DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.3 ถึง 6.4 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2
ผู้เขียน : 아이제 (Aije)
แปลโดย : 04:00
ผลงานเรื่อง : 데드맨 스위치 (Deadman Switch)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบูลลี่ การใช้ถ้อยคำที่หยาบโลน การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย
การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง
การกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์
และการมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะคลุมเครือ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 6-3
ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของชองโฮฮยอน ผมทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจากข้างใน ผมเริ่มกระวนกระวายใจ ภาพเหตุการณ์ที่ประตูสำนักงานผู้ดูแลถูกล็อกแน่นกับภาพชองโฮฮยอนที่นั่งอิดโรยหันหลังให้ยังคงปรากฏอย่างเลือนรางอยู่ตรงหน้า
แกร๊ก…ผมลองหมุนลูกบิดประตูอย่างไม่รอช้า บานประตูเปิดออกง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ ผมก้าวเท้าเข้าไปด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มคล้ายระเบิดที่กำลังนับเวลาถอยหลัง ในห้องที่มืดสนิท เตียงฝั่งหนึ่งถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ บนเตียงนั้นมีแต่ฟูกนอนโดยไม่มีเครื่องนอนอย่างอื่น ส่วนเตียงอีกฝั่งกลับมีลักษณะพองเป็นก้อนกลมๆ
ผมพลิกผ้าห่มขึ้นมา ก่อนจะเห็นชองโฮฮยอนกำลังหลับอยู่ข้างใต้ผ้าห่มนั้น เขาสวมที่อุดหูคาไว้ที่หูทั้งสองข้าง ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ ขณะซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งหลับคาหมอนอย่างอ่อนเพลีย ใบหน้าตอนนอนเหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด ต่างจากภาพจำครั้งสุดท้ายที่ผมจำได้จนรู้สึกถึงภาพในหัวที่ทับซ้อนและขัดแย้งกัน
“นาย…”
ผมจับแขนขาวเนียนที่โผล่พ้นเสื้อยืดแขนสั้นตัวโคร่ง ข้อมือที่เคยมีเลือดทะลักออกมาไม่หยุดตอนนี้กลับสมบูรณ์ครบถ้วนไร้รอยแผลใด ชองโฮฮยอนลืมตาตื่นขึ้น นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่ผมด้วยความรู้สึกดูแคลนหรือโศกเศร้าเหมือนอย่างเคย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความตกใจปนหวาดผวา
“คะ…ใครกันเนี่ย คุณเป็นใครกันครับ”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริกจนพูดตะกุกตะกัก ชองโฮฮยอนที่หลับสบายอย่างเด็กไร้เดียงสาเมื่อครู่นี้ได้หายไปเสียแล้ว ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยชองโฮฮยอนที่ทำหน้าเหมือนเหยื่อที่กำลังถูกสัตว์ร้ายไล่ต้อนจนจนมุม
“นายทำได้ยังไง”
“ใครครับ อึก…ทำไมทำแบบนี้ครับ”
เขารีบกระถดตัวคล้ายจะหนี ผมจึงออกแรงบิดแขนของเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้
“อ๊ะ!”
เขาร้องเสียงหลงพร้อมกับขาที่ดีดดิ้นไปมาอย่างเจ็บปวดบนเตียง ผมกระชากผ้าห่มออก ชองโฮฮยอนสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงในทรงทรังค์
สีมิ้นต์อ่อน? ขนาดสียังเลือกสีที่เหมาะกับตัวเองเลยแฮะ
ผมขึ้นคร่อมด้านบนแล้วกดตัวเขาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน โดยนั่งคร่อมช่วงท้องน้อยของเขาไว้และช่วงต้นขาก็ล็อกขาของเขาไว้แน่น ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นแรงด้วยความตื่นกลัวอยู่ใต้ร่าง
“นายตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“คะ…ครับ?”
“นายตายแล้วแน่ๆ นายถูกกัดข้อมือจนเลือดไหลแล้วก็ร้องไห้จนตายไม่ใช่เหรอ ฉันนั่งมองนายจนกระทั่งหัวใจนายหยุดเต้น แต่นี่…นายฟื้นกลับมาอีกรอบได้ยังไงกัน แล้วฉันล่ะ? ฉันอยู่กับนายที่สำนักงานผู้ดูแล ทำไมลืมตาขึ้นมาอีกทีก็กลับมาอยู่ในห้องตัวเองซะแล้วล่ะ”
ชองโฮฮยอนที่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกได้แต่กลอกดวงตาที่สั่นระริกไปมา ก่อนที่สายตาเขาจะหยุดลงที่แขนของผม เขาเห็นรอยเลือดสีดำแดงที่เลอะจากต้นแขนลงไปถึงหลังมือ ซึ่งเป็นจุดที่เสื้อยืดสีดำของผมปกปิดไม่ถึง
“…”
เขาตะลึงงันนิ่งค้างไป รูม่านตาสีสว่างพลันหดแคบลงทันที เขาดึงแขนที่ผมไม่ได้จับไว้ออกมาแล้วเหวี่ยงหมัดใส่ผม
ผลัวะ!
หน้าของผมสะบัดหันอย่างแรง เขาดิ้นและถีบผมไม่หยุด เข่าของเขาแทงเข้าตรงกลางลิ้นปี่ผมพอดีจนผมถึงกับก้มหน้าร้องโอดโอย ก่อนที่เขาจะใช้จังหวะนั้นหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
“ผมจะแจ้งความ”
เขาพยายามสงบร่างกายที่สั่นเทาและร้องเตือนด้วยท่าทีที่คิดว่าน่าเกรงขามที่สุด ทว่าคำพูดของเขากลับไม่ได้ผ่านเข้ามาในหัวของผมเลยสักนิด ชองโฮฮยอนที่มีชีวิตและหายใจได้ตามปกติ อีกทั้งข้อมือของเขาที่เกลี้ยงเกลาไร้รอยแผลหรือแผลเป็นใดๆ ในหัวของผมมีเพียงแค่ภาพเหล่านั้นลอยอยู่เต็มไปหมด
“บอกฉันมาสิว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วไอ้ตัวประหลาดนั่นมันคือตัวอะไร”
“…”
“นายกำลังรวมหัวกับคนอื่นมาหลอกฉันงั้นเหรอ หรือว่าฉันเพี้ยนไปแล้วจนเห็นภาพหลอนไปเอง? นายช่วยอธิบายมาที ขอร้องล่ะ อธิบายเรื่องบัดซบนี่มาที!”
ชองโฮฮยอนไม่ตอบอะไรกลับมา เขาถอยห่างจากผมไปทางหน้าต่างพลางพยายามทำทีเป็นสุขุม ทั้งที่ใบหน้าตื่นกลัวจนซีดเผือด
เสียงแห่งความโกลาหลแว่วดังมาจากโถงทางเดินผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่ ผมจึงรีบควานหาความทรงจำอย่างร้อนรน ก่อนจะจำได้ว่ามีพวกตัวประหลาดตัวอื่นๆ อยู่ก่อนแล้วตอนที่รูมเมตไล่ล่ามาจนถึงหน้าห้องของชองโฮฮยอน
“เรารีบออกไปกันเถอะ”
ผมเอื้อมมือไปจับตัวชองโฮฮยอนไว้ แต่เขากลับก้าวถอยหลังอย่างตื่นตระหนก
“บอกให้ออกไปไง! อยากตายอีกรอบหรือไงกัน”
“ไอ้ประสาทนี่ อย่าเข้ามานะเว้ย!”
“แม่งเอ๊ย ทำตัวน่ารำคาญฉิบหาย”
ผมร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ ขืนมัวชักช้าร่ำไรอยู่แบบนี้ มีหวังพวกนั้นได้โผล่ออกมากันพอดี ผมพุ่งพรวดเข้าไปตะครุบแขนของเขาแน่น หมายว่าจะต้องลากออกไปให้ได้
“หุบปากซะ!”
“ฮึก อึก…อ๊าก!”
ชองโฮฮยอนขัดขืนสุดแรง แต่แล้วทันใดนั้นเจ้าตัวก็หยุดชะงักไปราวกับถูกบางอย่างครอบงำ สายตาของเขามองผ่านไหล่ผมไป ผมจึงรีบหันขวับกลับไปมองข้างหลังทันทีอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้ว่าตอนเข้ามาในห้องไม่ได้ปิดประตูให้สนิท บานประตูเลยแง้มออกประมาณหนึ่งถึงสองคืบ ใบหน้าเน่าเฟะสีม่วงคล้ำดำเขียวมากมายกำลังจ้องมาที่เราผ่านช่องประตูนั้น
สายเกินไปแล้ว นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิด พวกเราเอะอะโวยวายกันดังเกินไป แถมยังลีลาชักช้าเกินไปอีก
“อะ…อะ…”
ลมหายใจของเขาสะดุดราวกับสติหลุดลอยไปแล้วกับภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า ผมขบกรามแน่น ก่อนจะพรูลมหายใจหอบถี่ลอดไรฟันออกมา
“ชองโฮฮยอน ก็ฉันบอกแล้วไงว่าให้รีบออกไป!”
เขาตัวสั่นเทิ้มขณะหันกลับมามองผม แทนที่จะได้สติ เขากลับตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม เสียงฟันกระทบกันกึกๆ ดังมาถึงหูของผม
“ชะ…ชื่อผม…คุณรู้ได้ยังไง”
บานประตูเปิดผ่างออกกว้าง พวกมันหลายตัวแกว่งแขนขากรูเบียดกันเข้ามา ห้องในหอพักทั้งแคบและเป็นพื้นที่ปิดจึงไม่มีที่ให้วิ่งหนี
“เฮือก…ฮึก…”
ชองโฮฮยอนที่สติหลุดไปแล้วเซถลาไปพิงหน้าต่างโดยไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนให้ตรง เขาคลำด้านหลังแล้วเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นในฤดูหนาวพัดเข้ามาด้านใน ขนบริเวณท้ายทอยและแผ่นหลังของผมลุกเกรียว เขาพิงหน้าต่างที่สูงระดับเอวด้วยแววตาเลื่อนลอยจนผมสังหรณ์ใจไม่ดี
“ชองโฮฮยอน?”
ในวินาทีถัดมาร่างกายท่อนบนของชองโฮฮยอนก็เสียหลักจนโงนเงนไปข้างหลัง ผมสีน้ำตาลกับเสื้อยืดสีขาวของเขาปลิวไปตามแรงลม โดยมีพื้นหลังเป็นภาพวิทยาเขตในฤดูหนาวอันเงียบเหงากับท้องฟ้าสีขมุกขมัวที่ทอดยาวไปไกลอยู่เบื้องหลัง วินาทีนั้นในหัวของผมพลันขาวโพลนไปหมด
“จับมือฉันไว้”
ผมยื่นร่างกายท่อนบนออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอื้อมมือออกไปสุดแรง โดยไม่ได้นึกถึงพวกตัวประหลาดที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังในเวลานี้เลยสักนิด
“จับฉันไว้!”
ผมตะคอกสุดเสียง เราสบตากันกลางอากาศที่มีสายลมเย็นยะเยือกพัดโหมกระหน่ำ ชองโฮฮยอนมองผมอย่างเหม่อลอยก่อนจะยื่นมือออกมา ทว่าระยะห่างนั้นกลับไกลเกินไปจนเราเอื้อมไม่ถึงกัน ปลายนิ้วของเขาข่วนผ่านข้อนิ้วของผมไปเพียงเสี้ยววินาที และนั่นคือทั้งหมดที่ผมทำได้
“…”
ผมตัวแข็งทื่อนิ่งค้างอยู่ในท่าที่ยื่นมือออกไปข้างล่างพลางก้มมองดูเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไปอย่างคว้าเอาไว้ไม่ถึงด้วยแววตาที่ว่างเปล่า มือที่เหมือนกับคราดเกี่ยวจับต้นคอของผมจากทางด้านหลัง ความปวดร้าวที่เชือดเฉือนหัวใจแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างไม่ทันไร เบื้องหน้าก็พลันมืดสนิทราวกับฉากจบของหนังเลือดสาดทุนต่ำที่มีแค่เลือดกับศพ
ผมเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน ผ้าห่มที่คลุมตัวไว้ลวกๆ เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกจนลืมแม้กระทั่งหายใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพรูลมหายใจออกมารวดเดียวราวกับคนที่จมน้ำแล้วถูกดึงขึ้นมา
“เฮือก…แฮก…”
ผมฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือพร้อมกับหอบหายใจ รูมเมตที่นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ผมยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยกว่าที่เขาจะกลายร่าง พักหายใจหายคอสักเดี๋ยวแล้วค่อยฆ่าทีหลังก็ยังได้ ความคิดแบบนั้นผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ผ่านไปอึดใจใหญ่กว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างยากลำบาก ผมค่อยๆ ลดมือที่ปิดหน้าลง ก่อนจะเห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตรงนิ้วมือ ซึ่งมันเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เล็บของชองโฮฮยอนข่วนเข้า
ผมจัดระเบียบความคิดขณะปล่อยให้เสียงโอดครวญของรูมเมตทะลุผ่านหูไป ถึงจะลองคิดทบทวนอีกสักกี่ครั้ง บทสรุปที่ออกมาก็ล้วนมีแต่เรื่องที่ดูสมจริงเสมอ ยุคนี้แล้วขนาดการ์ตูนหรือเกมเขายังไม่ค่อยใช้ฉากพวกนี้เลยไม่ใช่หรือไง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับมัน ถึงจะบ้าบอคอแตกขนาดไหน แต่สุดท้ายมันก็เป็นความจริงสำหรับผม และในที่สุดผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเอง
ช่วงเวลาที่ชองโฮฮยอนตาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะย้อนกลับมาในเช้าวันคริสต์มาส
และจะมีเพียงผมแค่คนเดียวเท่านั้นที่จำเรื่องราวทั้งหมดนั้นได้
ผมออกจากห้องโดยทิ้งศพของรูมเมตไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินที่ไม่ต่างไปจากภาพในความทรงจำเลยแม้แต่สักนิด หน้าห้องของชองโฮฮยอนที่ผมเดินมาถึงยังคงสะอาดเอี่ยมราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์สยองขวัญมาก่อน ผมจะเปิดประตูบานนั้นดีไหมนะ ถ้าเปิดไปก็อาจจะลงเอยแบบเดียวกับคราวก่อน ชองโฮฮยอนที่หลับสนิทจะตกใจตื่นขึ้นมาแล้วก็จะมองผมเป็นผู้บุกรุกที่ชั่วร้ายอีกล่ะสิ แต่ถ้าผมไม่เปิดล่ะ
ผมถอยห่างจากประตูเงียบๆ แล้วเดินผ่านห้องเขาไปราวกับมองไม่เห็นมันตั้งแต่แรก
ผมตัดสินใจแล้วว่าห้องในหอพักนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่เลยสักนิด ผนังเก็บเสียงนี่ก็เก่าซอมซ่อ ส่งเสียงดังทีได้ยินไปถึงโถงทางเดิน แค่ทุบหรือถีบสักสองสามครั้งโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไร บานประตูก็พร้อมพังโครมลงมาทันที ผมขึ้นไปที่ห้องอาบน้ำรวมชั้นบนเพราะที่นั่นมีประตูเหล็กที่แข็งแรงซึ่งเป็นระบบดิจิตอลดอร์ล็อก แล้วผมก็เพิ่งนึกถึงโพสต์อิตรูปแอปเปิ้ลที่ติดอยู่บนขอบจอมอนิเตอร์ในสำนักงานขึ้นมาได้
หน้าห้องอาบน้ำรวมมีพวกนักศึกษาที่ดูท่าคงจะมีความคิดคล้ายกับผมยืนรวมกลุ่มกันอยู่ พวกนั้นวิ่งหนีตายมาและกำลังยืนหันรีหันขวางเพราะไม่รู้วิธีเปิดประตู ผมผลักพวกนั้นออกไปแล้วไปยืนกดรหัสผ่านหน้าแป้นดิจิตอลดอร์ล็อก
ปิ๊บๆๆ ติ๊ด…แกร๊ก…
ประตูเหล็กบานหนาเปิดอ้าออกอย่างง่ายดาย
“รู้ได้ไง…”
คนอื่นๆ พากันกลอกตามองกันอย่างนึกฉงน ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โพสต์อิตที่เขียนตัวเลขแค่สี่หลักหรือรหัสผ่านนั้นคือภาพที่ชองโฮฮยอนจ้องมองมันในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต และหัวใจของผมก็หยุดเต้นมาแล้วครั้งหนึ่งกว่าจะได้รู้รหัสผ่านนั้น
ผมเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้วล็อกประตู เราถูกตัดขาดจากข้างนอกพร้อมกับเสียงหนักๆ ของประตู คนอื่นเหลือบมองและลอบสังเกตผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นจะรู้จักผม เธอทำท่าลังเลขณะเรียกผมว่า ‘รุ่นพี่คียองวอน’ อะไรเทือกนั้น แต่ขอโทษที ผมไม่ได้ว่างมากพอที่จะมานั่งโต้ตอบเรื่องแบบนั้นเป็นฉากๆ ไม่สิ…ความจริงแล้วผมไม่ได้รู้สึกขอโทษอะไรด้วยซ้ำ
ทุกคนล้วนหมกตัวอยู่ในห้องอาบน้ำเงียบๆ ผมรู้สึกดีใจเพราะคิดว่าหนีรอดปลอดภัยจากพวกตัวประหลาดที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกแล้ว แต่นั่นมันก็แค่แวบแรกเท่านั้น พอหนีจากอันตรายที่กระชั้นชิดตรงหน้าได้ก็ยังมีปัญหาอื่นตามมาอีก
ห้องอาบน้ำไม่มีของกิน สิ่งที่มีอยู่มีเพียงแค่น้ำก๊อก สบู่ และแชมพูเท่านั้น กลุ่มคนที่ทรมานกับความหิวโหยและหลงลืมความกลัวจนหมดสิ้นก็เกิดใจกล้าขึ้น
“ไปหาของกินเหอะ ก่อนที่เราจะอดตายกันหมด”
“แล้วเราจะไปหาจากที่ไหนเหรอครับ”
“นอกจากร้านสะดวกซื้อชั้นหนึ่งแล้ว ยังจะมีที่อื่นอีกหรือไง โรงอาหารก็เห็นว่าฉิบหายไปหมดแล้ว คงไปหาเอาที่นั่นไม่ได้หรอก ตอนนี้ไปกวาดของในร้านสะดวกซื้อมาให้หมดก็พอ”
ไอ้เวรทรงอันธพาลคนหนึ่งพูดพล่ามออกมาไม่หยุด ดูท่ามันจะเข้าใจว่าตัวเองเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ผมไม่ได้จำชื่อมันเพราะรู้สึกว่าไม่ได้มีค่าพอให้ต้องจดต้องจำขนาดนั้น
“ถ้าคนอื่นเอาไปหมดแล้วจะทำยังไงล่ะคะ”
“สติแตกกันขนาดนั้น จะมีใครมาคิดเรื่องปล้นร้านสะดวกซื้อบ้างวะ คนอื่นคงวุ่นอยู่กับการหนีกันหมดแหละ ไม่มีใครคิดได้หรอก ยกเว้นแต่พวกที่หาสถานที่กำบังที่ปลอดภัยแบบพวกเราได้น่ะ”
เขาไม่ได้พูดถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้พูดผิดเสียทีเดียว ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงตายจริงๆ เรื่องความหิวไม่ได้อยู่ในสารบบความคิดเลยแม้แต่น้อย เหมือนอย่างชองโฮฮยอนที่นั่งหลับตาอย่างอ่อนแรงอยู่กลางแอ่งเลือด ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะลืมมันอยู่หลายครั้ง แต่ภาพอันน่าเศร้าสลดนั้นก็วกกลับเข้ามาอีกครั้งจนผมต้องหลับตาลงแน่น
“เข้าใจแล้วค่ะ สมมติว่าถ้าจะออกไปกัน แต่ใครจะเป็นคนออกไปเหรอคะ”
คำถามชวนแตกหักถูกโพล่งขึ้นมา ทำเอาต่างคนต่างชำเลืองมองกันอย่างอึดอัดใจ
“เป่ายิงฉุบตัดสินไหมล่ะ หรือจะจับสลาก? หรือโหวต?”
“ระ…รุ่นพี่ครับ เอ่อ ขอโทษนะครับ ยูจินน่ะ…ช่วยเว้นยูจินไว้สักครั้งได้ไหมครับ”
เด็กหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดปากพูดพร้อมกับดันเด็กสาวที่ตัวเองช่วยประคองอยู่ไปไว้ด้านหลัง
“ฮะ? นี่ ไอ้หนูพัคกอนอู แกว่ามันฟังดูเข้าท่าไหมวะ สถานการณ์แบบนี้ใครหน้าไหนเขายกเว้นกัน”
“แต่ตอนนี้ยูจินไม่สบายหนัก…”
“เฮอะ ให้ตายสิ ก็อย่างว่าแหละนะ สถานการณ์แบบนี้แม่งต้องมีพวกสมองทึบแบบนี้คนนึงติดมาด้วยอยู่แล้วล่ะนะ”
เขาถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูด จากนั้นก็ชักสีหน้าแล้วแกล้งเงื้อมือใหญ่เท่าฝาหม้อขึ้นมาหมายจะตบอีกฝ่าย
“ไอ้ทึ่มไร้ประโยชน์เอ๊ย”
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนจะถอยกลับไป เขาวิงวอนขอให้ละเว้นแฟนสาวของตัวเองเอาไว้และอาสาจะไปแทนเองในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าโดนปฏิเสธไปตามระเบียบ ‘เป็นห่าอะไรมากนักวะ สารรูปแบบนั้นยังจะมาทำตัวเป็นพระเอกอวดว่าเป็นคู่รักกันอีก’ ผมได้ยินแค่คำด่าทำนองนั้นไหลผ่านหูจนรู้สึกสมเพชในใจ
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเป่ายิงฉุบเลือกสองคนที่จะออกไปข้างนอก ทุกคนจึงมารวมตัวเป็นวงกลมในห้องอาบน้ำกว้างๆ
“กรรไกร…ค้อน…”
ช่างเป็นภาพที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ตึงเครียดที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างแรง มองไกลๆ แล้วดูเหมือนมาเข้าค่ายกันเลยไม่ใช่หรือไง แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของทุกคนก็ดูคร่ำเครียดกันสุดๆ
“กระดาษ!”
ทุกคนยื่นมือออกมาพร้อมกัน ความเงียบไหลผ่านไปชั่วอึดใจ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่จุดเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพวกเขากำลังจ้องมาที่ผม
“…”
มีเพียงผมคนเดียวที่ไม่ยกมือ มือของผมไม่ได้ขยับเขยื้อน และไม่ใช่แค่มือเท่านั้นที่ไม่ขยับ ผมกระดิกตัวไม่ได้ราวกับเป็นอัมพาต หัวเข่าของผมล้มพับลงอย่างอ่อนแรง หัวใจเต้นกระหน่ำจวนจะระเบิด และทุกครั้งที่ชีพจรเต้น ผมก็รู้สึกเจ็บราวกับเส้นเลือดทั่วร่างกายกำลังฉีกขาด
“เฮือก…”
ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง ผมทรุดลงกับพื้นอย่างหมดหนทาง เพดานห้องอาบน้ำหมุนคว้าง ภาพของคนที่มองผมด้วยแววตาตกใจถูกทาทับด้วยสีดำจนผมมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป ก่อนที่ผมจะคิดขึ้นมาได้ท่ามกลางสติอันเลือนรางจวนเจียนจะดับวูบ
อา…แม่ง ไอ้บัดซบชองโฮฮยอน
ผมพบกับชองโฮฮยอนอีกครั้ง ก่อนจะแกล้งทักทายครั้งแรกและแนะนำตัวกัน
“ผมชื่อชองโฮฮยอนครับ ภาควิชาบริหารธุรกิจ”
เสียงสุภาพเรียบร้อยนั้นตราตรึงอยู่ในใจผมราวกับถูกสลักไว้ในหู
ผมยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น แต่ผมรู้อยู่อย่างหนึ่ง ในระบบจินตนาการสุดเฮงซวยนี่ ผมต้องใช้หนทางไหนก็ได้เพื่อช่วยชีวิตชองโฮฮยอน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ผมจะต้องตาย
ถึงผมตายก่อนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะยังไงตัวกลางของการวนลูปนี้ก็คือชองโฮฮยอน ตราบใดที่เด็กนั่นหนีความตายไม่พ้นและไม่รอดชีวิตไปจนถึงจุดจบ ลูปนี้ก็จะดำเนินต่อไปไม่จบไม่สิ้น ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผมถูกลากจากความมืดมิดมาอยู่ในเช้าวันใหม่ของวันคริสต์มาส
แต่ถึงผมจะตัวติดอยู่กับเขาก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยสักนิด ผมก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับชองโฮฮยอน เว้นแต่เรื่องที่ผมมีประสบการณ์ในช่วงเวลาอื่นและย้อนเวลากลับมาได้หลายครั้ง ผมไม่ได้มีพลังพิเศษ และไอ้พวกเวรนั่นก็ไม่ได้อ่อนแอลง เรื่องที่ย้อนเวลากลับมายังจุดเริ่มต้นนั้นเป็นเหมือนโลกแฟนตาซีไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่โลกนี้แม่งโคตรสมจริง
เด็กนั่นคือบทลงทัณฑ์จากสวรรค์สำหรับผม ไม่มีคำไหนที่จะนิยามเด็กนั่นได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว วันดีคืนดีจู่ๆ ก็มีหายนะโผล่เข้ามาโดยไม่มีเค้าลางบอกเหตุใดๆ ถ้าไม่ใช่เทวทัณฑ์แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก ผมไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของคนดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเลวบัดซบถึงขนาดที่จะต้องได้รับการลงทัณฑ์แบบนี้ นับได้ว่าไม่มีเรื่องไหนเฮงซวยไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เราไปที่ห้องซักรีดกับห้องอาบน้ำเพื่อหาทางยังชีพ ทั้งยังเคยไปห้องอ่านหนังสือกับร้านสะดวกซื้อ แถมยังเคยพรวดพราดผ่านล็อบบี้เพื่อลองวิ่งหนีออกจากประตูหน้าหอพัก หรือแม้แต่ขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า พวกเราก็เคยลองทำมาหมดแล้ว บางครั้งถ้าโชคดีก็จะหนีออกจากหอพักได้สำเร็จแล้วก็จะได้ไปที่อื่นต่อ
พวกศัตรูอยู่ชั้นไหน แต่ละชั้นมีจำนวนเท่าไหร่ ผ่านเส้นทางไหนแล้วอันตราย ต้องเปิดประตูที่ล็อกอยู่ยังไง ใช้อาวุธแบบไหนถึงจะได้ผล ผมจดจำเรื่องเหล่านั้นทีละอย่างผ่านร่างกาย โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาสูงลิบลิ่วเพื่อบทเรียนเหล่านั้น
พวกเรามีทั้งช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันแค่สองคน และมีทั้งช่วงเวลาที่ไปเข้าร่วมกลุ่มกับคนอื่นอีกหลายคน บางครั้งชองโฮฮยอนช่วยชีวิตผม บางครั้งผมก็ช่วยชีวิตชองโฮฮยอน เพียงแต่เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และนั่นรวมถึงผมด้วย แต่สำหรับผมแล้ว คนอื่นจะออกไปตายห่าหมดก็ไม่เป็นไร ผมปรารถนาเพียงแค่ให้ชองโฮฮยอนมีชีวิตอยู่รอดเพียงคนเดียวก็พอ
ระหว่างที่เผชิญหน้ากับช่วงเวลาอันน่าสยดสยองมากมาย เด็กนั่นไม่เคยทอดทิ้งผมเลยสักครั้ง แต่นอกจากจะไม่ขอบคุณแล้ว ผมกลับรู้สึกรังเกียจความช่วยเหลือจากเขา พอเขาสละตัวเองมาช่วยชีวิตผมอย่างไม่ลังเลจนตัวตาย ฉากจบที่ผมจะเดินทางไปถึงก็มีอยู่แค่อย่างเดียว
ผมมักจะบาดเจ็บสาหัสอยู่บ่อยๆ ชองโฮฮยอนก็เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือบาดแผลของชองโฮฮยอนจะเลือนหายไปจนหมดเกลี้ยงพร้อมกับความทรงจำ ในขณะที่บาดแผลของผมจะกลายเป็นแผลเป็นที่ติดอยู่บนร่างกาย
หลังจากฟื้นคืนชีพและตื่นขึ้นในห้องโดยไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ความรู้สึกก่อนตายจากรอบก่อนจะยังคงหลงเหลืออยู่ ตอนที่ถูกกัดแขนจนขาดทั้งท่อนย้อนกลับมาใหม่ ผมจับแขนข้างที่ตอนนี้สมบูรณ์ไร้ตำหนิแน่นแล้วดิ้นพล่านอยู่บนเตียงพลางกล้ำกลืนเสียงร้องคร่ำครวญ หลังจากสิ่งปลูกสร้างถล่มลงมาทับขาจนแหลก ผมก็ไม่กล้าหย่อนเท้าลงบนพื้นใต้เตียงอยู่พักใหญ่
ผมเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสรุปแล้วเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม ไม่ใช่ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องจริงความจริงแล้วเป็นเพียงแค่ฝันร้าย หรือทะลุเข้าไปอยู่ในแอนิเมชั่นไม่ก็เกมคุณภาพต่ำหรอกนะ ทุกครั้งที่คิดว่ามันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ผมพลันรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ
ผมพยายามเบือนหน้าหนีความสิ้นหวังที่ตามติดเป็นเงา และยึดติดกับชองโฮฮยอนหนักขึ้นทุกทีๆ ถึงจะไม่ชอบใจแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นกุญแจดอกเดียวที่จะหาทางออกให้กับสถานการณ์นี้ได้
ทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเขาฝังรากลึกอยู่ในสมองของผม แก้มที่ยังคงมีขนอ่อนเหลือติดอยู่ ดวงตาที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน หรือแม้แต่จุดสีดำเล็กๆ ใต้ตาข้างซ้าย ต่อให้ผมจะหลับตาอยู่ ภาพเหล่านั้นก็ยังคงปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างเลือนราง ผมคุ้นเคยกับใบหน้าของเด็กนั่นมากกว่าใบหน้าของตัวเองที่เกือบลืมไปแล้วซะอีก ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองส่องกระจกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
โดยรวมจากที่ดูมาทั้งหมดแล้ว น่าแปลกที่ชองโฮฮยอนไม่ได้สนใจคนอื่นเลยสักนิด มองผิวเผินครั้งแรกเขาดูเหมือนคนที่ชอบยุ่มย่ามเรื่องทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ทว่าเขากลับเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเกินคาด
เขามักจะชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางคิดคำนวณในหัว ถ้าตัดสินใจว่าเผชิญหน้ากันแล้วไม่มีประโยชน์ เขาก็จะหันหลังให้ด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้ม แถมต่อให้เป็นคนที่ไม่ถูกใจ เขาก็ยังจะทำตัวโอนอ่อนและเอาอกเอาใจประมาณหนึ่ง พอเห็นทนโท่ว่าเขายอมอ่อนข้อให้คนอื่นเพียงเพราะแค่รำคาญ ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นไปอีก
เขามีท่าทีตอบโต้ผมอย่างรุนแรงแค่ตอนที่ย้อนกลับมาครั้งแรกเท่านั้น ตอนนั้นเขามองผมที่บุกเข้าไปในห้องอย่างอุกอาจราวกับมองฆาตกรโรคจิต หลังจากแกล้งทำเป็นทักทายกันตามปกติตามประสาคนเพิ่งเจอกันครั้งแรกจนรู้หน้าค่าตากันแล้ว เขาก็จะเลิกสนใจผมไปเองโดยปริยาย
ถึงแม้ว่าเขาจะหวาดระแวงผม แต่ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ เขาก็จำต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ สำหรับเขาแล้วผมก็เป็นแค่รุ่นพี่ที่เขาไม่ถูกชะตา เป็นแค่คนที่เขาจะยอมพูดและปฏิบัติด้วยอย่างนอบน้อม แต่จะไม่มีทางเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดมากกว่านี้เด็ดขาด ตัวตนของผมสำหรับชองโฮฮยอนก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่านั้น
โคตรไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ผมรู้จักเด็กนั่นดียันสีกางเกงใน รู้ขนาดที่ว่าเด็กนั่นชอบพาดของลับเอียงไปทางฝั่งไหน ส่งเสียงครางยังไงตอนกระอักเลือด และทำสีหน้าแบบไหนตอนที่ลมหายใจกำลังจะสิ้นสุดลง
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองหรือคับแค้นใจอะไรเขานักหรอก ผมก็แค่เกลียดเขามากกว่าที่เขาเกลียดผมสักสิบเท่าก็แค่นั้นเอง
และแล้วครั้งนี้ก็ล้มเหลวอีกเช่นเคย
ผมกับชองโฮฮยอนกำลังวิ่งหนีไปตามแนวโถงทางเดินของหอพัก ยังไม่ทันได้ทิ้งระยะห่างจากพวกที่ไล่ตามหลังมา พวกตัวใหม่ๆ ก็ปรากฏตัวเพิ่มเข้ามาอีก ผมคิดว่าตัวเองเลือกเส้นทางผิด แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ซากศพวิ่งเบียดเสียดออกมาเป็นพรวนจากทุกที่ที่เราไป
ไม่นานเราก็มาถึงจุดที่เป็นทางตันซึ่งก็คือชั้นบนสุด ทั้งโถงทางเดินด้านหลังและบันไดจากชั้นล่างขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยพวกมัน เราอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอก ชองโฮฮยอนหันมามองผมด้วยใบหน้าซีดเผือด ระหว่างนั้นพวกมันก็ร่นระยะห่างเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่หนึ่งในพวกเวรนั่นจะคว้าจับข้อมือของชองโฮฮยอนไว้ได้
“อ๊าก!”
ชองโฮฮยอนตกใจและพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ผมยื่นมือออกไปเพื่อช่วยเขา แต่ขาผมก็ถูกตะครุบไว้เสียก่อน พวกที่ล้อมรอบเราอ้าปากกว้างราวกับกำลังรออยู่แล้ว น้ำลายเน่าเยิ้มไหลหยดลงมาเป็นทาง ผมพลาด ทุกอย่างจบเห่แล้ว ขณะนั้นความสิ้นหวังกำลังเกาะกุมจิตใจของผม
พวกนั้นพุ่งเข้ามาอย่างหิวกระหาย ร่างของชองโฮฮยอนถูกฝูงซอมบี้บดบังจนผมแทบมองไม่เห็น ส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกฉีกทึ้งออกไปพร้อมกับความเจ็บปวดอันแสนสาหัส
“ระ…รุ่นพี่”
ผมกับเขาสบตากันท่ามกลางแขนขาจำนวนมากมายที่ขยับไปมายั้วเยี้ย ดวงตาของชองโฮฮยอนกำลังบอกผมอย่างร้อนรน
‘ถ้าต้องถูกกัดฉีกจนตายแบบนี้ ขอ…’
เราเค้นแรงเฮือกสุดท้ายสะบัดพวกมันแล้วกระโจนลงไปที่บันไดข้างล่าง ร่างของเราลอยหวืออยู่กลางอากาศ ภาพของพวกมันที่ตะเกียกตะกายยื่นมือออกมาผ่านราวบันไดค่อยๆ ไกลห่างออกไป ไร้สิ่งกีดกั้นใดระหว่างที่ตกจากชั้นบนสุดลงไปจนถึงชั้นล่าง
ตุบ!
แรงกระแทกอันน่าสยดสยองปะทะเข้ากับร่างทั้งร่าง
“ฮึก…อึก”
ผมคลานไปบนพื้นในสภาพปางตาย ช่วงขาไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด ดูท่าเส้นประสาทคงจะถูกตัดขาดไป ไม่สิ…อาจจะถูกฉีกทึ้งออกไปหมดแล้วก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเหตุผลไหน ผมก็ไม่อยากก้มลงไปดูทั้งนั้น เพราะอีกไม่นานหัวใจของผมก็คงจะหยุดเต้นไปอีกครั้ง
ร่างของชองโฮฮยอนนอนแผ่อยู่ตรงหน้าผม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนใต้เปลือกตาที่ยังไม่ได้ปิดลงเหม่อมองอากาศอันว่างเปล่านิ่ง ผมยื่นมือที่สั่นเทาออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย ทว่าวินาทีที่เอื้อมมือไปถึง แก้มของเขาก็ได้เลอะไปด้วยเลือดอย่างน่าเจ็บปวด ผมไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งมือของผมจะต้องมาเปื้อนเลือดของเขา
วินาทีนั้นเองดวงตาของชองโฮฮยอนเริ่มขยับ ผมนึกว่าเขาหมดสติไปแล้ว เขากลอกตามามองผมช้าๆ มุมปากที่ฝืนเผยอออกอย่างหมดแรงยกขึ้นแผ่วเบาราวกับว่าเขากำลังพยายามยิ้มให้ผมอยู่ หลังจากนั้นริมฝีปากของเขาก็ขยับเบาๆ
“…”
ในใจผมรู้สึกอัดอั้นไปหมดเพราะไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร ผมพยายามขอให้เขาพูดเสียงดังอีกครั้ง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากเขาก่อนกลับเป็นเลือดที่ทะลักออกมาจากหลอดลม ผมหอบหายใจ ก่อนจะกระอักลิ่มเลือดออกมาไม่ต่างกัน
นั่นคือการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย ชองโฮฮยอนมองผม ริมฝีปากของเขาเผยอออกเล็กน้อย ก่อนจะไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป
“ฮึก…”
ผมหายใจรวยรินออกมาเป็นเฮือกสุดท้าย ใบหน้าของชองโฮฮยอนที่เห็นตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนไป ไม่นานนักโลกก็ถูกความมืดเข้าครอบครองโดยสมบูรณ์ ฉากจบแบบแบดเอ็นดิ้งได้วกกลับมาอีกครั้ง
ผมฟื้นขึ้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ผ้าห่มอุ่นๆ คลุมทับร่างกายกับต้นแขนที่มีเหงื่อเปียกชุ่ม ผมสลัดผ้าห่มออกจากตัวอย่างนึกรำคาญ ก่อนจะยกฝ่ามือที่เปียกชุ่มวางก่ายหน้าผากเพราะเสียงครวญครางแหลมสูงระคายเคืองหู ผมปิดหูของตัวเองโดยอัตโนมัติ คราวนี้เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงรบกวนที่แตกพร่าเหมือนยัดเครื่องขยายเสียงพังๆ เข้าไปอยู่ในหัวแทนสมอง
รูมเมตที่นอนอยู่เตียงตรงข้ามร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนผมต้องขดตัวอุดหูพลางก่นด่าออกไป
“เงียบ…”
อาการหูแว่วนอกจากจะไม่ลดลงแล้วยังรุนแรงขึ้นไปอีกระดับ ผมรู้สึกคลื่นไส้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“บอกให้เงียบไงวะ”
ผมจ้องแผ่นหลังของเขาที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่ จู่ๆ เลือดก็พุ่งผ่านอากาศมาราวกับน้ำพุแล้วสาดกระเซ็นมาใส่ตัวผมไม่ต่างจากซีนที่เกินจริงราวกับหนังเลือดสาด ไม่เพียงเท่านั้น เวลาจ้องมองที่ใดที่หนึ่งนานๆ ภาพตรงหน้าก็จะเริ่มบิดเบี้ยวชวนเวียนหัว ผนังกับเพดานคล้ายละลายมารวมกัน ร่างของพวกตัวประหลาดที่ผมฆ่าตายกำลังดิ้นยั้วเยี้ยอยู่กลางอากาศ ทุกหนทุกแห่งที่สายตาของผมมองเห็นคือนรก
ตอนนี้ผมไม่ตกใจอีกต่อไปแล้วกับการที่คนตายฟื้นขึ้นมาแล้วพยายามจะจับผมกิน ทุกครั้งที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมา ผมจะหูแว่วและเห็นภาพหลอนจากการท่องไปในอดีต ผมโงนเงนลุกขึ้นยืนโดยที่เสียงรบกวนนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องอยู่ข้างหู
“นายไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องมาทำห่าอะไรแบบนี้ทุกรอบเนี่ย”
มีเพียงเสียงครางฮือที่ตอบกลับมาจากฝั่งตรงข้าม ผมจึงชักสีหน้า
“ไม่ตอบ?”
“อึก…แค่ก…”
“ถ้าไม่ตอบ อย่างน้อยก็หัดอยู่ให้มันเงียบหน่อยสิวะ”
“กรรร…”
“อ๋า นายตายห่าไปแล้วเลยตอบไม่ได้งั้นสินะ”
ผมคว้ามีดแกะสลักบนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปใกล้ขอบเตียง เขายังไม่กลายร่างโดยสมบูรณ์ เดี๋ยวอีกสักพักเขาจะไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็นคนที่มีลมหายใจอยู่ ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเขาก็เป็นคนที่ไม่มีวิถีทางรักษา และกำลังทรมานกับโรคสายพันธุ์ใหม่ที่มีอัตราการตายหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมจึงตัดสินใจปักมีดลงไปที่คอของเขาอย่างไม่ลังเล
“แค่ก!”
นี่เหมือนเป็นมอนสเตอร์ฝึกสอนในเกมเลย มันจะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่เริ่มเกม หลังจากปฏิบัติภารกิจและอธิบายวิธีการจัดการเบื้องต้นเสร็จก็จะตาย ตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าจะฆ่าหลังจากกลายเป็นตัวประหลาดหรือฆ่าตอนนี้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน
“บอกให้เงียบไงวะ ยังไม่เงียบอีก ฮะ? แม่งเอ๊ย เงียบหน่อยสิวะ!”
ฉึก ฉึก ฉึก!
คมมีดตัดผ่านเนื้ออย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ผมได้เทคนิคในการเด็ดหัวพวกมันแล้ว
คอของมนุษย์แข็งแรงเกินคาด บางทีใช้ขวานหรือเลื่อยฟันลงไปหลายครั้งก็ยังตัดไม่ขาด การเล็งไปตรงกลางลำคอที่มีกล้ามเนื้อและกระดูกช่วยปกป้องอยู่นั้นไม่ได้ผล การแทงคมมีดลงไปบริเวณเนื้ออ่อนๆ ใต้คางแทนแล้วกรีดไปตามแนวกล้ามเนื้อจึงเป็นวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเคยเรียนในคลาสดรอว์อิ้งขั้นพื้นฐานเมื่อนานมาแล้ว ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะได้เอามันมาใช้จริงๆ แบบนี้
“แฮกๆ เฮ้อ…”
ผมใช้ข้อมือเช็ดคางแล้วหยัดตัวลุกขึ้น เลือดกระเซ็นเลอะเต็มแขนกับใบหน้า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมในตอนนี้เลยสักนิด รูมเมตแน่นิ่งไปพักใหญ่ เขาถูกกระหน่ำแทงอย่างหนักหน่วงจนทั่วทั้งห้องกลายเป็นแอ่งเลือด แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือขยะแขยง กลับกันแล้วผมไม่ได้สนใจมันเลยสักนิดราวกับกำลังดูภาพผ่านจอสกรีน
“…”
ผมทรุดฮวบลงบนเตียงแล้วปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ความคลุ้มคลั่งที่เดือดพล่านยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ภาพตรงหน้าที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงกำลังบิดเบี้ยว ก่อนจะเห็นเป็นกะโหลกลอยขึ้นมาเหนือท้ายทอยของรูมเมตที่นอนแน่นิ่ง ก่อนที่ภาพนั้นจะพร่าเบลอไปราวกับโฮโลแกรมคุณภาพต่ำ กะโหลกนั้นถูกตัดตามแนวทแยงจนผ่าครึ่งออกเป็นสองซีก ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป ช่างเป็นภาพหลอนที่บ้าบอเสียจริง
“ฮะๆ ฮ่าๆๆๆ”
ผมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง สถานการณ์นี้มันน่าขำสิ้นดี มันน่าขำจนผมทนไม่ได้ถ้าไม่ได้หัวเราะ เสียงรบกวนที่ได้ยินต่อเนื่องก่อนหน้านี้ดังแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะของผม
ในที่สุดผมก็หยุดหัวเราะแล้วลุกพรวดขึ้น ก่อนจะมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำพร้อมกับเลือดที่ไหลหยดลงจากปลายนิ้ว ยังไงซะผมก็ต้องออกจากห้อง ต้องออกไปพบชองโฮฮยอน ถ้าจะแกล้งทำเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือถ้าจะเล่นละครแสร้งเป็นคนที่หมกตัวอยู่ในห้องแล้ววิ่งหนีออกมาหน้าตาตื่น ถ้าจะทำอย่างนั้นผมต้องล้างเลือดบนตัวให้สะอาดซะก่อน
ผมยืนอยู่ใต้ฝักบัวที่มีน้ำไหลลงมาไม่ขาดสาย ทุกครั้งที่ถูใบหน้ากับแขนครั้งหนึ่งก็จะมีสีแดงปะปนลงมากับน้ำด้วย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้องอาบน้ำแคบๆ เมื่อหมุนเปิดก๊อกน้ำ น้ำที่เย็นจัดจนคล้ายกับน้ำแข็งก็ค่อยๆ อุ่นขึ้นทีละน้อย ผมล้างคราบเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเสียสติราวกับคนบ้า
จู่ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับความตายในอดีตก็แวบเข้ามา ตั้งแต่ภาพชองโฮฮยอนที่จ้องผมไม่วางตา ภาพนัยน์ตาสีน้ำตาลที่แสงในแววตานั้นจวนจะริบหรี่ลงทุกทีๆ กระทั่งภาพคราบเลือดสีแดงที่ติดเป็นรอยตามที่มือของไอ้ตัวพวกนั้นลากผ่าน
“…”
ผมก้มมองมือที่กลับมาสะอาดดังเดิม ก่อนจะยกมือทาบบนแก้มและนิ่งค้างราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ ทั้งแก้มและมือของผมเย็นเฉียบเพราะเปียกน้ำมาเป็นเวลานาน มันเย็นยะเยียบจนไม่หลงเหลือความรู้สึกใด
ผมค่อยๆ ลดมือลงมาแตะที่ริมฝีปาก ในขณะที่สายน้ำไหลเทลงมาชะล้างตัวราวกับฝนห่าใหญ่ ผมได้พยายามนึกย้อนกลับไปในอดีต สัมผัสที่แก้มของชองโฮฮยอนยามที่ปลายนิ้วผมแตะโดนมันเป็นยังไง แล้วเด็กนั่นยกยิ้มให้ผมแบบไหนกันในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ภาพชองโฮฮยอนที่เลือดท่วมตัวปางตาย ภาพชองโฮฮยอนที่ร้องครวญคราง ภาพชองโฮฮยอนที่ตื่นกลัวเวลาอยู่กับผม คงต้องโทษที่ผมเห็นภาพของชองโฮฮยอนในสภาพที่น่าสลดแบบนั้นมามาก ซอกมุมหนึ่งในใจของผมจึงพลันชาวูบขึ้นมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเด็กนั่น ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าคราวนี้เขาจะหาเรื่องพาตัวเองไปตายได้ไวขนาดไหน ผมคุ้นเคยกับการที่ชองโฮฮยอนพยายามตีตัวออกหากและหลีกหนีจากผม ทว่าในทางกลับกันแล้ว ผมก็ไม่เคยทำใจให้ชินกับมันได้เลยสักครั้ง
“ฮึก…”
บริเวณใต้ท้องน้อยของผมรู้สึกเกร็งขึ้นมา ผมก้มลงมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเห็นไอ้นั่นของตัวเองที่เริ่มแข็งโด่มาได้ครึ่งทางแล้ว ความรู้สึกที่ลืมเลือนไปนานหวนคืนกลับมา ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับการตายแล้วฟื้นคืนกลับมามีชีวิตวนลูปซ้ำไปซ้ำมาจนลืมนึกถึงเรื่องความต้องการทางเพศไปเสียสนิท พอตระหนักได้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ความรุ่มร้อนในกายก็พลันลุกโหมขึ้นจนเหนี่ยวรั้งเอาไว้ไม่อยู่
ไม่มีเวลามารู้สึกละอายใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมใช้มือหนึ่งกำรอบแท่งเอ็นพลางเอนตัวพิงผนังกระเบื้องที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะโอบกระชับมันให้แน่นแล้วเริ่มชักรูดสองสามครั้ง ผมใช้อุ้งมือเปียกๆ ที่อุ่นชื้นคลึงตรงส่วนหัว จากนั้นจึงรูดลงมาตามความยาวของท่อนลำ ก่อนที่ผิวส่วนที่อ่อนไหวซึ่งมีเส้นเอ็นปูดโปนจะถูกรูดรั้งอย่างรุนแรง เลือดไหลเวียนและคั่งอยู่ในส่วนนั้นอย่างรวดเร็ว แนวกระดูกสันหลังผมพลันเกร็งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
พั่บๆๆ
ท่อนเนื้อที่เปียกน้ำเสียดสีกับมือรัวเร็ว ผมช่วยตัวเองไปพลางนึกถึงชองโฮฮยอนไปพลาง โดยจินตนาการว่ากำลังกดร่างของชองโฮฮยอนที่ส่ายหน้าและพร่ำพูดคำว่า ‘อย่า’ ลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อม จากนั้นก็ถอดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวของเขาออก
ผมนึกอยากดึงกางเกงในขาสั้นสีมิ้นต์ที่แสนน่ารักนั่นลงมาเกี่ยวที่ข้อเท้า ทว่าพอเห็นแกนกายที่ขึ้นเป็นเค้าโครงอยู่ภายใต้ชั้นในนั่นแล้ว ผมก็นึกอยากกระชากมันออกไปจากกายของอีกฝ่ายแล้วดูดอมมันอย่างหิวกระหายทันที ถึงผมจะไม่เคยแม้แต่จินตนาการภาพตัวเองตอนอมไอ้นั่นของผู้ชายมาก่อน แต่พอลองจินตนาการว่าเป็นเด็กนั่นแล้วก็รู้สึกว่าไม่เลวดีเหมือนกัน ก็ตรงนั้นของเด็กนั่นมันทั้งน่ารักและสะอาดเหมือนกับหน้าตาของเจ้าของมันไม่มีผิด
ถ้าเกิดผมอมไอ้นั่นของเขาเข้าไปลึกๆ จนหัวของผมฝังอยู่ในหว่างขาของเขา จากนั้นก็ห่อปากดูดมันแรงๆ เด็กนั่นคงจะต้องครางลั่นออกมาแน่ๆ แล้วหลังจากนั้นผมจะทำยังไงต่อดี สอดลิ้นใส่ช่องทางข้างหลังแล้วละเลงลิ้นตรงนั้นแรงๆ หรือจะสั่งให้เขาอมของผม หรือว่าจะแหวกแก้มก้นกลมกลึงนั้นออกกว้างๆ แล้วกระแทกเข้าไปให้สุดความยาวดี
ไม่ว่าผมจะทำอะไร เขาก็คงจะดีดดิ้นขัดขืนแล้วก็ร้องไห้จนขอบตาเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา หรือไม่ก็อาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้ ไม่สิ…เขาต้องเกลียดผมแน่ๆ อยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ แบบนี้พวกเราก็จะได้เท่าเทียมกันไง
ถ้าเกิดว่าชองโฮฮยอนขัดขืนจนถึงที่สุดล่ะ ผมจะทำยังไงดีนะ ถ้าเขาบอกว่าถึงตายก็จะยังเกลียดผมล่ะ ถ้าอย่างนั้น…
…ฆ่าซะเลยดีไหม
ถึงฆ่าให้ตายยังไง เขาก็จะฟื้นกลับมาใหม่อีกรอบอยู่แล้ว แถมความทรงจำก็ยังโดนลบหายไปอีก ในเมื่อคนที่ทำให้ผมติดอยู่ในลูปเฮงซวยนี่คือชองโฮฮยอนคนเดียว ก็แค่ฆ่าให้ตายเอง ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่
“ฮึก…อึก…”
ลมหายใจร้อนผ่าวเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ผมหอบหายใจถี่ราวกับสัตว์ที่กำลังติดกับดัก ผมที่เปียกน้ำปรกหน้าผากจนบดบังการมองเห็น แต่ผมกลับไม่ว่างแม้แต่จะเสยผมด้านหน้าขึ้น
ชองโฮฮยอนตายโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ ตอนนี้เขาก็คงจะยังหลับอยู่ในห้องของตัวเอง ถ้าเขามาเห็นผมในสภาพนี้เข้าจะคิดยังไงกันนะ แม้แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจินตนาการถึงเรื่องลามกที่ห่างไกลจากความเป็นจริง ผมก็ยังนึกภาพของชองโฮฮยอนที่ไม่ทำตัวหมางเมินผมไม่ออกเลย
เขาคงจะส่งสายตาเกลียดชังพร้อมกับฝืนยกยิ้มให้ ก่อนจะพยายามเบือนหน้าหนีไปราวกับไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่ลับหลังเขาไม่แม้แต่จะมองว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ เพราะนั่นแหละคือตัวตนของเขา
‘ผมชื่อชองโฮฮยอนครับ ภาควิชาบริหารธุรกิจ’
‘แอปเปิ้ลไงครับ…ผมชอบแอปเปิ้ลน่ะครับ’
‘เจ็บ…เฮือก ฮึก…ผมกลัวครับ ผมไม่อยากตาย…’
‘ระ…รุ่นพี่’
เสียงกระซิบของชองโฮฮยอนดังขึ้นในหัวของผม บางครั้งเขาก็แสร้งยิ้ม บางครั้งก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศก ผมแยกแยะไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพวกมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่า ผมออกแรงคลึงเคล้นแล้วชักรูดท่อนเอ็นรัวเร็ว กล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อต้นขาที่หนั่นแน่นกระตุกเกร็ง ก่อนจะสาวมือเร็วขึ้นอีกพลางหอบหายใจกระเส่า
ผมหลับตาลงแน่น ไฟห้องน้ำสีวอร์มโทนอาบลงมาบนเปลือกตาที่ปิดสนิท ผมรู้สึกเสียวซ่านขณะพยายามกล้ำกลืนเสียงครางลงไปในลำคอพลางเชิดหน้าขึ้น
“เฮือก…! อึก…”
ส่วนหัวที่หาช่องทางหลั่งไม่ได้กำลังเกร็งกระตุกอยู่ในกำมือผม น้ำเชื้อที่เคยอัดแน่นอยู่เต็มถุงเนื้อหลั่งทะลักออกมาราวกับรอเวลานี้มานาน ทุกครั้งที่เค้นท่อนลำเพื่อรีดน้ำกามออกมา ผมจะรู้สึกราวกับมีประกายไฟสว่างวาบขึ้นในหัวโดยอัตโนมัติ มันเป็นความสุขสมที่ทั้งหยาบโลนและโล่งสบาย
หลังจากปลดปล่อยเสร็จแล้ว ผมก็ปล่อยมือที่จับแกนกายออก สายน้ำได้ชำระน้ำกามทิ้งไปทันที ของเหลวสีมุกไหลหยดลงเป็นหยดๆ ผสมรวมกับน้ำแล้วไหลลงท่อระบายไป ผมมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยพลางครุ่นคิดในใจ
นั่นสินะ…นี่มันใช่เรื่องจริงซะที่ไหนกันล่ะ ถ้าเป็นเรื่องจริงไม่มีทางที่ผมจะทำอะไรป่าเถื่อนได้ขนาดนี้หรอก เรื่องจริงผมไม่มีทางทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด…