DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 1.3 ถึง 1.4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
การมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 1-3
พวกเราหยุดยืนอยู่หน้าประตูโลหะที่ปิดสนิท มันคือห้องอาบน้ำรวมของนักศึกษาชายที่อยู่ชั้นบนสุดของหอพัก ทุกห้องในหอพักมีห้องน้ำอยู่แล้ว แต่ก็มีการสร้างห้องอาบน้ำแยกมาต่างหากเพื่อนักศึกษาที่อยู่ในห้องพักรวมสี่คน
ปกติประตูของห้องอาบน้ำรวมจะทำจากวัสดุไม้บางๆ เช่นเดียวกับประตูห้องพักเพื่อให้ง่ายต่อการเปิดและล็อกด้วยกุญแจเพียงดอกเดียว แต่เมื่อสองสามปีก่อนมีใครบางคนแอบสะเดาะกลอนประตูห้องน้ำหญิงด้วยกิ๊บหนีบผมและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตู้ล็อกเกอร์ หลังจากจับได้ทางหอพักก็เลยเปลี่ยนมาใช้ประตูเหล็กที่เป็นระบบดิจิตอลดอร์ล็อกแทน มันถูกล็อกเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เว้นแต่วันและเวลาที่กำหนด
“ที่ที่พอจะซ่อนตัวได้อย่างปลอดภัยก็มีแต่ที่นี่แหละ”
“แล้วเราจะเปิดประตูยังไงครับ”
มีแต่อาจารย์ผู้ดูแลหอพักกับพวกเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่รู้รหัสผ่าน คงไม่ได้ตั้งใจจะใช้ขวานจามตัวล็อกแล้วทุบเข้าไปหรอก ขืนทำแบบนั้นมีหวังประตูได้พังกันพอดี
“ทำไมนายถึงทึ่มได้ขนาดนี้นะ”
รุ่นพี่ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าผมเหมือนกับมองสัตว์หายาก ผมแค่ถามคำถามธรรมดาๆ ที่เป็นใครก็ต้องถาม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนกลายเป็นคนโง่บรมได้ภายในเสี้ยววินาที
“จิตใจกระทบกระเทือนหนักจนลืมวิธีเปิดดิจิตอลดอร์ล็อกไปแล้วเหรอ ก็แค่เปิดฝาครอบนี่ออกแล้วก็กดหมายเลขไง”
“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย!”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เขาก็เอื้อมมือไปแตะแป้นดิจิตอลดอร์ล็อก จากนั้นก็กดรหัสผ่านอย่างคล่องแคล่วราวกับกำลังเปิดประตูบ้านของตัวเอง
ปิ๊บๆๆๆ ติ๊ด แกร๊ก…ประตูเปิดออกอย่างง่ายดายราวกับรอให้ชายคนนี้มาเปิดอยู่ก่อนแล้ว
“…”
ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งเพราะประหลาดใจมากจนพูดอะไรไม่ออก ไม่มีทางที่นักศึกษาจะรู้รหัสผ่าน แล้วรุ่นพี่รู้รหัสผ่านนั่นได้ยังไงกัน
ภาพห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังบานประตูเหล็กที่ทนทานปรากฏสู่สายตา ตู้ล็อกเกอร์แบบเดียวกันถูกตั้งเรียงเป็นแถว มีชั้นวางของสำหรับใส่ตะกร้าอาบน้ำหรือห้อยผ้าเช็ดตัวแขวนติดอยู่บนผนัง และมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งอยู่แถวม้านั่ง ทันทีที่ปลดดิจิตอลดอร์ล็อกได้ พวกเขาก็แตกตื่นแล้วลุกพรวดขึ้นมา
“อะ…เอ่อ…”
ใครบางคนชี้นิ้วมาทางพวกเราด้วยท่าทีอ้ำอึ้ง ผมเองก็งงจนทำอะไรไม่ถูกไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ มีเพียงรุ่นพี่คนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบนิ่ง ทันใดนั้นปลายขวานที่เขาถืออยู่ก็ครูดไปกับพื้นจนเกิดเสียงน่าสะพรึงกลัว
“อ๊ากกก!”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังลั่นห้อง
หลังจากความอลหม่านราวกับพายุที่ปั่นป่วนอยู่ภายในห้องผ่านพ้นไป คนเหล่านั้นก็กรูกันเข้ามาหารุ่นพี่กับผมหน้าตาตื่น พวกเขาดูโล่งใจเมื่อรู้ว่าเราไม่ใช่ ‘เจ้าสิ่งนั้น’
“รู้รหัสผ่านเข้ามาในนี้ได้ยังไงครับ”
“ก็เห็นมันเขียนไว้อยู่ข้างๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องสำนักงานดูแลความปลอดภัยน่ะ พวกนายก็น่าจะเห็นจากที่นั่นถึงได้เปิดประตูเข้ามาได้ไม่ใช่หรือไง ยังจะถามเอาอะไรอีก”
รุ่นพี่ตอบเสียงห้วนราวกับรำคาญ ถึงเขาจะพูดแบบนั้นกับผมอยู่แล้ว แต่กับคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก เขากลับใช้คำพูดไม่สุภาพคุยด้วยได้อย่างหน้าตาเฉย ช่างเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายในหลายๆ ด้านซะจริง
“เอ่อ…ก็จริงครับ”
นักศึกษาชายที่ถามคำถามแรกออกมาพูดปลายเสียงแผ่วลงอย่างนึกอาย เจ้าตัวทำสีหน้าเหมือนอยากซักถามเพิ่มเติมแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เขาสวมแว่นตาหนาเตอะและแจ็กเก็ตเบสบอล พอได้เห็นรหัสนักศึกษาที่ปักอยู่ตรงแขนเสื้อผ่านๆ แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าเขาเป็นเด็กปีหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อนนะ พวกนายสองคนน่ะ”
ชายอีกคนยื่นหน้าเข้ามาพูดขัดจังหวะ เขาไว้ผมทรงกระเซอะกระเซิงและมีหนวดเคราที่ยังไม่ได้โกนให้เรียบร้อยขึ้นประปรายอยู่รอบคางกับปาก ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นนักศึกษาที่ดร็อปแล้วกลับเข้ามาเรียนใหม่แน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันน่าขนลุกไม่น้อยเลยถ้าคนอายุยี่สิบต้นๆ มีภาพลักษณ์แบบนั้น
“พวกนายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนมาจนป่านนี้ นึกว่าคนที่รอดจะมีแค่พวกเราซะอีก ก็ตั้งแต่โรงอาหารมาที่อื่นก็พังพินาศไปหมดแล้วนี่”
รุ่นพี่เมินคำพูดของชายคนนั้นไปโดยสิ้นเชิง ถึงขนาดที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกอายแทน ชั่วพริบตาเดียวบรรยากาศในห้องพลันคุกรุ่นขึ้นมาทันที
“เฮ้ย ฉันถามอยู่นี่ไงว่าไปอยู่ที่ไหนมา”
“ไม่รู้ จำไม่ได้”
“ฮะ? ไอ้เวรนี่ คิดจะล้อกันเล่นหรือไง”
นักศึกษาที่ดูแล้วน่าจะดร็อปเรียนไปแล้วกลับเข้ามาเรียนใหม่นิ่วหน้าพลางสบถออกมา และนั่นก็ทำให้รุ่นพี่สลัดสีหน้าเรียบนิ่งออกไปเป็นครั้งแรก ดวงตาที่โผล่พ้นมาสก์กำลังยิ้มอยู่จางๆ หน้าตาของเขาเดิมทีก็ห่างไกลจากคำว่าคนดีอยู่แล้ว พอทำสีหน้าแบบนี้ก็ยิ่งน่าขนลุกมากกว่าเดิมเข้าไปใหญ่
“ถ้าจะเหี้ยก็ให้มันเหี้ยแค่หน้าตาเหอะว่ะ รู้ตัวว่าเกิดมาหน้าเหี้ยก็หัดพูดจาให้มันเพราะๆ หน่อยดิวะ”
ผมได้แต่อึ้งอยู่ในใจ ทำไมคำพูดแต่ละคำถึงฟังดูยียวนกวนโมโหชาวบ้านเขาได้มากขนาดนี้กันนะ ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน ก่อนที่นักศึกษาที่กลับเข้ามาเรียนใหม่จะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ดูท่าเขาคงจะเจ็บใจที่ถูกตอกหน้ากลับมาในศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้เลยส่งเสียงกระฟัดกระเฟียดเหมือนวัวหนุ่มที่กำลังบ้าคลั่งพลางชี้นิ้วใส่หน้าผม
“แม่ง ไอ้ประสาทเอ๊ย…เฮ้ย ไอ้คนที่อยู่ข้างกันนั่นล่ะ นายไปอยู่ที่ไหนมา”
“ผมอยู่ในห้องตลอดจนถึงเที่ยงคืนของวันที่ยี่สิบห้าเพราะต้องปั่นรายงานส่งครับ”
สายตาของทุกคนเพ่งมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมเล่าว่าตัวเองปั่นงานแบบข้ามวันข้ามคืนจนเสร็จแล้วก็สลบเหมือดไป พอสารภาพเรื่องแบบนั้นไปต่อหน้าผู้คน ผมก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมาฉับพลัน
“พอดีผมนอนอยู่ในห้องคนเดียวก็เลยไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ”
“ฮะ? ข้างนอกเกิดจลาจล แต่นายกลับบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนี่ยนะ? ไอ้เวรนี่ นายคงไม่ได้คิดจะโกหกกันในเวลาแบบนี้หรอกนะ?”
“อะ…เอ่อ พี่จุนซอก”
นักศึกษาชายที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตเบสบอลก้าวขาออกมาอย่างระวังท่าที แต่แล้วก็ถูกผู้ชายคนนั้นผลักออกไป เขาที่รูปร่างผอมบางเลยเซอย่างไม่อาจต้านแรงของอีกฝ่ายไหว
“ฉันพูดผิดตรงไหน เราติดแหง็กกันอยู่ที่นี่ จะออกไปไหนก็ไม่ได้ พวกข้างนอกป่านนี้ก็คงตายห่ากันหมดแล้ว จะบ้าตายกันอยู่แล้วเนี่ย ไอ้คนหนึ่งก็ความจำเสื่อมบอกว่าจำอะไรไม่ได้ ส่วนอีกคนก็บอกว่าไม่รู้ห่าอะไรเลย มันฟังดูเข้าท่ามากนักหรือไง ฮะ?”
สายตาที่เจือความกระวนกระวายของทุกคนลอบมองกันไปมาผ่านอากาศท่ามกลางความเงียบ ทุกคนที่อยู่ในห้องอาบน้ำกำลังอยู่ในสภาวะที่จิตใจอ่อนไหวกันมากๆ ที่ผ่านมาผมได้แต่ถูกรุ่นพี่ลากไปลากมาจนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด ระหว่างที่ผมกำลังหลับปุ๋ยโดยไม่รู้ความเป็นไปของโลกอยู่นั้น คนพวกนี้กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่แรก และคงได้พบเจอกับช่วงเวลาที่น่าสยดสยองมามากเลยหวาดระแวงกันขนาดนี้
“สถานการณ์แบบนี้ ผมจะพูดโกหกไปทำไมล่ะครับ”
ผมยิ้มสู้เอาไว้ก่อน ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคนกลุ่มแรกที่มาถึงห้องอาบน้ำแห่งนี้ พวกผมต่างหากที่เป็นฝ่ายพรวดพราดบุกรุกเข้ามา เพราะงั้นเลยจำต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ผมเองก็อยากผ่านสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้อย่างราบรื่น ผมไม่ชอบการแสดงความเกลียดชัง ทั้งการพูดจาล่อเป้าหรือยุยงให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ทางที่ดีควรประนีประนอมเอาไว้จะดีกว่า
“ผมเข้าใจว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่สิ่งที่ผมพูดคือความจริง ผมทำงานที่ค้างส่งอยู่เลยไม่ได้ก้าวออกจากห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วผมก็มัวแต่ใส่ที่ปิดหูอยู่ก็เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยครับ”
ผมเหลือบมองรุ่นพี่ เขายังคงดูเฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ทำตัวราวกับว่าตัวเขาเองที่ลากผมมาจนถึงที่นี่เป็นบุคคลที่สามเฉยเลย
“รุ่นพี่คนนี้…ไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกครับ พี่ช่วยเข้าใจเขาหน่อยนะครับ เขาแค่กำลังช็อกเกินไปจนขาดสติเลยพูดอะไรถ่อยๆ ออกมาก็เท่านั้นเองครับ ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ เราควรจะผูกมิตรกับคนที่เหลือไว้ไม่ใช่เหรอครับ หืม?”
นักศึกษาที่กลับเข้ามาเรียนใหม่ปราดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เหมือนกับว่าพอผมแสดงท่าทีอ่อนน้อมออกไป อารมณ์ที่คุกรุ่นของเขาก็ดูจะสงบลงเล็กน้อย
“เราน่าจะแนะนำตัวกันก่อนนะครับ ผมชองโฮฮยอน ภาควิชาบริหารธุรกิจครับ”
ในตอนนั้นเองนักศึกษาหญิงที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ข้างหลังก็ก้าวขาออกมาด้วยใบหน้าดีใจ
“พี่คะ! จำฉันได้ไหม”
“หืม?”
“ฉันดาบินไงคะ ชเวดาบิน เราทำงานกลุ่มวิชาพื้นฐานด้วยกันตอนเทอมหนึ่งไงคะ หัวข้อความเข้าใจในการตลาดทางการกีฬา จำได้หรือเปล่าคะ”
ผมพยายามนึกก่อนจะอุทานออกมาสั้นๆ เธอเป็นสมาชิกกลุ่มวิชาพื้นฐานที่ผมลงเรียนในภาคเรียนที่แล้ว เหมือนจะอยู่ภาควิชาการออกแบบเชิงอุตสาหกรรม หรือไม่ก็ภาควิชาการออกแบบนิเทศศิลป์อะไรสักอย่างที่เป็นภาควิชาการออกแบบนี่แหละ เธอตัดผมที่เคยตรงยาวให้สั้นลงแล้วก็ดัดด้วย ผมเลยใช้เวลาสักพักกว่าจะนึกออก
“อ๋า…ดาบิน โทษทีนะ เธอเปลี่ยนทรงผมฉันเลยจำไม่ได้น่ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้าง”
ทั้งที่กำลังงุนงงอยู่เล็กน้อย แต่ผมก็ไถ่ถามความเป็นอยู่ของเธอออกไปตามความเคยชิน
“ต้องขอบคุณพี่ด้วยนะคะ ตอนนั้นงานกลุ่มเราทำคะแนนได้สูงสุดก็เลยได้เอบวก ฉันเลยไม่ถูกตัดทุนแบบฉิวเฉียด พี่เองก็สบายดีนะคะ”
สิ้นคำนั้นชเวดาบินก็หันไปทักทายรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ข้างผมด้วย เธอมีท่าทีเคารพเขามากๆ ต่างจากตอนที่ทักทายผมอย่างเป็นกันเอง
“รู้จักกัน?”
“ค่ะ รุ่นพี่คียองวอน ภาควิชาประติมากรรม ฉันเจอรุ่นพี่สองสามครั้งในคลาสวิชาเอกการบูรณาการศิลปะเลยรู้จักเพราะได้ยินตอนอาจารย์เช็กชื่อในคลาสน่ะค่ะ”
ผมแอบรู้สึกประหลาดใจ มาถึงตอนนี้เขาก็ยังเป็นเหมือนบุคคลที่ไม่มีอยู่จริงสำหรับผม นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรก พฤติกรรมแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาที่ผมไม่อาจมองข้ามมันไปได้ ไหนจะคำพูดพิลึกพิลั่นที่พูดออกมาแบบผิดเวลานั่นด้วย เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนอยู่กับเขามันไม่สมจริงเลยสักนิด ราวกับว่าผมกำลังดูหนังสยองขวัญต้นทุนต่ำยังไงยังงั้น เมื่อได้ยินแบบนั้นผมเลยตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเราจริงๆ โดยมีทั้งวิชาเอกแล้วก็ยังเข้าเรียนในคลาสด้วย
แม้ว่าเธอจะพยายามทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม แต่เธอก็ยังต้องขายหน้า เพราะรุ่นพี่ไม่แม้แต่จะชายตามองไปทางเธอเลยสักนิด ทำเพียงแค่ตอบกลับแบบขอไปทีเท่านั้น
“ฉันจำเธอไม่ได้”
ชเวดาบินไม่ได้มีสีหน้าถอดใจเลยแม้แต่น้อย
“ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่ารุ่นพี่ต้องจำฉันไม่ได้”
ในตอนนั้นเองบรรยากาศที่เคยตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ชเวดาบินจับแขนของผมแล้วพาไปอยู่กลางวงเพื่อให้แนะนำตัวกับคนอื่นๆ
“นี่พัคกอนอู ปีหนึ่ง ภาควิชาการศึกษาทางคณิตศาสตร์ค่ะ”
“อ่า สวัสดีครับพี่ๆ”
นักศึกษาชายที่สวมแว่นโค้งทักทาย
“ส่วนคนโน้นคือพี่ยุนจุนซอก เรียนปีสุดท้ายแล้วค่ะ เอ่อ…พี่จุนซอกคะ ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอคะ”
“ทักทาย? สถานการณ์แบบนี้จะให้ทักทายบ้าอะไร ไม่ได้มาร่วมสังสรรค์กันสักหน่อย”
เขายังคงรักษาท่าทีฉุนเฉียวง่ายเอาไว้เหมือนเดิม หลังจากขมุบขมิบปากสบถออกมาแล้ว เขาก็ล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบโดยไม่สนใจว่ามีคนอื่นๆ อยู่ในห้องด้วยเลยสักนิด ชเวดาบินหันมาหาผมแล้วฝืนยิ้มเจื่อนๆ เป็นเชิงขอโทษ และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจหัวอกเธอขึ้นมาทันทีอย่างน่าประหลาด
ทุกคนกระจายกันนั่งพิงตามตู้ล็อกเกอร์ ชั้นวางของ และผนัง ผมไม่เคยนึกเลยว่าตัวเองจะได้มาที่ห้องอาบน้ำรวมด้วยเหตุผลนี้ เพราะปกติแล้วผมอยู่ในห้องพักกับเพื่อนแค่สองคนเลยไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ ยุนจุนซอกที่เคยนั่งอัดบุหรี่เข้าปอดอยู่ตรงมุมห้องตอนนี้จับจองม้านั่งตัวหนึ่งแล้วนอนแผ่งีบหลับไปบนนั้น
บรรยากาศอันชวนอึดอัดอบอวลอยู่ภายในห้อง ผมไม่มีอะไรจะพูดเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักเท่าไหร่ ดูเหมือนรุ่นพี่ที่ยืนกอดอกพิงผนังเองก็ไม่คิดจะเปิดปากพูดอะไรเหมือนกัน สุดท้ายแล้วรุ่นน้องสองคนจึงอธิบายสาเหตุที่พวกเขามาติดอยู่ที่นี่ให้ฟัง
“วันนั้นฉันกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านเกิดค่ะ”
“ฉันเข้าสอบวิชาเอกสาย…และระหว่างที่กลับหอพักหลังจากเพิ่งจะสอบเสร็จ ฉันก็แวะร้านสะดวกซื้อชั้นหนึ่งครู่หนึ่งแล้วก็กำลังจะขึ้นมาที่ห้องพัก”
มหาวิทยาลัยของผมเป็นวิทยาเขตที่กว้างใหญ่มาก ทุกคนต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าคงเป็นเพราะตัวมหาวิทยาลัยนั้นสร้างขึ้นบนภูเขาเนื่องจากที่ดินมีราคาถูก ขนาดของมันก็เลยใหญ่เกินความจำเป็น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นนักศึกษาใหม่หลงทางในสถานที่แห่งนี้เป็นประจำทุกต้นปีการศึกษา
ในวิทยาเขตอันกว้างขวางนั้น หอพักนักศึกษาตั้งอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลที่สุดและมีพื้นที่ติดกับเชิงเขา จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นแมลงทุกชนิดบินผ่านหน้าต่างที่หันหน้าเข้าหาภูเขา มันห่างไกลมากถึงขั้นที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนข่าวลือที่ว่ามีหมูป่าหลุดเข้ามาที่โถงทางเดินของหอพักได้แพร่สะพัดไปทั่วราวกับเป็นตำนานของหอพัก ดังนั้นคนที่อยู่ในหอพักจึงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่รู้ถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในตัวมหาวิทยาลัย
“ฉันกำลังลากกระเป๋าเดินทางอยู่ แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากทางโรงอาหาร ตอนแรกฉันเลยคิดว่าอะไรน่ะ คงเป็นคนทะเลาะกันหรือไม่ก็มีแมลงบินออกมาจากอาหารล่ะมั้ง เพราะคิดแบบนั้นฉันก็เลยตั้งใจจะเดินผ่านไป”
ชเวดาบินนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นพลางเล่าให้ฟัง
มหาวิทยาลัยนี้ไม่มีรถโดยสารสาธารณะวิ่งผ่านเพราะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงต้องเดินลัดเลาะผ่านเส้นทางบนภูเขาเข้ามาโดยใช้เวลาพักใหญ่ ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ไม่มีทางที่จะสัญจรไปมาได้ ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงจัดเตรียมรถรับส่งไว้ให้ ซึ่งรถรับส่งนั้นจะวิ่งไปส่งถึงเขตตัวเมืองที่ตั้งอยู่ด้านล่างภูเขาเป็นเที่ยวทุกๆ สองถึงสามชั่วโมง
หอพักในวันจบภาคการศึกษามีคนพลุกพล่านเกินคาด นักศึกษาส่วนใหญ่ที่จัดสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังรอเที่ยวรถรับส่ง ทุกคนนั่งจับกลุ่มกันอยู่ในโรงอาหาร บ้างก็กำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเย็นฉลองการปิดเทอม ในระหว่างนั้นมีนักศึกษาคนหนึ่งเลือดโชกเต็มตัววิ่งโซซัดโซเซเข้ามาในโรงอาหารก่อนจะล้มลง เจ้าตัวอยู่ในสภาพบาดเจ็บที่ไม่ว่าใครเห็นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาพแบบนี้ไม่น่าจะเดินได้แล้ว การที่นักศึกษาคนนั้นยังเคลื่อนไหวได้จึงเป็นเรื่องน่าประหลาด
ทุกคนต่างกรีดร้องแล้วพากันถอยกรูดไปข้างหลัง มีบางคนวิ่งไปเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และแล้วก็มีนักศึกษาใจกล้าคนหนึ่งเดินเข้าไปใกล้คนที่ล้มลง
‘คุณคะ ขอโทษนะคะ! เป็นอะไรมั้ยคะ’
‘…’
‘คะ? อะไรนะคะ’
คนที่ล้มหน้าคว่ำจมแอ่งเลือดเริ่มขยับตัว
‘พอจะขยับตัวได้ไหมคะ คุณ…เอ๊ะ?’
‘กึก กึก กรรร!’
ไม่นานนักโรงอาหารในมหาวิทยาลัยก็ได้กลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อม
“หลังจากนั้นฉันก็ทิ้งกระเป๋าเดินทางกับของทุกอย่างไว้แล้ววิ่งหนีมา ทั้งฉันแล้วก็กอนอูเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านกระจกด้านนอกเลยวิ่งหนีออกมาได้เร็ว แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในโรงอาหารจะเป็นยังไงบ้าง…”
นักศึกษานับร้อยคนที่อยู่ในโรงอาหารกับล็อบบี้ตกอยู่ในอาการแพนิกและวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนใหญ่มุ่งหน้าออกจากหอพักผ่านทางประตูทางเข้าออกที่เปิดออกกว้าง มีส่วนน้อยที่ย้อนกลับเข้ามาหลบในตัวอาคาร และชเวดาบินกับพัคกอนอูเป็นคนส่วนน้อยนั้น
“พวกเรานี่นับว่าโชคดีค่ะ ถ้าล็อกประตูห้องอาบน้ำไว้แล้วอยู่เงียบๆ ก็คงไม่เป็นไร พวกตัวที่อยู่ข้างนอกสายตาจะมองไม่ค่อยเห็น แต่ไวต่อเสียงค่ะ”
รุ่นพี่ก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน เขาบอกว่าอย่าเสียงดังแล้วตามมา แสดงว่าเขาต้องรู้จักลักษณะของพวกตัวประหลาดอยู่แล้ว
“เพราะงั้นพี่เองก็น่าจะปลอดภัยนะคะ พี่เอาแต่หลับอยู่ในห้องเงียบๆ นี่นา พวกคนที่กรีดร้องหรือตะโกนโหวกเหวกวิ่งพล่านไปมาถูกพวกมันจับได้หมดเลยค่ะ”
“แต่เราคงอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ ถึงจะมีน้ำใช้เหลือเฟือ แต่ที่นี่ไม่มีอาหารเลย”
ผมมองผ่านประตูห้องอาบน้ำเข้าไปเห็นฝักบัวนับสิบอันแขวนเรียงกันอยู่บนผนัง อย่างน้อยถ้าอยู่ที่นี่ต่อคงไม่ตายเพราะร่างกายขาดน้ำแน่ๆ
“แล้วเรื่องออกไปขอความช่วยเหลือล่ะ ตอนนี้ในหอพักไม่มีอินเตอร์เน็ตแล้วก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย ในสถานการณ์แบบนี้ดันมาเป็นอย่างนี้เอาซะได้”
“พี่นี่…ไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะครับ ท่าจะอยู่แต่ในห้องจริงๆ”
จู่ๆ พัคกอนอูที่นั่งขดตัวซุกหน้ากับเข่าก็พูดพึมพำขึ้นมา แสงนีออนสีขาวสะท้อนออกมาจากเลนส์แว่นที่เด็กคนนั้นสวมใส่
“มาดูสิครับ”
พัคกอนอูโงนเงนลุกขึ้นแล้วตรงไปที่หน้าต่าง ตรงมุมของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามีหน้าต่างบานเล็กสำหรับระบายอากาศ เขาปลดล็อกหน้าต่างบานกระทุ้งแล้วดันหน้าต่างขึ้นไปทำมุมเฉียง
แสงแดดเย็นเฉียบในฤดูหนาวสาดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่าง ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้วเลยรู้สึกแปลกๆ กับแสงแดดไปชั่วครู่หนึ่ง ภาพตรงหน้าผมถูกย้อมไปด้วยลำแสงเจิดจ้าได้ไม่นานก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ทิวทัศน์ภายในวิทยาเขตในฤดูหนาวที่หนาวเย็นและแห้งแล้งไร้ความชุ่มชื้นปรากฏสู่สายตา ถนนกว้างที่ปูด้วยอิฐบล็อกสีขาว แปลงดอกไม้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ม้านั่งที่กระจายอยู่ห่างกันเป็นระยะๆ กับเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ แล้วก็…
“อา…”
ผมลอบถอนหายใจท่ามกลางความเงียบเมื่อเห็นคนจำนวนมากเดินโซเซเตร็ดเตร่ไปมาอย่างเชื่องช้า ลักษณะท่าทางการเดินแกว่งแขนนั้นแข็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติ บ้างก็ไม่มีแขนหรือขา บ้างก็ลำไส้ทะลักออกมาเป็นยวงห้อยต่องแต่งไปมาถึงหัวเข่า ร่างกายเน่าเปื่อยเปื้อนคราบเลือดสีแดงเข้มโดดเด่นเตะตาอยู่ภายใต้แสงแดด
ไม่สิ…ใช่คนที่ไหนกัน สภาพแบบนั้นคงเรียกว่าคนไม่ได้หรอก ซากศพของผู้คนที่ตายไปแล้วกำลังเดินเอื่อยอยู่ทั่ววิทยาเขตเพื่อหาเหยื่อที่ยังมีชีวิตอยู่
“ออกไปก็เท่ากับตาย ต่อให้โชคดีไม่ถูกจับกินแล้วหนีข้ามไปตึกข้างๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ แล้วตึกถัดไปล่ะครับ เราจะไปกันยังไง แล้วไหนจะตึกถัดๆ ไปอีกล่ะ ปกติแค่เดินไปถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบนาที แล้วเราจะทำได้ยังไง…”
“…”
“เราถูกขังอยู่ในนี้ แถมออกไปไหนก็ไม่ได้ มีหวังได้ติดแหง็กแล้วตายกันทั้งแบบนี้แน่ๆ เลยครับ”
“นี่ พัคกอนอู! อย่าพูดพล่ามไปทั่วสิ”
ชเวดาบินแหวใส่ พัคกอนอูที่นั่งกอดเข่ามาตลอดมองหน้าเธอตรงๆ แล้วแย้งกลับ
“พะ…พี่ไม่มีคนสนิทในนี้อยู่แล้ว พี่ก็พูดง่ายสิ ผมยังมียูจินอยู่ทั้งคนนะครับ เป็นห่วงจะบ้าตายอยู่แล้ว จะให้ทำไงได้ล่ะครับ”
“ยูจิน?”
พอพัคกอนอูโพล่งชื่อที่ไม่คุ้นเคยออกมา ชเวดาบินก็ย้อนถามกลับไปอย่างไม่นึกใส่ใจ
“นายเป็นห่วงเด็กคนนั้นแค่คนเดียวหรือไง ฉันเองก็เป็นห่วงเหมือนกันนั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ จะให้ไปพาตัวมาตอนนี้เลยก็คงไม่ได้หรอก”
“ผมอยากไปหาเธอตอนนี้เลยครับ ก่อนออกไปเธอก็ดูกลัวมากขนาดนั้น…น่าจะไปด้วยกันแท้ๆ ไม่น่าให้ไปคนเดียวแบบนั้นเลย”
พัคกอนอูค่อยๆ ทรุดตัวลงตรงนั้น รูปร่างของเขาเล็กและผอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอนั่งขดตัวเลยดูเหมือนถูกห่อด้วยแจ็กเก็ตเบสบอลที่สวมใส่อยู่เข้าไปอีก ชเวดาบินพูดปลอบเขาอย่างทำตัวไม่ถูก
“ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกน่า พี่อินกยูก็ไปด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนคงจะซ่อนตัวอยู่ในที่สักที่ที่ปลอดภัยนั่นแหละ คงหาจังหวะเหมาะๆ อยู่เลยยังกลับมาไม่ได้”
“ฮึก อึก…”
พอพัคกอนอูก้มหน้าแล้วเริ่มสะอึกสะอื้น ผมเลยนั่งลงข้างๆ เขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด
“กอนอู ยูจินนี่ใครเหรอ ถ้าไม่ว่าอะไรบอกฉันได้ไหม”
“เธอเป็นแฟนผมครับ”
เสียงสั่นเครือเล็ดลอดออกมาจากใต้ศีรษะที่ก้มหน้างุดอยู่
“ตอนนี้แฟนนายอยู่ข้างนอกเหรอ”
“พวกเราไม่มีอะไรจะกิน คนที่อยู่ในนี้เลยตัดสินใจจับคู่กันสองคนแล้วผลัดกันออกไปหาอาหารน่ะครับ ยูจินกับพี่อีกคนคือคนที่ถูกเลือก ตอนนั้นยูจินไม่สบายหนักมาก ผมเลยขอเว้นครั้งนี้ไปก่อนและอาสาจะไปแทน แต่พี่จุนซอกบอกว่าเรื่องแบบนั้นมีอย่างที่ไหน ห้ามมีข้อยกเว้นเด็ดขาด…”
เขาพูดงึมงำเหมือนคนเพ้อ ผมหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่งก็เห็นยุนจุนซอกที่นอนหลับเป็นตายกำลังกรนอยู่ ซึ่งนับว่าโชคดี เพราะดูจากนิสัยของเจ้าตัวแล้ว ดูท่าคงไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่หากได้ยินคนอื่นนินทาตัวเอง
“อย่างนี้นี่เอง นายคงจะกังวลมากเลยสินะ”
“จริงสิ พะ…พี่โฮฮยอนครับ”
จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นมองผมผ่านเลนส์แว่นที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“เอ่อคือ…ก่อนที่พี่จะมาที่นี่ พี่ได้ไปร้านสะดวกซื้อชั้นหนึ่งมาไหมครับ”
มือผอมๆ ของเด็กหนุ่มกำชายเสื้อของผมอย่างร้อนใจ ผมรู้สึกอึดอัดที่ถูกดึงเสื้อ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมา
“ยูจินทำงานพาร์ตไทม์อยู่ที่นั่นครับ แถมยังเข้ากะตอนที่เกิดเรื่องอยู่ด้วย ตอนนั้นเธอกำลังเฝ้าหน้าเคาน์เตอร์อยู่ แต่ผมก็รีบลากเธอมาทั้งที่ยังไม่ได้ถอดชุดยูนิฟอร์ม”
ผมนึกถึงพนักงานพาร์ตไทม์ที่ยกกล่องเครื่องดื่มชูกำลังมาให้ ในตอนนั้นผมหน้าตาอิดโรยเพราะใกล้จะถึงวันส่งงานเต็มที ผมจำได้ว่าเธอมัดผมหางม้าอย่างเรียบร้อยและสวมเสื้อกั๊กยูนิฟอร์ม
ฉากถัดมาคือประตูห้องเก็บของของร้านสะดวกซื้อที่เปิดค้างไว้อย่างเป็นลางไม่ดี เสียงเคี้ยวบางอย่างและคนที่นอนฟุบอยู่ด้านใน…ผมพยายามที่จะไม่นึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นอีก แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
“ยูจินเรียนแล้วก็ทำงานกะกลางคืนไปด้วยจนถึงเช้า เธอเป็นคนที่วิ่งหนีมาโดยไม่รู้อะไร แถมยังไม่ค่อยมีสติเพราะได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงติดต่อกันมาหลายวัน…แต่เรากลับส่งเธอออกไปเอาอาหารมาให้อีกครั้ง เพราะคิดว่าเธอเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ น่าจะรู้ตำแหน่งสินค้าในร้านสะดวกซื้อดี”
พัคกอนอูพรั่งพรูคำพูดที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมา ผมพูดอะไรไม่ออกและได้แต่กัดฟันไว้แน่นเพื่อซ่อนริมฝีปากที่สั่นเทา
“พี่โฮฮยอน เห็นเธอคนนั้นบ้างไหมครับ…พี่เห็นยูจินบ้างหรือเปล่า เธอสูงประมาณร้อยหกสิบเซ็นต์ ประมาณไหล่ผม สวมเสื้อกั๊กร้านสะดวกซื้อทับเสื้อแขนยาวสีเทา พี่เห็นเธอระหว่างทางบ้างไหมครับ พี่เห็นเธอบ้างหรือเปล่า ได้โปรด…”
เขาเขย่าตัวผมราวกับจะเร่งเร้าเอาคำตอบ ผมปิดปากสนิทระหว่างที่ตัวโคลงเคลงไปมาตามแรงเขย่า ภายในดวงตาร้อนผ่าวไปหมด
“กอนอู หยุดเถอะ พี่เขาบอกแล้วไงว่าอยู่แต่ในห้องเลยไม่รู้เรื่องอะไร”
ชเวดาบินดึงตัวเขาออกไป ก่อนที่สุดท้ายพัคกอนอูจะข่มความวิตกกังวลเอาไว้ไม่ไหวจนร้องไห้โฮออกมา ผมเอื้อมมือไปลูบหลังเขาเบาๆ เพราะคงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว รุ่นพี่ทำเพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ มาตลอดโดยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร และทันใดนั้นรุ่นพี่ก็หันไปทางประตูราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
“เด็กๆ”
เขาไม่ได้พูดเสียงดัง แต่มีพลังพอที่จะเรียกความสนใจจากทุกคน ผมกับชเวดาบิน แม้กระทั่งพัคกอนอูที่กำลังสะอื้นไห้หันไปมองเขาเป็นตาเดียว รุ่นพี่คลายวงแขนลงแล้วชี้ไปที่ประตู
“ข้างนอก”
ปัง…
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงทุบประตูก็ดังขึ้น ความเงียบไหลผ่านไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงปังจะดังขึ้นอีกครั้ง
บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที พวกเราเดินเข้าไปใกล้ประตู รวมถึงยุนจุนซอกที่ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็เดินตามมาสมทบเงียบๆ
ปังๆ
“…ให้หน่อย”
ผมได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง
“เปิดประตูให้หน่อย”
มันเป็นเสียงพูดของคน เสียงทุ้มที่ดังแผ่วเบามาจากด้านหลังประตูนั้นช่างคุ้นหูราวกับเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“เจ็บ…ร้อน เปิดประตูให้ที”
“พี่อินกยู?”
พัคกอนอูพึมพำชื่อนั้นอยู่คนเดียว ก่อนที่วินาทีถัดมาเขาที่ยืนอยู่ด้านหลังจะวิ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็วจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายที่ร้องไห้อย่างน่าสงสารเมื่อครู่นี้ขุดเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน
“พี่ครับ พี่อินกยู! ผมจะรีบเปิดให้เดี๋ยวนี้แหละครับ”
พัคกอนอูรีบยื่นมือไปที่เครื่องดิจิตอลดอร์ล็อก แต่ยังไม่ทันจะได้กดปุ่มปลดล็อก รุ่นพี่ก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้พร้อมกับพูดแบบห้วนสั้นออกมา
“เฮ้ย! ห้ามเปิด”
“ครับ?”
“ให้แน่ใจก่อนว่าที่อยู่ข้างนอกเป็นอะไรแล้วค่อยเปิด”
พัคกอนอูพลันหยุดชะงักเมื่อเห็นสายตาหวาดระแวงของรุ่นพี่
“ไม่ได้ยินที่เขาพูดหรือไง ต้องรอให้แน่ใจบ้าบออะไรอีก นั่นมันคนชัดๆ เลย!”
ยุนจุนซอกตวาดดังลั่น ดูเหมือนเขาแค่ต้องการคัดค้านความเห็นของรุ่นพี่ให้ได้มากกว่าจะคัดค้านด้วยเหตุผล
“ไอ้พวกที่ไปหาอาหารมาให้อยู่ตรงหน้านี้แล้วไง พัคกอนอู นายมัวทำอะไรอยู่ แฟนนายมาแล้วยังไม่รีบเปิดประตูอีก”
พัคกอนอูที่ยืนอยู่ระหว่างชายสองคนลังเลอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี รุ่นพี่จึงเอียงคออย่างหงุดหงิด
“ตอนนี้เรายังไม่ทันรู้เลยว่าหมอนั่นยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า นายแน่ใจจริงๆ ใช่ไหมว่าถ้าปล่อยให้หมอนั่นเข้ามาแล้วหมอนั่นจะยังเป็นคนอยู่น่ะ”
เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือดังขึ้นอย่างร้อนรน รุ่นพี่ที่ไม่ยอมช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่อยู่ข้างนอกประตู ชิ้นส่วนปริศนาเริ่มปะติดปะต่อกันในหัวของผม ก่อนที่ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจะแล่นปราดขึ้นมาตามแผ่นหลัง
ก่อนหน้านี้คนที่ผมเจอก็คือ ‘อินกยู’ ตอนนั้นผมมีโอกาสช่วยเขาได้ แต่ผมกลับทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่สิ…ผมเลือกที่จะไม่ทำมากกว่า
“กอนอู ฉันบาดเจ็บ เจ็บชะมัด…รีบเปิดเร็วเข้า”
“พี่ครับ! แล้วยูจินล่ะครับ”
“ยูจิน…? ยู…จิน”
“ตอนนี้ยูจินอยู่กับพี่หรือเปล่าครับ”
เสียงหายใจระส่ำระสายฟังดูกระวนกระวายกับเสียงครางดังมาจากข้างนอกแทนคำตอบ ก่อนที่สุดท้ายพัคกอนอูจะยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถูกรุ่นพี่จับไว้ไปกดปุ่มปลดล็อก
ติ๊ด
เสียงระบบดิจิตอลดอร์ล็อกที่ฟังดูสดใสดังขึ้นอย่างไม่เข้ากับสถานการณ์
“เฮือก”
หลังจากกดปุ่ม พัคกอนอูที่เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปพลันยืนตัวแข็งทื่อ บานประตูแง้มเปิดออกอย่างช้าๆ มือเปื้อนเลือดสอดเข้ามาผ่านทางช่องว่างที่แง้มออกประมาณครึ่งคืบ เนื้อที่แหว่งไปหลายจุดจนเห็นเนื้อสีแดงขาดวิ่น ดูท่าคงจะถูกบางอย่างกัดเข้าอย่างแน่นอน
ระหว่างที่ทุกคนตกตะลึงกับภาพอันน่าสะพรึงกลัวตรงหน้า มีเพียงรุ่นพี่คนเดียวที่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขายกเท้าข้างหนึ่งถีบอัดประตูจนได้เสียงเนื้อกับกระดูกที่โดนบดจนแหลกอย่างน่าสยดสยองพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาจากมือนั้น
“อ๊ากกก!”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น มือที่กระตุกสั่นชักกลับไปสุดแรง ยังดีที่รุ่นพี่ใจดีพอที่จะไม่ถีบบานประตูซ้ำอีกรอบ ประตูงับปิดลงพร้อมกับเสียงทุ้มหนัก ก่อนที่ดิจิตอลดอร์ล็อกจะปิดล็อกไปเองโดยอัตโนมัติ
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังระงมอยู่นอกประตูพักใหญ่ ก่อนที่ไม่นานนักเสียงทั้งหมดนั้นจะค่อยๆ แผ่วลง และถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงัดของความตาย แม้เหตุการณ์จะจบสิ้นลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไร
“ไอ้…ไอ้เวรนี่แม่ง!”
ยุนจุนซอกที่ได้สติก่อนเป็นคนแรกระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ เขาก้าวฉับเข้าไปหารุ่นพี่
“เพี้ยนไปแล้วเหรอวะ ไอ้เวรโรคจิตนี่ แกรู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
ดูเหมือนว่ายุนจุนซอกยังไม่กล้าพอที่จะเข้าไปประชิดตัวแล้วกระชากคอเสื้อหรือต่อยรุ่นพี่ เขาเลยได้แต่ยืนตัวสั่นเทิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
“ทำไม”
“ทำไมงั้นเหรอ ทั้งที่เมื่อกี้แกเพิ่งปิดประตูงับมือคนจนแหลกเนี่ยนะ? ถามมาได้ว่าทำไม”
“ฉันถามพวกนายแล้วนะว่าแน่ใจแล้วเหรอว่ามันเป็นคน”
“ว่าไงนะ”
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือไง ไอ้ที่ว่าหน้าเหี้ยนี่ ดูท่าจะเหี้ยยันระดับสติปัญญาเลยสินะ”
รุ่นพี่เกี่ยวมาสก์ที่สวมอยู่ลงมาแล้วใช้หลังมือเช็ดขอบตา เมื่อครู่นี้เลือดกระเซ็นไปเลอะใบหน้าเขาจนเปื้อนเป็นสีแดงฉาน รอยเลือดที่ลามไปข้างๆ เบ้าตาทำให้เขายิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ขนาดยุนจุนซอกที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟยังเผลอผงะไปเล็กน้อย
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ไสหัวไป ฉันจะไปล้างตัว แล้วก็อย่าเสนอหน้าสวะๆ ของแกมาให้ฉันเห็นอีก คนยิ่งเซ็งๆ อยู่”
เขาพูดตอกหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป ทำเอาใบหน้าของยุนจุนซอกร้อนขึ้นมา
“เฮ้ย คียองวอน ไอ้เหี้ยนี่!”
“ถ้าอยากเปิดประตูออกไปตายห่าขนาดนั้นฉันจะไม่ห้ามหรอกนะ แต่คราวนี้จะเปิดก็เปิดเอง อย่าทำกร่างสั่งให้รุ่นน้องทำ”
รุ่นพี่หันกลับมามองพร้อมกับเหยียดยิ้มเย้ยให้ โดยที่ยุนจุนซอกก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำได้แค่สบถหยาบในลำคอพลางมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายลับเข้าไปในห้องอาบน้ำ