DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1 บทที่ 2.1 ถึง 2.3 #นิยายวาย
Chapter 2-3
“พี่คะ พี่โฮฮยอน! ออกมาหรือยังคะ”
ระหว่างที่ผมใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เปียกชุ่มแบบลวกๆ และกำลังจะเดินออกไป ชเวดาบินก็ตะโกนเรียกผมเสียงดัง ก่อนที่ผมจะเห็นเธอวิ่งปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
เธออยู่ในหลืบด้านในสุดของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรงนั้นมีหัวมุมบังอยู่เลยมองไม่เห็นบริเวณโถงทางเข้า ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจจะหลีกหนีจากสถานที่เกิดเหตุที่มีศพนอนเกลื่อนและยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกไป
“พี่ควรมาดูอะไรนี่หน่อยค่ะ”
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“พี่จุนซอกเขามีอาการแปลกๆ น่ะค่ะ หายใจผิดปกติมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แถมดูไม่ค่อยมีสติด้วย น่าจะป่วยเป็นอะไรสักอย่างนะคะ”
ชเวดาบินไม่ได้พูดต่อให้จบ ผมมองตามไปยังจุดที่เธอชี้ไป ก่อนจะเห็นยุนจุนซอกนอนขดตัวโดยคลุมตัวด้วยเสื้อนวมกันหนาวเปื้อนเลือดชั้นหนึ่ง เขาอยู่ในสภาพนั้นมาตั้งแต่การต่อสู้อันดุเดือดจบลง
“พี่ พี่ครับ? พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ เขาแล้วคุกเข่าลง แม้จะลองเรียกชื่อใกล้ๆ ดูแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองกลับมา ผมเลยลองเขย่าตัวเขาดู แล้วก็ได้ลมหายใจแรงๆ ที่ลอดออกมาจากข้างใต้เสื้อนวมตัวหนาแทนคำตอบ
ผมเปิดเสื้อนวมกันหนาวออก ผิวหนังของเขาค่อนข้างหมองคล้ำและซีดเผือด บริเวณใบหน้าและลำคอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมลองวัดไข้เขาแทนชเวดาบินที่ไม่กล้าแตะตัวเขา ปรากฏว่าทั้งตัวของเขาร้อนผ่าวราวกับลูกไฟ
“ตัวร้อนมาก”
“จับไข้งั้นเหรอคะ”
“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีอะไรตกถึงท้อง แถมยังเพิ่งจะผ่านเรื่องลำบากมาอีกนี่นา”
“ยาลดไข้น่าจะมีอยู่ที่สำนักงานดูแลความปลอดภัยชั้นหนึ่งนะคะ อ๊ะ ไม่สิ แค่ยาแก้หวัดทั่วไปที่ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะ…”
ชเวดาบินสาธยายอย่างจริงจังก่อนจะปิดปากฉับลง คำว่าร้านสะดวกซื้อคงทำให้เธอนึกถึงใครอีกคนหนึ่งโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กสาวที่ถูกฟันคอแล้วล้มลงนอนจมกองเลือด เธอนั่งขดตัวในท่ากอดเข่า ก่อนที่เนื้อตัวจะเริ่มสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงคร่ำครวญเคล้าเสียงสะอึกสะอื้นเล็ดลอดผ่านริมฝีปากที่เม้มแน่นออกมา
ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่พอหลับตาลงแล้วภาพของคนที่พบจุดจบอย่างน่าสลดใจก็ลอยเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่หายใจก็รู้สึกเหมือนมีกลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะปลายจมูกจนรู้สึกคลื่นไส้ ผมทนนึกถึงภาพในหัวอันน่าสยดสยองแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เราลองมาทำเท่าที่ทำได้กันเถอะ ก่อนอื่นฉันจะไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาให้ ว่าแต่รุ่นพี่ล่ะ”
“รุ่นพี่คียองวอนน่ะเหรอคะ”
“อืม”
ในนี้ยังมีรุ่นพี่คนอื่นอีกหรือไงล่ะ ผมอยากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ทำได้แค่นิ่งเงียบ พอพูดถึงรุ่นพี่คนนั้น สีหน้าของชเวดาบินก็พลันมืดมนลงอย่างผิดหูผิดตาราวกับกำลังหวาดกลัวและไม่พอใจในที
“พี่เขาออกไปข้างนอกพักหนึ่งแล้วค่ะ เห็นบอกว่าจะไปสำรวจรอบๆ แล้วเดี๋ยวจะกลับมา”
“งั้นเหรอ”
“เอ่อ…พี่โฮฮยอนคะ ที่ฉันพูดก็เพราะว่าตอนนี้มีเราอยู่กันแค่สองคนนะคะ”
“อื้อ”
“รุ่นพี่คนนั้น…เขาไม่ดูแปลกๆ ไปหน่อยเหรอคะ”
เธอหลุบตาต่ำแล้วพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้ก็ครั้งหนึ่งแล้ว ที่ฉันเคยบอกว่าปกติรุ่นพี่เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนี้น่ะค่ะ ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็ดูแปลกๆ อยู่นะคะ”
“ที่ว่าแปลกนี่ยังไงเหรอ”
“เขาดูชินชามากเลยนะคะ ทั้งที่ทุกคนอยู่ในสภาพสติแตกจนจะบ้าตายกันอยู่แล้ว โดยที่ไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่รุ่นพี่กลับทำตัวเหมือนคนที่กำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว”
“ดาบิน เธอกำลังจะบอกว่าเธอสงสัยรุ่นพี่คนนั้นเหรอ”
ผมโพล่งคำถามที่อาจจะขัดใจเธอออกมา ผมฟังเองก็ยังรู้สึกว่ามันดูฉุนเฉียวเกินความจำเป็น
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้จะสื่ออย่างนั้น ถ้าเมื่อกี้ไม่มีรุ่นพี่คียองวอนอยู่ด้วยเราคงได้ตายแพ็กคู่แน่ๆ แต่ฉันก็แค่…”
เธอยักไหล่น้อยๆ โดยที่สายตายังคงก้มมองพื้นด้านล่าง
“ฉันก็แค่รู้สึกขนลุกน่ะค่ะ”
“…”
ถ้าเป็นตัวผมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้คงจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้นแบบไม่เผื่อใจ เพราะคนที่รู้สึกสงสัยในตัวรุ่นพี่มากที่สุดจนถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากผม ผมกล้าพูดอย่างมั่นใจเลยว่าคนคนนั้นน่ะทั้งบ้าทั้งเพี้ยน
แต่น่าแปลกที่ผมไม่นึกอยากคล้อยตามคำพูดของเธอ คำพูดที่เห็นด้วยกับเธอจึงลอยวนอยู่แค่ในปาก โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“อือ…อึก”
ความเงียบชวนอึดอัดที่ไหลผ่านตัวผมกับชเวดาบินไปถูกพังทลายลงทันทีเมื่อจู่ๆ ยุนจุนซอกก็ร้องครางอย่างเจ็บปวด ริมฝีปากซีดจางของเขาเผยออ้าเล็กน้อย ถึงจะเป็นคนที่ทำตัวเฮงซวยขนาดไหน แต่พอเห็นอีกฝ่ายนอนซมอยู่ในสภาพนั้นผมก็อดรู้สึกเวทนาไม่ได้
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาก่อนนะ”
ผมหยัดกายขึ้นตั้งท่าจะเดินไปที่ห้องอาบน้ำ ในขณะที่ยุนจุนซอกร้องโอดครวญพร้อมกับพลิกตัว และแล้วตอนนั้นผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง ภายใต้ชายเสื้อยืดที่ถลกขึ้นมามีรอยฟันสีแดงช้ำปรากฏชัดอยู่ตรงสีข้างของเขา เขาคงถูกกัดอย่างแรง เนื้อตรงนั้นเลยถูกครูดออกไปจนแหว่ง หากมองเพียงผิวเผินก็จะเห็นเนื้อสีแดงสดตามรอยฟันที่เป็นรูปวงกลม
ในตอนที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ ยุนจุนซอกสติหลุด เขาทรุดตัวลงกับพื้นอยู่คนเดียวในสภาพที่ชีวิตของตัวเองแขวนอยู่บนเส้นด้ายและไม่คิดจะลุกขึ้นมา บางทีเขาอาจจะได้บาดแผลมาในตอนนั้น
“อือ แค่กๆ”
เสียงแหบแห้งที่เหมือนเสียงขากเสมหะดังสลับกับเสียงร้องโอดโอย ร่างกายของเขาที่นอนหันหลังสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง หากมองผ่านๆ ก็เหมือนกับผู้ป่วยที่นอนซมด้วยพิษไข้ แต่พอพินิจมองอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าแขนขาของเขากระตุกเกร็งอย่างน่ากลัวอยู่บ่อยๆ ผมพลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที ชเวดาบินเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินั้นเลยเดินเข้ามาประชิดตัวติดผม
“พะ…พี่คะ”
ผมพยายามใช้หัวคิดอย่างรวดเร็ว จะให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันกับยุนจุนซอกแบบนี้ต่อไปเห็นทีคงจะไม่ได้แล้ว มีทางเลือกแค่ต้องไล่เขาออกไปหรือไม่เราก็ต้องเป็นฝ่ายที่ออกไปเอง
ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่ถูก ‘ไอ้ตัวพวกนั้น’ กัดตายจะกลายร่างในไม่ช้า เหมือนอย่างพัคกอนอูที่ถูกคนรักกัดทึ้งคอจนฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพน่าสยดสยอง แต่แล้วก็ได้ตายอีกเป็นครั้งที่สองด้วยน้ำมือของรุ่นพี่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ผมกับดาบินก็อาจจะมีจุดจบในสภาพแบบเดียวกัน
ยุนจุนซอกรูปร่างสูงและตัวหนักมาก คาดว่าน้ำหนักตัวคงเกินเก้าสิบกิโลกรัม ยิ่งหมดสติและตัวอ่อนปวกเปียกแบบนี้แล้ว ดูท่าคงจะต้องใช้แรงมากกว่าเดิม ต่อให้ชเวดาบินกับผมร่วมแรงกัน การที่จะแบกเขาผ่านห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากว้างๆ ออกไปข้างนอกก็นับว่าเป็นงานช้างอยู่ดี และต่อให้มันจะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ ถึงยังไงก็คงต้องใช้เวลาน่าดู แถมยังไม่มีอะไรมารับประกันว่าเขาจะไม่กลายร่างแล้วพุ่งเข้ามาขย้ำในระหว่างที่ผมกำลังแบกเขาขึ้นหลัง เพราะแบบนั้นมันจึงอันตรายเกินไป
ผมยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก นั่นคือต้องฆ่าเขาให้ตายก่อนที่เขาจะกลายร่างโดยสมบูรณ์ แต่มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า…ผมไม่กล้าทำ ถึงจะติดเชื้อไปแล้ว แต่ยุนจุนซอกก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง คนที่เจ็บปวดทรมานเพราะพิษไข้ ถ้าเป็นรุ่นพี่ก็คงเลือกที่จะฟันคอเขาอย่างไม่ลังเล แต่ผมไม่สามารถทำแบบรุ่นพี่ได้
“ดูนั่นสิคะ พี่จุนซอกเขา…”
ชเวดาบินไม่กล้าพูดต่อให้จบ ยุนจุนซอกที่ก่อนหน้านี้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดพลันแน่นิ่งไป
ร่างกายของเขาไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป เขาเพียงแค่นอนอยู่บนพื้นในท่าตะแคงขดตัว ต่อให้ไม่ต้องเข้าไปใกล้ๆ เพื่อเพ่งมองให้ชัดก็พอจะรู้ เขาหยุดหายใจไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่มีชีวิตอีกต่อไป และเขาก็คงจะกลายร่างในไม่ช้าเหมือนอย่างพัคกอนอู
ผมหันไปมองข้างหลังโดยอัตโนมัติ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มืดมิดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งและศพที่นอนตายเกลื่อนพื้นซึ่งเปรอะไปด้วยเลือดกับเศษเนื้อ ผมควรต้องเลือกทางไหน แล้วต้องทำยังไงต่อไปดี ตอนนี้ไม่มีพวกรุ่นพี่ที่ตะเบ็งเสียงใส่กันและคอยชี้นิ้วอีกแล้ว แถมยังไม่มีโอกาสเลือกอะไรครึ่งๆ กลางๆ โดยใช้การลงมติตามเสียงข้างมากมาเป็นโล่กำบังตัวเองอีกแล้วด้วย ผมจะมัวชักช้าแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
“เราจะทำยังไงกันดีคะ”
ชเวดาบินที่อยู่ในภาวะตื่นตระหนกเอ่ยถามอย่างลนลาน แต่เสียงของรุ่นพี่กลับดังกลบเสียงของเธอ
‘เลิกเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะ อยากเป็นคนดีจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเลยหรือไง ต่อให้ตัวเองกำลังจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ยนะ?’
ผมเกลียดเรื่องน่ารำคาญ ซึ่งการวิ่งพล่านหาเรื่องใส่ตัวเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ขอให้มีชีวิตรอดอยู่ให้ได้นานที่สุด นั่นคือคติประจำใจของผม วันโลกาวินาศจากซอมบี้? นักศึกษาติดอยู่ในวิทยาเขตแห่งนี้แล้วถูกฆ่าตายเป็นเบือ? เรื่องพวกนั้นมันไม่ตลกเลยสักนิด
ปกติผมไม่ได้ดูหนังหรือเล่นเกมเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย แค่ดูของพรรค์นั้นผ่านหน้าจอผมก็รู้สึกเหมือนถูกสูบพลังชีวิตแล้ว ผมเคยพูดเล่นๆ กับเพื่อนว่าถ้าซอมบี้ออกอาละวาดจริงๆ ผมจะขอติดเชื้อคนแรกแล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในหมู่เพื่อนพ้องซอมบี้ด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกลับต้องเป็นตัวละครในหนังนั้นซะเองราวกับเป็นเรื่องโกหก
“…”
ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วลูบหน้าเพื่อควบคุมหัวใจที่เต้นตุบๆ ให้สงบลง ภายในหัวที่เคยยุ่งเหยิงถึงได้นิ่งสงบลงมาก
“ไปกันเถอะ”
ชเวดาบินเงยหน้ามองผมอย่างตกใจ
“คะ?”
“เราต้องออกไปจากที่นี่ ไปรวมตัวกับรุ่นพี่กันก่อน”
“แต่ว่าข้างนอกนั่น…”
“อันตรายหรือเปล่าเราไม่มีทางรู้จนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ข้างในนี้น่ะอันตรายแน่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ”
“แต่ว่าพี่คะ…”
“ถ้าพี่จุนซอกลุกขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะสู้สุดใจเพื่อฆ่าเขาไหม เธอจะถือขวานไปจามหัวเขาแบบที่รุ่นพี่ทำได้หรือเปล่า”
ผมจับมือของชเวดาบินที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้วรีบพาเธอออกมา เธองุนงงแต่ก็ยอมเดินตามมาอย่างว่าง่าย เราเดินผ่านห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มืดมิดออกมา วินาทีนั้นผมรีบมากจนไม่คิดที่จะคลำหาสวิตช์หลอดไฟนีออนที่ติดอยู่บนผนัง
“อ๊ะ!”
พื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือด ชเวดาบินเลยผงะเซไปเบาๆ ผมจึงกระชับมือที่จับเธอให้แน่นขึ้น
“ไม่เป็นไรนะ”
“ค่ะ แค่เท้ามันลื่นน่ะค่ะ”
“ระวังหน่อย เดินตามมาดีๆ”
ผมอาศัยเงาที่เห็นตะคุ่มๆ เดินไปจนถึงทางออก ตอนนี้ขอเพียงแค่กดปุ่มดิจิตอลดอร์ล็อกที่ประตูแล้วออกไปข้างนอกให้ได้ก็พอ
“กึก…กรรร!”
เสียงแห่งลางร้ายดังมาจากทางด้านหลัง ทำเอาหัวใจผมพลันร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ดาบิน ประตู!”
“ฉันหาไม่เจอ มองไม่เห็นปุ่มเลยค่ะ!”
กรอบ…แกรก…
เสียงน่าขนลุกของข้อต่อที่ขยับไปมาดังขึ้น มันคือเสียงของคนที่หยุดหายใจนอนตัวแข็งทื่อแล้วฟื้นกลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง เหงื่อของผมแตกพลั่ก
“รอเดี๋ยว”
ผมยืนละล้าละลังแล้วฉุกคิดถึงโทรศัพท์ที่ซุกไว้ในกระเป๋า ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแล้วเปิดหน้าจอ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ผมก็ดันร้อนใจจนขยับมือมั่วซั่วไปหมด ผมอาศัยแสงไฟริบหรี่จากหน้าจอโทรศัพท์เปิดประตูอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ทั่วทั้งห้องจะสว่างจ้าขึ้นพร้อมกับภาพเบื้องหน้าที่ขาวโพลน แต่จังหวะที่กำลังจะวิ่งออกจากประตูที่เปิดกว้างนั้น จู่ๆ เงาสีดำก็พุ่งพรวดเข้ามาจากทางด้านหลัง
“อึก…!”
ผมหมุนตัวหลบไปอยู่ที่ด้านข้างของประตูอย่างรวดเร็ว ร่างกายหนักๆ จึงกระแทกกับผนังเข้าอย่างจังจนเกิดเสียงดังสนั่น ยุนจุนซอกที่วิ่งชนผนังยืนโซเซ ก่อนจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง เสียงกระดูกคอลั่นดังพร้อมกับองศาคอที่บิดเบี้ยวผิดรูป
เขาหันมาหาเราด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แบบคนตาย เส้นเลือดฝอยแตกเป็นเส้นลามไปทั่วใบหน้าขาวซีด ด้วยเมื่อครู่นี้เขายังเป็นคนที่มีชีวิตและหายใจอยู่ ร่างกายเลยยังไม่เน่าเปื่อยแบบอียูจินหรือซออินกยู แต่รูปร่างของเขาก็ดูน่าขนลุกไม่น้อยเลยทีเดียว
ยุนจุนซอกเดินโขยกเขยกเข้ามาใกล้ ผมไม่มีเวลามาสลดใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเขาจึงรีบวิ่งไปตามโถงทางเดินทันที
“พี่จะวิ่ง…แฮกๆ ไปที่ไหนคะ”
“ทิ้งระยะห่างให้ได้ก่อน เราไม่มีอาวุธ…แฮกๆ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากหนี”
ยิ่งวิ่งหนี ทั้งผมกับชเวดาบินก็ยิ่งหอบกระชั้น ผมขาดออกซิเจนจนมึนหัว ทั้งยังรู้สึกเหมือนปอดกำลังจะทะลักออกมานอกปาก ถึงจะเค้นพลังสุดแรงเกิดในภาวะคับขัน แต่เดิมทีเราสองคนก็เป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ จึงไม่แปลกที่จะเหนื่อยหอบกันขนาดนี้ ด้วยความที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาเลยไม่มีที่ให้เที่ยว ผมที่เคยออกกำลังกายหลายอย่างเพื่อฆ่าเวลาเล่นจึงอาจได้เปรียบกว่าชเวดาบินอยู่นิดหน่อย
ถึงจะบอกว่าต้องทิ้งระยะห่างให้ได้ก่อน แต่เราก็คงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างนี้ไปตลอดไม่ได้ ขืนวิ่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฝ่ายที่จะเสียเปรียบก็คงมีแต่พวกเรา เพราะทางนั้นวิ่งเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
เมื่อวิ่งมาจนสุดโถงทางเดินก็พบเจอกับบันได ผมไม่มีเวลามาลังเลอะไรอีกแล้วจึงรีบก้าวเหยียบบันไดและวิ่งลงไปชั้นล่างในทันที ในสถานการณ์ที่สมองตันอย่างหนักจนคิดอะไรไม่ออก ยุนจุนซอกก็กำลังสาวเท้าไล่ตามเรามา ผมเหลือบมองราวบันไดของชั้นล่างและชั้นถัดลงไปผ่านช่องว่างระหว่างราวบันไดที่มีรูปร่างเหมือนตัวอักษรทีกึด* ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ พอเห็นอย่างนั้นแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบเข้ามาในหัว
“เราวิ่งไปที่บันไดอีกฝั่งกันเถอะ”
“แฮกๆ”
ผมลากเธอวิ่งผ่านโถงทางเดินชั้นล่างเพื่อย้อนกลับไปทางเดิม ก่อนจะรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอที่วิ่งตามมาอย่างสุดกำลังนั้นใกล้จะหมดแรงลงทุกทีๆ
“อีกเดี๋ยว…ฉันจะ…ปล่อยมือเธอ”
“คะ?”
“แล้วเธอก็…ไปหาอะไรที่พอจะใช้ฟาดได้มา”
“นั่นมัน…หมายความว่ายังไงกันคะ”
ไม่มีเวลามาอธิบายให้เธอฟังเป็นฉากๆ อีกแล้ว ผมเหลียวไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ก่อนจะเห็นยุนจุนซอกที่อยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตรกำลังไล่ตามมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ และมีน้ำลายเหนียวข้นย้อยลงมาจากริมฝีปากที่อ้าออกกว้าง
คนที่ถูกกัดก่อนหน้านี้อาจจะเป็นผมก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนที่ไล่ตามผู้รอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ก็คงจะไม่ใช่ยุนจุนซอก แต่เป็นผม เหตุผลที่ผมรอดชีวิตมาได้ แต่ยุนจุนซอกต้องตายไปนั้นไม่ใช่ว่าผมแข็งแกร่งหรืออยู่เหนือกว่าเขา แต่เป็นเพราะผมแค่ดวงดีกว่าเขานิดหน่อยก็เท่านั้นเอง พอคิดได้อย่างนั้นผมก็รู้สึกสยองขึ้นมาทันที
พวกเราวิ่งไปจนสุดทางเดินอีกฝั่ง โถงทางเดินในหอพักทั้งฝั่งซ้ายขวานั้นสมมาตรและมีบันไดทั้งสองฝั่งเหมือนกัน ผมเห็นราวบันไดที่เหมือนกับเมื่อครู่เป๊ะๆ
“ดาบินอา ตอนนี้แหละ!”
ผมสะบัดมือของชเวดาบินที่เผ่นหนีมาด้วยกันแล้วผลักเธอออกไปจนเธอเซกระเด็นไปยังริมโถงทางเดิน ถึงแม้ว่าชเวดาบินที่วิ่งหนีมาด้วยกันจะหลุดออกไปนอกระยะสายตาแล้ว แต่ยุนจุนซอกก็ยังคงเพ่งเล็งมาที่ผมราวกับว่าเขาหมายหัวผมแค่คนเดียวมาตั้งแต่แรก
ก็นับว่าโชคดีล่ะนะ เพราะถ้าเป็นสถานการณ์ที่กลับกันล่ะก็คงจะลำบากน่าดูทีเดียว
“กรรร!”
ยุนจุนซอกพุ่งเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงคำรามน่ากลัว ผมมองดูเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยที่ยืนนิ่งไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ในใจอยากจะเผ่นแน่บไปซะเดี๋ยวนี้ แต่ผมก็ข่มร่างกายที่สั่นระริกเอาไว้แล้วรอคอยอย่างใจเย็น มันยังไม่ถึงเวลา ทนอีกหน่อย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…
ระยะทางร่นเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นฟันกับเหงือกสีแดงในปากที่อ้ากว้างของเขา ตอนนี้แหละ ผมย่อตัวลงแล้วม้วนตัวหลบไปด้านข้าง เมื่อผมเบี่ยงตัวหลบออกไปแล้ว แต่ยุนจุนซอกกลับไม่สามารถชะลอความเร็วลงได้ ร่างของเขาเลยชนกับราวบันไดเหล็กเข้าอย่างจัง
ปึง!
เสียงปึงดังกึกก้องไปทั่วโถงทางเดิน ด้วยความที่ราวบันไดนั้นสูงระดับเอวของเขา จุดศูนย์ถ่วงของร่ายกายท่อนบนจึงถ่วงออกไปด้านนอกในชั่วพริบตา ตอนนี้ยุนจุนซอกอยู่ในสภาพที่ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปนอกราวบันไดและกำลังดิ้นตะเกียกตะกายอย่างหมดหนทาง
“นี่ค่ะ!”
ชเวดาบินวิ่งรี่เข้ามา มือของเธอถือหนังสือเตรียมสอบเล่มหนาที่ไม่รู้ว่าไปหามาจากไหน ผมขอให้เธอไปหาของที่พอจะใช้ฟาดได้มาให้ ถึงหนังสือนี่จะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่สิ่งของที่คาดหวังเอาไว้ แต่ก็ถือว่าเอามาใช้ได้ไม่เลวเหมือนกัน เธอเงื้อหนังสือขึ้นแล้วฟาดไปที่หัวของยุนจุนซอกอย่างไม่ยั้งมือ
“ตาย! ไปตายซะ ไอ้เฮงซวย!”
ชเวดาบินแผดเสียงดังลั่น ผมเหลือบไปมองปกหนังสือที่เธอถืออยู่ ‘โทอิคพาร์ตฟัง เก็งแม่นในเล่มเดียว’ เลือดสีแดงฉานกระเซ็นเป็นจุดๆ ใส่ตรงคำว่า ‘เก็งแม่น’ ราวกับเป็นฉากตลกร้ายที่น่าสะอิดสะเอียนฉากหนึ่ง ผมใช้จังหวะนี้เตะตัดขายุนจุนซอกอย่างแรงจนเท้าของเขาลอยหวือขึ้นกลางอากาศ
“กรรร…”
ร่างกายเขาที่โคลงเคลงอยู่บนราวบันไดค่อยๆ โน้มทิ่มลงไปข้างล่าง ยิ่งน้ำหนักตัวมาก ความเร็วขณะตกลงไปก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามกฎแรงโน้มถ่วงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่นานนักร่างของเขาก็หายลับไปจากราวบันได
ตุบ!
เสียงทุ้มหนักดังสะท้อนก้องไปรอบทิศ ชเวดาบินที่ฟาดหนังสือลงไปอย่างบ้าคลั่งราวกับถูกอะไรเข้าสิงและผมที่เตะตัดขาเขาอย่างไม่ออมแรงต่างก็ยืนนิ่งงันไปพร้อมกัน
“…”
“…”
พวกเราไม่อาจดื่มด่ำกับความสุขของชัยชนะในครั้งนี้ได้ลง ทันทีที่ความตึงเครียดและความลุ้นระทึกหายไป ความละอายใจก็พลันแทรกซึมเข้ามาแทนที่ เมื่อครู่นี้ผมได้ทำเรื่องที่อำมหิตมากๆ ลงไป ถึงความสัมพันธ์ของเราจะย่ำแย่ แต่ผมก็ได้ผลักเพื่อนมนุษย์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันในห้องห้องหนึ่งให้ตกลงไปด้วยน้ำมือของตัวเอง ต่อให้จะแก้ตัวว่าเขาเป็นคนที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหรือเขาเป็นแค่ซากศพที่เดินได้ แต่ความจริงที่ว่าผมได้ฆ่าใครบางคนไปแล้วนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ยุนจุนซอกตกจากชั้นนี้ดิ่งลงไปจนถึงชั้นล่างสุด ร่างกายของเขาไม่น่าจะสมประกอบแล้วแน่ๆ แขนขาอาจจะหักหรือลำไส้อาจจะทะลักออกมาก็เป็นได้ แต่ยังไงซะ…
“เดี๋ยวเขาก็กลับมา”
“คะ?”
“อีกเดี๋ยวพี่จุนซอกจะกลับมา เราต้องหนี”
รุ่นพี่เคยบอกเอาไว้ว่าต้องเผาร่างจนเหลือแต่ขี้เถ้าหรือไม่ก็เด็ดหัวออกจากร่าง พวกนั้นถึงจะไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก
“ถูกต้องนะครับ ต้องหนี ฉลาดดีนี่ โฮฮยอนของฉัน”
ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากข้างหลัง แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นมาโอบรอบเอวของผมเอาไว้ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไป ในระหว่างที่การต่อสู้เพิ่งจะจบลงและทุกคนกำลังโล่งใจกันอยู่นั้น ทั้งผมและชเวดาบินต่างก็สะดุ้งโหยง
เจ้าของเสียงนั้นคือรุ่นพี่ มือข้างหนึ่งของเขาถือกล่องใบหนึ่งแทนขวานดับเพลิงที่ปกติแล้วมักจะถือติดตัวเอาไว้ตลอด จู่ๆ ผมก็นึกถึงบทสนทนาที่พูดกับชเวดาบินก่อนหน้านี้ พอแอบนินทาเขาลับหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมก็รู้สึกละอายใจที่จะมองหน้าเขาอย่างบอกไม่ถูก
รุ่นพี่ซบหน้ากับไหล่ของผมแล้วยิ้มอยู่เงียบๆ โดยไม่สนว่าผมจะตกใจหรือเปล่า
“พาฉันไปด้วยคนสิ หืม?”
* ตัวอักษรทีกึด (ㄷ) คือพยัญชนะในภาษาเกาหลี
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน
DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN