DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.1 ถึง 6.2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
และการมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 6-1
ความรู้สึกเบื่อหน่ายที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับละอองฝุ่น ผมรู้สึกเซ็งทุกลมหายใจเข้าออก
“มนุษยชาติเข้าสู่ยุคสมัยที่ไม่สามารถผลักไสเครื่องจักรได้อีกต่อไป ในทางกลับกันนั้นเราก็ได้พยายามยอมรับมันเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราอย่างกลมกลืน ตรรกะของเครื่องจักรจึงได้กลายเป็นพื้นฐานตรรกะของการดีไซน์ ผลงานที่สะท้อนถึงแนวคิดนี้ได้ดีที่สุดคือผลงานจากเบาเฮาส์* ในช่วงปี ค.ศ. 1920…”
ตัวหนังสือแน่นขนัดเรียงกันเป็นพรืดบนสไลด์ที่ฉายอยู่บนจอโปรเจ็กเตอร์ อาจารย์อ่านบทความเป็นแถวๆ นั้นด้วยเสียงที่ฟังแล้วชวนให้หลับ
ผมเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของวิทยาเขตที่เปล่าเปลี่ยวฉายชัดอยู่ในกรอบสายตา ใบไม้ที่เคยหนาแน่นในช่วงฤดูร้อนและโน้มกิ่งลงมาที่หน้าต่างชั้นบนเวลานี้กลับผลัดใบร่วงหล่นไปจนหมดต้น สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงกิ่งก้านโล้นๆ ราวกับกระดูก
ระหว่างอาคารศิลปกรรมและอาคารวิทยาศาสตร์มีโซนสูบบุหรี่จัดสรรไว้ให้อยู่ กลุ่มคนที่สูบบุหรี่มักจะมายืนแออัดกันอยู่ในพื้นที่แคบๆ นี่ซึ่งมีขนาดไม่ถึงสองสามพย็อง** แถมยังมีคอนเดนเซอร์*** ติดตั้งอยู่ที่ผนังนอกตัวอาคารทำให้พื้นที่ยิ่งแคบลงไปอีก
นักศึกษาที่เรียนในห้องบรรยายติดกับโซนสูบบุหรี่จึงไม่ชอบนั่งริมหน้าต่าง เพราะถึงจะแง้มหน้าต่างไว้เพียงแค่เล็กน้อย แต่ควันบุหรี่ก็สามารถลอยขึ้นมาเตะจมูกได้ แถมยังต้องมาอารมณ์เสียที่ต้องเห็นพวกสิงห์นักสูบพ่นควันฟุ้งตลบลอยผ่านหน้าต่างกระจกตลอดคาบเรียน แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับชอบมัน เพราะในขณะที่คนอื่นต้องวุ่นวายกับการจองที่นั่งทิ้งไว้ล่วงหน้า แต่ที่นั่งริมหน้าต่างนี่จะว่างรอผมอยู่เสมอ
ผมทอดสายตามองลงไปข้างล่างอย่างไม่ได้ใส่ใจ ชายสองสามคนยืนรวมกลุ่มสูบบุหรี่กันอยู่ พวกนั้นพูดคุยกันอย่างออกรสเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความที่หน้าต่างปิดอยู่ ผมเลยไม่ได้ยินเสียงพูดของพวกเขา หนึ่งในนั้นสวมแจ็กเก็ตเบสบอล ตัวหนังสือที่ปักอยู่บนหลังเสื้อนั้นลอยเข้ามาในตาผม มันคือคำว่า ‘ภาควิชาบริหารธุรกิจ’
ช่างเป็นทัศนียภาพที่ซ้ำซากและน่าเบื่อ ไม่นานผมก็หมดความสนใจแล้วถอนสายตากลับมา ไม่สิ…เรียกว่าผมพยายามถอนสายตาออกมามากกว่า จนกระทั่งผมเห็นนักศึกษาที่ดูโดดเด่นสะดุดตาคนหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น
เขาสวมเสื้อไหมพรมกับกางเกงสแล็กส์ที่รีดเป็นระเบียบ แสงแดดในฤดูหนาวสาดส่องลงมาบนผมที่มีสีเหมือนกาแฟผสมนมเล็กน้อยราวกับสีของตะกอน เขายืนสูบบุหรี่ในชุดบางๆ ช่วงกลางฤดูหนาวข้างนอกคงเย็นจัดจนใบหูกับปลายจมูกชาและขึ้นสีแดงระเรื่อ ท่ามกลางนักศึกษาชายคนอื่นๆ ที่สวมรองเท้ากีฬาเลอะโคลนกับเสื้อนวมกันหนาวสีดำ มีเพียงเขาที่โดดเด่นออกมาจากภาพนั้น เขาเป็นเหมือนกับลูกแก้วที่ถูกโยนลงไปบนสนามก้อนกรวด
เหมือนมีใครบางคนปล่อยมุกตลก พวกนักศึกษาชายเลยระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน เด็กคนนั้นก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย เขาไหลตามคนพวกนั้นไปอย่างเป็นกันเองและมีส่วนร่วมในบทสนทนาแต่พอดี แถมยังหยอกล้อกับกลุ่มคนพวกนั้นด้วยการตบต้นแขนกับหลังของไอ้คนข้างๆ ด้วย
ผมรู้จักคนประเภทนั้น คนที่ทำตัวดีกับผู้คนที่พบเจอกันเป็นครั้งแรก คนที่หัวเราะแหะๆ และรู้จักวิธีที่จะเอาใจคนที่อยู่เหนือกว่า และวันๆ ก็มัววุ่นอยู่กับกิจกรรมในสาขา โปรเจ็กต์งานของทีม หรือชมรมอะไรเทือกนั้น
นั่นก็เป็นนิสัยที่ห่างไกลจากความเป็นผม และมันก็ดูขัดกับสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ เพราะแบบนั้นผมเลยอคติกับวิชาเอกอย่างภาควิชาบริหารธุรกิจ แน่นอนว่าทางนั้นเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน มีทั้งพวกที่ไม่ชอบขี้หน้าหรือตั้งแง่เป็นศัตรูทันทีที่เห็นผม แล้วก็พวกที่พยายามชวนผมคุยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ในทันที
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคนพวกนั้นมากนัก ถึงเวลานี้พวกเราอาจจะถูกมัดรวมกันอยู่ในกรอบที่ชื่อว่า ‘มหาวิทยาลัย’ แต่หลังจากเรียนจบแล้วก็จะกระจัดกระจายแยกจากกันไปในไม่ช้า สุดท้ายทุกคนต่างก็ต้องแยกกันไปใช้ชีวิตโดยไม่มีเรื่องที่จะต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกันอีกตลอดชีวิต
“…ในแง่นี้อาจกล่าวได้ว่าสุนทรียศาสตร์เชิงกลนั้นแตกต่างจากศิลปะบริสุทธิ์แบบดั้งเดิมอย่างมีนัย”
ผมเท้าคางมองไปข้างนอก ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง ในหน้าหนังสือที่กางออกตอนนี้มีเพียงแค่ภาพสเก็ตช์ของบุคคลนิรนามเป็นลายเส้นแทนลายมือที่ผมควรจะจดเลกเชอร์ลงไป การบรรยายเพิ่งจะผ่านไปได้ครึ่งคลาส น่าเบื่อชะมัดเลย
เสียงที่ระคายหูดังขึ้น ดูเหมือนว่ารูมเมตผมจะกลับมาถึงห้องแล้ว ผมปวดหัวตุบๆ เลยพลิกตัวหนีอย่างหงุดหงิด
เมื่อคืนก่อนผมถูกพวกคนคุ้นหน้าลากไปดื่มเหล้าจนดึกดื่นในย่านเริงรมย์ที่อยู่ห่างไกลจากมหาวิทยาลัย โดยอ้างว่าเป็นปาร์ตี้วันเกิดของผมกับปาร์ตี้ที่เรียนเป็นวันสุดท้ายก่อนปิดเทอม แต่ความจริงแล้วพวกมันก็แค่อยากจะหาเรื่องเมากันเท่านั้น พวกมันกระดกเหล้าหมดแก้วแล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพากันพูดคุยเรื่องใต้สะดือพลางเหล่มองผู้หญิงรอบๆ ผมที่เหม็นเบื่อไอ้พวกนี้เลยได้แต่ซุกตัวอยู่ที่โซฟาราคาถูกแล้วนอนแผ่อยู่ตรงนั้น พวกที่รู้จักนิสัยขี้โมโหของผมดีเลยไม่ได้บังคับให้ผมเล่นเกมสัปดนของพวกมันด้วย
ควันบุหรี่ฟุ้งกระจายเป็นม่านหมอกใต้แสงไฟที่ชวนให้เวียนหัว ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม รุ่นพี่ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใครเป็นคนจ่ายค่าเหล้าให้ เราติดรถยนต์ส่วนตัวของรุ่นพี่คนนั้นกลับมาถึงหอพักที่อยู่เชิงเขา กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ช่วงรุ่งสางพอดี
เสียงครืดคราดบางอย่างดังขึ้นไม่หยุด คลานเป็นหมากลับมาตอนตะวันโด่งแบบนี้แล้วก็น่าจะต้องหลับเป็นตายอยู่ไม่ใช่หรือไง ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านขึ้นมา ผมจึงลืมตาแล้วเด้งตัวลุกขึ้น
“แม่งเอ๊ย ยังไม่เงียบอีก”
รูมเมตกำลังนอนอยู่บนเตียงในท่าที่หันหลังให้ผม ทว่ามีบางอย่างที่แปลกไป ผมได้ยินเสียงหายใจกระหืดกระหอบดังออกมา
“เฮ้ย”
ผมลองเอ่ยเรียกเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา นอกจากการที่ร่างกายของเขากระตุกนิดๆ
“เป็นไร ป่วยเหรอ”
“…”
เขายังคงนิ่งเงียบไม่โต้ตอบดังเดิม สติของผมคืนกลับมาอีกหน่อยแล้ว ผมจึงเสยผมขึ้นอย่างรำคาญแล้วใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ ถึงผมจะไม่ได้มีน้ำใจถึงขั้นที่จะช่วยเฝ้าไข้เพื่อนอย่างเอาใจใส่ แต่อย่างน้อยผมก็พอจะมีน้ำใจไปซื้อยาที่ร้านสะดวกซื้อมาหย่อนไว้ให้ ไหนๆ ผมเองก็ตั้งใจจะไปซื้ออะไรมาดื่มอยู่แล้วด้วย เลยถือว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย
“ยาแก้หวัด? ยาแก้ปวด? จะให้ซื้ออะไร นายป่วยเป็นอะไร”
เตียงฝั่งตรงข้ามยังคงเงียบไร้ซึ่งการตอบรับ ไม่มีสติแม้แต่จะตอบเลยหรือไง นี่ผมคงไม่ต้องถึงขั้นโทรเรียกรถพยาบาลมาหรอกนะ? ผมเริ่มจริงจังขึ้นมาหน่อยๆ
“ถ้าไม่ตอบ ฉันซื้ออะไรมาก็…”
ในขณะที่กำลังรูดซิปเสื้อตัวนอกลงแล้วหันกลับไปมอง สิ่งที่พุ่งเข้ามาในสายตาของผมคือภาพของรูมเมตที่อ้าปากกว้างในท่าทางประหลาดๆ และกำลังกระโจนเข้ามาหาผม
ก่อนที่จะทันได้คิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ผมก็เอี้ยวตัวหลบโดยอัตโนมัติ ขาของผมกระแทกกับขอบเตียงอย่างแรง แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บ เขาจ้องผมด้วยแววตาที่มีเลือดคั่งแปลกๆ เส้นเลือดสีน้ำเงินบนแก้มสีขาวซีดนั้นปูดนูนออกมาราวกับใยแมงมุม
“นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นงี้ล่ะ”
ผมพูดได้เพียงเท่านั้นก็จำต้องหยุดกลางคันเมื่ออีกฝ่ายพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง เขาขยับแขนขาที่แข็งทื่อแล้วเข้าจู่โจมผมอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับเสียงครืดคราดในกล่องเสียงที่ฟังดูน่าขนลุก
“ตั้งสติหน่อยสิวะ ทำบ้าอะไรวะเนี่ย!”
เมื่อสังหรณ์ใจว่าเราคงจะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมจึงตัดสินใจหมุนตัวไปเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปที่โถงทางเดินก่อนจะถูกเขาตะครุบตัวไว้ได้ทัน ผมโถมน้ำหนักตัวเพื่อปิดประตูดังปัง แต่ประตูกลับปิดลงไม่สนิท เพราะมีมือของอีกฝ่ายขัดอยู่ระหว่างช่องว่างของประตู ทั้งที่ได้รับแผลฉกรรจ์ขนาดที่เนื้อขาดวิ่น แต่เลือดกลับไม่ไหลออกมา เนื้อที่โผล่ออกมาเป็นสีแดงเข้มจนเกือบดำดูน่าประหลาด
เขาข่วนวงกบประตูและพยายามออกแรงเพื่อที่จะออกมาหาผม มือ ต้นแขน และข้อศอกค่อยๆ ยื่นออกมาทีละส่วน ผมตัดสินใจปล่อยมือจากบานประตูแล้วผงะถอยหลังออกมา ในที่สุดเขาก็ออกมาที่โถงทางเดินจนได้ เขาจ้องมองผมด้วยแววตาเลื่อนลอยราวกับซากศพของสัตว์ที่ถูกสตัฟฟ์เอาไว้
“คึ่ก คึ่ก อึก…”
คอของเขาหักลงมาในองศาที่ผิดปกติจนผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“กรรร!”
รูมเมต ไม่สิ…ไอ้ตัวที่เคยเป็นรูมเมตของผมร้องเสียงประหลาดอย่างหิวกระหาย สัญชาตญาณของผมร้องเตือนถึงภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ผมวิ่งลงบันไดทั้งที่สติหลุดไปแล้วกว่าครึ่ง โดยที่มีอีกฝ่ายวิ่งตุปัดตุเป๋ไล่ตามมา เสียงกึ่งวิ่งกึ่งลากฝ่าเท้าดังตามหลังผมมาติดๆ
ผมเห็นคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่โถงทางเดินชั้นล่างเลยรีบวิ่งไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ผู้คนที่มองมาทางผมและไอ้ตัวที่กำลังวิ่งไล่กวดผมมาต่างก็กรีดร้องอย่างตกใจกลัว
“อ๊าก!”
เขาเสียสติไปแล้ว ผมเผ้าเขายุ่งเหยิง ตามตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แถมยังมีเลือดกระเซ็นไปติดที่เสื้อผ้าเป็นจุดๆ
“อะ…ไอ้ตัวที่อยู่โรงอาหาร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้…อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา!”
เขาพูดด้วยถ้อยคำที่ผมไม่เข้าใจพลางถอยหลังกรูดไปไกล จากนั้นก็หันหลังให้ผมแล้ววิ่งหนีเข้าไปในห้องและปิดประตูเสียงดังโครมทันที ผมยืนเหม่ออยู่กลางโถงทางเดิน ทันใดนั้นก็มีเสียงพุ่งผ่านอากาศดังขึ้นใกล้ตัว ผมพลันเอี้ยวตัวหลบอย่างรวดเร็วจนเกือบจะล้มลงไป
มันเข้ามาใกล้จากข้างหลังโดยที่ผมไม่ทันได้รู้สึกตัว นิ้วมือที่เลอะไปด้วยเลือดตวัดผ่านตรงตำแหน่งที่เคยเป็นหัวของผม ถ้าช้ากว่านี้อีกแค่นิดเดียว ผมคงได้ถูกคว้าเข้าที่ต้นคอแน่ๆ
“แฮกๆ ฮึบ”
ผมฝืนร่างกายที่ซวนเซให้ยืนขึ้นตรง ก่อนจะออกตัววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อทิ้งระยะห่าง
“โทษนะครับ! มีใครอยู่ไหมครับ!”
ผมตะโกนดังลั่นขณะวิ่งผ่านโถงทางเดิน แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา ผมเลยไล่หมุนลูกบิดประตูห้องที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยที่ในหัวคิดว่าจะต้องเข้าไปในห้องไหนสักห้องให้ได้แล้วซ่อนตัวก่อน แต่ประตูกลับถูกล็อกอย่างแน่นหนา ผมหมุนลูกบิดประตูบานถัดไปและบานถัดไปอีก แต่ก็ไม่มีบานไหนเปิดออกเลยสักบาน ระหว่างนั้นตัวประหลาดก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเหงื่อที่ผุดซึมขึ้นมาเต็มฝ่ามือ
“โทษนะครับ!”
แกร๊ก…เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นจากห้องข้างๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ในห้องนั้น ผมรู้สึกราวกับว่าเสียงนั้นคือเสียงของเชือกป่านจากสวรรค์ที่หย่อนลงมาช่วยชีวิต ผมปรี่เข้าไปจับลูกบิดประตูอย่างรีบร้อนพลางรู้สึกขอบคุณคนที่ไม่รู้จักทั้งชื่อและหน้าตาอย่างสุดซึ้ง ทว่า…บานประตูนั้นกลับไม่ขยับ
“…”
ผมที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์พยายามหมุนลูกบิดอีกสองสามครั้ง แต่ลูกบิดประตูยังคงถูกล็อกไว้ในตำแหน่งเดิม และแล้วผมก็เพิ่งจะมาตระหนักได้เอาทีหลัง คนที่อยู่ภายในห้องนั้นไม่ได้ปลดล็อกประตูให้ผม เสียงเมื่อครู่นั่นคือเสียงกดล็อกประตูต่างหาก คงเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าตัวเองจะต้องมาเสี่ยงอันตรายไปด้วยหากเปิดประตูออก เมื่อตระหนักได้ดังนั้น ร่างกายผมก็พลันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
“คึ่ก…คึ่ก”
ใครบางคนปรากฏตัวที่บันไดอีกฝั่งของโถงทางเดิน แขนขาและปากถูกกัดจนแหว่งวิ่นอย่างน่าสยดสยองโดยเหลือเพียงแค่รอยฟันทิ้งไว้ บาดแผลทั้งสองแห่งนั้นมีของเหลวปนกับเลือดไหลลงมาเป็นทาง มันคือตัวประหลาดอีกตัว ผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกตัวอัปลักษณ์ที่น่าขนหัวลุกราวกับฝันร้ายกำลังเพ่งมองมาที่ผมพร้อมกับเดินต้อนเข้ามาจากทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ไม่มีทางไหนให้หนีได้เลย
“ขอร้อง…เฮือก โธ่เว้ย ขอร้องล่ะ ใครก็ได้”
ผมโซเซถอยไปพิงประตูอีกบานพลางหายใจหอบแรงจนเจ็บปอดราวกับว่ามันจะระเบิด ผมหลับตาลงแน่น แล้วทันใดนั้นประตูที่ผมพิงหลังอยู่ก็เปิดผลัวะออก มือของใครบางคนคว้าผมหมับแล้วลากเข้าไปในห้องโดยที่ผมยังไม่ทันจะได้ทำอะไร
ปัง!
ทันทีที่ผมเข้าไปได้ บานประตูก็ปิดกลับลงดังเดิม
“…”
“…”
ผมหอบหายใจถี่ขณะจ้องมองคนตรงหน้า ซึ่งคนตรงหน้าที่อยู่ในห้องก็กำลังจ้องมองผมเหมือนกัน เราสบสายตากันโดยมีอากาศคั่นกลาง
เขาเป็นคนดึงผมเข้ามาแท้ๆ แต่กลับทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป คงเป็นเพราะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ร่างกายเลยขยับไปเองโดยอัตโนมัติ รูม่านตาสีเฮเซลนัทสว่างใสหดเล็กลงด้วยอาการตกตะลึงและงุนงง ผมจำได้ทันทีว่าเขาคือเด็กคนนั้น
ไม่ทันไรสายตาที่ประสานกันก็ดูสับสน ก่อนที่เสียงดังสนั่นจะดังลั่นขึ้นจากด้านนอก มีบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามากระแทกประตูสุดแรง เวลาที่หยุดนิ่งไปเมื่อครู่พลันกลับมาเดินต่ออีกครั้ง
“คุณเป็นใครเหรอครับ แล้วข้างนอกนั่น…ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นแบบนั้น”
เขาถามด้วยใบหน้างุนงง ดูท่าเด็กนี่คงจะช่วยชีวิตผมไว้ตามสัญชาตญาณจริงๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าข้างนอกมีใครอยู่แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ผมได้แต่ส่ายหน้าเพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงได้กลายเป็นแบบนั้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ประตูเริ่มทานแรงกระแทกที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงไม่ไหว ตัวล็อกเริ่มหลวมขึ้น บานประตูที่ทำจากแผ่นไม้อัดนี่ก็เก่าจนเกินเยียวยา เขาที่ยืนทำตัวไม่ถูกเริ่มขยับตัว ตู้เสื้อผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ สองตู้ตั้งอยู่แต่ละฝั่งในห้องพักสำหรับสองคน เขาพยายามออกแรงเพื่อเคลื่อนย้ายมัน
“ช่วยหน่อยครับ”
เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากผม คงเป็นเพราะใช้แรงคนเดียวผลักตู้นี่ไม่ไหว ผมจึงเดินเข้าไปจับอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนที่เราสองคนจะร่วมแรงกันดันตู้เสื้อผ้าไปขวางประตูทางเข้าแคบๆ นั้นอย่างทุลักทุเล ผมกลั้นหายใจระหว่างประคองไม่ให้ตู้เสื้อผ้านั้นโงนเงนจนล้มลงมา
พวกตัวที่อยู่ข้างนอกยังคงอาละวาดอย่างไม่ลดละ มันทุบประตูแรงๆ และใช้เล็บข่วนตะกุยเสียงดังครืดคราดจนผมรู้สึกเสียวไส้ ผมอยากปิดหูตัวเอง แต่มือไม่ว่างเพราะต้องคอยประคองตู้เสื้อผ้าอยู่
ช่วงเวลาที่เหมือนกับนรกผ่านพ้นไป พวกมันคงเลิกสนใจแล้วก็เลยล่าถอยไปจากบานประตู ในที่สุดเสียงเดินลากเท้าก็เงียบหายไปจากโถงทางเดินฟากตรงข้าม หลังจากนั้นเราต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมากันอยู่พักใหญ่ เพราะกลัวว่าพอส่งเสียงแล้วพวกมันจะกลับมาอีกรอบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ระบายออกมาไม่เป็นจังหวะเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ข้างหู
“เฮือก…ฮ่า…ฮ่า”
หลังจากแน่ใจว่าเสียงของพวกมันหายไปแล้ว เขาถึงได้ปล่อยมือที่ดันตู้เสื้อผ้าอยู่ออกแล้วไถลตัวทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น ผมเองก็หมดเรี่ยวแรงไม่ต่างกัน ผมยืนพิงตู้เสื้อผ้าอย่างลำบากโดยใช้มือค้ำยันหัวเข่าที่สั่นระริก
“ทำไมคนพวกนั้นถึงได้กลายเป็นแบบนั้นเหรอครับ พวกเขาดูไม่ปกติเลยสักนิด”
“ไม่รู้ครับ”
“งั้นเราต้องแจ้งตำรวจกันก่อนหรือเปล่าครับ รอเดี๋ยวนะครับ”
เขาผุดลุกขึ้นแล้วรีบรุดวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ ผมปรายตามองไปทางที่เขาวิ่งไปอย่างไม่รู้ตัว ส่วนอื่นๆ ในห้องดูสะอาดสะอ้านดี เว้นแต่โต๊ะหนังสือที่รกราวกับมีระเบิดลง เขาคงกำลังอ่านหนังสือสอบอยู่สินะ
หนังสือเรียนวิชาเอกเล่มหนาๆ วางซ้อนทับกันเป็นตั้ง สมุดที่กางออกอัดแน่นไปด้วยลายมือที่ยึกยือเหมือนกับไส้เดือนเลื้อย ข้างกันนั้นเป็นพวกกระป๋องกาแฟและกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลังเปล่าๆ สุมรวมกันกองโต และสิ่งที่เตะตาผมเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือที่อุดหูสองอันที่ถูกถอดแล้วโยนทิ้งไว้ส่งๆ
“สวัสดีครับ สถานีตำรวจใช่ไหมครับ ผมโทรจากหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยแพกอิลนะครับ…”
เขาค้นเจอโทรศัพท์แล้วต่อสายหาเบอร์โทรศัพท์หมายเลข 112 ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันหายจากอาการช็อก แต่เขากลับกลับมาทำตัวเป็นปกติได้เร็วมาก ซึ่งมันก็คงจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ก็เขาไม่ได้เป็นคนที่เห็นรูปร่างของตัวประหลาดนั่นโดยตรงนี่ เขาเลยเข้าใจว่าไอ้ตัวพวกนั้นคือคนบ้าที่ไล่ตามผมมาแล้วก่อความวุ่นวายขึ้นก็เท่านั้น
“ว่าไงนะครับ โทรแกล้ง? ไม่ใช่นะครับ ฝ่ายที่กำลังแกล้งกันอยู่ไม่ใช่ฝ่ายคุณเหรอครับ สถานการณ์อย่างนี้ผมจะโทรมาแกล้งเพื่ออะไร เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งวางสายนะ…รอเดี๋ยวครับ!”
เขาเผลอตวาดเสียงดังใส่ปลายสาย ใบหน้าแดงก่ำเริ่มง้ำงอ ไอ้เราก็นึกว่าจะเก่งแต่หัวเราะแหะๆ ไปเรื่อยซะอีก แสดงสีหน้าแบบนี้ก็เป็นด้วยนี่นา ผมคิดขึ้นมาแบบนั้นระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เขาบอกว่าพวกนักศึกษาในหอพักชอบโทรมาป่วน เพราะงั้นเลยห้ามไม่ให้โทรไปอีกน่ะครับ ทำงานแบบไหนถึงได้ทำอย่างนี้กันนะ เพราะแบบนี้ไงถึงได้เห็นคนที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมอย่างไม่เป็นธรรมออกมาประจานกันบ่อยๆ ตำรวจดีๆ คนอื่นเลยพลอยโดนด่าไปด้วย”
เขาบ่นอุบอิบทำนองว่าจะร้องเรียนไปที่เว็บไซต์ชินมุนโก* ก่อนจะลองต่อสายไปอีกครั้งพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิด
“ครับ มหาวิทยาลัยแพกอิลครับ พวกคนแปลกๆ ใช่ครับ พวกเขาแหกปากร้องแล้วก็วิ่งพุ่งเข้ามา ครับ? ไม่ครับ ที่นี่คือหอพักครับ ไม่ใช่แล็บทดลอง…คุณครับ คุณครับ?”
เขาชูโทรศัพท์ให้ผมดูข้อความที่แจ้งว่า ‘การสนทนาสิ้นสุดลงแล้ว’ ซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“ทางนั้นบอกว่ามีสายโทรเข้าเยอะเกินไปเลยเกิดความขัดข้องชั่วคราวแล้วก็ตัดสายไปเลยครับ”
“เพราะคนอื่นๆ เขาก็กระหน่ำโทรไปแจ้งเหมือนกันหรือเปล่า”
“ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
เขาปิดหน้าจอ ก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ผมถอนหายใจพรืดออกมาเมื่อเห็นตู้เสื้อผ้าที่ยังขวางทางเข้าอยู่
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมทำงานเสร็จแล้วกำลังจะนอนอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงปึงปังขึ้นมาเลยวิ่งออกไปดู…ผมว่าก่อนอื่นเราต้องไปบอกอาจารย์ผู้ดูแลหอพักก่อนนะครับ”
ผมได้แต่เหม่อมองเขานิ่ง เขาที่รับรู้ได้ถึงสายตาของผมหัวเราะแหะๆ ตามความเคยชิน เขายิ้มตาหยีจนตำหนิที่อยู่ใต้ขอบตาซ้ายเด่นขึ้นมา สถานการณ์แบบนี้ก็ยังจะอุตส่าห์ปั้นยิ้มได้อีกนะ คนแบบนี้นี่มันน่ารำคาญชะมัดเลยแฮะ
“อ้อ ผมชื่อชองโฮฮยอน ภาควิชาบริหารธุรกิจ รหัสนักศึกษา XXXXX ครับ”
หมอนี่เป็นรุ่นน้องจริงๆ ด้วยแฮะ ถ้างั้นอายุก็คงน้อยกว่าด้วยสินะ? ดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ดูจากแก้มที่ถ้าหากจิ้มแรงๆ แล้วน่าจะมีน้ำผลไม้สดไหลออกมา ไหนจะขนอ่อนๆ ที่ยังคงไม่หายไปจากใบหูและแก้ม ถ้าเกิดเขาบอกว่าแก่กว่าผมขึ้นมาล่ะก็ ผมคงช็อกน่าดู
“งั้นผมต้องเรียกคุณว่า ‘คุณรุ่นน้องชองโฮฮยอน’ สินะครับ?”
“คุณเป็นรุ่นพี่นี่เอง พูดแบบสบายๆ เถอะครับ”
“อืม โอเค”
ผมตอบกลับทันควันไปอย่างไม่นึกเกรงใจ สีหน้าของเขาดูฉงนไปพริบตาหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“รุ่นพี่ชื่ออะไรเหรอครับ”
“ฉัน?”
ผมมองเด็กนี่เงียบๆ ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย
“ฉันยองวอน คียองวอน”
ทันทีที่ออกจากห้อง ผมก็รู้สึกได้ถึงสัญญาณของความโกลาหลที่ดังแว่วมาแต่ไกล เสียงตะโกนลั่นกับเสียงวิ่งขึ้นบันไดดังปะปนกันยุ่งเหยิงและก้องกังวานไปทั่ว
“ฮึก เฮือก อ๊ากกก!”
ผู้คนกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีมาอย่างเอาเป็นเอาตาย คนที่หายใจหอบหนักจนใบหน้าแดงก่ำโบกมือรัวเร็ว
“หลบไป!”
ปั้ก!
เขาวิ่งชนไหล่ผมอย่างแรงจนร่างกายท่อนบนของผมซวนเซ แล้วก็วิ่งผ่านไปทั้งอย่างนั้น
“อา…แม่งเอ๊ย”
ผมจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความโมโห แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาโมโหอะไรแล้ว บางอย่างปรากฏตัวขึ้นตรงฝั่งที่ผู้คนเมื่อครู่วิ่งผ่านไป พวกมันคือพวกตัวประหลาดที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ และคราวนี้ก็ไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองตัว พวกที่ลูกตาแหลกเละ คอพับ และแขนขาหักต่างพากันวิ่งโซซัดโซเซเข้ามา
“รุ่นพี่ครับ อะ…ไอ้นั่นมันตัวอะไร”
ใบหน้าของชองโฮฮยอนซีดเผือด เขาเพิ่งจะเคยเห็นฉากน่าสยดสยองแบบนั้นเป็นครั้งแรก ก็ไม่แปลกหรอกที่จะตกตะลึงขนาดนั้น พวกตัวประหลาดใกล้เข้ามาทุกทีๆ จนได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่พวกมันเปล่งออกมาอย่างชัดเจน
“ไปกันเถอะครับ เร็วสิครับ”
เขาเอ่ยเร่งเร้า ผมหันหลังกลับไปแทนคำตอบ ก่อนที่เราจะรีบเร่งฝีเท้าวิ่งตามหลังพวกที่นำหน้าไปก่อน ผมกับชองโฮฮยอนถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มคนที่หนีตาย เราต่างตาลีตาเหลือกสับเท้าก้าวลงบันไดกันจนแทบจะเรียกได้ว่ากลิ้ง
ไอ้พวกที่ไล่ตามหลังมาดูไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด ถึงเรี่ยวแรงดีให้ตายยังไง แต่ถ้าเกิดโดนวิ่งไล่ล่าไปจนสุดโถงทางเดินแล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องมีเหนื่อยมีหอบกันบ้าง นอกจากเสียงน่าขนลุกที่ไม่รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องหรือเสียงร้องโหยหวนนั่นแล้ว พวกมันก็ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาอีกแม้แต่เสียงลมหายใจ คิดได้ดังนั้นผมก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เราลงไปชั้นล่างแล้ววิ่งตัดผ่านโถงทางเดิน ก่อนจะพบเข้ากับกระเป๋าเดินทางที่ใครบางคนทิ้งไว้นอนคว่ำอยู่ตรงกลางโถงทางเดิน ข้าวของที่เคยอยู่ข้างในนั้นกระจัดกระจายไปทั่ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้มันก็เป็นได้แค่ของที่เกะกะขวางทางเท่านั้น
หนึ่งในคนที่วิ่งนำหน้าผลักกระเป๋าเดินทางออกไปเพื่อเปิดทาง ชองโฮฮยอนใช้เท้ารับมันแล้วเตะไปข้างหลังสุดแรง หนึ่งในตัวที่วิ่งตามมาสะดุดมันจนซวนเซเสียหลักล้ม
“นั่นพวกคุณจะไปไหนกันน่ะ”
“ออกไปข้างนอกน่ะสิครับ!”
“จะออกไปได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ชั้นหนึ่งสภาพเป็นยังไง”
“ถ้างั้นจะให้ทำยังไงเล่า!”
เสียงตะโกนโต้ตอบกันไปมาอย่างดุเดือด และในระหว่างที่ผมกำลังจดจ่ออยู่กับบทสนทนานั้น ใครคนหนึ่งก็สะดุดเท้าตัวเองล้ม
ตึง!
คนอื่นๆ พากันสะดุ้งโหยง แต่ทุกคนกำลังสับขาวิ่งกันอยู่เลยหยุดแล้วหันกลับไปมองไม่ได้
“อ๊ากกก!”
คนที่ล้มกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น สายตาของผู้ไล่ล่าต่างเพ่งมองเขากันเป็นตาเดียว ภาพที่ลูกตาซึ่งเหมือนไข่เน่าหลายดวงหันไปยังจุดหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกันนั้นชวนให้ขนลุกไปทั่วทั้งตัว พวกนั้นพุ่งเข้าไปหาคนที่ล้มทรุดอยู่กับพื้นราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ เราฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไป โดยไม่มีเวลาแม้แต่จะหันกลับไปมอง เพราะอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนคนนั้นบ้าง
“อะไรน่ะ…นี่บ้าไปแล้วหรือไง”
ใครบางคนพึมพำพลางหอบแฮกๆ คล้ายกับใกล้จะหมดลม ถึงจะไม่มีใครหันไปตอบเขา แต่ทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกัน พวกเรารีบเร่งฝีเท้าวิ่งกรูเข้าไปในห้องซักรีด นี่เป็นทางเลือกที่คงจะดีกว่าการไล่เปิดประตูทุกบานโดยไม่รู้ว่ามีบานไหนล็อกอยู่บ้าง
เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญหลายเครื่องตั้งเรียงชิดติดผนัง ข้างในเครื่องซักผ้าที่เปิดฝาแง้มๆ ไว้มีเสื้อผ้าเปียกกองทับถมและพันกันยุ่ง ใครบางคนที่ผมไม่รู้จักชื่อคงรีบวิ่งหนีไประหว่างที่กำลังซักผ้า
เสียงประตูปิดกระแทกดังขึ้นตามหลัง ใครคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบไปยกเก้าอี้สำหรับนั่งรอเครื่องซักผ้ามาวางซ้อนกันปิดทับหน้าประตูจนเสร็จก่อนจะพักหายใจ ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรออกมา แต่ละคนต่างก็หายใจหอบกันถ้วนหน้าพลางกระจัดกระจายกันไปนั่งอยู่ตามผนังและพื้น
“ผมได้ยินว่ามีคนตายที่ชั้นหนึ่งของหอพักน่ะครับ ตอนนี้แชตกลุ่มกับคอมมูนิตี้ของมหาวิทยาลัยเองก็วุ่นวายไปหมด”
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกเหรอ ฉันนึกว่ามันจะเป็นแค่เรื่องเล่าตลกๆ ซะอีก นี่มันจริงเหรอเนี่ย”
“เรื่องจริงครับ เห็นว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ตอนนี้ด้วยนะครับ”
“บ้าน่า นี่มันบ้าชัดๆ ไอ้เวรเมื่อกี้นี้คงเป็นคนร้ายอย่างนั้นสินะ?”
“ไม่รู้ครับ”
“จะบอกว่านี่คือคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแบบแรนดอมที่เกิดขึ้นเพราะตัวฆาตกรทนเครียดเรื่องเรียนไม่ไหวอย่างนั้นน่ะเหรอ แล้วทำไมพวกตำรวจถึงยังไม่มากัน ถึงจะอยู่ในหุบเขายังไง แต่ถ้ามีคดีแบบนี้ก็ต้องรีบระดมพลมาที่เกิดเหตุทันทีไม่ใช่เหรอ! เพราะตำรวจเป็นแบบนี้ไง พวกฆาตกรมันถึงได้ไล่ฆ่าทุกคน!”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ! ถ้ารู้แล้วผมจะมาอยู่ตรงนี้กับคุณเหรอ”
“ฉันถามในเรื่องที่ควรถามไม่ได้งั้นสิ? เพราะอึดอัดก็เลยถามไง! ทำไมแม่งน่ารำคาญจังวะ หงุดหงิดชะมัด”
“โอ๊ย เงียบกันหน่อยเถอะครับ! ผมปวดหัวไปหมดแล้ว”
พออันตรายตรงหน้าหายไป แต่ละคนก็เริ่มทะเลาะกันเอง ในระหว่างที่ทุกคนกำลังอารมณ์แปรปรวนเต็มที่ บทสนทนาก็เลยยิ่งทำให้ประสาทเสียหนักขึ้นไปอีก ผมขมวดคิ้วอย่างลืมตัว
“อือ ฮึก อ๊ะๆๆ เจ็บ”
คนที่นั่งอยู่ข้างผมส่งเสียงครางเบาๆ เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กร่างท้วมที่กำลังนั่งขดตัวกุมเข่าของตัวเองด้วยใบหน้าเหยเก โดยมีเลือดไหลซิบออกมาจากข้อเท้าที่เห็นแวบๆ ใต้ขากางเกง หมอนี่ล้มแล้วตัวดันไปครูดกับที่ไหนสักแห่งหรือเปล่านะ
เด็กคนนั้นค้นกระเป๋าสะพายข้างที่สะพายอยู่แล้วหยิบพลาสเตอร์แบบใช้แล้วทิ้งออกมา พอรู้สึกถึงสายตาของผม เขาก็พลันห่อไหล่สะดุ้งโหยง เขาแสดงปฏิกิริยาราวกับคิดว่าผมจะขู่ให้เอาพลาสเตอร์มา
“คุณครับ เอ่อ…คือว่า…อยากได้สักแผ่นไหมครับ”
เขายื่นแผ่นพลาสเตอร์มาให้ผม ผมสงสัยว่าทำไมเขาต้องเอาไอ้นี่มาให้ผมด้วย แต่แล้วผมก็เพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาทีหลังว่าตัวเองมีรอยข่วนเล็กๆ ที่หลังมือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปได้มันมาตอนไหน คงจะถูกขอบตู้เสื้อผ้าข่วนเอาระหว่างขยับตู้ล่ะมั้ง ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธของที่คนอื่นมอบให้เลยรับพลาสเตอร์มาติดที่หลังมือ เขาทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
“ช่วยดูแผลให้ผมหน่อยได้ไหมครับ พอดีติดเองมันลำบากน่ะครับ”
เขาถกขากางเกงขึ้นให้ผมดูที่ข้อเท้า บนนั้นมีบาดแผลอยู่เหนือเอ็นร้อยหวายที่ไม่รู้ว่าถูกอะไรบาดหรือแทงมา แต่มันดูเหมือนกับรอยฟันที่ถูกตัวอะไรบางอย่างกัดเข้าเสียมากกว่า
พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ความหงุดหงิดก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา ลำพังแค่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นยังไง และต้องติดอยู่ในห้องซักรีดนี่ก็เป็นอะไรที่บัดซบมากพออยู่แล้ว แต่การที่ไอ้เด็กกากนี่นั่งซึมแถมยังยื่นแผลน่าขยะแขยงมาให้ดูแม่งก็บัดซบไม่ต่างกัน
“ไม่”
“ครับ?”
“บอกว่าไม่ไง มีเหตุผลอะไร ทำไมฉันต้องทำด้วย”
คนอื่นที่ตั้งใจฟังบทสนทนาของเราเงียบๆ พากันนิ่งค้างตัวแข็งทื่อ บรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาในชั่วพริบตาราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่ ตอนนี้ผมหัวเสียหนักกว่าเดิม แถมยังปวดหัวตุบๆ เพราะอาการเมาค้างที่ยังคงหลงเหลืออยู่
“คะ…แค่นั้นน่าจะทำให้ได้ไม่ใช่เหรอครับ ทีผมยังให้พลาสเตอร์คุณเลย”
“ทำไงได้ล่ะ นายเป็นคนให้ฉันเองนี่”
“ไม่สิ นั่นมัน…”
“ถ้าจะถือเป็นบุญคุณก็เอาคืนไปซะ จะได้จบๆ”
“…”
“นั่งบื้ออะไรอยู่ล่ะ แม่งเอ๊ย เอาคืนไปดิ!”
ผมแกะพลาสเตอร์บนหลังมือออกแล้วโยนทิ้งไป พลาสเตอร์เปื้อนเลือดของผมถูกเหวี่ยงลงพื้นในสภาพที่ยับยู่ยี่ เด็กนั่นหน้าซีดเผือด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนอื่นเองก็เหมือนกัน มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่อ้าปากทำท่าจะประท้วง แต่พอผมเหลือบตาไปมองแล้วจ้องเขม็งเข้าหน่อย พวกนั้นก็พากันหุบปากลงฉับทันที
ชองโฮฮยอนที่นั่งพิงเครื่องซักผ้ามองมาทางผม สีหน้าของเขาที่ลอบมองผมนั้นดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นดวงตาของเขาหรี่แคบลงบ่งบอกว่าเขากำลังดูหมิ่นดูแคลนผม
เราสบสายตากันเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหันหน้าหนีไปด้วยใบหน้าราบเรียบราวกับไม่เคยแสดงสีหน้านั้นมาก่อน ทั้งยังส่งยิ้มอ่อนโยนและชวนคนข้างๆ คุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อารมณ์ที่เยือกเย็นข้างในของผมพลันเดือดปุดๆ ขึ้นมาพักใหญ่กว่าจะสงบลง เพราะแบบนี้แหละผมถึงไม่ชอบคนแบบหมอนี่
ผมนั่งพิงผนังพลางหลับตาแล้วกดหว่างคิ้วลง ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยกับผม มีเพียงความเงียบอันน่าอึดอัดที่ลอยอวลอยู่รอบๆ เสียงของคนรอบข้างดังทะลุโสตประสาทที่ไวต่อสิ่งเร้า ผมได้ยินเสียงเล็บกระทบกับหน้าจอมือถือดังไม่หยุด ใครบางคนคงพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือผ่านโทรศัพท์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเสียงของคนพวกนั้นที่หรี่เสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันแต่กับพวกตัวเอง
ในบรรดาเสียงทั้งหลายแหล่นั้น มีเสียงที่ระคายหูผมมากที่สุด นั่นคือเสียงร้องของไอ้เด็กที่เคยนั่งอยู่ข้างผม แค่เลือดไหลซิบจากข้อเท้าไม่รู้ว่ามันจะเจ็บอะไรขนาดนั้น ถึงได้ร้องครวญครางมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
“เฮ้ย ทำไมเด็กโน่นมันถึงเป็นงั้นล่ะ”
“ไม่รู้สิ ฉันจะไปรู้เหรอ”
“ใครก็ได้ลองปลุกเขาหน่อยครับ”
เสียงกระซิบพูดโต้ตอบกันอย่างกังวลใจ ก่อนเสียงที่คุ้นหูจะพูดแทรกขึ้นมา มันคือเสียงของชองโฮฮยอน
“เดี๋ยวก่อนครับ เด็กคนนั้นเขาดูแปลกๆ นะครับ”
ผมลืมตาขึ้น คนอื่นๆ หันไปมองทางเดียวกันด้วยใบหน้าซีดเผือด เด็กชายที่ก่อนหน้านี้เพิ่งยื่นพลาสเตอร์ให้ผมนอนขดตัวอยู่บนพื้น แผ่นหลังของเขากระตุกถี่ ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าที่เห็นในแวบแรกเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
ผมปรายตามองไปที่ข้อเท้าของเขา ดูเหมือนว่าอาการจะแย่ลงกว่าก่อนหน้านี้ เส้นเลือดสีน้ำเงินเข้มปูดนูนขึ้นมาที่กลางแผล ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดีกับแผลที่แพร่กระจายคล้ายใยแมงมุมนั่น ซึ่งมันน่าแปลกเกินกว่าจะบอกว่าเป็นแค่รอยแผลหรือรอยฟกช้ำธรรมดาๆ
“ฮึก…เฮือก…”
จู่ๆ เด็กชายที่ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดก็ตัวอ่อนยวบแน่นิ่งไป ทุกคนพากันตื่นตกใจ ผมจ้องมองเด็กนั่นอยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็ยังคงนอนขดตัวนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นตามเดิม
“ฉันมีน้ำดื่มอยู่ค่ะ ลองเอาให้เขาดื่มหน่อยไหมคะ”
ใครคนหนึ่งลุกขึ้นยืนพลางหยิบขวดน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งขวดออกมาจากกระเป๋า ผมมองเธอที่กำลังเดินผ่ากลางห้องซักรีดไปหาเด็กนั่นก่อนจะนึกขึ้นได้ ผมนึกถึงรูมเมตที่ผมเคยเข้าใจว่ากำลังหลับอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามแล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาโจมตีผมอย่างกะทันหัน
สีหน้าของเขาย่ำแย่แบบผิดปกติ เส้นเลือดสีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาจากท้ายทอยขาวซีดลามไปถึงบริเวณแก้มและคาง ตรงลำคอเด็กนั่นจะมีบาดแผลคล้ายถูกอะไรกัดไหมนะ…
นักศึกษาหญิงถือขวดน้ำเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เด็กชายอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
“เอ่อ…ดื่มน้ำสักหน่อยไหมคะ”
“…”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหมคะ คุณเจ็บมากหรือเปล่าคะ”
ตัวของเด็กชายกระตุกเบาๆ พริบตานั้นผมเผลอเกร็งตามไปโดยไม่รู้ตัว ผมเห็นชองโฮฮยอนลุกพรวดขึ้นจากทางหางตา ภาพทุกสิ่งทุกอย่างดูช้าลงมาก
“กรรร!”
เด็กนั่นพุ่งเข้ามาราวกับสปริงที่ดีดผึง ก่อนจะคว้าต้นคอของนักศึกษาหญิงที่ไม่ได้ป้องกันตัวแล้วอ้าปากกว้างกัดเข้าเนื้อของเธอทันที
“อั่ก…”
คนที่ถูกกัดคอทรุดฮวบลงทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้กรีดร้อง เลือดไหลทะลักพุ่งออกมาจากตรงจุดที่เส้นเลือดแดงฉีกขาด
“อ๊ากกก!”
“กรรร!”
เสียงกรีดร้องของทุกคนดังลั่นจนบาดแก้วหู คนอื่นๆ ต่างก็ตกอยู่ในอาการตื่นกลัวและถอยกรูดกันอย่างสติแตก
เด็กนั่นส่งเสียงเคี้ยวหมุบหมับขณะกัดกินเนื้อแล้วเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเลือดที่เลอะอยู่เต็มขอบปาก นัยน์ตาที่มีเลือดคั่งกวาดตามองรอบๆ ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ตรงจุดหนึ่ง
“อ๊าก! อั่ก! ว้าก!”
ใครคนหนึ่งล้มพับแล้วโวยวายเสียงดังพลางยกมือขึ้นกุมหูแล้วหลับตาแน่น เขาเป็นผู้ชายคนที่บ่นพึมพำถึงเรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแบบแรนดอมเมื่อครู่ หัวของเด็กชายหันขวับไปทางนั้น และทันใดนั้นปากของเขาก็อ้าฉีกออกเป็นทางยาวจนดูเหมือนกับกำลังแสยะยิ้ม
เลือดพุ่งออกมาอีกครั้งราวกับน้ำพุ ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นมีผู้รับเคราะห์ไปถึงสองคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามเขา ต่างคนต่างแนบตัวชิดเข้ากับผนังให้ได้มากที่สุดพลางภาวนาขอให้ตัวเองไม่ใช่เป้าหมายรายต่อไป
ผมกลืนน้ำลายดังอึกพร้อมกับก้าวถอยหลังจนส้นเท้าไปชนเข้ากับเครื่องอบแห้ง
กึก…
ส้นรองเท้ากระแทกกับเครื่องจักรที่แข็งแรงจนเกิดเสียงดังพอสมควร
“…”
เด็กนั่นหันมามองผมก่อนที่เราจะสบตากัน หัวใจของผมกระตุกวูบ คนอื่นๆ เพียงแค่จ้องมองมาทางนี้ด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ไม่มีใครกล้าขยับตัว ทว่าบางคนก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างลืมตัว ‘อา…โชคดีที่ไม่ใช่ฉัน ไอ้เวรที่เห็นแก่ตัวนั่นจะตายหรือไม่ตายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด’ สายตาของพวกเขามันฟ้องอย่างนั้น
ผมไม่มีทางให้วิ่งหนี เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากดูเด็กชายเหยียดเอวที่เคยโค้งงอขึ้นจนตั้งตรงแล้วเตรียมตัวพุ่งเข้ามา ทว่าในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนขยับตัวอยู่ข้างหลังเด็กนั่น เขาคนนั้นคือชองโฮฮยอน เขายกเก้าอี้ที่วางซ้อนอยู่หน้าประตูมาฟาดเด็กชายอย่างแรง
ปั้ก!
ร่างของเด็กชายพับลงจากการถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน สมองผมที่อยู่ในสภาวะตื่นตระหนกเข้าขั้นตึงเครียดกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ผมใช้จังหวะที่อีกฝ่ายหยุดชะงักเตะอัดช่องท้องของเขาสุดแรง ชองโฮฮยอนหันหน้าไปตะโกนใส่พวกคนที่เอาแต่ยืนดูอยู่ห่างๆ
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะครับ ไม่เห็นเหรอครับว่าผู้ชายคนนี้เขาเกือบถูกเล่นงานน่ะ”
ตอนนั้นเองทุกคนถึงเพิ่งจะได้เริ่มขยับตัว ใครบางคนยกเก้าอี้ที่กองอยู่หน้าประตูออกทีละตัว เก้าอี้พวกนั้นถูกวางซ้อนกันเพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก ไม่นึกเลยว่ามันจะกลายเป็นอุปสรรคที่ขวางการหลบหนีของคนที่อยู่ภายไปด้วย
“อึก…”
ผมดิ้นรนสุดตัวเพื่อหนีการโจมตีของเด็กชายที่พรวดพราดจู่โจมเข้ามา เด็กชายล้มหน้าคว่ำไปทางตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าไว้จนแน่น ผมจับทึ้งหัวของเด็กนี่ไว้แล้วกดซ้ำลงไปอย่างแรงอีกครั้งจนเขาหน้าทิ่มเข้ากองเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่แล้วล้มกลิ้งไป
หลังจากตะเกียกตะกายอย่างน่าเวทนาอยู่พักหนึ่ง เด็กชายก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แต่ก็เสียการทรงตัวจนเซไปกระแทกเข้ากับเครื่องซักผ้า มันเป็นเครื่องซักผ้าขนาดใหญ่สำหรับซักผ้าห่ม ซึ่งดูท่าน่าจะยัดคนเข้าไปได้ง่ายๆ เช่นกัน
ความคิดบางอย่างผุดแวบขึ้นมา ผมจงใจเปิดฝาเครื่องซักผ้าทิ้งไว้เพื่อล่อให้อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาจู่โจม เมื่อเขาปรี่เข้ามาอีกครั้ง ผมเลยใช้โอกาสนี้วิ่งหลบไปอยู่ด้านข้างแทน
“คึ่ก แค่ก!”
ร่างกายท่อนบนของเขาพุ่งเข้าไปในเครื่องซักผ้า ผมขาดสติและกระหน่ำเตะเขารัวๆ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงแค่ใส่แรงเข้าไปไม่ยั้งอย่างเกรี้ยวกราดก็เท่านั้น
“เปิดประตูแล้วครับ รีบออกไปกันเร็ว!”
เสียงตวาดดังขึ้นอย่างร้อนรน ในที่สุดทางก็สะดวกแล้ว เรารีบวิ่งกรูกันออกไปที่ทางออก ตอนนี้ขอแค่ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนก็พอ
ผู้เคราะห์ร้ายที่นอนจมกองเลือดดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย เส้นเลือดแดงใหญ่ถูกกัดทึ้งอย่างโหดเหี้ยมจนเลือดไหลอาบท่วม อย่าว่าแต่จะเคลื่อนไหวเลย ชีวิตของพวกเขาตอนนี้น่าจะกำลังริบหรี่ลงทุกทีๆ แล้วด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขากลับค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นพร้อมกับข้อต่อแขนขาที่ลั่นดัง
ทุกคนไปออกันอยู่ที่หน้าประตู สำหรับพวกเขาแล้วบานประตูในตอนนี้ก็เปรียบเหมือนโชคที่หล่นทับ
“อ๊ากกก!”
ในห้องซักรีดกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญอันน่าสะพรึงกลัว ทุกคนต่างเมินเสียงกรีดร้องชวนขนหัวลุกข้างหลังแล้วพากันมุ่งตรงไปที่ประตู พวกเขาตะเกียกตะกายและแหกปากลั่นเพื่อที่จะเอาตัวรอด ก่อนจะหนีออกจากห้องซักรีดมาได้อย่างหวุดหวิด
ปัง!
เสียงประตูปิดดังตามหลังมา พวกเราเผ่นแน่บโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองข้างหลัง เลือดสีดำเน่าๆ ยังติดตาอยู่ตลอดเวลาที่วิ่งไปตามโถงทางเดิน ภาพการกระทำของผมเมื่อครู่นี้ยังคงไม่เลือนหายไปจากสมอง
ผมทำร้ายเด็กคนนั้นด้วยเจตนาที่หวังจะฆ่าให้ตาย คนที่ก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่นาทียังมีชีวิตปกติดี แถมยังเป็นเด็กคนที่ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยื่นพลาสเตอร์มาให้ผม ผมขาดสติจากความคิดที่อยากจะมีชีวิตรอด ผมทั้งเตะและกระทืบเขาอย่างคลุ้มคลั่ง ผมนี่มันน่าขยะแขยงชะมัด
* เบาเฮาส์ (Bauhaus) คือชื่อโรงเรียนสอนเรื่องศิลปะและวิจิตรศิลป์ในประเทศเยอรมนี เปิดระหว่างปี ค.ศ. 1919 ถึง 1933
** พย็อง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของเกาหลี โดย 1 พย็องมีค่าเท่ากับ 3.3 ตารางเมตร
*** คอนเดนเซอร์ มีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยม ถูกติดตั้งอยู่ภายนอกอาคาร ทำหน้าที่ช่วยในการระบายความร้อนของสารทำความเย็นที่ไหลอยู่ในระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ส่วนประกอบที่สำคัญของคอนเดนเซอร์ ได้แก่ คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์พัดลม แผงคอยล์ร้อน และอุปกรณ์ทำความเย็นต่างๆ
* เว็บไซต์ชินมุนโก เป็นเว็บไซต์ของทางรัฐบาลเกาหลีที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งให้ผู้คนได้เข้าถึงการร้องเรียน แจ้งความ นำเสนอนโยบายหรือการรณรงค์ต่างๆ รวมไปถึงสามารถยื่นแบบคำร้องขอตรวจสอบงบประมาณของภาครัฐได้