ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 1.3 ถึง 1.4 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 1.3 ถึง 1.4 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

Chapter 1-4

 

หลังจากรุ่นพี่หายเข้าไปในห้องอาบน้ำ คนที่เหลือก็อยู่ในสภาพที่หดหู่กันหมด ชเวดาบินนั่งกอดเข่าอย่างคนสติหลุดบนม้านั่งที่ตั้งอยู่กลางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนพัคกอนอูมีอาการพะอืดพะอมสลับกับร้องไห้เป็นพักๆ ราวกับภาพเหตุการณ์อันน่าสลดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังชัดเจนอยู่เต็มสองตา

ผมพะวักพะวนเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ทีแรกก็ว่าจะช่วยปลอบพัคกอนอู แต่คิดอีกทีขืนไปยุ่งกับเขาที่อยู่ในสภาพแบบนั้นมีหวังคงได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม ผมเลยพับเก็บความคิดนั้นไป

“พี่โฮฮยอน”

ชเวดาบินเรียกผมที่กำลังยืนก้มหน้านิ่งอย่างเหม่อลอย

“หืม? ดาบิน”

“พี่รู้จักกับรุ่นพี่คียองวอนได้ยังไงเหรอคะ”

“เรียกว่ารู้จักกันไม่ได้หรอก”

ในมุมมองของผมเขาเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง แต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนรู้จักผม เขาทำตัวสนิทสนมกับผมบ่อยมาก พอผมปฏิเสธก็ทำท่าเหมือนจะเอาขวานจามผมจนหัวแบะ ผมเลยพยายามปรับตัวให้ชินอยู่ คำพูดจากใจจริงที่ขย้อนขึ้นมาถึงคอหอยถูกกลืนกลับลงไป จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าไม่ควรพูดออกไปแบบนั้นเลยแต่งเรื่องขึ้นมาลวกๆ

“เราแค่บังเอิญเจอกันน่ะ ไปๆ มาๆ เลยตัดสินใจร่วมทางมาด้วยกัน”

“งั้นก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”

“ใช่ ถามทำไมเหรอ”

“ฉันแค่กำลังสงสัยว่ารุ่นพี่เขาเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วหรือเปล่าน่ะค่ะ”

“หมายถึงอะไร”

“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอกค่ะ แค่ได้ยินข่าวลือที่เล่าต่อๆ กันมา เห็นว่ารุ่นพี่คียองวอนฮอตมากในคณะศิลปกรรมศาสตร์ มีหลายคนที่แอบชอบพี่เขาเงียบๆ แต่ก็กลัวพี่เขาจนไม่กล้าพูดทักทายต่อหน้า”

เรื่องของเขาที่ผมไม่รู้มาก่อนพรั่งพรูออกมาจากปากของชเวดาบิน คียองวอน นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามปกติ คียองวอนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษาหญิง ว้าว…ดูไม่เหมือนอย่างที่เห็นจนน่าขนลุกเลยแฮะ

“จากที่ฉันเห็นๆ มา ก็ดู…ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลยนะ”

เธอลังเลเพราะหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้ แต่ไม่นานนักเธอก็ปรับแก้คำพูดของตัวเองใหม่

“ไม่หรอกค่ะ สภาพจิตใจทุกคนคงกำลังอ่อนไหวและเปราะบางเลยเป็นอย่างนั้นล่ะมั้งคะ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เวลาแบบนี้ยังมีใครที่ไหนทำตัวเป็นปกติได้บ้างล่ะคะ ยังไงพี่ช่วยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินทีนะคะ”

หลังจากชเวดาบินพูดจบไม่นาน ยุนจุนซอกก็โผล่หน้าเข้ามา บริเวณที่มีไดร์เป่าผม กระจก และสำลีก้านเป็นโซนสูบบุหรี่ส่วนตัวของเขา พอเห็นเขาโผล่ออกมาจากตรงนั้นแล้ว ผมรู้สึกเหมือนขั้วโลกกำลังจะลุกเป็นไฟยังไงไม่รู้

“อา…แม่งเอ๊ย”

เขาปาของที่กำอยู่ในมือออกไปอย่างหงุดหงิด แล้วทำไมต้องปามาทางผมด้วยก็ไม่รู้ ผมเบี่ยงหน้าหลบโดยอัตโนมัติ กล่องบุหรี่ที่ถูกขยำลอยหวือผ่านอากาศข้างๆ ตัวผมก่อนจะกระแทกกับผนังแล้วหล่นลงมา

“บุหรี่แม่งก็หมดแล้ว อุตส่าห์บอกอียูจินแล้วว่าถ้าไปร้านสะดวกซื้อให้หยิบบุหรี่ติดมาด้วย เฮ้อ หงุดหงิดฉิบ”

ทีมที่ส่งไปปฏิบัติภารกิจหาอาหารทำภารกิจล้มเหลว แม้จะไม่ได้ปริปากพูดออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดแบบนั้นเงียบๆ อยู่ภายในใจ เพราะคิดว่าสองคนที่ออกไปพร้อมกับความหวังของทุกคนนั้นคงจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว

“พูดด้วยไม่กี่คำก็ร้องไห้กระซิกๆ แล้วก็ออกไป ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้ เฮงซวยชะมัด”

ยุนจุนซอกเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิด แต่แล้วชเวดาบินก็พูดโพล่งขึ้นมา

“เรื่องนั้นพี่ทำเกินไปแล้วนะคะ”

“ฮะ?”

“ฉันบอกว่าพี่ทำเกินไปค่ะ ตอนนั้นยูจินป่วยอยู่ เรายกเว้นให้เธอสักครั้งก็ได้นี่คะ”

ยุนจุนซอกที่กำลังบ่นไปเรื่อยพลันฉุนกึกขึ้นมาทันที

“แล้วนี่มันความผิดฉันหรือไง ฮะ? ฉันถามว่ามันผิดที่ฉันหรือไง!”

“แต่พี่ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากใช่ไหมล่ะคะว่าตัวเองไม่ผิดเลย กอนอูอาสาออกไปแทนแล้วฉันกับพี่อินกยูก็เห็นตรงกัน แต่พี่กลับยืนกรานหนักแน่นว่าไม่มีข้อยกเว้น เธอก็เลยจำต้องยอมออกไป”

“นี่เธอคิดว่าเรากำลังนั่งเล่นขายของเป็นเด็กๆ กันอยู่หรือไง ชีวิตของพวกเราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เอาเรื่องส่วนตัวมาตัดสินว่าจะช่วยคนนั้นหรือไม่ช่วยคนนี้เนี่ยนะ? นี่ ลองไปทำอย่างนั้นในกรมดูสิ ได้ถูกสั่งซ่อมยกหมู่จนเดี้ยงแน่”

“เพราะแบบนั้น…”

เสียงแหบแห้งดังขึ้นจากข้างหลัง พัคกอนอูที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้องเงยหน้าขึ้นแล้วมองมาทางเรา ใบหน้าซีดเซียวเลอะคราบน้ำตาแฝงไปด้วยความเดือดดาลอย่างประหลาด

“เพราะแบบนั้นก็เลยด่ากราดใส่ผู้หญิงที่ป่วยว่าอีนั่นอีนี่ แล้วสุดท้ายก็ส่งเธอคนนั้นที่กำลังร้องไห้แถมยังยืนทรงตัวแทบไม่ไหวให้ออกไปข้างนอกแบบนั้นใช่ไหมครับ”

“ว่าไงนะ! ฉันยอมให้นายมามากแล้วนะ แม่ง”

ยุนจุนซอกเงื้อมือข้างหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าฝาหม้อขึ้น ผมรีบลุกพรวดไปขวางเขาไว้ทันที พร้อมกับที่รู้สึกได้ว่าชเวดาบินซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ข้างหลังเองก็ถึงกับผงะสะดุ้งไปเบาๆ

“หยุดเถอะนะคะ”

“เพราะแบบนี้อีพวกผู้หญิงแม่งเลยห่วยแตกไง พอบอกให้ทำอะไรก็ร้องไห้ฟูมฟายบอกว่าทำไม่ได้ เอาแต่หลบอยู่หลังผู้ชาย สันดานเสียชะมัด พัคกอนอู นายเองก็เหมือนกัน ไอ้เวรเอ๊ย ยังไม่เข้ากรมแท้ๆ แต่เสือกไปติดผู้หญิงซะแล้ว”

“พี่ครับ!”

ผมที่ทนฟังต่อไม่ไหวตะคอกออกไปด้วยใบหน้าเรียบตึง ก่อนที่ยุนจุนซอกจะปิดปากฉับแล้วจ้องเขม็งมาทางผม ผมจึงได้แต่มาสบถในใจว่า ‘แม่งเอ๊ย’ เอาตอนที่มันสายไปแล้ว เขาผ่อนคลายใบหน้าที่ถมึงทึงแล้วแสยะยิ้มให้ผม

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนปลายนิ้วจะสัมผัสเข้ากับกล่องกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มันเป็นของที่ผมพกติดตัวมาจากห้อง โชคดีที่มันยังอยู่ที่เดิมและไม่ได้หล่นหายไปในระหว่างทาง

“สูบสักมวนไหมครับ”

“ตัวนี้ไม่แรง สูบไปก็เปลืองปากเปล่าๆ”

ยุนจุนซอกมองกล่องบุหรี่ที่ผมยื่นให้พลางบ่นพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยักพเยิดไปทางโซนสูบบุหรี่ของตัวเอง เป็นการตอบตกลงผ่านการกระทำกลายๆ

“ไปรอเลยครับ เดี๋ยวผมจะไปหายืมไฟแช็กมาจุดให้”

“คนอย่างฉันมีไฟแช็กน่า ไอ้เด็กนี่”

เขาผลักบ่าของผมเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกไป ผมเหลียวมองข้างหลังแวบๆ เห็นชเวดาบินกับพัคกอนอูกำลังมองมาเลยถอนหายใจเบาๆ แล้วส่งสายตาให้ ชเวดาบินพยักหน้ารับโดยไม่พูดไม่จาอะไร

ผมเดินมาถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีพัดลมกับไดร์เป่าผม คาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วจุดไฟ ก่อนควันเหม็นจะลอยขึ้นคลุ้ง นี่นับเป็นการสูบบุหรี่ในรอบหลายเดือน ด้วยความที่มีกฎห้ามสูบบุหรี่ทั่วบริเวณหอพัก ผมเลยพยายามอดทนมาตลอดสี่เดือน ระหว่างที่ทำรายงานก็ไม่เคยสูบบุหรี่เลยสักครั้ง แต่อัดกาเฟอีนกับทอรีนเข้าร่างกายต่างน้ำแทน

“พี่ ผ่อนอารมณ์ลงหน่อยเถอะครับ พี่ก็น่าจะรู้นี่ครับว่าทุกคนเขาสติแตกกันหมด”

“นี่ ชองโฮฮยอน นายคิดว่าฉันน่าขำมากนักหรือไง”

ใจจริงแล้วผมอยากจะพยักหน้ารับทันทีกับคำถามนั้น อีกทั้งนึกอยากปรบมือให้กับเขาที่รู้จักสภาพตัวเอง แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้

ไม่รู้ว่าในวิทยาเขตยังมีคนที่รอดชีวิตเหลืออยู่อีกกี่คน แต่ผู้รอดชีวิตที่แสดงตัวออกมาจนถึงตอนนี้มีแค่ห้าคนเท่านั้น ถึงจะแบ่งทีมกันไปก็ไม่น่าจะเป็นผลดี กรณีที่ดีที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้คือทุกคนแยกย้ายกันไปแล้วดิ้นรนเอาชีวิตรอดในแบบของตัวเอง และกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือทุกคนอาจตายเรียบ

ไม่ว่าจะอยู่ในกรณีไหน ขอแค่รอดไปได้อย่างปลอดภัยก็พอ ห้ามทำตัวโดดเด่น อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นั่นคือคติประจำใจของผม อะไรที่ทำแล้วดีก็ทำไป แต่พอต้องมารักษาคตินั้นในสถานการณ์แบบนี้แล้ว ผมก็รู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก

“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกันล่ะครับ”

“เมื่อกี้นายเห็นไหม ฮะ? ที่เด็กพวกนั้นเถียงฉันฉอดๆ โดยไม่รู้จักสัมมาคารวะน่ะ”

“ทั้งสองคนยังเด็กน่ะครับ เพิ่งผ่านเลขสองมาหมาดๆ เอง ทะเลาะกับเด็กไปก็เสียแรงเปล่า พี่เองก็ช่วยๆ เข้าใจเด็กมันหน่อยนะครับ”

“ก็ไอ้เด็กเวรนั่นมันปากดีบ่อยนี่หว่า”

เขาพ่นควันออกมาอย่างคุกรุ่นในใจ ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก

“นี่ สถานการณ์ตอนนี้แม่งเหมือนกับในหนังเลยว่าไหม”

“หนังเรื่องอะไรเหรอครับ”

ไร้สาระชะมัด สถานการณ์แบบนี้ยังจะเพ้อเจ้อถึงหนังอีก

“หนังซอมบี้ไง เหมือนเด๊ะเลย”

ฟังดูแล้วมันก็เข้าเค้ากับสถานการณ์ในตอนนี้แบบแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ทำไมผมไม่ได้นึกถึงคำว่าซอมบี้มาก่อนเลยนะ ว่าแต่มีซอมบี้โผล่มาที่สาธารณรัฐเกาหลีในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเนี่ยนะ? เป็นอะไรที่ฟังดูไม่เข้ากันอย่างสิ้นเชิงเลย ถ้าบอกว่าเป็นเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากฝุ่นละอองกับความเครียดสะสมแล้วโรคนั้นแพร่ระบาดจนผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาด แบบนี้ฟังแล้วยังพอจะเข้าท่ากว่าอีก

“อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ได้เห็นอะไรแปลกๆ อีกเยอะ ฉันว่าถ้าเกาหลีใต้วายวอด เกาหลีเหนือคงได้ยิงขีปนาวุธมาถล่มแน่ๆ”

ยุนจุนซอกพูดพล่ามเรื่องไร้สาระอย่างไม่จบไม่สิ้น ผมค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ที่สูบเข้าไปเต็มปอดออกมา พอได้อัดนิโคตินเข้าไปในร่างกายที่เกร็งจากความเครียด สมองก็พลันตื้อไปชั่วขณะ

“แต่พวกซอมบี้มันจะชอบโผล่มาในประเทศแบบอเมริกาไม่ใช่หรือไง ในหนังคนที่นั่นจะเป่าหัวพวกมันด้วยปืนลูกซองแล้วก็ใช้ปืนไฟย่างสด แต่ประเทศเราแม่ง…จะมีคนที่ยิงปืนเป็นมากมายไปเพื่ออะไรกันวะ ทั้งที่ความเป็นจริงก็ไม่ได้มีปืนให้ใช้สักหน่อย นี่ นายรับราชการทหารสังกัดไหน”

“ผมอยู่หน่วยป้องกันอุทกภัยครับ”

“ฮะ? กระจอกว่ะ ชีวิตในกรมคงสบายจัดเลยล่ะสิ พี่คนนี้ประจำการอยู่จังหวัดคังวอนเลยนะเว้ย ไอ้หนู รู้จักไหม กองพลทหารราบอีกีจา* น่ะ”

การเลือกหัวข้อสนทนาในตอนนี้ถือได้ว่าเลอะเทอะสิ้นดี พูดถึงชีวิตในกรมทหารตอนนี้แล้วมันมีประโยชน์ตรงไหนไม่ทราบ ขืนปล่อยให้พูดพล่ามแบบนี้ต่อไปมีหวังได้ยกเรื่องเตะฟุตบอลในกรมทหารมาคุยจ้อไม่หยุดแน่ๆ พอคิดได้ดังนั้นผมเลยตั้งใจเปลี่ยนไปคุยประเด็นอื่น

“พวกที่อยู่ข้างนอกนั่นน่ะ มันคือซอมบี้จริงๆ เหรอครับ”

“ฉันไม่รู้ ถ้ารู้ฉันจะอยู่ในสภาพนี้เหรอ ไอ้เด็กเวรนี่หนิ”

“…”

“จะว่าไปไอ้คนที่แพร่ไวรัสซอมบี้นี่ก็น่าขำสิ้นดี ถ้าจะทำลายประเทศให้ย่อยยับก็น่าจะปล่อยให้มันบึ้ม! ลงมาใจกลางกรุงโซลสิวะ อย่างย่านชินชนหรือคังนัมอะไรทำนองนั้น ดันมาแพร่เชื้อกลางหุบเขาแบบนี้ แล้วจะไปทำอะไรได้วะเนี่ย เห็นทีที่ติดเชื้อกันพรึบก็คงจะมีแต่หมูป่ากับกวางน้ำ* ล่ะมั้ง”

ผมปล่อยให้คำพูดของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาพลางแหงนหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย แสงสีขาวจากหลอดนีออนสว่างจ้าจนแสบตา อย่างน้อยระบบไฟฟ้ากับประปาก็ยังทำงานได้ตามปกติ จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ

“ชองโฮฮยอน นายรู้ไหม ในหนังซอมนี้น่ะมีกฎอยู่ด้วยนะ”

“กฎอะไรเหรอครับ”

“ก็ในหนังแบบนั้นน่ะ คู่รักที่ทำตัวสะเหล่อๆ มักจะตายก่อนเสมอไง อียูจินก็ปลิวไปแล้วหนึ่ง ตอนนี้ก็เหลือแต่ไอ้เด็กพัคกอนอูนั่น”

ยุนจุนซอกหยุดสูบบุหรี่แล้วหัวเราะคิกคัก สมองของผมพลันชาวูบ มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอามาล้อเล่นเลยสักนิด ผมได้แต่หวังว่าพัคกอนอูที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจะไม่ได้ยินบทสนทนานี้

“หลังจากนั้นคาแร็กเตอร์ที่เป็นตัวปัญหาก็จะตาย ตามด้วยเด็กที่เอาแต่สะอึกสะอื้นเหมือนตัวไร้ประโยชน์ งั้นถัดไปก็คงถึงตาชเวดาบินแล้วล่ะมั้ง”

“พี่ครับ มาคิดดูแล้วผมเองก็เคยได้ยินกฎแบบนั้นอยู่นะครับ”

ผมโพล่งออกไปกะทันหัน เขาจึงหันหน้ามามองผม

“หืม?”

“แต่ที่ผมรู้มามันต่างออกไปนิดหน่อยน่ะครับ”

ผมทิ้งก้นบุหรี่ที่เหลือราวครึ่งมวนลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ให้มันดับ ก่อนจะหันไปคลี่ยิ้มบางๆ ให้เขา

“บังเอิญผมได้ยินมาว่าไอ้แก่บ้าน้ำลายสมองกลวงมักจะตายห่าก่อนเป็นคนแรกสุดเลยน่ะสิครับ

“…แกว่าไงนะ”

“ก็แค่พูดไปเรื่อย ผมล้อเล่นเฉยๆ น่ะครับ”

“ชองโฮฮยอน ไอ้เด็กเหี้ยนี่ สมองกลับไปแล้วเหรอวะ”

เขากระชากคอเสื้อผมแล้วผลักออกอย่างแรง

ปั้ก!

เสียงท้ายทอยกระแทกกับผนังดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บที่แล่นปราด หัวผมมึนไปหมดจนมองไม่เห็นภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ

“ไอ้เวรนี่ อยากเดี้ยงหรือไงวะ!”

“อึก”

จุดดำมืดหลายดวงปรากฏขึ้นซ้อนทับกันในดวงตา ผมโคตรเจ็บ…เจ็บจนรู้สึกเหมือนหัวจะแตกตายก่อนจะได้ตายเพราะพวกซอมบี้ ผมนิ่วหน้าและพยายามยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างสะเปะสะปะ

ปั้ก!

มือที่กระชากคอเสื้อของผมผละออกไปอย่างง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ ผมอดทนกับอาการเจ็บตื้อๆ และพยายามลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นภาพยุนจุนซอกล้มกลิ้งอยู่บนพื้น ตามมาด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ลงบนร่างที่ล้มคะมำอย่างไม่อาจสู้แรงได้

“เฮ้ย ก็โฮฮยอนบอกว่าล้อเล่นไงวะ”

รังสีอำมหิตที่ว่านั้นก็คือรุ่นพี่ หยาดน้ำหยดลงมาจากผมสีดำเข้มของเขาราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ สภาพเขาในตอนนี้ใส่แค่กางเกงลวกๆ ยืนเท้าเปล่า ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยไม่มีอะไรปกปิด ตอนที่สวมเสื้อผ้าก็ยังพอเดาได้ว่าเขาหุ่นดี เขามีสรีระสูงใหญ่และมีแขนขาที่เรียวยาว มองผ่านๆ เหมือนกับนายแบบ แต่ร่างกายแข็งแกร่งนั้นกำยำและดูแข็งแรงกว่านายแบบทั่วไป แถมร่างกายท่อนบนทั้งหมดยังเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อไร้ไขมันส่วนเกินที่ดูดีอย่างยิ่ง

ทว่าก็มีตำหนิที่เห็นได้อย่างชัดเจน ท่อนบนของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ทั้งรอยขีดข่วนบางๆ ไปจนถึงรอยแผลขนาดใหญ่ที่น่าจะได้มาจากการผ่าตัด บนกายของเขาไม่มีส่วนไหนที่เรียบเนียนไร้บาดแผลเลย สำหรับนักศึกษาที่ใช้ชีวิตเติบโตและเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยตามปกติ ไม่มีทางที่จะมีแผลมากมายขนาดนั้นบนตัวอย่างแน่นอน

“แค่กๆ”

ยุนจุนซอกที่ถูกถีบตรงลิ้นปี่เข้าอย่างจังนอนคู้ตัวกลิ้งไปมากับพื้น ดูท่าคงถูกถีบแรงมาก เลือดกำเดาเลยไหลลงมาและมีฟองน้ำลายติดอยู่ที่มุมปาก

“ทำไมต้องทำตัวเส็งเคร็งและจริงจังขนาดนั้นด้วยวะ”

รุ่นพี่พยายามพูดพึมพำอย่างสุขุมเยือกเย็นพลางเงยหน้าขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นผมพลันขนลุกวาบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยแผลแนวขวางขนาดใหญ่ที่คอของเขา มันเป็นแผลเป็นที่น่าสะพรึงกลัวราวกับคอถูกตัดไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้วต่อเข้าไปใหม่ ทว่ามันกลับไม่มีแม้แต่รอยเย็บ ผมเห็นรอยเนื้อที่สมานขึ้นมาใหม่โดยที่รอยแผลที่ปริออกยังอยู่ในสภาพเดิม

แม้ผมจะไม่ใช่นักศึกษาแพทย์และไม่มีความรู้ด้านการแพทย์เลยสักนิด แต่ผมก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าคนปกติหากได้แผลใหญ่ขนาดนั้นป่านนี้คงไม่รอดแล้วแน่ๆ

“หืม? ฉันถามว่าทำไมถึงทำตัวเส็งเคร็ง”

รุ่นพี่ถามย้ำอีกครั้ง แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสามารถพูดอะไรได้ ทั้งที่รู้อย่างนั้น แต่เขาก็ยังใช้เท้าเขี่ยๆ ขมับของยุนจุนซอกแล้วบังคับให้อีกฝ่ายตอบ

“พี่คะ! เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”

พวกรุ่นน้องที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายรีบวิ่งกรูกันเข้ามา พัคกอนอูที่เห็นหยดเลือดบนพื้นพลันสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกับก้าวถอยหลังไปทันทีโดยไม่รู้ตัว

“แฮกๆ”

ยุนจุนซอกตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ใบหน้าของเขาเหยเกด้วยความเจ็บปวดและความอับอายสุดจะทน รุ่นพี่ยกปลายนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะทำเป็นเคลื่อนนิ้วขึ้นไปเสยผม

“อย่าทำบรรยากาศพังดิวะ ยิ้มหน่อยสิ”

 

หลังจากทะเลาะกันไปยกหนึ่ง บรรยากาศก็เข้าขั้นเลวร้ายถึงขีดสุด ยุนจุนซอกที่ล้มเจ็บบนพื้นและรอดมาในสภาพร่อแร่หอบแฮกๆ ก่อนจะเดินหลบมุมหายไป มีเพียงเสียงพังข้าวของโครมครามดังมาจากทางนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่จนพาลไปลงกับเฟอร์นิเจอร์

ผมเข้าไปในห้องอาบน้ำ เพราะไม่อยากเห็นสภาพที่คนอื่นจมอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวังแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหินอ่อนแห้งสนิทตรงฉากกั้นกระจกฝ้าที่ติดอยู่เป็นล็อกๆ

ผมพิงผนังหินอ่อนเย็นเฉียบแล้วลองไล่เช็กมือถือที่กลายเป็นแค่เศษขยะไปแล้ว อินเตอร์เน็ตกับการโทรยังคงถูกตัดการเชื่อมต่อเหมือนเดิม ข้อความจากครอบครัวและเพื่อนๆ เองก็มีเครื่องหมายเชื่อมต่อไม่ได้ปรากฏอยู่เช่นเดิม ถ้าชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มก็อาจใช้ดูเวลาหรือใช้ประโยชน์จากแสงไฟฉายได้บ้าง

ผมออกจากหน้านั้นแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นคอมมิวนิตี้ของมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่เห็นบทความล่าสุดเพราะอินเตอร์เน็ตล่ม แต่บทความที่โพสต์ไว้เมื่อสองสามวันก่อนยังคงถูกเซฟไว้อยู่ ดูเหมือนว่าตอนนั้นจะเป็นช่วงสุดท้ายที่ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้

 

[วิธีรอดจากเชื้อซอมบี้]

[ผู้ใช้นิรนาม] กดไลค์ภายใน 10 วินาที

                พิมพ์คำว่ากตัญญูภายใน 10 นาที

                แล้วพ่อแม่จะแข็งแรงไม่ติดเชื้อไปตลอด 10 ปี

ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู

ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู

ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู

ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู

ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู

ผู้ใช้นิรนาม : กตัญญู

 

[ฉันเป็นนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย]

[ผู้ใช้นิรนาม] ห้องแล็บของฉันคงไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ?

                 ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักอย่าง และทุกคนเองก็ยังปกติดีกันหมด

                 นี่พวกแกกำลังรวมหัวแกล้งกันเล่นใช่ไหมเนี่ย

ผู้ใช้นิรนาม : ก็ดูเหมือนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ปกติคนในแล็บนั่นก็สภาพยังกะซอมบี้อยู่แล้วนี่

(ตอบกลับ) ผู้ใช้นิรนาม : 5555555555

 

[ผมอายุยี่สิบต้นๆ เพื่อนรุ่นเดียวกันติดเชื้อกันหมดแล้ว]

[ผู้ใช้นิรนาม] โลกถึงกาลอวสานแล้วสินะ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

 

“พวกนี้มันบ้ากันชัดๆ เลย”

สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่นิยายหรือหนัง แต่มีคนตายจริงๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนนักศึกษาทุกคนต่างก็ยังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบปลายภาคและฝันหวานถึงช่วงปิดเทอมที่ใกล้จะมาถึงกันอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับมีคนล้มตายเป็นเบือ

สถานการณ์แบบนี้ยังจะมาล้อเล่นกันได้ลงคออีกเนี่ยนะ? ผมรู้สึกปวดหัวตุบขึ้นมาทันที เสียลูกกะตาจริงๆ เลยเชียว ผมเผลอกดรีเฟรชหน้าจอใหม่จนบทความบ้าบอคอแตกนั่นเหลือเพียงข้อความแจ้งเตือนว่า ‘โปรดตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ’ ผมเลยปิดหน้าจอแล้วยัดมือถือลงกระเป๋าอย่างหงุดหงิด

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังว้าวุ่นใจ รุ่นพี่เป็นเพียงคนเดียวที่ยังปกติดี เขาใช้ผ้าขนหนูจากชั้นวางของในห้องอาบน้ำเช็ดตัวให้หมาดแล้วนั่งลงข้างผม แก้มของเขามีสีเลือดฝาด พอถอดมาสก์ที่ปกปิดใบหน้าครึ่งล่างออกแล้วยีผมที่เปียกชื้นจนกระเซอะกระเซิง เขาก็ดูเด็กลงอย่างน่าประหลาด

“นี่ คุณรุ่นน้อง”

“ครับ?”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมสงสัยว่าเขาอ่านบรรยากาศไม่ออกหรือไม่สนใจมาตั้งแต่แรกกันแน่

ถึงจะอยู่ในห้องที่มีระบบทำความร้อนดีขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงฤดูหนาว ถึงอย่างนั้นเขากลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดแขนสั้นสีดำทับด้วยเสื้อคลุมตัวนอก ผมพยายามไม่มองรอยแผลเป็นที่บากอยู่ตามต้นแขนแกร่งราวกับรอยขีดเขียน

“ตกใจเหรอ เมื่อกี้น่ะ”

“เมื่อกี้? อ๋อ ครับ จะว่ายังไงดีล่ะ ถ้าบอกว่าไม่ตกใจเลยก็คงจะเป็นการโกหกน่ะครับ”

“พอดีฉันควบคุมความโกรธไม่ค่อยได้น่ะ”

ดวงตาที่หลุบต่ำของเขาเหลือบขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก่อนที่นัยน์ตาสีดำจะจ้องมองมาที่ผมไม่วางตา

“ฉันฟิวส์ขาดที่เห็นไอ้เวรนั่นมาระรานนาย มันหงุดหงิดก็เลยเผลอวู่วามไปน่ะ นายคงเข้าใจฉันใช่ไหม หืม?”

เข้าใจกับผีน่ะสิ ผมไม่เข้าใจเขาเลยสักนิด คนปกติจะไปเข้าใจวิธีคิดของคนพิลึกอย่างเขาได้ยังไงกัน

“ครับ รุ่นพี่ ผมเข้าใจดีครับ”

ผมพยายามตีหน้าซื่อแล้วยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจที่สุดเท่าที่จะทำได้

“จริงเหรอ”

“แน่นอนครับ”

“ไม่หรอก คุณรุ่นน้องแม่งไม่เข้าใจความรู้สึกฉันเลยสักนิด ถ้าเข้าใจจริงคงไม่ตอบออกมาง่ายๆ แบบนั้นหรอก”

เมื่อพูดจบเขาก็เบือนหน้าหนี ทำเอารอยยิ้มเสแสร้งของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที

“ผมผิดไปแล้วครับ”

ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่ก็ขอโทษส่งๆ ไปก่อน ขวานดับเพลิงเปื้อนเลือดที่รุ่นพี่วางพิงผนังไว้ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาผมเลยจริงๆ

“นายรู้เหรอว่าทำอะไรผิด คงคิดว่าแค่ขอโทษก็จบแล้วงั้นสินะ”

“…”

“ช่างเหอะ คุณรุ่นน้องก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ”

ผมบังคับตัวเองให้ยิ้มต่อไปไม่ไหวแล้ว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนเป็นคนสารเลวที่ทำให้คนรักต้องเจ็บช้ำใจยังไงก็ไม่รู้

“ผมต้องทำยังไงรุ่นพี่ถึงจะหายโกรธเหรอครับ”

ทั้งยุนจุนซอกแล้วก็คียองวอน ไอ้พวกรุ่นพี่นี่แม่งไม่เต็มบาทเหมือนกันหมด ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแบบนี้ พวกรุ่นพี่ยังทะเลาะกันเอง ส่วนพวกรุ่นน้องก็สติไม่ค่อยจะอยากอยู่กับเนื้อกับตัวกันอีก ผมที่อยู่ตรงกลางลำบากใจจะตายอยู่แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกรันทดใจขึ้นมาซะอย่างนั้น

“โฮฮยอนอา*

“ครับ”

“ฮยอน** อา”

“…ครับ”

ผมขานรับรอบที่สองช้าไปหน่อย เพราะจู่ๆ รุ่นพี่ก็เอนตัวเอาหัวมาซบไหล่ มันเป็นการถึงเนื้อถึงตัวที่ใกล้ชิดกันเกินกว่าความสัมพันธ์ของพวกเรา ร่างกายของผมพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที

“ฉันเหนื่อยนะ…เหนื่อยมากจริงๆ เพราะงั้นนายช่วยปลอบฉันทีสิ”

ผมที่เปียกหมาดๆ ของเขาจั๊กจี้ต้นคอผม ทุกครั้งที่เขาพูด ผมจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวในลำคอเบาๆ จากบริเวณหัวไหล่ คำพูดของเขาดูเฉื่อยชากว่าตอนปกติที่อารมณ์แปรปรวนง่าย

“ผมควรปลอบรุ่นพี่ยังไงครับเนี่ย”

รุ่นพี่หัวเราะเบาๆ

“อืม…ปลอบด้วยร่างกายเป็นไง”

“ร่างกาย?”

ผมสะดุ้งโหยงอย่างลืมตัว คิดว่าถ้าเข้าใจผิดไปเองก็คงจะดี มันต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นความหมายของคำที่เขาพูดมันก็ฟังดูสองแง่สองง่ามแปลกๆ และแล้วรุ่นพี่ก็หัวเราะเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิม

“ผวาอะไรขนาดนั้น คนสวย น่ารักฉิบ กลัวจะถูกฉันจับกินหรือไง”

ฮะ? ยังไงนะ คนสวย? ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที โดยตั้งใจว่าจะลืมชื่อเรียกชวนขนลุกที่ได้ยินมาเมื่อครู่ให้หมด ให้เขาเรียกผมว่าไอ้ห่านี่ไอ้ห่านั่นเหมือนที่เรียกยุนจุนซอกยังจะดีซะกว่า

“คิดอะไรอยู่น่ะ”

“ผมไม่ได้คิดอะไรครับ”

“โกหก”

“จริงๆ นะครับ”

“บอกฉันมาซะดีๆ ฉันถามว่านายคิดอะไรอยู่”

“ไม่บอกครับ”

“ทำไมอ่า”

เขาพูดเสียงยานคางทำเป็นงอแง ก่อนจะผงกหัวขึ้นพลางยิ้มแฉ่งอย่างไม่เข้ากับหน้าตาตัวเอง

ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วสิ

“อย่าบอกนะ…นี่นายคิดเรื่องนี้สินะ”

รุ่นพี่เอามือข้างหนึ่งขึ้นมาทำเป็นรูปวงกลมเหมือนสัญลักษณ์โอเค ก่อนจะใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางของอีกมือสอดเข้าไปในรูนั้นแล้วหดนิ้วรัดสองนิ้วนั้นเบาๆ ด้วยมือที่เป็นรูปวงกลม มันเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็รู้โดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม

ผมพลันนิ่วหน้าโดยอัตโนมัติ ไอ้ที่ใช้ตั้งสองนิ้วนั่นหมายความว่ายังไง มั่นใจในขนาดของตัวเองมากเลยว่างั้น? ผมเกลียดตัวเองที่รู้ทันเรื่องแบบนี้จนอยากจะเปิดน้ำจากฝักบัวที่แขวนอยู่ตรงผนังมาล้างหูล้างตาตัวเองมันซะเดี๋ยวนั้น

“รุ่นพี่ยังสติดีอยู่ไหมครับ”

“ฮ่าๆๆๆ”

ผมหลุดสบถออกมาอย่างลืมตัว ทำเอาเขาทนไม่ไหวระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ก่อนจะอ้าแขนสองข้างให้ผมด้วยใบหน้าผ่อนคลาย แสงสีขาวลอดเข้ามาจากด้านนอกห้องอาบน้ำพาดทับลงบนใบหน้าของเขา

“โฮฮยอน ขอแค่ครั้งเดียว กอดฉันสักครั้งสิ”

แปลก…สถานการณ์นี้ดูมีลับลมคมในแปลกๆ เขารู้จักผมตั้งแต่เมื่อไหร่กันถึงได้ทำอะไรแบบนี้ ผมรู้สึกขนลุกวาบตั้งแต่ปลายนิ้วมือยันปลายนิ้วเท้า รู้สึกขัดแย้งเกินไปจนทนไม่ไหว มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับเวลาดูหนังที่ใส่ซับไปคนละทางกับเนื้อเรื่อง หรือเวลาที่ถือแผนที่กลับหัวระหว่างมองหาเส้นทางยังไงยังงั้น

ผมอยากถามเขาว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนี้กับผม ผมไม่รู้จักรุ่นพี่ด้วยซ้ำ รุ่นพี่เห็นใครซ้อนทับอยู่บนหน้าผมหรือไง แต่ผมก็คงถามแบบนั้นออกไปไม่ได้อยู่แล้ว และแล้วความรู้สึกบางอย่างที่สับสนวุ่นวายอยู่ในหัวขณะนั้นก็พังครืนลงมา

นั่นสินะ ในสถานการณ์ที่ชีวิตกำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและเห็นเลือดสาดกระจายเป็นว่าเล่น กับอีแค่การกอดครั้งเดียวมันจะไปยากเย็นอะไร ขนาดถ้อยคำสั่งเสียสุดท้ายของคนตายผู้คนยังรับฟังเลย นับประสาอะไรกับแค่คำขอของคนเป็น ทีแรกผมก็สองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็อ้าแขนออกอย่างเงอะงะ เขาโอบแผ่นหลังของผมเข้าหาตัวราวกับรออ้อมกอดนี้อยู่ก่อนแล้ว และแล้วแผ่นอกที่ทั้งกว้างและแข็งแกร่งก็แนบชิดเข้ากับตัวผม ผู้ชายตัวโตสองคนนั่งบนพื้นห้องอาบน้ำรวมแล้วสวมกอดกัน ถ้าใครมาเห็นเข้าคงได้ขำแน่ๆ

“หัวใจนายเต้นเร็วจัง”

เขาที่ตั้งหน้าตั้งตากอดพลางเอาแก้มมาถูไถผมจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เสียงของเขาทำให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นบริเวณที่ร่างกายของเราสัมผัสกัน ผมจั๊กจี้อยู่หน่อยๆ จนเผลอผงะไปโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจและเสียงเต้นของหัวใจเราสองคนส่งเสียงดัง กลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆ ที่ดูไม่เข้ากับตัวเขาลอยออกมา

“หัวใจของพวกมันไม่เต้นเพราะพวกมันตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ของนายมันยังเต้นอยู่นะ เพราะนายยังมีชีวิตอยู่ยังไงล่ะ เพราะงั้นวางใจเถอะ”

“…”

“สุขสันต์วันคริสต์มาส ชองโฮฮยอน”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็ซุกหน้าเข้าที่ต้นคอของผม สูดลมหายใจเข้าลึกพลางคลอเคลียปลายจมูกบนต้นคอผมราวกับจะดอมดมกลิ่นกายของผม ในขณะที่มือใหญ่และแข็งแกร่งโอบรับแผ่นหลังผมได้อย่างพอดิบพอดี

ทุกอย่างมันแปลกประหลาดจนสุดจะบรรยาย คำถามของผมยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับคำตอบเช่นเดิม ความตึงเครียดที่สุมรวมกันอยู่ก็เช่นกัน แทนที่จะเบาใจที่ถูกกอดอยู่ในอ้อมอกอันแสนอบอุ่น ผมกลับวิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่อาจผลักเขาออกไปได้ ผมเลยถูกกอดอยู่อย่างนั้นไปอีกพักใหญ่

 

ความสงบสุขอันแสนสั้นท่ามกลางความอลหม่านจบลงเพียงเท่านั้น ในคืนนั้นหลังจากพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่ เสียงน่าขนลุกก็ดังลอดเข้ามาในหูของพวกเราที่หลับไปอย่างหมดสภาพ และเสียงที่รบกวนโสตประสาทนั้นก็ได้ปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้นมาทีละคนสองคน

ครืดๆ แกรก…

บางอย่างกำลังข่วนตะกุยประตูจากข้างนอกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนว่าเล็บกับนิ้วมือจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า

และเสียงนั้นไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว

 

* กองพลทหารราบอีกีจา เป็นชื่อกองทหารราบที่ 27 ของกองทัพบกเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ที่เขตฮวาชอน จังหวัดคังวอน ขึ้นชื่อว่าเป็นกองทหารที่ฝึกหนักมากกองหนึ่ง โดยคำว่า ‘อีกีจา’ ในภาษาเกาหลีแปลว่า ‘มาชนะกันเถอะ (Let’s win)’

* กวางน้ำ เป็นสายพันธุ์กวางขนาดเล็ก มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศจีนและเกาหลี ทั้งตัวผู้และตัวเมียไม่มีเขา มีเขี้ยวยาว โดยเสียงร้องของกวางน้ำคล้ายกับเสียงของคนกรีดร้อง เป็นเสียงที่น่าสะพรึงกลัวมาก

* ‘อา’ หรือ ‘ยา’ เป็นคำลงท้ายเวลาเรียกขานชื่อ ใช้สำหรับคนที่สนิทใจกันเท่านั้น ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการแปลคำนี้ออกมาเป็นภาษาไทย เนื่องจากเป็นคำที่ไม่ได้มีความหมายในตัว เป็นเพียงหน่วยคำที่เติมเข้ามาเพื่อบ่งบอกความสนิทสนมระหว่างผู้พูดและคู่สนทนาเท่านั้น เพียงแต่ในเนื้อหาของต้นฉบับเล่มนี้มีจุดที่จำเป็นต้องถอดความโดยทับศัพท์ออกมาเพื่อความเข้าใจในเนื้อหา บริบททางภาษา และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีหลักการคือหากท้ายชื่อมีตัวสะกดใช้ ‘อา’ หากท้ายชื่อไม่มีตัวสะกดใช้ ‘ยา’

** คำว่า ‘ฮยอน’ ในที่นี้ถูกถอดออกมาจากชื่อ ‘โฮฮยอน’ โดยบางครั้งคนเกาหลีจะดึงพยางค์หนึ่งในชื่อออกมาเรียกขานกันสั้นๆ และใช้เรียกในหมู่คนที่สนิทสนมกันมากๆ เท่านั้น โดยการเรียกแบบนี้จะให้ความรู้สึกถึงการหยอกล้อหรือเป็นกันเอง

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com