DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 2.1 ถึง 2.3 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
การมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 2-1
พังทลาย
“ชองโฮฮยอน ชองโฮฮยอน! เฮ้ย ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอวะ”
เสียงตะคอกดังมาจากด้านบน ผมที่กำลังนั่งขดตัวเอาหน้าซุกอยู่กับเข่าเงยหน้าขึ้นมาอย่างเบลอๆ
“เอาบุหรี่มา!”
ยุนจุนซอกยืนตะเบ็งเสียงอยู่ตรงหน้าผม เขาเองก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เส้นเลือดฝอยในดวงตาลึกโหลทั้งสองข้างแลดูน่าสยดสยอง
ผ่านไปหนึ่งวันเต็มนับตั้งแต่ได้ยินเสียงข่วนตะกุยประตูจากด้านนอก
ตัวของพวกเราดึงดูดพวกมันเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
ครืดๆ แกรกๆ ปัง
เสียงน่าขนลุกทั้งหมดนั้นดังมาจากข้างนอกประตู บางครั้งก็เป็นเสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ที่ถูกเชือดคอ ทุกคนรับรู้ได้ถึงเสียงที่คุ้นเคยจากเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวนั้น มันคือเสียงของผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
เสียงตะกุยประตูและพยายามกระแทกตัวเข้ามาดังสนั่นกลบความเงียบภายในห้อง ต่อให้จะพยายามเมินเฉยต่อมันแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้เลย ตัวตนของสิ่งที่อยู่ด้านนอกนั่นเริ่มชัดเจนขึ้นทุกวินาที หนึ่งวันผ่านไปโดยที่พวกเราไม่ได้นอนและไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ละคนทรมานกับความเครียดสะสมจนเริ่มใจลอยและขาดสติ ดูจากผมที่ถูกยุนจุนซอกตวาดลั่นใส่แต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปก็พอจะรู้ได้
“…”
ทั้งที่ได้ยินคำพูดหยาบคายมากมาย แต่ผมกลับไม่นึกโกรธเลยสักนิด ผมแค่เหนื่อยกับทุกอย่างแล้ว ผมคลำกระเป๋าแล้วล้วงเอาของที่อยู่ในนั้นออกมาราวกับตกอยู่ในภวังค์ ยังไม่ทันจะได้ตรวจดูของที่อยู่ข้างใน ยุนจุนซอกก็ฉวยเอากล่องบุหรี่ไปแล้ว ก่อนที่กล่องบุหรี่เปล่าๆ นั้นจะถูกเขาขยำจนยู่ยี่อย่างง่ายดาย
“หมดแล้วนี่!”
เขาฉุนจัดเลยเขวี้ยงกล่องบุหรี่ในมือทิ้ง ไม่เพียงเท่านั้นยังกระทืบเท้าปังๆ ใส่พื้นอีก เขาเตะกล่องบุหรี่ที่ถูกขยำเละจนไม่เหลือเค้าเดิมกระเด็นออกไปแล้วหันขวับไปทางอื่น ก่อนที่คราวนี้จะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นพัคกอนอูที่นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมห้องแทน
“มองเหี้ยอะไรอีกวะ”
พัคกอนอูอยู่ในสภาพที่ดูไม่จืดซึ่งห่างไกลจากคำว่าปกติอยู่มาก ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตาหลังเลนส์แว่นขุ่นมัวที่ไม่ได้เช็ดให้สะอาดก็ดูเลื่อนลอยไร้จุดหมาย
“ถ้านายไม่เปิดประตูแต่แรก ไอ้พวกนั้นมันก็ไม่แห่กันมาหรอก นายล่อพวกนั้นมา เราเลยซวยกันหมดนี่ไง”
“ตะ…แต่…พี่ก็บอกให้ผมเปิดประตูเองนี่”
“ไอ้เด็กเวรนี่ แกจะบอกว่ามันเป็นความผิดฉันหรือไง”
“…”
“ฮะ? ใช่ความผิดฉันหรือเปล่าที่แฟนนายตายห่าแล้วกลายเป็นซอมบี้น่ะ”
“…ไม่ใช่ครับ”
“ก็เออไง แล้วที่นี่มัน…แม่งเอ๊ย ที่นี่มันข้างในหรือข้างนอกกันล่ะ*”
ยุนจุนซอกแผดเสียงดังลั่นวนซ้ำไปเรื่อยๆ ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างก็คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการแหกปากตะคอกของเขานั้นช่างไร้เหตุผล และแม้แต่เจ้าตัวเองก็คงจะรู้ตัวดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครห้ามปรามเขา เพราะทุกคนเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น
สุดท้ายแล้วยุนจุนซอกที่ควบคุมอารมณ์โกรธไว้ไม่อยู่ก็เหวี่ยงมือออกไปโดยที่ไม่มีใครห้ามทัน
เพียะ!
ร่างผอมบางของพัคกอนอูล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ทั้งที่ถูกตบหัวเข้าอย่างจัง แต่เขาก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ
“จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันวะ อะไรจะแดกก็ไม่มี เอาแต่กลัวหัวหดแล้วก็ซุกตัวที่มุมห้อง อยากอดตายกันหมดนี่หรือไงวะ”
เขามองไปรอบห้องพร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัดและทำท่าทางกระฟัดกระเฟียด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา
“เฮ้ย ตอบดิ! ไม่ได้ยินที่พูดหรือไงวะ”
สายตาเลื่อนลอยว่างเปล่าของคนที่กระจายตัวอยู่ตามมุมห้องหันขวับไปหาเขาทีละคน ซึ่งในระหว่างนั้นก็ยังมีบางคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับตัวเอง รุ่นพี่กำลังยืนพิงผนังเอาหูฟังอุดหูอยู่ เขาล้วงมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วเหยียดขายาวอย่างผ่อนคลาย
ถึงเครือข่ายจะถูกตัดการเชื่อมต่อ แต่ก็ยังสามารถฟังเพลงที่ดาวน์โหลดเอาไว้ล่วงหน้าได้ ทว่าแม้จะเพิ่มระดับเสียงขนาดไหน เสียงตัวประหลาดที่ร้องครวญครางอยู่ด้านนอกก็คงจะดังทะลุหูฟังเข้าไปอยู่ดี แล้วแบบนี้ยังจะดื่มด่ำกับเสียงเพลงอยู่คนเดียวได้อีกเหรอ คนจิตปกติคงไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้แน่นอน
“คียองวอน! ฉันถามว่าไม่ได้ยินฉันหรือไง”
ยุนจุนซอกที่กำลังอารมณ์เดือดพุ่งตรงไปทางที่รุ่นพี่ยืนอยู่ แต่เขาไม่ได้แตะต้องตัวรุ่นพี่เหมือนที่ทำกับพัคกอนอู ดูท่าความทรงจำที่ถูกรุ่นพี่อัดจนเลือดกำเดาไหลจะยังคงชัดเจนอยู่
รุ่นพี่จ้องยุนจุนซอกที่เดินปรี่เข้ามาพลางกระดิกเท้ายืนฟังเพลง ยิ่งระยะทางสั้นลงจนเงาดำพาดทับบนใบหน้า รุ่นพี่ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตา
“ทำไม มีไร”
“ป่านนี้เพลงคงดังทะลุแก้วหูแกไปแล้วมั้ง”
“ก็แกกับเด็กนั่นชอบตะโกนโหวกเหวกกันนี่หว่า”
รุ่นพี่พูดพลางพยักพเยิดคางไปทางเขา ก่อนจะตามด้วยพัคกอนอู
“ยัยเด็กโน่นก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร”
คราวนี้เขาพูดถึงชเวดาบิน ยุนจุนซอกอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะถามกลับ
“แกน่ะ รู้หรือเปล่าว่าฉันชื่ออะไร”
รุ่นพี่เอียงคอ ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“แล้วฉันจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอวะ”
“…”
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ยุนจุนซอก แต่ผมเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน พอติดอยู่ในพื้นที่เดิมๆ เป็นเวลานานก็คงเบื่อจะฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายแล้ว แต่ถึงขนาดที่ไม่รู้ชื่อกันเนี่ยนะ? ดูจากสีหน้าของรุ่นพี่ที่ฉายแววรำคาญระคนหงุดหงิดนั่นแล้ว ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นคงจะจริงเสียยิ่งกว่าจริง
“เออ แล้วไง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องออกไปหาอาหารมาให้ได้ไม่ใช่หรือไง ต่อให้จะบอกว่าอียูจินกับซออินกยูติดเชื้อไปแล้ว แต่เราก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองอดตายอยู่ที่นี่หรอก”
“คราวนี้แกจะออกไปเองว่างั้น?”
ยุนจุนซอกพลันสะอึกพูดไม่ออก เสี้ยววินาทีนั้นความเงียบได้ไหลผ่านไปชั่วขณะ
“พูดบ้าอะไรของแก! ทำไมฉันต้องออกไปด้วยวะ ไม่ใช่ฉันสิ แกนั่นแหละออกไป แกกับชองโฮฮยอน พวกแกสองคนคิดจะเข้ามาหลบในที่ที่พวกฉันเข้ามาอยู่ก่อนฟรีๆ เลยหรือไง เพราะงั้นพวกแกนั่นแหละต้องออกไป”
รุ่นพี่เหยียดยิ้มพลางยกนิ้วกลางให้อย่างไม่ใส่ใจราวกับคำพูดของอีกฝ่ายไม่มีค่าพอที่จะโต้ตอบ ใบหน้าของยุนจุนซอกจึงแดงก่ำขึ้นมาด้วยความโกรธ
“พี่จุนซอกก็พูดถูกอยู่นะคะ ยังไงสักวันเราก็ต้องออกไปข้างนอกอยู่ดี”
เสียงของชเวดาบินแทรกขึ้นกลางวง เธอลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างโงนเงนพร้อมกับใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยคราบน้ำตาและดวงตาที่บวมแดง หลังจากร้องไห้มาทั้งวันจนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว เสียงของเธอเลยดูนิ่งเรียบขึ้น
“ใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ได้กินอะไรมาสามวันจนจะตายห่าอยู่แล้ว ได้เติมท้องให้อิ่มด้วยน้ำจากฝักบัวไปแค่ครั้งสองครั้งเอง”
“ฉันเห็นด้วยที่จะต้องออกไปหาอาหารนะคะ ถึงพี่อินกยูกับยูจินจะ…แต่ยังไงเราก็ต้องทำอะไรสักอย่าง จะขังตัวเองแบบนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ”
“เฮ้ย พัคกอนอู นายว่าไง”
“…”
“เฮอะ คิดหนักอยู่หรือไง”
“ฮะ?…ให้ผมออกไปเหรอครับ จะบอกให้ผมรับมือกับพวกที่อยู่ข้างนอกนั่น…เหรอครับ”
“ก็แหงอยู่แล้วสิ จะให้ทำไงได้ ถ้ากราบตีนขอให้ช่วยแหวกทางแล้วพวกมันจะยอมหลีกทางให้ดีๆ รึไง”
“ถ้างั้นผมไม่ไปครับ ผมไปไม่ได้ ถึงจะพูดยังไงก็เถอะ แต่ยูจินเขา…”
พัคกอนอูที่นั่งกอดเข่าพูดพึมพำโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
“ตั้งสติหน่อย ไอ้เวร แฟนแกมันตายห่าไปแล้วไม่ใช่หรือไง ข้างนอกไม่ใช่อียูจินแต่เป็นซอมบี้ ซอมบี้น่ะ รู้จักไหม ฮะ? ซอมบี้ที่เป็นศัตรูเหมือนสัตว์ประหลาดในเกมน่ะ”
“ฮึกๆ อึก…”
เมื่อได้ยินคำพูดทำร้ายจิตใจของยุนจุนซอก พัคกอนอูก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง เขาร้องคร่ำครวญราวกับเค้นเสียงออกมาจากภายในใจ จนสุดท้ายชเวดาบินที่ทนนิ่งเฉยไม่ไหวก็พูดแทรกขึ้นมา
“สองต่อหนึ่งแล้ว คนอื่นคิดยังไงกันบ้างคะ”
รุ่นพี่ตอบอย่างเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย
“โฮฮยอนว่าไงฉันก็ว่างั้น”
ชเวดาบินหันมามองผมด้วยใบหน้างงงวย ผมเองก็ไปต่อไม่เป็นเช่นกัน รุ่นพี่เขาใส่ใจผมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ผ่านมายังลากผมไปโน่นมานี่แล้วทำเหมือนกับผมเป็นไอ้หน้าโง่ตลอดเวลาอยู่เลยไม่ใช่หรือไง
“ลองถามดูสิ ถ้าโฮฮยอนบอกว่าไม่ไปฉันก็จะไม่ไป แต่ถ้าเขาจะไปฉันก็จะไปด้วย”
“คะ? ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง แล้วความเห็นของตัวรุ่นพี่เองล่ะคะ”
“ไม่รู้ดิ สำหรับฉันแล้วจะยังไงก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่…”
รุ่นพี่พึมพำบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจก่อนจะหันมาสบตาผม สายตาคู่นั้นจริงจังราวกับจะหยั่งลึกเข้ามาในจิตใจของผม และวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็เปลี่ยนไปยิ้มอย่างสดใส
“ขอแค่มีชองโฮฮยอนอยู่ด้วยก็พอ”
ผมพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกขัดแย้งแปลกๆ ตอนที่สบตากันสะกิดหัวใจของผมยิกๆ
“ถ้างั้นพี่คิดว่ายังไงคะ”
“ก็ดี ฟังความเห็นของไอ้หมอนี่แล้วก็ตัดสินกันไปเลย จะได้จบๆ กันไป”
สายตาสี่คู่หันมาจ้องมองผมเป็นตาเดียว รุ่นพี่โยนหน้าที่ในการตัดสินใจมาให้ผม ซึ่งการทำแบบนี้ก็ไม่ต่างไปจากการมอบสิทธิ์ในการตัดสินชี้ขาดมาให้ผมโดยปริยายเลย
ห้องอาบน้ำเป็นป้อมปราการที่สมบูรณ์แบบ ประตูเหล็กแน่นหนามีระบบดิจิตอลดอร์ล็อกติดตั้งอยู่ ผนังห้องอาบน้ำเองก็เป็นหินอ่อนล้วนจึงแข็งแรงและทนทานมาก ในห้องยังมีระบบทำความร้อน และพอหมุนก๊อกน้ำก็จะมีน้ำสะอาดไหลออกมาตลอด แม้แต่อ่างล้างหน้ากับผ้าขนหนูก็ถูกเตรียมไว้อย่างครบครัน
แต่สิ่งที่ที่นี่ไม่มีก็คือเสบียงอาหาร ถ้าจะหาอาหารหรือโอกาสหลบหนีที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่านั้นก็มีแต่ต้องออกไปข้างนอกสถานเดียว ต้องถอดใจจากความสบายที่ได้มาอย่างยากลำบากแล้วเปิดประตูบานนั้นออกไปทั้งที่รู้ว่ามีซากศพฟื้นคืนชีพรออยู่ข้างนอกอย่างน้อยสองศพ
ทุกคนมองผมด้วยสีหน้าที่ต่างกันออกไป พัคกอนอูหน้าซีดเผือดด้วยความสะพรึงกลัว ชเวดาบินทำหน้าแน่วแน่เหมือนเตรียมใจพร้อมรับคำตอบเอาไว้แล้ว ทางด้านยุนจุนซอก อีกฝ่ายขมวดคิ้วพลางส่งสายตาเร่งเร้าราวกับเป็นการบอกให้ผมรีบตัดสินใจเร็วๆ ส่วนรุ่นพี่นั้นยังคงหน้าตายโดยที่ผมคาดเดาความคิดของเขาไม่ออกอยู่เหมือนเดิม
ผมเกลียดสถานการณ์แบบนี้ยิ่งกว่าอะไร สถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญท่ามกลางสายตาของทุกคนด้วยความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นภาระอันใหญ่หลวง และไม่ว่าจะเลือกทางไหน หากผลลัพธ์ออกมาดี มันก็จะกลายเป็นว่าดีเพราะพวกเราตัดสินใจร่วมกัน แต่หากผลลัพธ์ออกมาแย่ ผมก็คงต้องรับเละคนเดียวอย่างแน่นอน
เพราะแบบนี้ผมก็เลยอยากใช้ชีวิตแบบปล่อยไปตามยถากรรม คนที่กระตือรือร้นอยากออกไปข้างนอกก็ปล่อยให้ออกไปวิ่งพล่านกัน ส่วนผมก็จะขอสนับสนุนคนพวกนั้นอยู่ข้างหลังอย่างสงบเสงี่ยมแทน
ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง ทำไมผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วยนะ ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงต้องเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยของผมด้วย ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็จำต้องวาดยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากแล้วพยายามทำหน้าทำตายิ้มแย้มที่ดูเป็นมิตรที่สุดออกไป
“ผมว่าเราน่าจะรออีกหน่อยนะครับ เราไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไง อีกอย่างกอนอูเองก็ต้องการเวลาฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่ถ้ามันไม่ช่วยอะไร ถึงตอนนั้นค่อยมาคิดหาทางกันใหม่นะครับ”
สุดท้ายแล้วคำตอบที่ออกมาก็ฟังดูเป็นกลางอย่างคลุมเครือ
ไฟในห้องอาบน้ำรวมที่กว้างขวางดับสนิทลง แต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปนอนตามมุมห้องโดยใช้เสื้อตัวนอกแทนผ้าห่มและพยายามข่มตาหลับ ทว่าผมก็ยังไม่อาจหลับลงได้ในทันที ผมนอนไม่หลับ กระเพาะที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องมาหลายสิบชั่วโมงนั้นปวดแสบไปหมด ร่างกายเองก็อ่อนระโหยโรยแรง ตรงข้ามกับประสาทสัมผัสที่อ่อนไหวและเปราะบางมากขึ้น
ผมเบิกตาโพลงท่ามกลางความมืดพลางจ้องเพดานที่ปิดไฟอย่างเหม่อลอย ก่อนจะมองแสงจันทร์เย็นยะเยือกที่ลอดผ่านเข้ามาทางกระจกหน้าต่างบานเล็ก ชีวิตประจำวันทั้งหมดของผมพังทลายลงในชั่วพริบตา แต่ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อน ผมยังรู้สึกเหมือนว่าทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งเรื่องที่ติดอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย เรื่องซากศพที่กลายเป็นตัวประหลาดเดินเพ่นพ่านอยู่ด้านนอก และเรื่องที่เราอาจตายได้หากเปิดประตูออกไปแม้เพียงนิดเดียว
ยังไงซะคนที่อยู่ภายนอกก็คงต้องรับรู้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกตินี้แน่ จำนวนนักศึกษาที่เรียนอยู่ที่นี่ก็ร่วมสองหมื่นคนแล้ว ถ้าหากรวมบุคลากรในมหาวิทยาลัยเข้าไปอีกก็คงมีเยอะกว่านั้น ซึ่งการที่ผู้คนจำนวนมหาศาลขาดการติดต่อไปพร้อมกัน ถึงยังไงคนภายนอกก็ต้องรู้ และมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากกองทัพกับตำรวจจะระดมพลแล้วส่งทีมกู้ภัยขนาดใหญ่มาช่วยเหลือในทันที
แต่ทั่วอาณาบริเวณของวิทยาเขตแห่งนี้กลับเงียบกริบ ตรงริมถนนที่เห็นผ่านหน้าต่างอย่าว่าแต่จะมีทีมกู้ภัยปรากฏตัวออกมาเลย ตอนนี้มีเพียงศพคนตายที่ลากร่างเน่าเปื่อยของตัวเองเดินเตร่ไปมาเท่านั้น อย่างน้อยก็นับว่าโชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว เพราะถ้าเป็นฤดูร้อน เนื้อที่เน่าเร็วคงจะส่งกลิ่นเหม็นตีขึ้นจมูกอย่างแน่นอน
ตอนนี้พ่อกับแม่จะกำลังคิดอะไรกันอยู่นะ ทั้งสองจะห่วงลูกชายที่ขาดการติดต่อไปหลายวันหรือเปล่า ในวิทยาเขตอันกว้างขวางแห่งนี้จะมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่อีกกี่คน แล้วผม…จะรอดไปได้จนถึงเมื่อไหร่ คำถามมากมายไม่รู้จบเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของผม
ผมคิดสะระตะจนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า และในขณะที่สติกำลังดำดิ่งลงไปอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นเบาๆ ตามด้วยเสียงคนพูดพึมพำ ผมจึงลืมตาขึ้น หัวผมเบลอไปหมดจากการอดนอนจนต้องขมวดคิ้ว
รอบด้านมืดไปหมดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงพึมพำราวกับพูดกับตัวเองคนเดียวยังดังอยู่เรื่อยๆ ดูท่าคงจะมีคนอื่นที่นอนไม่หลับเหมือนกัน ผมกะพริบตาที่แห้งผากพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ พอดวงตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด ผมก็มองเห็นภาพในห้องอาบน้ำแห่งนี้เป็นเงาสลัวๆ
ผมเห็นแผ่นหลังของชเวดาบินที่นอนหนุนแขนตัวเองอยู่ตรงมุมโน้น โดยฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นยุนจุนซอก เขากำลังนอนเหยียดแขนขาโดยใช้เสื้อนวมกันหนาวคลุมท้องต่างผ้าห่ม ไม่มีใครส่งเสียงออกมาเลยสักคน แต่ตำแหน่งที่พัคกอนอูเคยนอนคู้ตัวอยู่ก่อนที่ไฟจะดับลงนั้นกลับเหลือเพียงแค่กองเสื้อที่ยับย่นของเจ้าตัว
ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เลยหยัดกายท่อนบนขึ้นแล้วก็ได้สบตากับรุ่นพี่ที่ตื่นขึ้นมาเหมือนกันกับผม นัยน์ตาสีดำของเขาเป็นประกายวาววับในความมืด
“รุ่นพี่ครับ”
เสียงแหบพร่าพูดออกมาแผ่วเบาราวกับกระซิบ เขาเบนสายตาไปอีกทางแทนคำตอบ ผมจึงมองไปทางเดียวกันกับที่สายตาของเขามุ่งไป และแล้วสายตาที่มองเห็นเป็นภาพสลัวอยู่เมื่อครู่ก็พลันชัดแจ้งขึ้นมาในพริบตา
“ยูจินอา ฉันขอโทษนะ ที่ผ่านมาเธอคงหนาวแล้วก็เหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
พัคกอนอูยืนอยู่ไกลออกไป แสงไฟนีออนสลัวรำไรจากโถงทางเดินลอดเข้ามาผ่านช่องประตู เขากำลังยืนแนบหน้าผากกับบานประตูนั้นพลางพูดพึมพำไม่หยุด
“ขอโทษที่ทำเป็นลืมไปว่าฉันเอาตัวรอดอยู่แค่คนเดียว ฉันจะเปิดประตูให้เธอเดี๋ยวนี้แหละ ฉันขอโทษนะ”
ทันทีที่เข้าใจคำพูดของเขา ผมก็ถีบตัวลุกขึ้นแล้วรีบรุดวิ่งออกไปอย่างไม่มีเวลาให้ลังเลเลยสักนิด
“กอนอู อย่านะ พัคกอนอู!”
ผมพุ่งเข้าใส่พัคกอนอูที่กดปุ่มบนเครื่องดิจิตอลดอร์ล็อก แต่แล้วเขาก็ได้เปิดประตูออกกว้างอย่างรวดเร็ว
กริ๊ก
แสงสีขาวสาดเข้ามาจากด้านนอกประตูที่เปิดออกกว้างอย่างเต็มที่ ผมมองไม่เห็นอะไรไปชั่วขณะเพราะแสบตาจากแสงไฟสว่างจ้าที่สาดส่องเข้ามา
“อึก”
“อะไรน่ะ”
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็สว่างวาบขึ้นทันที คนอื่นๆ เริ่มพากันตื่นขึ้นมาทีละคนในสภาพงุนงงด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาอธิบายให้พวกเขาฟังเป็นฉากๆ
“อย่ามาทางนี้นะครับ!”
น้ำเสียงที่หนักแน่นและเฉียบขาดดังลั่น ทุกคนที่ไม่เคยเห็นผมแหกปากเสียงดังขนาดนี้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
หน้าประตูมีร่างร่างหนึ่งหันหลังให้แสงไฟอันเจิดจ้าจนเห็นเป็นเงาทึบสีดำ ร่างนั้นฟุบอยู่กับพื้นในท่าหมอบ ก่อนจะค่อยๆ กระเสือกกระสนลุกขึ้น กระดูกแขนขาของมันลั่นดังด้วยท่าทางขยับร่างกายที่แปลกประหลาด ผมเผ้าที่พันกันยุ่งเหยิงเองก็ค่อยๆ สยายตกลงมา
“ยูจินอา…”
พัคกอนอูเดินเข้าไปหาเงาทะมึนนั้นโดยไม่คิดที่จะป้องกันตัวแต่อย่างใด แสงไฟนีออนสว่างจ้าฉายให้เห็นภาพใบหน้าด้านข้างของเขา เขากำลังยิ้มด้วยใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตา
“ฉันขอโทษ…”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของเขา ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ อียูจิน…ไม่สิ ไอ้ตัวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอียูจินก็พุ่งเข้าใส่เขา ตามมาด้วยเสียงฉีกกัดเนื้อหนัง มือที่มีผิวหนังเปื่อยเน่าขย้ำต้นคอของพัคกอนอู เลือดสีแดงฉานของคนเป็นที่ไม่ใช่เลือดเน่าทะลักพุ่งออกมา
ผมยืนตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าภาพเหตุการณ์อันสยดสยอง ของเหลวอุ่นๆ สาดกระเซ็นมาโดนแก้ม แต่สมองของผมก็ไม่ได้ประมวลผลว่าต้องเช็ดมันออกไป
ฉากที่เลือดพุ่งจากคอของพัคกอนอูราวกับน้ำพุก่อนที่เขาจะล้มลงนั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้าอย่างไม่อาจอธิบายได้ ราวกับกดเล่นวิดีโอที่เข้ารหัส* ผิดพลาดจนความละเอียดของภาพแตกพร่าไปหมด เลือดสีแดงที่กระเซ็นไปทั่วทุกทิศนั้นดูเกินจริงเสียยิ่งกว่าเกมหรือภาพยนตร์สยองขวัญซะอีก
“กึก…”
พัคกอนอูทรุดตัวลงกับพื้นราวกับหุ่นโชว์ที่ถูกทิ้งขว้าง คางของเขาสั่นกึกๆ พร้อมกับฟองเลือดที่ฟูมเต็มปาก ร่างสีดำขึ้นคร่อมอยู่บนตัวเขา ก่อนที่ผมจะสะดุดตากับเสื้อกั๊กร้านสะดวกซื้อที่ถูกเลือดกับคราบสกปรกย้อมจนเป็นสีดำปี๋
ข้างนอกประตูมีซอมบี้อีกตัวเดินแกว่งแขนขาเข้ามา คราวนี้เป็นร่างของผู้ชาย มันพุ่งเข้าไปกัดกินขาของพัคกอนอูอย่างมูมมาม ทว่ากางเกงยีนนั้นเหนียวมากจนฟันงับไม่ค่อยเข้า มันจึงพยายามใช้มือที่เล็บหลุดออกไปหมดแล้วข่วนตะกุยหน้าแข้งและใช้ฟันหน้ากัดซ้ำลงไปอย่างแรง โดยมีเสียงน่าหวาดเสียวดังลอดออกมาจากไรฟัน
“อ๊ะ”
ผมผงะถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวแล่นปราดไปทั่วตั้งแต่หัวไล่ลงมาตามเส้นเลือด ร่างกายเองก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
“บ้าเอ๊ย พัคกอนอู เฮ้ย ไอ้เด็กเวรเอ๊ย”
ปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างกันนัก ยุนจุนซอกล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนชเวดาบินกรีดร้องลั่นเสียงหลง
“กรี๊ดดด!”
และนั่นก็ทำให้พวกตัวที่ซุกหัวอยู่กับร่างของพัคกอนอูและกำลังฉีกกินเนื้อจนขอบปากอาบไปด้วยสีแดงฉานเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่เน่าเฟะสองคู่หันมาทางผม หัวใจของผมเต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัวเพราะสัมผัสได้ถึงหายนะรางๆ
“หนี…”
หนีไปซะ…ผมตั้งใจว่าจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ทันใดนั้นร่างของอียูจินก็กระโจนเข้าใส่ชเวดาบินที่กำลังยกมือขึ้นปิดปากและยืนตัวสั่นอยู่โดยที่ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคดีเลยด้วยซ้ำ ผมคว้าข้อมือเธอแล้วดึงไปหลบข้างหลังตัวเองโดยอัตโนมัติ แขนที่เหวอะจนเห็นกระดูกสีขาวขุ่นโฉบผ่านอากาศเข้ามาพลาดไปอย่างฉิวเฉียด อียูจินพยายามยกหัวที่โงนเงนไปมาแล้วพยุงลำคอให้ตั้งตรง น้ำลายหนืดสีเหลืองไหลเยิ้มลงมาถึงใต้คางที่เน่าเฟะ
“ดาบิน ตั้งสติหน่อย!”
“พะ…พี่คะ!”
“นี่มัน…เรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี่ย”
ยุนจุนซอกพูดตะกุกตะกัก รุ่นพี่เลยสวนกลับไปเบาๆ
“ถามได้ ก็พวกเหี้ยนี่มาตั้งโต๊ะแดกอาหารค่ำไง”
ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่เขากลับไม่เครียดเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะถูกความกลัวครอบงำเลย ผมรู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้สุขุมเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก ราวกับว่าเขากำลังรอคอยช่วงเวลานี้อยู่ยังไงยังงั้น
คราวนี้อียูจินหันไปหายุนจุนซอกที่ทรุดตัวอยู่บนพื้นอย่างทำอะไรไม่ถูก พอเผชิญหน้ากับตัวประหลาดที่อยู่ในสภาพน่าสยดสยอง เขาก็สติแตกสุดขีดจนควบคุมไม่อยู่
“ว้ากกก!”
งับ!
ยุนจุนซอกเผลอยื่นแขนออกไปกันอียูจินที่กระโจนเข้าใส่ อียูจินจึงกัดเข้าที่เสื้อนวมกันหนาวตัวหนาที่เขาสวมอยู่และตะเกียกตะกายพยายามเคี้ยวแขนเสื้อหนาๆ นั่น ส่วนมือที่ยังว่างของเขาก็ตัดผ่านอากาศอย่างแรง
“แอ้ก!”
“มาดิ! เข้ามาให้หมดเลย ไอ้พวกห่านี่!”
เขาถอดเสื้อนวมกันหนาวที่ถูกอียูจินกัดออกแล้วโยนทิ้งไป เขาคงจะรู้สึกมั่นใจหลังจากที่สามารถป้องกันตัวเองได้สำเร็จไปครั้งหนึ่งเลยตะโกนออกมาอย่างฮึกเหิม และนั่นก็ทำให้ซออินกยูที่กัดแทะขาของพัคกอนอูอยู่ทางด้านหลังเริ่มขยับเข้ามาใกล้
ยุนจุนซอกถูกซอมบี้สองตัวรุมล้อมในทันที ขืนปล่อยไว้แบบนี้เขาจะต้องลงเอยในสภาพเดียวกับพัคกอนอูแน่ๆ ผมเลยคว้าของที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาโดยไม่ทันได้มองว่ามันคืออะไร
“รีบหลีกไปครับ เร็ว!”
ของที่อยู่ในมือผมคือขวดแชมพูขนาดใหญ่ที่วางไว้สำหรับใช้ร่วมกันในห้องอาบน้ำรวม บรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกหนักๆ ลอยไปกระแทกที่ข้างหัวของซออินกยูเข้าอย่างจังก่อนจะร่วงลงมา
“โห แม่งเอ๊ย ถูกล่อซะเกือบตายแน่ะ”
ผมได้ยินเสียงบ่นอุบอิบของยุนจุนซอกไม่ชัด เพราะตอนนี้ซออินกยูกำลังจับจ้องผมอยู่ ดวงตาที่เละจนไม่น่าจะโฟกัสอะไรได้ดูเหมือนจะกำลังมองมาที่ผมอย่างเคียดแค้น ราวกับจะบอกว่า ‘ตอนนั้นนายอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ นายก็ได้ยินเสียงที่ฉันอ้อนวอนขอให้ช่วยชีวิตไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงไม่ช่วยฉัน ฉันต้องตายก็เพราะนาย ถ้าตอนนั้นนายไม่แกล้งทำเป็นเมินฉันล่ะก็…’
“อึก…”
แขนขาของผมพลันอ่อนแรง พอสายตาของอีกฝ่ายหันมามอง ผมรู้ดีว่าตัวเองต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแต่ก็คิดไม่ออก เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้านไปหมด สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกจากหนังหรือสัตว์ประหลาดในเกม และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่น่าสยดสยองเกินไปจนรู้สึกราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
ซออินกยูเดินเซเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และวินาทีที่อยู่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือถึงกันได้นั้น รุ่นพี่ก็โผล่พรวดเข้ามาเตะใส่อีกฝ่ายอย่างแรง ร่างกายท่อนบนพลันงอพับล้มลงไปในแข้งเดียว ก่อนจะซ้ำด้วยการยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปบนท้ายทอย ที่เขาทำแบบนี้ได้ก็น่าจะเพราะไม่เห็นความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ในตัวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อยให้คลาดสายตาแป๊บเดียวก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยนะ”
เขาถือขวานในมือข้างหนึ่งโดยไม่รู้ว่าไปหยิบมาตั้งแต่ตอนไหน ทั้งที่ซออินกยูร้องโหยหวนและกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ใต้เท้าของเขา แต่เขากลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้สักนิด
“คุณรุ่นน้อง อย่าว่อกแว่กสิ ก็เคยบอกไปแล้วว่าให้ตัวติดกันไว้ไงครับ หรือหูมีปัญหาเลยพูดครั้งเดียวไม่รู้เรื่อง?”
“…”
“คุณรุ่นน้องนี่ดีจังเลยนะ ใช้ชีวิตโคตรชิลเลย”
ทันใดนั้นซออินกยูก็สะบัดขาของเขาออกแล้วลุกขึ้น รุ่นพี่ถอยพรวดไปข้างหลังโดยไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่คมขวานนั้นจะแหวกผ่าอากาศลงมา ขากรรไกรของซออินกยูที่อ้าออกกว้างถูกฟันขาดในครั้งเดียว ขากรรไกรบนและล่างแยกออกจากกันจนเห็นเพดานปากและลิ้นที่ห้อยต่องแต่ง
“อ๊าก!”
ยุนจุนซอกที่อยู่ข้างๆ ตกใจกลัวจนต้องกระโดดหลบ ก่อนที่เลือดเน่าสีดำจะกระเซ็นไปโดนเสื้อนวมกันหนาวที่เขาโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
“ตอนจัดการกับไอ้พวกเวรนี่…”
รุ่นพี่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาเหยียบแผ่นอกของซออินกยูที่ล้มคว่ำกับพื้นแล้วเงื้อขวานขึ้นอีกรอบ
“เผาทิ้งให้เหลือแต่ขี้เถ้าเลยซะดีไหม”
ปัก!
“หรือจะเด็ดหัวแยกจากตัวดี?”
ปัก!
“ทำแบบนั้นมันจะได้ขยับไปไหนไม่ได้อีก”
ชิ้นเนื้อที่ถูกสับจนแหลกเละกระเด็นไปทั่ว ผมไม่กล้ามองภาพตรงหน้าเลยได้แต่ข่มความรู้สึกพะอืดพะอมเอาไว้ขณะเบนสายตาไปทางอื่น ทางด้านชเวดาบินเองก็กำลังเผชิญหน้ากับอียูจินตรงม้านั่งที่ตั้งอยู่กลางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่กล้าตอบโต้กลับไปโดยเอาแต่วิ่งหลบท่าเดียว
“กรรร!”
อียูจินร้องคำรามเสียงน่ากลัว กล้ามเนื้อคอของเธอถูกฉีกกินไปเกินกว่าครึ่งจึงไม่สามารถพยุงลำคอให้ตั้งตรงได้ คอของเธอเลยหักพับลงมา ผมเคยเห็นสภาพนั้นหนหนึ่งที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่ใช่กับชเวดาบิน
“ฮึก…อ๊ะ…”
เธอตื่นกลัวจนแข้งขาอ่อนแรงกระทั่งล้มพับลงไป แผ่นหลังของเธอชนเข้ากับตู้ล็อกเกอร์ที่อยู่ด้านหลังจนเกิดเสียงดังก้อง ฉับพลันอียูจินก็พุ่งเข้าใส่ราวกับรอคอยจังหวะนั้นอยู่ แต่ก็พุ่งไปไม่ถึงตัวชเวดาบินเพราะผมผลักม้านั่งที่อยู่ตรงหน้าใส่อย่างร้อนรน
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นดีเกินคาด เพราะถึงแม้ว่าอียูจินจะกลายร่างเป็นตัวประหลาดอัปลักษณ์ แต่โดยพื้นฐานแล้วเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงที่มีโครงร่างเล็กและผอมบาง พอถูกม้านั่งหนักๆ กระแทกเข้าที่เอวกับต้นขาอย่างจังเลยเซไปเป็นธรรมดา ผมใช้โอกาสนั้นยกด้านหนึ่งของม้านั่งขึ้น โดยหมายมั่นว่าจะยกไปทับร่างของเธอเพื่อสกัดการเคลื่อนไหวของเธอไว้ แต่ม้านั่งที่เป็นโลหะกลับไม่ขยับเขยื้อนดั่งใจคิด
“พี่จุนซอก ช่วยด้วยครับ!”
“เอ่อ…”
“เฮือก อึก เร็วสิครับ!”
ยุนจุนซอกทรุดตัวล้มลงด้วยความที่สติหลุดลอยมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาพรูลมหายใจออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับนัยน์ตามืดหม่นที่เอาแต่จ้องมองผมนิ่ง ดูเหมือนผมจะคาดหวังความช่วยเหลือจากเขาไม่ได้
“ฮึบ!”
ผมเค้นพลังสุดแรงเกิด ในขณะที่อียูจินตั้งท่าจะเหวี่ยงแขนมาคว้าตัวผม แต่แล้วผมก็สามารถพลิกม้านั่งไปทับร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน
“กรรร กรอด!”
อียูจินพยายามตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่งโดยที่ยังนอนแผ่อยู่ใต้ม้านั่งตัวยาว ดวงตาที่กลัดหนองและเส้นเลือดฝอยแตกจ้องมองผมเขม็งพร้อมกับส่งเสียงหวีดแหลมแสบแก้วหู มันเป็นภาพที่ทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ
“เล่นเอาซะติดแหง็กเลยนี่ อยากให้ฉันช่วยเด็ดกบาลมันให้ไหมล่ะ”
จู่ๆ รุ่นพี่ก็โผล่พรวดมายืนอยู่ข้างๆ ผม ดูท่าคงจัดการทางฝั่งซออินกยูเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เก่งดีนี่”
เขาเตะเสยคางของอียูจินราวกับเตะลูกฟุตบอล
ปั้ก!
หัวของเธอหันพร้อมกับเสียงข้อต่อกระดูกที่บิดอย่างแรง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่คอของเธอยังไม่หัก
“ถือว่าอึดใช้ได้”
เขาถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะเงื้อขวานขึ้น จากนั้นก็สับคอของอียูจินที่กำลังดิ้นพล่านขัดขืนอย่างไม่ลังเล เดิมทีกล้ามเนื้อคอก็ได้รับความเสียหายเกินกว่าครึ่งอยู่แล้ว ส่วนหัวเลยขาดกระเด็นแล้วกลิ้งไปในทันที ก่อนที่ร่างของเธอจะไม่กระดิกอีกต่อไป กลายเป็นร่างหัวขาดนอนปวกเปียกอยู่ใต้ม้านั่ง
“ยะ…ยูจินอา…”
ชเวดาบินที่เห็นฉากอันน่าสลดตั้งแต่ต้นจนจบทรุดตัวลงพิงล็อกเกอร์ด้วยร่างกายที่สั่นเทาอย่างหมดสภาพ สายตาของเธอเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัส ทันใดนั้นผมก็หันไปเห็นพัคกอนอูที่กำลังจะจู่โจมใส่รุ่นพี่จากทางด้านหลัง เขาเดินกะโผลกกะเผลกในสภาพที่คอกับแขนขาอาบไปด้วยเลือด
“รุ่นพี่!”
ผมเอื้อมมือไปดึงตัวเขาเข้ามาโดยอัตโนมัติในจังหวะเดียวกับที่พัคกอนอูถลาเข้ามา ผลปรากฏว่ารุ่นพี่รอดไปได้อย่างฉิวเฉียด ในขณะที่ร่างกายท่อนบนของพัคกอนอูกระแทกเข้ากับประตูล็อกเกอร์อย่างจัง รุ่นพี่ตั้งหลักได้อย่างรวดเร็วก่อนจะส่งสัญญาณให้ผม
“เปิดล็อกเกอร์”
“ตู้ไหนครับ”
“ข้างหลังฉัน!”
ผมงุนงงทำอะไรไม่ถูกกับคำสั่งนั้น แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ฉุกละหุกจนไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีกต่อไป ผมเปิดตู้ล็อกเกอร์ที่มือเอื้อมถึงอย่างมั่วๆ พัคกอนอูกลับมายืนตัวตรงอีกครั้งพร้อมกับส่งเสียงคำรามในลำคอฟังดูน่าขนลุก ก่อนจะมุ่งตรงไปที่รุ่นพี่อีกครั้งหนึ่ง
ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะหัวของเขาทิ่มพรวดเข้าไปติดในล็อกเกอร์ที่เปิดรออยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่หลงเหลือแม้แต่สติปัญญาที่จะแยกแยะว่ามีสิ่งใดกีดขวางอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า
“กรรร!”
พัคกอนอูตะเกียกตะกาย เขาดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่งก่อนจะผงกหัวออกมา ผมจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปแล้วผลักหัวเขาอัดกลับเข้าไปอีกครั้ง และตอนนั้นผมก็เพิ่งมาตระหนักได้ทีหลังว่าเผลอทำอะไรลงไป พัคกอนอูเพิ่งตายได้ไม่นาน ฝ่ามือผมเลยสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ จากศพของเขาอย่างชัดเจน
“เฮือก”
มือของผมพลันสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะอาเจียนออกมา
“เป็นอะไรไป คุณรุ่นน้อง ทำไมถึงได้เชื่อฟังคำสั่งขนาดนี้ล่ะ หืม? วันนี้วันเกิดฉันหรือไง”
รุ่นพี่ยิ้มกริ่มขณะเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เงื้อขวานเปื้อนเลือดขึ้นแล้วฟันเข้าที่ร่างของพัคกอนอูซึ่งไม่อาจขัดขืนได้จนอีกฝ่ายแน่นิ่งไป
และแล้วการต่อสู้อย่างดุเดือดในค่ำคืนนี้ก็ได้จบลง
* ประโยคดังกล่าวนี้เป็นมุกที่ทหารรุ่นพี่มักใช้กับทหารรุ่นน้องในค่ายทหาร โดยหลักการคือการถามว่า ‘ที่นี่คือข้างนอกหรือข้างใน’ ซึ่งหากคนตอบตอบว่า ‘ข้างในครับ’ (안이에요 อ่านว่าอัน-อี-เอ-โย) ก็จะไปพ้องเสียงกับคำว่า ‘ไม่ครับ’ (아니예요 ออกเสียงว่าอา-นี-เย-โย) มันจึงเป็นอุบายบังคับให้ผู้ตอบตอบว่า ‘ไม่’ ออกมา ซึ่งตามปกติแล้วหากคนตอบตอบว่าข้างในที่สื่อถึงคำว่าไม่ คนถามก็จะถามวนซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนตอบได้ตอกย้ำตัวเองไปเรื่อยๆ โดยการถามตอบนี้จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคนตอบยอมเอ่ยคำขอโทษ หรือจนกว่าผู้ถามจะพอใจ
* การเข้ารหัส (Encoding) คือกระบวนการที่ผู้ให้ข้อมูลทำการแปลงสารสนเทศให้กลายเป็นข้อมูลที่จะถูกส่งไปยังผู้รับ เช่น ระบบประมวลผลข้อมูล