DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 2.1 ถึง 2.3 #นิยายวาย
Chapter 2-2
แสงไฟนีออนจากโถงทางเดินสาดส่องเข้ามาผ่านบานประตูที่เปิดออกจนภายในห้องนั้นสว่างขึ้นอย่างสลัวๆ ทว่าแสงไฟรางๆ นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเห็นสภาพภายในห้องที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยกองเลือด ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เละเทะไปหมดมีศพสามศพนอนแน่นิ่งอยู่ตามมุมต่างๆ ในสภาพน่าสยดสยอง
ชเวดาบินยังคงไม่ปล่อยมือที่ตะครุบปิดปากของตัวเองเอาไว้ เธอนั่งตัวสั่นงันงกพลางก้มหน้างุดพิงล็อกเกอร์อยู่ เสียงร้องสะอึกสะอื้นดังลอดออกมาจากฝ่ามือ
“อุบ แหวะ!”
เสียงคลื่นเหียนดังมาจากมุมหนึ่งไกลๆ ซึ่งมันเป็นเสียงของยุนจุนซอก
ผมกวาดตามองไปทั่วห้องที่ถูกละเลงไปด้วยสีแดงฉานอย่างเหม่อลอย รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แต่ขณะเดียวกันร่างกายก็รู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงไปหมด
“อา…”
เข่าของผมทรุดฮวบลง ภาพตรงหน้าติดๆ ดับๆ พร้อมกับเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ข้างหู ร่างกายซวนเซพานจะล้มคว่ำจนผมต้องยันมือกับพื้นอย่างหมดท่า ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นและเหนอะหนะของเลือดที่อยู่ใต้ฝ่ามือ ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังพรูลมหายใจสั่นๆ ออกมาอย่างสะอิดสะเอียน
“ไอ้นี่แม่งใช้การไม่ได้แล้วแฮะ”
รุ่นพี่พึมพำด้วยสีหน้าเฉยชา ขวานที่เขาถืออยู่ในมือเปื้อนเลือดกับเศษเนื้อจนเละไปหมด
“ก็จับถนัดมือดีอยู่หรอก แต่คมขวานมันทื่อไวไปหน่อย”
เขาโยนขวานที่ใช้การไม่ได้แล้วทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ขวานนั้นกระเด็นไปตกข้างๆ ศพของพัคกอนอูที่ล้มฟุบอยู่ในท่าที่แขนขาบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด
“…”
ผมขนลุกกับการกระทำที่ดูไม่สะทกสะท้านกับอะไรเลยของเขา รุ่นพี่น่ากลัวกว่าพวกซากศพคนตายที่โผล่ออกมาในหนังเกรดต่ำกระจอกๆ พวกนั้นซะอีก
ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคน แม้ว่าจะติดเชื้อไวรัสปริศนาจนกลายร่างอย่างพิสดาร แต่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยเป็นคน และหนึ่งในพวกนั้นก็เป็นคนที่เคยหายใจ พูดคุย และนอนในพื้นที่เดียวกันจนกระทั่งไม่นานมานี้เอง
และทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่รุ่นพี่กลับฟันคอและแขนขาของพวกเขาเป็นท่อนๆ โดยปราศจากความลังเลได้ยังไงกัน เขาเหมือนกับฆาตกรโหดที่เข่นฆ่าคนเพราะเบื่อหน่าย คนปกติหรือนักศึกษาทั่วไปที่มีประสบการณ์ฆ่าคนจากแค่ในเกมคงไม่มีทางทำแบบนั้นได้ลงคอหรอก
ผมหลับตาลงแน่นพลางขบกรามที่กำลังสั่นกระทบกัน ตอนนี้ผมต้องตั้งสติ ก่อนอื่นเลยต้องลุกขึ้นมาจัดการกับคนรอบตัว ต้องทำให้ชเวดาบินกับยุนจุนซอกสงบลงก่อน จากนั้นค่อยหารือกันเกี่ยวกับแผนการ แล้วต่อไปก็…
ไม่สิ…ผมทำแบบนั้นไม่ได้ มาทำเอาตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร ผมแค่อยากถอดใจยอมแพ้ไปเฉยๆ ถ้าได้นั่งสติหลุดลอยไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มีใครสักคนเสนอแผนการอะไรขึ้นมาเองนั่นแหละ
อีกใจหนึ่งผมคิดแบบนั้น เพราะถึงแม้จะดิ้นรนทำอะไรไปมาก แต่ปลายทางก็คงมีแต่ความสิ้นหวังอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นแล้วผมจำเป็นต้องดิ้นรนมุ่งร้ายใส่คนอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยหรือไง ต่อให้พยายามแค่ไหน สุดท้ายก็คงมีสภาพไม่ต่างจากซากศพพวกนั้นอยู่ดี
“คุณรุ่นน้อง”
เสียงของเขาราบเรียบไร้ซึ่งความสั่นเครือ เมื่อผมลืมตาขึ้นก็เห็นรุ่นพี่กำลังก้มมองลงมานิ่งๆ
“เนื้อตัวเปื้อนเลือดหมดแล้ว ไปอาบน้ำไป”
เขายื่นมือออกมา มันคือมือข้างที่ใช้เขวี้ยงขวานที่เหนียวเหนอะราวกับเพิ่งเอาขึ้นมาจากบ่อเลือด ผมยกมือขึ้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะพบว่าสภาพตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเขาเลย ฝ่ามือและนิ้วมือของผมเป็นสีแดงฉานเพราะเพิ่งเอามือยันพื้นที่เจิ่งไปด้วยกองเลือดเมื่อครู่
“อุบ…!”
ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ก่อนจะโก่งคอทำท่าคลื่นไส้พะอืดพะอม แต่เป็นเพราะไม่มีอาหารตกถึงท้องมานานเลยไม่ได้ขย้อนอะไรออกมา หลังจากนั้นพักใหญ่ผมก็ค่อยๆ ยันเข่าที่สั่นเทากับพื้นแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล รุ่นพี่ยืนรอผมอยู่เงียบๆ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้เอื้อมมือไปจับมือของเขา
ฝักบัวนับสิบแขวนเรียงกันอยู่ในห้องอาบน้ำที่มืดมิดเพราะไม่ได้เปิดไฟ ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่อวลอยู่ภายในพร้อมกับกลิ่นคลอรีนของน้ำประปา ทั่วทั้งห้องอาบน้ำราวกับเป็นท่อที่เจาะเป็นรูๆ ไว้ให้น้ำไหลออกมา ผมแบกร่างตัวเองเดินเข้าไปด้านในอย่างอิดโรย
ผมหยุดยืนอยู่หน้าฝักบัวแล้วเปิดวาล์วน้ำด้วยความเคยชิน
ซ่า…
น้ำเย็นไหลลงมาบนหัว ผมยืนเหม่อลอยรับน้ำอยู่อย่างนั้นโดยไม่หลบเลี่ยงอะไร กระทั่งสายน้ำนั้นไหลลงมาตามเรือนผมจนค่อยๆ บดบังทัศนวิสัยตรงหน้าไปทีละนิด
“ใจลอยไปถึงไหนกัน จะอาบน้ำก็ถอดเสื้อผ้าออกก่อนสิ”
ข้อมือของผมถูกคว้าหมับ รุ่นพี่ดึงผมให้หันกลับไปโดนไม่สนใจสายน้ำที่สาดกระเซ็นลงมา ใบหน้าของเขาขาวตัดกับพื้นหลังของห้องอาบน้ำที่มืดสนิท เขายื่นมือมาดึงปกคอเสื้อเชิ้ตที่ผมสวมอยู่ ก่อนที่กระดุมเม็ดบนสุดจะถูกปลดออก
มือนั้นคือมือเดียวกันกับมือที่ตัดหัวคนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ และเลือดของคนที่ตายไปเมื่อครู่ก็กระเด็นมาโดนเสื้อที่ผมสวมอยู่ พอคิดแบบนั้นขึ้นมาผมก็รู้สึกราวกับว่ากลิ่นเลือดคาวคลุ้งได้แทรกซึมเข้าไปทั่วระบบทางเดินหายใจของผม
“หยุดนะ!”
ผมตะโกนเสียงเฉียบขาดออกมา ร่างกายของผมสั่นเทาไปหมด ทว่ามันไม่ได้สั่นเพียงเพราะเปียกน้ำ
“หยุด…หยุดทีเถอะครับ”
“ชองโฮฮยอน”
“ปล่อยผม!”
ผมผลักรุ่นพี่ออกไป ทั้งที่แผ่นอกถูกผลักอย่างแรง แต่เขากลับไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองผมผ่านความมืดอันอับชื้นและเย็นยะเยือกพลางถามขึ้นเสียงเรียบ
“นายเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
หยาดน้ำหยดลงบนผมด้านหน้าทำให้ผมมองเห็นเขาได้ไม่ชัด ผมเสยผมที่เปียกโชกขึ้นไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะซ่อนมือที่สั่นเทาไว้หลังศีรษะพลางสูดหายใจเข้าอย่างแรง
“จะเกลียดหรือไม่เกลียดไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ แต่นั่นคนตายทั้งคนเลยนะครับ พี่ทำลงไปได้ยังไง!”
“นี่นายยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกหรือไง พวกนั้นไม่ใช่คน ต้องให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งนายถึงจะเข้าใจ เลิกทำตัวขี้แยแล้วก็ตั้งสติได้แล้ว เข้าใจไหม”
“การตั้งสติที่รุ่นพี่ว่านี่มันหมายถึงการฆ่าคนที่ขวางหูขวางตาตัวเองอย่างนั้นสินะครับ หมายถึงการใช้คนอื่นเป็นเหยื่อล่อเพื่อเอาตัวรอดแบบนั้นใช่ไหมครับ ถ้าผมต้องรอดด้วยวิธีการแบบนั้น ผมขอ…”
“พูดมาสิ ผมขออะไร”
“…”
“คุณรุ่นน้อง นายนี่มีพรสวรรค์ในการทำให้คนอื่นดูเป็นไอ้งั่งซะจริงๆ เลยนะ”
“…”
“ลองพูดเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นอีกสักครั้งดูสิ รู้เอาไว้เลยนะว่าฉันจะฆ่านายด้วยมือของฉันเอง”
รุ่นพี่กระชากคอเสื้อผมจนได้ยินเสียงสวบสาบมาจากปกเสื้อ ผมที่ทนไม่ไหวจึงยกแขนขึ้นสะบัดมือเขาออก
“ดูสภาพนายตอนนี้สิ”
เขายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนที่ปลายลิ้นของเขาจะลอบเลียริมฝีปากล่างของตัวเองช้าๆ วินาทีถัดมาเขาก็จับข้อมือผมด้วยแรงที่ทำให้ผมเจ็บจนน้ำตารื้น ผมถูกผลักติดกำแพงในท่าที่แขนถูกจับรวบขึ้นไปไว้ด้านบน วาล์วของฝักบัวกระแทกเข้ากับแผ่นหลัง ทำเอาผมร้องออกมาด้วยความเจ็บทันที
“อึก!”
สายน้ำที่หยุดไปครู่หนึ่งเริ่มไหลบ่าลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ผมที่เปียก ไม่นานรุ่นพี่เองก็เนื้อตัวเปียกโชกไม่ต่างกัน
“นี่ นายเกลียดฉันเข้าไส้เลยสินะ”
เขาทำให้ระยะห่างระหว่างเราแคบลงโดยการยื่นใบหน้าเรียบนิ่งนั้นเข้ามา แข้งขาของเราเกี่ยวกัน รวมถึงแผ่นอกของเราเองก็แนบชิดกันจนผมหายใจไม่ออก
“สีหน้าของนายมันบอกชัดเจนมากอยู่แล้วว่าเกลียดฉันจนแทบคลั่ง แต่ก็ไม่เห็นจะพูดคำว่าเกลียดออกมาสักแอะเลยแฮะ ถึงนายจะตีหน้าซื่อยิ้มให้ฉันอยู่ตลอด แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านายฝืนยิ้มเพื่อเอาใจฉัน”
เขาเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเดือดดาล ระหว่างนั้นเลือดที่เปื้อนอยู่เต็มตัวเราก็ค่อยๆ ถูกสายน้ำอุ่นชะล้างออกไปทีละนิด
“แค่อยากเอาตัวรอดไปให้ได้อย่างปลอดภัย ไม่ชอบเรื่องน่ารำคาญ แล้วก็ไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาใคร นายแม่งก็เป็นแบบนั้นมาตลอดทุกครั้งเลยนี่ ทั้งที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วยังทำตัวสูงส่งห่วงศีลธรรมห่าเหวอะไรนั่นอยู่อีก”
ในบรรดาคำพูดของรุ่นพี่นั้นมักจะมีแต่คำพูดที่ผมไม่อาจเข้าใจได้อยู่เสมอ แต่คราวนี้มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมรู้สึกเจ็บราวกับถูกแทงเข้าที่ซอกหนึ่งของหัวใจ เพราะสิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทุกคำ
จนถึงตอนนี้ผมก็คิดเพียงแค่ว่าต้องการที่จะมีชีวิตรอดและไม่ต้องออกหน้าโดดเด่นอะไรกับใครเขา ผมรู้สึกกดดันกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญจึงปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป ผมตำหนิรุ่นพี่ว่าฆ่าคนตายทั้งคนแล้วยังนิ่งเฉยขนาดนั้นได้ยังไง แต่พอถึงคราวคับขันจวนตัวจริงๆ ผมกลับเอาแต่หลบอยู่ข้างหลังเขาอย่างสบายใจ อย่างตอนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องของหอพัก ผมก็ดึงดันที่จะออกไปช่วยคนที่ตะโกนขอความช่วยเหลือข้างนอกนั่น แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องพึ่งพารุ่นพี่อยู่ดี
ที่เขาพูดมันก็ถูกต้องแล้วล่ะ…อย่างน้อยผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปถามเขาว่าทำไมถึงได้ทำตัวโหดร้ายแบบนั้น
“เลิกเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะ อยากเป็นคนดีจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเลยหรือไง ต่อให้ตัวเองกำลังจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ยนะ? รู้ตัวไหมว่านายทำให้ฉันต้อง…”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกระซิบด้วยเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย
“รู้อะไรไหม ชองโฮฮยอน นายแม่ง…โคตรใจร้ายเลยว่ะ”
ผมพยายามบิดแขนออกจากมือของเขา แต่เขากลับกำมันแน่นขึ้นราวกับเป็นการตอกย้ำว่าผมไม่มีทางหนีเขาได้ แรงมือของเขาดุดันรุนแรงราวกับจะบดขยี้กระดูกของผมให้แตกเป็นเสี่ยงๆ จนผมต้องร้องโอดครวญออกมาเบาๆ
มือที่เคยกำอยู่รอบข้อมือผมค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาข้างบน เขาสอดนิ้วเข้ามาในช่องว่างระหว่างนิ้วของผมแล้วประสานมือกันอย่างแนบแน่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายน้ำที่ไหลอาบลงมาอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า ผมถึงสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากมือของเขา ทั้งที่ปกติแล้วอุณหภูมิร่างกายของเขาค่อนข้างต่ำ
เราสบตากันในระยะที่ใกล้กันมากจนหยาดน้ำที่ไหลผ่านขนตาของเขาหยดลงบนแก้มของผม น้ำที่ไหลเทลงมาจากฝักบัวหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี ต้นขาของเขาบดเบียดเข้ามาตรงหว่างขาของผม กล้ามเนื้อที่หนั่นแน่นไปทั่วทั้งตัวของเขาทำเอาผมตัวแข็งทื่อด้วยความเกร็ง ก่อนที่ลมหายใจหนักหน่วงของเราจะดังขึ้นท่ามกลางหยาดน้ำที่ไหลหยดลงมา
ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มจู่โจมเข้าที่ส่วนล่างของผม ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองเข้าใจผิด คงเป็นเพราะร่างกายที่กำลังแข็งทื่อเลยทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนไป แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แม้ว่าจะพยายามเมินเฉยยังไงก็ไม่อาจทำได้ ในขณะที่ต้นขาบดเบียดกันแนบแน่น ตัวตนของอีกฝ่ายก็มีเลือดคั่งและแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นความรู้สึกที่หากเป็นผู้ชายก็คงไม่มีทางที่จะไม่รู้จัก
“…”
ผมอึ้งสนิทจนริมฝีปากเผยออ้าออกน้อยๆ ส่วนรุ่นพี่ที่สังเกตเห็นผมทำหน้าเลิ่กลั่กก็ยกยิ้มอย่างย่ามใจ
“รุ่นพี่ครับ”
“มีอะไรเหรอ คนสวย”
อีกแล้ว…เป็นคำเรียกที่ชวนให้ขนลุกซะจริง รุ่นพี่คงไม่ได้กำลังเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนรักของเขาหรอกนะ ไม่สิ…เป็นไปไม่ได้หรอก ในโลกนี้จะมีคนบ้าที่ไหนที่เห็นคนรักแล้วลากขวานวิ่งไล่กันบ้างล่ะ เท่านั้นไม่พอยังด่ากราดใส่คนรักอย่างคล่องปากอีก ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้โดนตบหน้าซ้ายขวาห้าสิบฉาดหรอก
“เดี๋ยวก่อนครับ ช่วยขยับขาออกไปหน่อย”
“ไม่ชอบหรือไง”
ผมควบคุมสีหน้าไม่ได้เลย บรรยากาศชวนหวาดเสียวราวกับระเบิดที่ก่อตัวขึ้นจากความตึงเครียดที่คุกรุ่นเมื่อครู่ตอนนี้กลับกลายเป็นล่อแหลมไปในทางอื่น ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างลนลาน หยดน้ำร่วงผ่านขนตาที่เปียกปอนลงมา ผมพยายามถดส่วนล่างที่แนบชิดกันหนีออกมา ทว่าข้างหลังกลับมีผนังกับฝักบัวขวางกั้นอยู่เลยทำแบบนั้นไม่ได้
“รุ่นพี่ครับ ช่วยหลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
ผมถามอย่างสุภาพและอ่อนน้อมที่สุด ทั้งที่รู้ว่าท่าทางแบบนั้นดูขี้ขลาดมาก แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อให้เป็นผู้ชายทั้งแท่งอย่างผมก็คงได้เผลอตอบสนองต่อแรงปลุกเร้าที่คอยกระตุ้นนี้อย่างแน่นอน
“อืม ฉันจะหยุดให้ก็ได้นะ…ถ้านายปลอบฉันด้วยร่างกาย”
“กอดเหมือนครั้งก่อนก็พอใช่ไหมครับ”
“ไม่สิ ไม่เอาแบบนั้น”
“ครับ?”
“เรื่องที่นายจินตนาการตอนนั้นน่ะ คราวนี้ขอทำแบบนั้นหน่อยสิ”
บางสิ่งแวบเข้ามาในหัวของผมอย่างฉับพลัน…นิ้วของรุ่นพี่ที่สอดแทงเข้าไปในนิ้วที่ทำเป็นรูปวงกลม ไม่นะ หยุดคิดเดี๋ยวนี้เลย ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“ผมไม่เข้าใจว่ารุ่นพี่หมายถึงอะไร”
“นายรู้ดีอยู่แล้วน่า แบบนี้ไง”
เขากดมือของผมแนบกับกำแพง ก่อนจะกระชับมือที่ประสานกันให้แน่นขึ้น เขาขยับช่วงเอวสอบเข้ามาจนร่างกายท่อนล่างบดเบียดกันอย่างแนบแน่น
“อึก…!”
อวัยวะที่แข็งตัวเต็มที่เบียดเข้ามากลางหว่างขาของผม มันทั้งอวบและแข็งชวนอึดอัดจนรู้สึกเจ็บ ถึงจะไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่ แต่ความมั่นอกมั่นใจของเขาก็มีเหตุผล
เราฟัดกับพวกซากศพที่อยู่ข้างนอกจนกลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้ง แต่ผู้ชายที่เนื้อตัวเปียกปอนกลับนัวเนียกับรุ่นน้องแล้วแข็งโด่ขึ้นมาได้เนี่ยนะ? นึกคำไหนไม่ออกนอกจากคำว่าบ้าจริงๆ ตั้งแต่เจอกันมาจนถึงตอนนี้เขาก็ทำตัวบ้ามาตลอด แต่ผมก็ไม่นึกว่าเขาจะบ้าได้ถึงขนาดนี้ รุ่นพี่คียองวอนนี่แม่งเป็นคนที่บ้ามากจริงๆ
“อย่าจ้องกันแบบนั้นสิ คิดจะยั่วกันหรือไง”
“ระ…รุ่นพี่ อึก ได้โปรดหยุดเถอะ”
“ว้าว ขี้ยั่วจังนะ ชักไม่มั่นใจแล้วสิว่าจะทนไหว”
ผมได้แต่อึ้งจนพูดไม่ออก ยั่วห่าเหวอะไรกันล่ะ ผมหอบแฮกๆ อย่างกับหมา ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็หายใจหอบซะแล้ว รุ่นพี่สังเกตผมที่ตัวสั่นด้วยความตกใจและอึดอัดอย่างนึกสนุก ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะเลือนหายไป ทันทีที่สีหน้านั้นหายไปจากใบหน้าที่ดูโฉดชั่ว บรรยากาศก็พลันเย็นยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิม
“โฮฮยอนอา”
น้ำเสียงของเขาต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ผมจึงตัวเกร็งขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ
“ครับ”
“สัญญาก่อนสิ สัญญากับฉันว่านายจะไม่พูดพล่อยๆ ว่าจะไปตาย และนายจะไม่ยอมถอดใจตายไปง่ายๆ”
“…”
“สัญญาสิ…แล้วฉันจะปล่อยนายไป”
“…ผมสัญญาครับ”
“รักษาสัญญาเอาไว้นะ ถึงนายจะจำไม่ได้ แต่ฉันยังจำได้อยู่ เพราะงั้นต้องรักษามันให้ได้ด้วย”
ผมไม่อาจพูดว่าจะไม่รักษาสัญญาเล่นๆ ได้ ต่อให้จะเป็นการพูดเล่นก็ตามที ผมเลยได้แต่พยักหน้ารับอย่างช้าๆ รุ่นพี่ถอนตัวออกไปทันทีราวกับไม่เคยบดเบียดเข้ามาจนผมหายใจไม่ออกมาก่อน ทั้งที่ผมล้างตัวด้วยน้ำอุ่น แต่บรรยากาศรอบข้างกลับเย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาด
“รุ่นพี่ครับ ผมขอโทษ”
ผมรีบเปิดปากพูดฉับไวราวกับมีอะไรมาดลใจ ผมก็แค่รู้สึกว่าต้องพูดแบบนั้น
“ถึงผมจะไม่ได้เข้าใจที่รุ่นพี่พูดทุกอย่าง แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมเห็นด้วย รุ่นพี่พูดถูกครับ ผมมันแย่เอง ที่ผ่านมาผมเอาแต่ซุกหัวหลบอยู่ข้างหลังรุ่นพี่แล้วทำตัวงี่เง่ามาจนถึงตอนนี้ เพราะผมไม่อยากแบกรับภาระเลยเอาแต่วิ่งหนี”
“…”
“แต่ผมก็ไม่เคยเข้าใจเลยครับว่ารุ่นพี่ต้องการอะไรจากผม ทำไมถึงโกรธผมขนาดนั้น ว่ากันตามตรงแม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ผมคงจะเคยทำผิดกับรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัวสินะครับ ยังไงผมก็ขอโทษสำหรับเรื่องนั้นด้วยนะครับ”
หลังจากที่ผมพูดจบไปพักหนึ่ง รุ่นพี่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาเพียงแค่จ้องหน้าผมด้วยใบหน้าเซ็งๆ ผมจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมาตงิดๆ ไม่น่าพูดออกไปเลย นี่ผมคงไม่ได้ถูกด่าหรือถูกคุมคามชีวิตเพราะดันไปพูดอะไรไม่เข้าหูเขาหรอกนะ
“ชองโฮฮยอน”
มือแกร่งกำหลังมือของผมแน่น ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงกว่าผม ตำแหน่งที่ถูกจับเลยร้อนเหมือนถูกไฟลวก เขาดึงมือผมออกมาทั้งที่ยังกำมือผมไว้แน่น ทำให้ระยะห่างระหว่างเราแคบลงอย่างกะทันหัน ซึ่งมันใกล้มากจนเห็นรูม่านตาของรุ่นพี่ที่หดเล็กลงข้างในนัยน์ตาสีดำ
“นายนี่มันจริงๆ เลยนะ…นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน”
รุ่นพี่เหยียดยิ้ม ทว่ามันกลับไม่ใช่รอยยิ้มเถื่อนๆ ที่มักจะเย้ยหยันผมเหมือนอย่างเคย ริมฝีปากที่ยกยิ้มอย่างฝืนใจนั้นดูบิดเบี้ยว
“พูดแบบนั้น…แล้วก็ปล่อยให้ฉันรออยู่เรื่อยเลยไม่ใช่หรือไง”
“…”
คำพูดนั้นมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ขณะที่ในหัวมึนตึ้บจนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป เขาก็ปล่อยมือของผมออก และถึงแม้ว่าเขาจะเดินออกไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอีกสักพักใหญ่