ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.1 ถึง 6.2 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย

ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.1 ถึง 6.2 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

Chapter 6-2

 

พวกเราวิ่งมาได้สักระยะจนถึงจุดที่มองไม่เห็นพวกตัวประหลาดอยู่ในระยะสายตา ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นตรงมุมหนึ่งของโถงทางเดินที่เปลี่ยวสงัดในสภาพที่ทุกคนแข้งขาอ่อนแรงไม่ต่างกัน

ระหว่างที่หลบหนีออกมาจากห้องซักรีด จำนวนคนก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากทีแรกที่มีอยู่เกือบสิบคน ตอนนี้เหลือแค่สี่คนเท่านั้น คนที่ยังมีชีวิตรอดต่างก็อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ทุกคนมีรอยช้ำและรอยถลอกทั่วตัว แถมยังมีรอยเลือดที่กระเซ็นมาติดเสื้อผ้าเต็มไปหมด

“…”

ผมรู้สึกปวดหัวและท้องไส้ปั่นป่วนเลยกัดฟันแน่น คนอื่นๆ ก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน ไม่มีใครที่ผ่านเรื่องแบบเมื่อครู่นี้มาแล้วยังจะรักษาสติไว้ให้สมประกอบเหมือนเดิมได้หรอก แม้แต่ชองโฮฮยอนที่ใจแข็งรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างแน่วแน่มาจนถึงตอนนี้ยังถึงกับซุกหน้าเข้ากับอุ้งมือของตัวเองเลย ลำคอขาวระหงที่ตั้งตรงใต้กลุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงนั้นดูขาวซีดลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“เราออกไปจากที่นี่กันเถอะครับ ขืนอยู่ต่อไปมีหวังได้ตายกันหมดแน่ ออกไปข้างนอกกันเถอะนะครับ”

นักศึกษาชายที่ย้อมผมสีม่วงจัดและมีรอยสักเต็มตัวพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ เขาเป็นพวกที่จิตใจบอบบางต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาพูดก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด ถ้าคนที่ถูกตัวประหลาดกัดกลายร่างเป็นตัวประหลาด ยิ่งเวลาผ่านไปจำนวนผู้รอดชีวิตก็จะยิ่งลดน้อยลง ในขณะที่จำนวนศัตรูมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น การอยู่ในอาคารที่เป็นพื้นที่ปิดแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น แต่เราจะออกไปกันยังไงล่ะ

“รีบลงบันไดไปแล้ววิ่งออกทางประตูหน้าล็อบบี้ไม่ได้เหรอครับ”

“แต่ฉันได้ยินมาว่ามีคนตายอยู่ที่ชั้นหนึ่งนะคะ เราจะทำยังไงกันดี”

คนที่ฟังอยู่เงียบๆ สวนกลับไปทันที เธอเป็นนักศึกษาหญิงที่เกล้าผมเป็นมวยกลมๆ มวยผมของเธอหลุดลุ่ยไปกว่าครึ่ง อีกทั้งยังชี้โด่ชี้เด่อย่างยุ่งเหยิงจากการวิ่งกระหืดกระหอบมาอย่างหนัก

“นั่นมันที่โรงอาหารไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเราวิ่งตรงไปโดยไม่ออกนอกเส้นทางล่ะครับ พอจะหนีออกไปได้ไหม พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดก่อนที่จะถูกจับได้น่ะครับ”

“แต่ถ้าเกิดว่ามีตัวพวกนั้นเดินยั้วเยี้ยดักรออยู่เต็มไปหมดล่ะคะ”

“งั้นก่อนอื่นเราลองไปสำรวจชั้นล่างก่อน ถ้าทางสะดวก…”

“เฮอะ ถ้าอย่างนั้นใครจะเป็นคนอาสาล่ะคะ ใครอยากจะเสี่ยงชีวิตตัวเองลงไปชั้นล่างกัน ไหนลองยกมือหน่อยสิคะ”

“…”

“คนที่พูดเรื่องนี้ก่อนควรต้องเป็นคนอาสาหรือเปล่าคะ คุณอยากออกไปจากที่นี่ แต่ไม่คิดจะออกไปเสี่ยงอันตรายอะไรเลยเนี่ยนะคะ? เห็นแก่ตัวดีนี่”

นักศึกษาชายผมม่วงมองผมด้วยสายตาราวกับขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา ผมจึงชักสีหน้าใส่เขา

“มองอะไร หลบตาไปซะ”

“…”

“ยังไม่หลบอีก?”

เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ บรรยากาศเริ่มคุกรุ่นจนควบคุมไม่อยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องรับรู้ ให้ผมลงไปดูที่ชั้นล่างเพื่อพวกแม่ง โดยที่ไม่รู้ว่าจะถูกไอ้ตัวห่าเหวนั่นจับแดกหรือเปล่าเนี่ยนะ? ถ้าอยากหนีไปคนเดียวนักก็ออกไปซะสิ จะหันมามองผมเพื่ออะไรกัน

ชองโฮฮยอนก้มหน้างุด ดูไม่มีทีท่าว่าอยากจะเสวนากับคนพวกนี้ ส่วนผมก็ได้แต่แผ่รังสีอำมหิตบอกเป็นนัยๆ ว่าผมจะฆ่าใครหน้าไหนก็ตามทุกตัวที่เข้ามาชวนคุย ชายผมม่วงคนนั้นเลยถอดใจที่จะโน้มน้าวเราสองคนแล้วหันไปเถียงกับนักศึกษาหญิงแทน

“ทางคุณเองก็เห็นแก่ตัวพอกันนั่นแหละ”

“ฉันเห็นแก่ตัวแล้วมันยังไง คุณมายุ่งอะไรด้วย ถ้างั้นแยกกันตรงนี้เลยไหมคะ จะเป็นหรือตายยังไงก็ต่างคนต่างรับผิดชอบตัวเองก็แล้วกัน!”

“พูดแรงอะไรขนาดนั้นครับ ผมก็แค่เพิ่มโอกาสที่เราจะอยู่รอดด้วยกันสักนิดก็ยังดี”

“แล้วคุณคิดว่าฉันอยากเป็นผู้เสียสละเหรอคะ ทุกคนที่นี่ต่างก็ไม่อยากเสียสละกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”

“หยุดเถอะครับ”

เสียงพึมพำเบาๆ ดังขึ้นข้างกายผม มันเป็นเสียงของชองโฮฮยอน ทว่าพวกนั้นกลับไม่ได้ฟังเขาเลยสักนิดเพราะมัวแต่เถียงกัน

“ทานโทษนะครับ สถานการณ์แบบนี้จำเป็นต้องพูดเชือดเฉือนกันขนาดนั้นเลยเหรอ คิดว่าคนอื่นเขาชอบฟังหรือไงครับ”

“ถ้าไม่ชอบนักก็ทางใครทางมันค่ะ!”

วินาทีถัดมาชองโฮฮยอนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับตะคอกใส่

“บอกให้หยุดไง!”

“…”

“…”

ทั้งคู่ปิดปากฉับอย่างพร้อมเพรียงกัน ชองโฮฮยอนลูบหน้าอย่างว้าวุ่นใจราวกับรู้สึกว่าตัวเองได้เผลอแสดงสีหน้าออกไปแล้ว ถึงจะโอนอ่อนและยืดหยุ่นยังไง แต่ถ้าเกิดปรี๊ดแตกขึ้นมาก็จะแหกปากตวาดลั่นแบบนี้นี่เองสินะ เวลาที่ผมต้องเผชิญหน้ากับอันตราย เขาก็ยังอุตส่าห์ออกหน้าช่วยผม ทั้งๆ ที่ในใจเกลียดกันขนาดนั้น ดูเหมือนว่าผมจะได้คำตอบแล้วสิ

“ผมจะไปชั้นล่างเองครับ ผมจะไปเอง เท่านี้พอใจกันแล้วใช่ไหมครับ ถ้างั้นก็ช่วยหุบปากกันสักทีเถอะครับ”

“ไม่สิ เอ่อ…คือว่า…”

เขาผุดลุกขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียดแล้วก้าวฉับๆ ไปที่อีกฝั่งของโถงทางเดินโดยไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นห้ามปราม

ขนาดเกาะกลุ่มกันหลายคนยังรับประกันความเป็นความตายไม่ได้ แต่หมอนี่กลับจะไปที่ชั้นล่างคนเดียวเนี่ยนะ? ควรห้ามดีไหมนะ ถ้าเผื่อผมลงไปด้วยแล้วเกิดอะไรขึ้น…ไม่สิ ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ เขาอาสารับหน้าที่เสี่ยงตายด้วยตัวเองแทนให้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าชองโฮฮยอนรอดกลับมาก็ดี แต่ต่อให้จะไม่รอดกลับมา ผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่

ในหัวของผมสับสนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายผมก็ไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรเลยจนกระทั่งแผ่นหลังของชองโฮฮยอนหายลับไปจากสายตา เวลาผ่านไปพักใหญ่ มันนานมากขนาดที่ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็น่าจะไปกลับจากชั้นหนึ่งได้เกินสิบเที่ยวแล้ว

ทุกคนแกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรทั้งที่ในใจต่างก็กระวนกระวาย ชองโฮฮยอนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ คำพูดที่ว่าการไม่ได้รับข่าวคราวถือเป็นข่าวดีนั้นเป็นเรื่องจริง แต่มันไม่ได้เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้เลยสักนิด ถ้าเขาบังเอิญต้องหนีไปซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งแล้วกลับมาไม่ได้ก็นับว่าโชคดีไป แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เขาอาจจะ…

“เอ่อ…คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาหรอกนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้น…”

ชายผมม่วงมองผมกับนักศึกษาหญิงสลับกันพลางทำหน้างออย่างเริ่มใจเสีย ก่อนที่สุดท้ายจะเปิดปากพูดขึ้นอย่างยากลำบาก ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์กับไอ้เด็กนี่ชะมัด ทำไมถึงมาแสร้งทำเหมือนว่าเป็นห่วงเอาป่านนี้วะ ทีตอนชองโฮฮยอนอาสาจะไปกลับนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก

ในจังหวะนั้นเองเสียงแตกๆ ได้ดังออกมาจากลำโพงตัวที่แขวนอยู่บนเพดาน ผมระแวดระวังตัวเต็มที่อยู่แล้วก็เลยได้ยินมันอย่างรวดเร็ว ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองข้างบนโดยอัตโนมัติ

“อา…อา…”

มันคือเสียงของชองโฮฮยอน ถึงจะเป็นแค่เสียงลองไมค์ธรรมดาๆ และมีเสียงรบกวนแทรกเพราะพูดผ่านลำโพงที่มีคุณภาพต่ำ แต่ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเขา

“ทุกคนที่อยู่ชั้นสี่ ได้ยินไหมครับ ประกาศจากห้องสำนักงานนะครับ”

ผมพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ทำไมหมอนี่ถึงได้เลียนแบบการพูดประชาสัมพันธ์ในสถานการณ์แบบนี้กันนะ คิดจะล้อกันหรือไง

เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอ้หน้าโง่ที่คอยพะวักพะวนเป็นห่วงเขา ผมมัวแต่นึกตำหนิในใจจนไม่ทันได้สังเกตว่าน้ำเสียงของเขาดูอ่อนลงชอบกล

“…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามลงมาเด็ดขาดเลยนะครับ”

เขาทิ้งท้ายด้วยเสียงที่คล้ายกับลมหายใจ ก่อนจะตัดจบไปดื้อๆ โดยไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า

“อะไรนะคะ”

บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาในชั่วพริบตา คนอื่นๆ พากันส่งสายตากระวนกระวายหากัน

“ถ้างั้นก็หมายความว่าเราออกผ่านประตูชั้นหนึ่งไม่ได้งั้นเหรอครับ”

“ดีนะที่ไม่ลงไปก่อน เกือบซวยแล้วสิ”

“เห็นไหมล่ะครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ ผมถึงได้ชวนให้ไปสำรวจชั้นล่างกันก่อนไง”

พอได้ยินคำพูดนั้น ภายในใจผมก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที ชองโฮฮยอนอุตส่าห์เสี่ยงตายลงไปถึงชั้นหนึ่งอย่างยากลำบากแล้วประกาศขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงขนาดนั้น เพื่อบอกให้เราได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่ชั้นหนึ่ง แต่พวกนั้นกลับไม่เห็นชองโฮฮยอนอยู่ในสายตาเลยสักนิด เอาแต่ดิ้นรนเพื่อความปลอดภัยของตัวเองคนเดียว น่าสะอิดสะเอียนเป็นบ้า

ผมไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมจริยธรรมอะไร กลับกันแล้วผมน่ะตรงกันข้ามเลยต่างหาก ผมเองก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ผลักไสให้ชองโฮฮยอนต้องออกไปเผชิญหน้ากับอันตราย ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งจะมาสงสารชองโฮฮยอนเอาตอนนี้ เพราะถ้าผมคิดแบบนั้นจริง ผมก็คงห้ามปรามเขาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย ผมไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว แค่รู้สึกสิ้นหวังก็เท่านั้นเอง แต่พอเห็นพวกเศษเดนที่ทำตัวน่าสมเพชนี่แล้ว ความอดทนของผมก็หมดลงทันที ลำพังแค่เห็นชองโฮฮยอนที่แสร้งทำตัวเป็นคนมีจิตสำนึกต่อโลกอยู่คนเดียวก็ว่าน่ารำคาญแล้ว แต่พวกเวรนี่แม่งน่ารำคาญยิ่งกว่า

ผมลุกขึ้นจากพื้น ก่อนที่อีกสองคนจะเงยหน้าขึ้นมองผมพร้อมกัน ใจหนึ่งผมก็รู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมหมอนั่นมันถึงได้ตัดสินใจทำเรื่องแบบนั้น ในขณะที่อีกใจหนึ่งผมก็คาดหวังว่าเขาอาจจะหาทางรอดให้กับพวกเราในตอนนี้ได้ ผมจิ๊ปากแล้วแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะถีบผนังอย่างแรง

ตึง!

เสียงหนักๆ ดังก้องสะเทือนไปทั่วโถงทางเดิน

“พูดมากฉิบหาย พวกเวรที่ดีแต่นั่งกลอกตาเลิ่กลั่กและปิดปากเงียบตอนชองโฮฮยอนบอกว่าจะลงไปเมื่อกี้ ฉันก็นึกว่าใบ้แดกขึ้นมากะทันหันซะอีก เห็นเมื่อกี้นี้แม่งเงียบสัด”

ผมยืนพิงผนังแล้วโน้มร่างกายท่อนบนลงไปหาพวกนั้น เงามืดทาบทับลงบนใบหน้าของทั้งคู่ พวกนั้นได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ด้วยความตกตะลึง

“ทีตอนนี้ล่ะพูดกันคล่องปากเชียวนะ ทำไม คงอยากรอดตายมากสินะ?”

“คุณเองก็…!”

“เออ ฉันมันชาติหมา ส่วนพวกแกน่ะเป็นไอ้ชาติหมาที่ไม่รู้ว่าตัวเองชาติหมา”

“ว่าไงนะ…”

“พวกคนที่นายเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือนี่แม่งมีแต่คนชาติหมาเหรอเนี่ย โถ ชองโฮฮยอนนี่น่าสงสารจริงๆ เลยนะ ว่าไหม”

ผมลบรอยยิ้มที่มุมปากออกไป ก่อนจะยืนตัวตรงแล้วหันหลังให้อย่างไร้เยื่อใย ถ้าต้องอยู่กับไอ้พวกบัดซบนั่นจนตาย สู้ไปอยู่กับคนที่บัดซบน้อยกว่านี้หน่อยยังจะดีซะกว่า

ไม่มีใครรั้งผมไว้นับตั้งแต่ตอนที่ผมเดินไปตามทางที่ชองโฮฮยอนเดินลงไปชั้นล่าง พวกนั้นไม่แม้แต่จะเดินตามมาด้วยซ้ำ มีเพียงความเงียบงันที่น่าหวาดหวั่นไหลผ่านอยู่เบื้องหลัง ระหว่างทางผมเห็นตู้เก็บอุปกรณ์ดับเพลิงสีแดง โดยมีขวานดับเพลิงแขวนอยู่เคียงข้างถังดับเพลิงที่เตรียมไว้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่สมองจะประมวลผล ร่างกายผมก็ขยับไปเองก่อนแล้ว ผมเปิดประตูตู้แล้วเอามือกำรอบด้ามจับหนักๆ นั่น ก่อนจะหยิบมันออกมา

ยิ่งเดินไปฝีเท้าก็ยิ่งเพิ่มความเร็วขึ้น และในวินาทีที่ใกล้จะถึงชั้นหนึ่ง ผมก็กระโดดข้ามบันไดไปทีละสองสามขั้นพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงด้วยความกระวนกระวาย

 

ล็อบบี้หินอ่อนกว้างขวางปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งที่คาดการณ์ไว้ว่าทั่วทั้งบริเวณคงเต็มไปด้วยเลือดและมีพวกศพนอนตายกันเกลื่อนกลาด ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น นอกจากกระถางต้นไม้ที่ล้มคว่ำจนแตกกับโซฟาที่ถูกผลักออกไปจากตำแหน่งเดิมก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากตอนปกติมากนัก ยกเว้นก็แต่…

ผมสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ในขณะที่กำขวานในมือแน่น กลิ่นเลือดจางๆ ลอยมากับอากาศ ผมกวาดตามองรอบโถงทางเดินที่ถูกแยกออกเป็นสองฝั่งของล็อบบี้ ซึ่งฝั่งหนึ่งเป็นสำนักงานและห้องอ่านหนังสือ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อกับโรงอาหาร

จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดที่ว่ามีคนตายในโรงอาหารขึ้นมาเลยปรายตาไปทางนั้น ด้านหลังประตูกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ นั้นเหมือนจะมีเงาสีดำสะท้อนอยู่ด้านใน นั่นมันคนเป็นหรือคนตายกันนะ ผมไม่อยากเข้าไปยืนยันใกล้ๆ เลยตัดสินใจเดินไปที่โถงทางเดินอีกฝั่งหนึ่งแทน

ช่วงที่เดินผ่านหน้าห้องน้ำก็มีเสียงคำรามดังไล่หลังมา ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะหันขวับไปมองข้างหลัง

“คึ่ก…คึ่ก…”

ร่างของชายที่เลือดท่วมกายค่อยๆ ก้าวออกมาผ่านบานประตูที่เปิดอยู่ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่คอคงขาด ศีรษะเลยพับหักลงมาในองศาที่ผิดปกติ ทุกครั้งที่เดินหัวของเขาจะโยกไปมา พอเห็นภาพนั้นเลือดในตัวผมก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ในเมื่อตั้งใจที่จะลงมาถึงชั้นหนึ่ง ผมจึงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพวกมันอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้

เจ้านั่นเงยหน้าขึ้นมามองผม มันมีร่างกายที่แปลกประหลาดโดยจะว่าคนเป็นก็ไม่ใช่ คนตายก็ไม่เชิง แถมยังเน่าเฟะไปหมด วูบหนึ่งผมเผลอดีใจที่มันไม่ใช่ชองโฮฮยอน แต่แล้วผมก็กัดฟันแล้วเงื้อขวานในมือขึ้น ก่อนจะหลับตาลงแน่นแล้วสับขวานลงไป

เลือดเน่าๆ กระเซ็นมาติดบนแก้มผม มันเป็นความรู้สึกที่สะอิดสะเอียนเหนือคำบรรยาย ราวกับถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเศษอาหารเน่าเสียแตกออกมา ผมเหวี่ยงขวานจามลงไปไม่ยั้ง อีกฝ่ายพยายามใช้แขนขาตะเกียกตะกายพุ่งเข้ามาหา ผมเลยใช้เท้าถีบเพื่อผลักออก ก่อนจะกระหน่ำฟันอย่างต่อเนื่อง

ทว่ามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะตายเลยสักนิด ทั้งที่กระดูกซี่โครงแหลกละเอียด ช่วงอกถูกผ่าแยกออกจากกัน แถมตรงลำคอยังถูกตัดขาดไปกว่าครึ่ง แต่มันก็ยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อยู่ แขนที่กำด้ามขวานไว้เริ่มล้าขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือเองก็สั่นระริกไปหมด

ภาพตรงหน้าเล่นเอาผมพูดไม่ออก คนเราต่อให้จะอัดยาเสพติดเข้าไปหนักขนาดไหน หรือป่วยเป็นโรคร้ายแรงขนาดไหน แต่สภาพระดับนี้ไม่มีทางที่จะยังขยับตัวได้อยู่หรอก นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว พวกนี้มันเหมือนกับซอมบี้ที่โผล่มาในเกมแอ็กชั่นทุนต่ำเลยไม่ใช่หรือไง

…ซอมบี้?

ปัก!

ในที่สุดลำคอของอีกฝ่ายก็ขาดออกจากตัวจากการโถมแรงฟันเข้าไปในครั้งเดียว ร่างกายที่ขยับโงนเงนของมันล้มลงไปนอนนิ่ง ผมเฝ้ารอโดยที่ความตึงเครียดยังคงไม่คลายลง และสุดท้ายมันก็ไม่ขยับตัวอีกต่อไป

ผมรู้สึกพะอืดพะอมรวมถึงหน้ามืดตาลาย แต่ก็จำต้องกลั้นความรู้สึกที่อยากจะอาเจียนนั้นไว้พลางใช้หลังมือเช็ดแก้มอย่างลวกๆ แล้วดึงมาสก์ที่เกี่ยวไว้ใต้คางขึ้นมาสวมดังเดิม

ผมเดินมาจนถึงสำนักงานดูแลความปลอดภัย ก่อนจะเห็นด้านในสำนักงานผ่านหน้าต่างฝั่งที่ติดอยู่กับโถงทางเดิน ใครบางคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชายคนนั้นมีเรือนผมสีน้ำตาลที่ผมคุ้นตา และเขาคนนั้นก็คือชองโฮฮยอน

“ชองโฮฮยอน!”

ผมตะโกนเสียงดังลั่น แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง คงต้องโทษที่เจ้าตัวนั่งหันหลังให้ ผมเลยมองไม่เห็นใบหน้าของเขา นี่ผมคงมาสายเกินไปสินะ หัวใจของผมเหมือนหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม

ผมพยายามหมุนลูกบิดประตู แต่บานประตูกลับไม่เปิดออกเพราะมันถูกล็อกจากด้านใน ผมลองเรียกชื่อเขาอีกสองสามครั้ง ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ได้การแล้ว ผมจึงใช้สันขวานทุบลูกบิดด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ปึง! กึง!

ลูกบิดหลุดออกมาทั้งอันพร้อมกับเสียงที่ไม่น่าฟัง บนบานประตูถูกเจาะเป็นรูกลมๆ ตรงลูกบิดที่หลุดออก

ผมก้าวผ่านกรอบประตูเข้าไป ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ความกระวนกระวายใจของผมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น พอระยะห่างระหว่างเราแคบลง ผมถึงได้เริ่มเห็นไหล่ของเขาที่ขยับเคลื่อนขึ้นลงเบาๆ เมื่อเห็นดังนั้นผมก็พรูลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาทันที

“รุ่นพี่…?”

เขาที่รู้สึกถึงการมาของผมค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาที่ปรือปรอยปิดลงมาครึ่งหนึ่งนั้นดูเลื่อนลอย เขาค่อยๆ ปรายตามองผม ก่อนจะเม้มริมฝีปากด้วยใบหน้าแข็งทื่อ และนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งมานึกได้ทีหลังว่าตอนนี้ตัวเองสารรูปเป็นยังไง เลือดกระเซ็นไปทั่วร่าง แถมมือข้างหนึ่งยังถือขวานเปื้อนเลือดอย่างกับฆาตกรต่อเนื่องที่โผล่ออกมาในหนังระทึกขวัญ

“นายดูอะไรอยู่”

ผมโน้มศีรษะไปทางที่เขาเพ่งมองก่อนหน้านี้ จอมอนิเตอร์ที่ดับอยู่นั้นมีเพียงกระดาษโพสต์อิตที่จดโน้ตเอาไว้ง่ายๆ หลายแผ่นติดอยู่รอบขอบจอ มีทั้งพวกปฏิทินกิจกรรมทางการศึกษา เบอร์โทรศัพท์ที่สำคัญๆ ในมหาวิทยาลัย รวมไปถึงรหัสผ่านระบบดิจิตอลดอร์ล็อกที่ห้องอาบน้ำชั้นบน

“นี่มันอะไรเนี่ย”

ผมอุตส่าห์นึกว่ามันจะเป็นข้อมูลสำคัญอะไรสักอย่าง ผมล่ะหมดคำจะพูด

“แอปเปิ้ลไงครับ…”

ผมขมวดคิ้วเบาๆ มองโพสต์อิตที่มีรูปร่างเหมือนแอปเปิ้ลสีแดงผลกลม มันเป็นรูปแอปเปิ้ลแล้วยังไงต่อ

“ผมชอบแอปเปิ้ลน่ะครับ คุณย่าผมทำสวนผลไม้อยู่ที่ชนบท…ทุกครั้งที่ไปบ้านคุณย่า ท่านจะเก็บแอปเปิ้ลลูกที่สวยที่สุดไว้ให้ผมเสมอเลยล่ะครับ ปิดเทอมคราวนี้ผมก็ตั้งใจไว้ว่าอยากจะกลับไปพบท่านอีก”

เขาพึมพำออกมาทีละคำอย่างเชื่องช้า พอได้ยินคำพูดที่ไม่เข้ากับสถานการณ์และไม่ลำดับเรื่องราวนี้แล้ว ผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ ลมหายใจของเขาสั่นเครืออย่างน่าเป็นห่วง ลางสังหรณ์ร้ายพลันแล่นปราดขึ้นมาจากปลายเท้า ก่อนที่ผมจะพยายามบังคับคอที่แข็งทื่อให้ก้มลงไปมองข้างล่าง

เลือดเจิ่งนองเต็มพื้น มือข้างหนึ่งของชองโฮฮยอนเลื่อนตกลงมาใต้พนักแขนเก้าอี้ เลือดไหลออกมาจากมือนั้นไม่หยุด แอ่งเลือดสีแดงนั้นขยายพื้นที่กว้างออกมาเรื่อยๆ จนไหลมาถึงรองเท้าของผม

ในหัวของผมพลันขาวโพลน ผมหันเก้าอี้ที่ชองโฮฮยอนนั่งอยู่มาหาตัวเอง เขาเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด สีหน้าที่เห็นใต้ผมที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อนั้นดูแย่เอามากๆ

ผมยกข้อมือที่อาบเลือดนั้นขึ้นมา เลือดไหลออกมาเต็มมือเขาจนมองไม่เห็นสีผิวเดิม รอยกัดลึกมากจนน่าจะตัดเส้นเลือดแดงขาด

“รุ่นพี่มาทำไมครับ…ผมประกาศไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าลงมาข้างล่าง…”

“…”

“นึกว่าจะไม่มีใครมาแล้วซะอีก”

“…”

“ทั้งที่บอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าอย่ามา…แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นเอง อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะไม่มีใครมาจริงๆ”

ริมฝีปากซีดเผือดนั้นสั่นระริก หยาดน้ำตาไหลลงมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิทอย่างอ่อนแรงจนขนตาเปียกชุ่ม

“ผมกลัว…กลัวการตายอยู่ที่นี่คนเดียว…กะ…กลัวมากๆ การตายอย่างโดดเดี่ยวมันเจ็บปวดมากนะครับ”

ผมโยนขวานที่อยู่ในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ผมกุมข้อมือของเขาแล้วกดเอาไว้ทั้งๆ ที่มือสั่นระริกราวกับคนบ้าโดยไม่สนว่ามือกับแขนเสื้อของตัวเองจะเปียกเลือดไปด้วย

“เจ็บ…เฮือก ฮึก…ผมกลัวครับ ผมไม่อยากตาย…”

ชองโฮฮยอนที่ถูกผมจับมือข้างหนึ่งไว้ก้มหน้าลงมาพร้อมกับร้องไห้อย่างน่าสงสาร น้ำตาใสไหลรินหยดลงบนข้อมือที่โชกไปด้วยเลือด ก่อนเสียงสะอึกสะอื้นนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไป

“คุณรุ่นน้อง ตั้งสติหน่อย ได้ยินฉันไหม ตอบสิ”

“…”

“ฉันบอกให้ตอบไง!”

“…”

“โฮฮยอนอา…”

สติผมหลุดลอยไปพักหนึ่ง ผมนั่งคุกเข่าจมกองเลือดอยู่ในท่านั้นและจับข้อมือที่ชุ่มโชกโดยไม่คิดจะห้ามเลือด

หัวใจของเขากำลังจะหยุดเต้นโดยสมบูรณ์ในไม่ช้า หลังจากแน่นิ่งไม่ไหวติงไปพักหนึ่ง เขาจะฟื้นคืนชีพกลับมาในร่างที่น่าสยดสยอง ไม่ต่างจากพวกคนที่ผมเคยเห็นในห้องซักรีด

ตอนนี้ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ผมต้องเอาขวานจามลงกลางหัวเขา ก่อนที่เขาจะกลายร่างอย่างนั้นใช่ไหม หรือจริงๆ แล้วผมควรปล่อยเขาไว้แล้วรีบหนีไปดี ดูท่าอย่างหลังน่าจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ขืนนั่งนิ่งอยู่แบบนี้ มีหวังคงได้ถูกเขากัดตายแน่ๆ ทว่าร่างกายผมมันกลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

เสียงปึงปังดังมาจากประตูที่ผมทุบลูกบิดเข้ามา ตามด้วยเสียงร้องประหลาดๆ ดูเหมือนว่าพวกมันจะตามมาเพราะได้ยินเสียงตอนผมทุบประตูแน่ๆ

“ฮึก…”

ภาพตรงหน้าถูกย้อมด้วยสีดำสนิท ผมรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เสียงของพวกนั้นที่ใกล้เข้ามาฟังดูห่างไกลราวกับดังก้องอยู่ท่ามกลางห้วงน้ำลึก

ผมกุมหน้าอกตัวเองพร้อมกับทรุดตัวแล้วซุกหน้าลงบนตักของชองโฮฮยอน มันเจ็บมากจนผมคิดอะไรไม่ออก ผมทำได้เพียงแค่หอบหายใจราวกับคนจมน้ำ นี่ผมคงถูกพวกตัวประหลาดที่อยู่ข้างนอกพุ่งเข้ามากัดสินะ…เอ หรือว่าผมจะถูกชองโฮฮยอนกัดเข้าก่อนกันแน่ สติของผมดับวูบไปอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ทันแยกออกว่าเป็นอย่างไหน

ผมหมดสติไปในสภาพนั้นนานแค่ไหนกันนะ ความเจ็บค่อยๆ ลดน้อยลงราวกับถูกชะล้างออกไป มันเจ็บถึงขั้นที่หายใจไม่ออก แต่ก็ยังพอมีชีวิตอยู่ต่อได้ ผมฝืนเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทขึ้นมาอย่างยากลำบาก

แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาวสาดส่องเข้ามาในห้องมืดทึบที่ไม่ได้เปิดไฟไว้ แขนขาผมมีผ้าห่มคลุมไว้อยู่ เลขวันที่ปรากฏชัดเจนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จเอาไว้

 

‘25 ธันวาคม’

 

รูมเมตกำลังนอนหันหลังหลับอยู่ที่เตียงฝั่งตรงข้าม

นี่คือห้องของผมเอง

“…”

ผมหยัดตัวท่อนบนขึ้นพร้อมกับความรู้สึกขนลุกวูบที่แล่นปราดตั้งแต่ช่วงเอวด้านหลังขึ้นมา ก่อนหน้านี้ผมยังอยู่ในสำนักงานดูแลความปลอดภัยที่ชั้นหนึ่งอยู่เลย ผมกำลังซุกหน้าบนตักของชองโฮฮยอนที่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาไม่ได้แล้ว และจำได้ว่าพวกตัวประหลาดนั่นกำลังกรูกันเข้ามาใกล้ แต่ผมกลับมาอยู่ที่ห้องของตัวเองได้ยังไงกัน

นี่คงไม่ใช่ว่าผมฝันไปหรอกนะ ฝันร้ายที่แสนยาวนานและสมจริงเกินจำเป็นนั่นน่ะ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นผมก็คงไม่สามารถหาอะไรมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อีกแล้ว พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย

เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก ผมเสยผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นไป ฉับพลันนั้นบางอย่างก็แวบผ่านสายตาเข้ามา ผมมองหลังมืออย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง มีรอยแผลจางๆ คล้ายเส้นด้ายอยู่บนหลังมือ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยมีมันมาก่อน

ระหว่างที่กำลังคิดว่าได้บาดแผลนี้มาจากไหน ภาพความทรงจำอันน่าขนลุกก็ผุดขึ้นมาในหัว ภาพห้องซักรีดที่มีคนเกาะกลุ่มรวมกัน ภาพเด็กชายที่ยื่นพลาสเตอร์ให้ผม ภาพผมที่ติดพลาสเตอร์ทับแผลที่หลังมือแล้วก็หัวร้อนขึ้นมา ภาพทั้งหมดที่ถูกคัดแยกเป็นฉากๆ ร้อยเรียงต่อเข้าด้วยกันจนกลายเป็นภาพเดียว

“เฮือก…”

รูมเมตที่นอนอยู่อีกเตียงหนึ่งร้องครางอย่างเจ็บปวดพลางบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ผมผงะอย่างแรงจนเกินเหตุ ก่อนจะรีบกวาดสายตาหาอาวุธโดยอัตโนมัติ

“อึก…กรรร…”

เขากระตุกน้อยๆ กล้ามเนื้อแข็งเกร็งขึ้นมา ผิวหนังเองก็ซีดเซียวไม่มีเส้นเลือดจนคล้ายกับซากศพ

รอยกัดสีแดงที่ต้นคอชุ่มเหงื่อนั้นปรากฏสู่สายตา ผมยังไม่ยอมละทิ้งความหวังที่คิดว่านี่คือความฝันมาจนถึงวินาทีนี้ แต่พอได้เห็นภาพตรงนี้แล้ว ในหัวผมก็พลันเย็นวาบขึ้นมาทันที ขุมนรกที่เคยคิดว่าเป็นภาพลวงตาเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งตรงหน้า

“เฮือก…”

รูมเมตส่งเสียงร้องออกมาอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว ความเงียบที่เป็นลางไม่ดีค่อยๆ ไหลผ่านไป ผมลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเว้นระยะห่างออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปทางด้านหลังโดยไม่ละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ก่อนจะหยิบมีดแกะสลักที่วางไว้มั่วๆ บนโต๊ะหนังสือขึ้นมากำไว้ในมือ

ในจังหวะนั้นเขาก็เริ่มกลับมาดิ้นพล่านอีกครั้ง และก่อนที่จะถูกเขาตะครุบตัวได้ ผมก็รีบชิงพุ่งเข้าใส่เขาเร็วกว่าจังหวะหนึ่ง โดยโถมตัวกดแผ่นหลังเขาเอาไว้กับเตียงแน่น ก่อนจะแทงมีดแกะสลักเข้าที่ลำคอของอีกฝ่าย

ถ้าเกิดว่านี่เป็นความฝันจริงๆ และหมอนั่นแค่ป่วยเฉยๆ แล้วผมจะทำยังไง ถ้าเกิดว่าผมกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ล่ะ ความคิดเหล่านั้นแล่นผ่านหัวไปในชั่วอึดใจเดียว

เลือดไม่ได้ไหลพุ่งออกมาจากตรงที่แทงมีดลงไป มีเพียงแค่ของเหลวหนืดข้นสีดำเท่านั้นที่ติดใบมีดออกมาด้วย แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิต ความวิตกกังวลและความคาดหวังสุดท้ายของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“กรรร…กรรร!”

เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งทั้งๆ ที่ตรงลำคอถูกแทงจนเป็นรู ผมจับต้นคอของเขากดลงกับเตียงด้วยแรงที่ไม่ยั้งมือ ผมรู้สึกขยะแขยงแม้แต่สัมผัสของเนื้ออุ่นๆ ที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดตรงฝ่ามือ

ผมแทงเข้าไปตรงจุดเดิมซ้ำๆ เลือดเน่าสีดำเจิ่งนองตรงเนื้อที่ถูกแทงไม่ยั้ง ไอ้ตัวที่นอนแผ่อยู่ใต้ร่างผมตอนนี้ดูไม่เหมือนคน ไม่สิ…ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตด้วยซ้ำ ผมจดจ่ออยู่แต่กับความคิดที่จะต้องฆ่าเจ้านี่ให้ตาย

สุดท้ายเขาก็นอนแน่นิ่งไปบนเตียง ผมเสียบใบมีดเข้าไปแล้วตัดคอของอีกฝ่ายสุดแรงเผื่อว่าจะยังไม่ตายสนิทจนเขาไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป

“เฮ้อ…แฮก…แฮก…”

ผมก้าวถอยหลังอย่างทุลักทุเล มือไม้หมดเรี่ยวแรงจนมีดแกะสลักที่อาบไปด้วยเลือดเลื่อนหลุดลงจากมือ ผมเหม่อมองภาพน่าสยดสยองตรงหน้าพักหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองดูสารรูปของตัวเอง เลือดกระเซ็นเลอะเต็มตัว ตรงกางเกงจะเห็นร่องรอยน้อยหน่อยเพราะเนื้อผ้าเป็นสีดำ แต่เลือดที่เลอะอยู่บนร่างกายท่อนบนนั้นกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เลือด…เลือดที่ไหลนองเป็นทางย้อมภาพตรงหน้า และท่วมอาบเต็มพื้นไม่พอ มันยังไหลอาบมาถึงรองเท้าผมด้วย…

“…”

จู่ๆ ผมก็พลันหยุดชะงักไปทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองหลงลืมไป ผมต้องไปหาชองโฮฮยอนเดี๋ยวนี้ ผมต้องไปยืนยันเองกับตาว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันคืออะไรกันแน่ ไม่อย่างนั้นผมคงได้บ้าขึ้นมาจริงๆ แน่

อา…จริงสิ ตอนนี้ทั้งตัวผมเต็มไปด้วยเลือด ผมต้องล้างเลือดออกก่อน ก็ชองโฮฮยอนเคยร้องไห้ฟูมฟายบอกว่ากลัวตายนี่ เพราะงั้นผมจะไปให้เขาเห็นผมในสภาพนี้แล้วช็อกตายอีกครั้งไม่ได้

ผมเช็ดไหล่กับแผ่นอกที่เต็มไปด้วยเลือด ทุกที่ที่มือลากผ่านทิ้งรอยสีดำแดงเอาไว้ ในใจผมว้าวุ่นไปหมด ทำไมกัน…ทำไมมันถึงเช็ดไม่ออก

ผมกวาดตามองรอบๆ ด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับเสื้อยืดสีดำที่พาดแบบส่งเดชอยู่บนพนักเก้าอี้ ผมหยิบมันขึ้นมาสวมลวกๆ และแล้วร่างกายท่อนบนที่เปื้อนเลือดก็ถูกคลุมทับด้วยเสื้อ

ผมเดินเซไปสวมรองเท้าแล้ววิ่งออกจากห้องไป ผมวิ่งไปทางห้องของหมอนั่นที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำผม โดยที่ไม่สนใจเลยว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้จะเป็นยังไง

 

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com