจริงก็น่าจะมีเสียงตอบรับบอกว่าปิดเครื่องหรือกำลังเชื่อมต่อกับโรมมิ่งที่ต่างประเทศสิ
“…”
ผมตื่นเต็มตา ก่อนจะลูบเช็ดผมที่เปียกหมาดๆ แล้วกดเข้าแอพฯ เมสเซนเจอร์ จากนั้นก็เห็นแจ้งเตือนมากมายที่เด้งเข้ามา ตัวเลขที่ระบุว่ามีข้อความที่ยังไม่ได้อ่านเด้งขึ้นมาไม่หยุด ก่อนที่ผมจะสะดุดตากับข้อความที่อยู่ด้านบนสุดจากบรรดาข้อความทั้งหมด
แม่
ถ้าเห็นแล้วติดต่อกลับมาหาแม่ด้วย
พ่อ
ลูกชายพ่อ พ่อรักลูกนะ
ชองจีฮยอน
พี่ปลอดภัยไหม ปลอดภัยใช่หรือเปล่า
ชั่วขณะนั้นในหัวของผมพลันขาวโพลนไปหมดพร้อมกับหัวใจที่กระตุกวูบ
ผมไถหน้าจอลงมาเพื่อดูข้อความอื่นๆ มันถูกส่งมาจากเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ รุ่นน้อง และคนอื่นๆ ทุกคนต่างถามไถ่ด้วยคำพูดที่ดูร้อนใจและว้าวุ่น ข้อความสุดท้ายถูกส่งเข้ามาเมื่อประมาณครึ่งวันก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่ออะไรมาอีกเลยราวกับทุกคนรวมหัวคุยกันแล้วนัดกันหยุดส่งข้อความ
[x] แม่ ผมโฮฮยอนเองครับ
[x] เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ
[x] แม่
ทุกข้อความที่ส่งไปมีเครื่องหมายกากบาทที่แจ้งว่าการเชื่อมต่อเครือข่ายล้มเหลวเด้งขึ้นมา ผมเลยเหลือบไปมองแถบด้านบนสุดของหน้าจอโทรศัพท์โดยอัตโนมัติ ทั้งไวไฟและสัญญาณโทรศัพท์ต่างขึ้นขีดต่ำเหมือนกันหมด ถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะอยู่ในหุบเขา แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารถึงขนาดที่โทรออกไม่ได้ แถมไวไฟในมหาวิทยาลัยก็แรงจะตาย
ผมลองส่งข้อความอีกสองสามครั้งโดยเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ก่อนจะผุดลุกพรวดขึ้น มีบางอย่างแปลกๆ ชอบกลแฮะ ผมสอดโทรศัพท์ที่ถืออยู่ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วสวมรองเท้า จากนั้นจึงเปิดประตูห้องนอนที่ปิดสนิทมาตลอดหลายวัน
ทั่วทั้งหอพักเงียบกริบจนวังเวง ถึงภาคเรียนจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่มันก็แปลกมากที่เงียบสงัดถึงขนาดนี้ เพราะปกติแล้วต่อให้ปิดเทอมก็ยังมีผู้คนเหลืออยู่เยอะ ทั้งนักศึกษาที่ลงเรียนเป็นภาคตามฤดูกาล นักศึกษาที่ยังอยู่เพราะไม่ได้กลับบ้านช่วงปิดเทอม ไหนจะนักศึกษาที่ทำกิจกรรมของชมรมหรือหมกตัวอยู่ในห้องสมุดเพราะเตรียมสอบนั่นอีก
ผมกวาดตามองโถงทางเดินที่เงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คน ประตูห้องทั้งสองฝั่งของทางเดินที่ทอดยาวออกไปถูกเปิดทิ้งไว้บางห้อง ไม่มีคนอยู่แล้วทำไมถึงไม่ล็อกประตูห้องกันนะ ผมรีบเดินจ้ำผ่านโถงทางเดินนั้นไป ภายในห้องที่เหลือบมองผ่านๆ มีข้าวของอย่างเสื้อผ้าและหนังสือกองเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น
ผมเดินลงไปชั้นล่างผ่านบันไดที่อยู่สุดโถงทางเดิน พอเลี้ยวที่หัวมุมโถงก็เจอป้ายร้านสะดวกซื้อที่เป็นแฟรนไชส์ เวลาขี้เกียจไปกินข้าวโรงอาหารหอพักหรือไม่อยากสั่งอาหารมากิน พวกนักศึกษาก็มักจะแวะมาใช้บริการกันที่ร้านนี้เป็นประจำ แถมมันยังเป็นร้านที่ผมแวะมาก่อนจะทุ่มเทจิตวิญญาณเพื่อเขียนรายงานปลายภาคอีกด้วย
ภายในร้านสะดวกซื้อยังคงมีไฟสว่างอยู่ ผมกวาดมองบรรดาแบรนด์สินค้าที่คุ้นเคยดี ด้านหลังเคาน์เตอร์มีบุหรี่ยี่ห้อต่างๆ จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ชั่วขณะนั้นผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันราวกับได้ตื่นขึ้นมาหลังจากติดอยู่ในห้วงฝันร้ายแปลกๆ
นั่นสินะ มันจะไปมีเรื่องอะไรได้ยังไงกัน สาเหตุที่โทรออกหรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายไม่ได้นั่นก็เพราะระบบสื่อสารเกิดการขัดข้องชั่วคราว และไอ้ที่เดินมาจนถึงที่นี่แต่ก็ยังไม่เจอใครสักคนนั่นก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ประจวบเหมาะพอดี
“ขอโทษนะครับ”
ในร้านสะดวกซื้อไม่มีคนอยู่ แม้แต่พนักงานพาร์ตไทม์ที่ควรจะยืนเฝ้าอยู่ตรงเคาน์เตอร์เองก็เช่นกัน หรือว่าจะไปห้องน้ำ? ผมเหลียวมองดูรอบตัว ถัดจากเคาน์เตอร์ไปมีประตูห้องเก็บของที่ใช้สต็อกสินค้าแง้มอยู่
“มีใครอยู่ไหมครับ”
ไร้เสียงตอบรับจากด้านใน
“เอ่อ…ขอโทษนะครับ!”
ผมส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่ในห้องเก็บของยังคงเงียบเชียบ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังจนได้ยินเสียงกรอบแกรบเบาๆ ดังออกมาจากด้านใน คนที่อยู่ในนั้นคงจะยุ่งอยู่กับการจัดสต็อกที่มุมห้องเลยไม่ได้ยินเสียงของผม
“ขอโทษที่รบกวนตอนยุ่งนะครับ พอดีผมมีเรื่องอยากถามน่ะครับ”
ผมยืนอยู่ที่กรอบประตูแล้วยื่นหัวเข้าไปด้านในเล็กน้อย ร้านเปิดไฟสว่างจ้า ทว่าข้างในนี้กลับมืดสนิท มาจัดสต็อกอะไรในห้องมืดๆ ไม่เปิดไฟสักดวงอย่างนี้กันนะ
ครืดดด กึก
เสียงแปลกๆ ดังลอดออกมา ผมมองเข้าไปในห้องที่ปกคลุมด้วยความมืดอย่างเหม่อลอย ก่อนจะมารู้สึกตัวเอาทีหลังว่ามีกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนรุนแรงที่อธิบายไม่ถูกลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วห้อง
“กรร กรรร…”
ใครบางคน…ไม่สิ อะไรบางอย่างที่อยู่ข้างในกำลังจ้องกลับมาที่ผม แม้ในห้องจะมืดจนแทบมองไม่เห็นเบื้องหน้า แต่ลางสังหรณ์ตามสัญชาตญาณนั้นบอกว่าเรากำลังสบตากันอยู่ มันส่งเสียงคำรามอยู่ในลำคอพร้อมกับเดินอืดอาดมาทางผม ไม่นานนักแสงไฟที่สาดเข้ามาจากด้านนอกก็ส่องให้เห็นรูปร่างของมันแบบสลัวๆ
ผิวหนังบนใบหน้าของมันเน่าเฟะไปหมดแล้ว เนื้อสีดำๆ ปริแยกออกพร้อมทั้งมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาจากรอยปรินั้น ลูกตาเองก็เน่าไปเยอะแล้ว สีของมันขุ่นมัวเสียยิ่งกว่าปลาที่เคยเห็นในตลาดอาหารทะเล เหงือกและลิ้นในปากที่อ้าออกกว้างเปื่อยยุ่ยและห้อยลงมาจนแทบจะเห็นกระดูกเบ้าฟัน ถึงจะพยายามคิดให้ดียังไง ผมก็มองว่านี่เป็นร่างกายของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้จริงๆ
ในตอนนั้นเองผมก็ได้เห็นภาพด้านในของห้องเก็บของที่ถูกบังอยู่ด้านหลัง ท่ามกลางชั้นวางของที่แน่นขนัดอยู่ในพื้นที่แคบๆ กับสินค้าที่วางเทินขึ้นไปจนถึงเพดาน มีร่างของคนคนหนึ่งนอนแน่นิ่งราวกับหุ่นโชว์ที่พังแล้ว เขาคนนั้นอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองจนคาดเดารูปร่างหน้าตา อายุ และเพศไม่ได้เลย เสื้อกั๊กยูนิฟอร์มของร้านสะดวกซื้อที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีน้ำเงินอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน
“เอ่อ…”
ผมเผลอชักเท้าถอยกลับไปข้างหลัง มันอ้าปากกว้างจนปากแทบฉีก ฟันสีเหลืองแซมดำดูเหนียวเหนอะไปด้วยคราบเลือด ไม่อยากจะคิดเลยว่าชิ้นเนื้อสีแดงๆ ที่ติดอยู่ในปากนั่นมาจากไหน ไม่สิ แม้แต่เวลาให้คิดยังจะไม่มีเลย ผมรีบหมุนตัวแล้วออกวิ่ง ในขณะที่มันพุ่งพรวดเข้าใส่ผม
ปึง!
เสียงดังสนั่นลั่นขึ้น มันเป็นเสียงไหล่ของผมที่ชนเข้ากับชั้นวางของ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะผมดันพรวดพราดออกตัววิ่งหนีโดยไม่ทันดูหน้าดูหลัง สินค้าหลายชิ้นที่อยู่บนชั้นวางร่วงระเนระนาดลงมา ในขณะที่ผมกัดฟันข่มความเจ็บจากแรงที่กระแทกเข้ากับร่างกายส่วนบน
มันเหยียบทิชชูแบบใช้แล้วทิ้งที่หล่นเกลื่อนพื้นจนเสียหลัก ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีสติปัญญามากพอที่จะสังเกตดูใต้เท้าของตัวเอง ผมเลยอาศัยโอกาสนั้นขยับออกห่างจากมัน
ในตอนนั้นเองสภาพภายในร้านค้าที่ไม่ทันได้สังเกตพลันสะดุดตาผม ชั้นวางที่ควรเต็มไปด้วยพวกอาหารสดและน้ำดื่มกลับว่างเปล่า สินค้าที่เหลืออยู่ไม่กี่อย่างวางเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายราวกับมีโจรมากวาดเอาของไป
“กรรร!”
มันส่งเสียงคำรามลั่น ฟันอาบไปด้วยเลือดเป็นมันวาว ผมหลบหลีกมันที่พยายามยื่นมือปัดป่ายและวิ่งเข้าใส่ ก่อนจะวิ่งกลับไปที่อีกด้านหนึ่ง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย…อุ๊บ!”
มือที่เน่าจนเป็นสีดำและมีเนื้อยุ่ยหลุดออกไปเป็นบางจุดคว้าตัวผมพลาดไปอย่างเฉียดฉิว ผมรับรู้ได้ในทันทีว่าถ้าหากพลาดท่าถูกมือนั้นจับได้ขึ้นมา ตัวเองคงมีสภาพไม่ต่างจากพนักงานพาร์ตไทม์ที่อยู่ในห้องเก็บของนั่น
ภายในปากของผมแห้งผากด้วยความตึงเครียดจนถึงขีดสุด เส้นเลือดในสมองผมเต้นตุบๆ ราวกับหัวใจกำลังเต้นอยู่ที่ขมับ นัยน์ตาที่หรี่แคบลงมองไปยังเคาน์เตอร์ที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ผมเปิดประตูสูงระดับเอวที่พนักงานใช้ผ่านเข้าออกแล้ววิ่งเข้าไปข้างในนั้น
ด้านในเคาน์เตอร์นั้นกว้างสมกับที่เป็นร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ พื้นที่เพียงพอสำหรับให้คนสามถึงสี่คนเข้าไปยืนได้ มันวิ่งตามหลังผมเข้ามาทันที แต่ผมใช้แขนยันเคาน์เตอร์แล้วกระโดดข้ามไปอีกฝั่งก่อนที่จะถูกมันไล่ตามมาจนทัน กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานมานานเริ่มออกอาการ แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เวลาจะมาเจ็บปวด ทันทีที่ผมกระโดดถึงพื้น เอวของมันก็ติดอยู่ที่ขอบเคาน์เตอร์พอดี
มันข้ามเคาน์เตอร์ที่สูงแค่ระดับสะดือออกมาไม่ได้เลยตะเกียกตะกายอยู่ตรงนั้นพร้อมกับดิ้นรนตะกุยเคาน์เตอร์อย่างสะเปะสะปะด้วยมือที่มีเลือดกับน้ำเหลืองสีดำหยดลงมา ป้ายประกาศ ‘ห้ามจำหน่ายบุหรี่และของมึนเมาแก่ผู้เยาว์’ และ ‘มีบัตรสมาชิกไหมคะ’ ที่ติดอยู่บนเคาน์เตอร์ถูกปัดป่ายจนเป็นรอยมือสีแดงก่ำ
“แฮกๆ”
ผมเพิ่งมานึกได้ในตอนนั้นว่าตัวเองลืมหายใจอยู่เลยหอบหายใจออกมาทีหลัง ผมเริ่มหน้ามืดตาลายก่อนจะรีบปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ในเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้แล้ว ผมก็น่าจะใช้โอกาสนี้หนีไปได้
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงประหลาดดังมาจากในห้องเก็บของ
“กรร…กรรร กึก…”
ผมเดินเข้าไปตรวจสอบดูให้เห็นกับตา ซึ่งต้นเสียงก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพนักงานพาร์ตไทม์ที่เคยนอนแน่นิ่งอยู่ในห้องเก็บของ ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสจนขยับตัวไม่ได้ ว่าแต่…มันคลานออกมาในสภาพที่เลือดท่วมตัวแบบนี้ได้ยังไงกัน
หัวของพนักงานพาร์ตไทม์โงนเงนไปมา ดูเหมือนว่าจะพยุงคอให้ตั้งตรงไม่ได้เพราะถูกกัดคออย่างแรงจนขาดแหว่งไปเกินครึ่ง มันตะเกียกตะกายด้วยแขนขาเพื่อเข้ามาใกล้โดยที่ตัวมันสวมเสื้อกั๊กที่เป็นชุดยูนิฟอร์มของร้านสะดวกซื้อ
“อึก…!”
วินาทีที่เห็นโลโก้ร้านสะดวกซื้อซึ่งพิมพ์อยู่บนหน้าอกของพนักงานพาร์ตไทม์โชกชุ่มไปด้วยสีแดงฉาน ผมก็รีบเอามือปิดปากตัวเองด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังยื่นกล่องเครื่องดื่มชูกำลังให้ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่เลย แล้วทำไมถึงได้…
ตัวที่ตะเกียกตะกายจากฝั่งตรงข้ามของเครื่องคิดเงินกำลังหาวิธีอื่นแทนที่จะยันเคาน์เตอร์แล้วกระโดดข้ามมา มันใช้มือตะกุยรอบด้านแล้วกระเสือกกระสนไปทั่วในท่าคว่ำหน้าลงบนเคาน์เตอร์ เมื่อจุดศูนย์ถ่วงร่างกายเริ่มเอียง ร่างกายส่วนบนของมันก็ค่อยๆ โน้มลงมายังอีกฝั่งของเคาน์เตอร์
พนักงานพาร์ตไทม์ขยับเข้ามาใกล้โดยทิ้งคราบเลือดไว้บนพื้นเป็นทางยาว ตัวที่อยู่บนเคาน์เตอร์ก็โน้มลงมาจนถึงเอวและเชิงกรานแล้ว ทั้งสองตัวกำลังจ้องเขม็งมาที่ผมราวกับหมายมั่นที่จะกัดกินเนื้อและฉีกเคี้ยวอวัยวะภายในของผม
จะมัวรอช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมรีบวิ่งเลี้ยวตรงหัวมุมอย่างตาลีตาเหลือกก่อนจะผลักประตูกระจกของร้านสะดวกซื้อแล้วพรวดพราดออกไปข้างนอก กระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูทางเข้าออกส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง มันเป็นเสียงที่ฟังดูสดใส แต่กลับหาประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
ไม้ถูพื้นด้ามยาววางพิงอยู่ข้างประตู พนักงานพาร์ตไทม์คนนั้นคงทำความสะอาดพื้นร้านแล้วเผลอวางทิ้งไว้ตรงนั้น
ผมคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วเลยรีบปิดประตูแล้วเอาตัวขวางไว้เพื่อไม่ให้พวกมันออกมาได้ โดยระหว่างนั้นก็สอดด้ามไม้ถูพื้นขัดหูจับประตูในแนวขวาง
ปัง!
ทันใดนั้นแรงอันหนักหน่วงก็โถมกระแทกเข้าใส่ พวกมันวิ่งเอาตัวเข้ามาชนกับประตูอีกฝั่งหนึ่ง
ประตูกระจกสะเทือนสั่นอย่างรุนแรง คราบเลือดสีแดงเข้มปรากฏอยู่บนนั้น โฆษณาที่เขียนว่า ‘ขอให้ทุกท่านได้มีช่วงเวลาสิ้นปีที่แสนอบอุ่น ซาลาเปาอุ่นๆ วางขายแล้ว!’ เองก็เปื้อนรอยแดงนั้นเช่นกัน ดวงตากลมโตเป็นประกายของมาสคอตรูปซาลาเปาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดชวนให้ขนลุกขึ้นมาทันที
ผมสบตาพวกมันโดยมีเพียงบานประตูกระจกคั่นกลาง ลูกตาที่เป็นสีเหลืองหม่นค่อยๆ กลอกมองมาทางผม พวกตัวประหลาดที่อัปลักษณ์และน่าสยดสยองกำลังจ้องผมด้วยดวงตาที่ปูดโปนออกมากว่าครึ่ง อีกทั้งยังเน่าเปื่อยจนไม่น่าจะโฟกัสกับอะไรได้ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันที
“พวกบ้าเอ๊ย ไสหัวไป บอกให้ไสหัวไปไง!”
ผมตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความโกรธ แต่สิ่งที่ได้รับแทนคำตอบกลับเป็นเสียงร้องคำรามน่าขนลุกกับร่างกายที่โหมกระแทกใส่ประตูมากขึ้นจนตัวผมที่จับหูจับประตูและเอาตัวยันไว้อยู่สั่นสะเทือนตามไปด้วย
ผมปล่อยมือออกแล้วถอยเท้าไปด้านหลัง ประตูร้านสะดวกซื้อซึ่งถูกขัดล็อกไว้ด้วยไม้ถูพื้นดูท่าจะไม่เปิดออกง่ายๆ ผมพินิจมองเข้าไปด้านในผ่านประตูบานนั้น พอไม่เห็นวี่แววว่าพวกมันจะออกมาได้ในตอนนี้ ผมก็รีบหันหลังโกยแน่บไปในทันที
ผมวิ่งกระหืดกระหอบย้อนกลับไปทางเดิมที่เดินมาเมื่อครู่นี้อย่างไม่คิดชีวิตโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับกลัวว่าถ้าหยุดฝีเท้าลงเพียงเดี๋ยวเดียวก็จะถูกพวกมันจับเอาได้ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหูไป ผมอาจจะแค่รู้สึกไปเอง แต่มันราวกับมีกลิ่นเน่าลอยคลุ้งมาตามอากาศ
นี่เป็นคริสต์มาสที่เลวร้ายที่สุด
* ทอรีน (Taurine) คือกรดอะมิโนไม่จำเป็นที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง เป็นส่วนผสมที่อยู่ในเครื่องดื่มให้พลังงานเช่นเดียวกับกาเฟอีน หรืออยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ
*เบอร์เลขสามหลัก หมายถึงเบอร์โทรฉุกเฉินในประเทศเกาหลีใต้ เช่น กรมตำรวจ (112) แผนกดับเพลิง (119)