DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย
ทดลองอ่าน DEAD MAN SWITCH ฝ่าวิกฤตปิดสวิตช์ตาย เล่ม 2 บทที่ 6.3 ถึง 6.4 #นิยายวาย
Chapter 6-4
ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องจริง พอคิดแบบนั้นแล้ว ในหัวก็พลอยรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นแค่ฉากที่ถูกเซ็ตไว้
ผมไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะฆ่าพวกนั้นอีกต่อไป การสังเวยคนอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดเองก็เช่นกัน เพราะถึงยังไงทุกอย่างมันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมอยู่แล้วเมื่อทำการรีเซ็ตใหม่ มันก็เหมือนกับเครื่องเล่นวิดีโอที่ฉายฉากเดิมซ้ำๆ วนไปวนมาหลายรอบเมื่อกดปุ่มรีเพลย์ ดังนั้นก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทรมานกับความรู้สึกผิดอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้นับวันความรู้สึกของผมมันก็ยิ่งตายด้านขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมกลัวว่าสนิมจะเกาะมีดจนทื่อมากกว่าการเอามีดไปไล่สับแขนขาใครซะอีก แถมเดี๋ยวนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าต่อให้มีคนตายตรงหน้า พวกมันก็แค่ซากศพที่มานอนขวางทางเดินผมเพียงเท่านั้น
อย่าว่าแต่จะจำชื่อเลย ผมจำหน้าตาของคนแต่ละคนไม่ได้ด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ผมมองเห็นใบหน้าของคนอื่นๆ เป็นสีดำราวกับถูกทาทับด้วยน้ำหมึก เว้นเสียก็แต่ใบหน้าของชองโฮฮยอนคนเดียว แม้แต่เสียงพูดก็เช่นกัน ผมมักจะได้ยินเสียงรบกวนแทรกเข้ามาเวลาคนอื่นพูดตลอด เพราะแบบนั้นผมจึงยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมากขึ้นว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องจริง
ผมตระเวนไปทั่วราวกับสำรวจแผนที่ในเกม พอคิดได้ว่าเวลาตายแต่ละครั้งนั้นผมไม่ได้ตายจริงสักหน่อย ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จุดเริ่มต้นแรกคือหอพัก ผมต้องเลือกจากจุดนั้นว่าจะอยู่หอพักต่อหรือว่าจะย้ายไปที่อื่น
การอยู่ที่หอพักไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก เพราะโรงอาหารกับร้านสะดวกซื้อได้กลายเป็นสมรภูมิรบขนาดย่อมไปแล้ว ที่นั่นหาเสบียงอาหารยากมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือมันมีพื้นที่เล็กเมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆ ในวิทยาเขต มันเป็นเพียงแค่ห้องแคบๆ หลายสิบห้องติดกันโดยมีผนังบางๆ กั้นแต่ละห้องเอาไว้ เลยทำให้ด้อยในเรื่องของการป้องกัน
พอพ้นจากหอพักไป สถานที่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะมีตึกสโมสรนักศึกษากับหอสมุดกลาง โดยตึกสโมสรนักศึกษาตั้งอยู่บนยอดของเนินเขาที่มีพื้นที่ลาดชัน พอหิมะตกลงมา มันก็จะกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ อย่างสันโดษไปโดยปริยาย ส่วนหอสมุดกลางตั้งอยู่บนที่ราบและกว้างขวาง ทว่าสถานการณ์ภายในนั้นกลับมืดหม่นและสิ้นหวัง ด้วยมีกลุ่มติดอาวุธที่เข้ายึดครองหอสมุดและคอยไล่ล่าคนอื่นๆ
ที่หอพักนั้น ส่วนใหญ่แล้วผมจะถูกกัดอวัยวะสำคัญแล้วเสียเลือดจนตาย หรือไม่ก็ตกจากที่สูงตาย มีครั้งหนึ่งเคยเกิดระเบิดที่โรงอาหารจนถูกไฟคลอกตายด้วย
ส่วนในสถานที่อื่นๆ ก็มีสาเหตุการตายแตกต่างกันออกไป บางครั้งก็สู้กับพวกที่ยึดครองหอสมุดกลางจนถูกแทงตาย หรือบางทีก็มีพวกตัวประหลาดพังเกตห้องอ่านหนังสือออกมารุมทึ้งฉีกร่างจนตาย แถมมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเคยถูกเหล็กเส้นแทงทะลุท้องตายในโรงยิมที่กำลังมีการปรับปรุงก่อสร้าง
ที่อาคารที่ระลึกครบรอบเจ็ดสิบปีเองก็มีฉากที่ชองโฮฮยอนฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอกับท่อที่ชั้นใต้ดิน ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาร่วงตกหน้าต่างลงไปตายตอนที่ฟื้นกลับมาครั้งที่สอง นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเอง
ถึงจะเคยคิดว่าตัวเองคุ้นชินกับความตายแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงแม้แต่ตัวผมเองก็ยังเผลอสติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ชองโฮฮยอนสิ้นลมหายใจและหัวใจของผมหยุดเต้น ผมเอาแต่จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นด้วยแววตาที่เลื่อนลอย
แต่ในทางกลับกันผมก็คิดว่ามันคือโชคดี คงต้องขอบคุณที่ชองโฮฮยอนเป็นฝ่ายตายก่อน ผมเลยได้กลับมาเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาบนร่างกาย ไหนๆ ก็จะรีเซ็ตอยู่แล้ว สู้ตายดีๆ แบบไร้รอยแผลมันจะไม่ดีกว่าหรือไงกัน
ผมได้สั่งสมประสบการณ์มาทีละน้อยในระหว่างที่ต่อสู้ หลบหนี และตายมานับครั้งไม่ถ้วน ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันขวัญเสียกับหายนะที่ถาโถมเข้ามากะทันหัน ผมกลับสะบั้นคอไอ้พวกนั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอเห็นคนพวกนั้นแตกตื่นกรีดร้องกันแล้ว อย่าว่าแต่จะสงสารเลย ผมกลับรู้สึกสมเพชพวกเขาเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็แสดงละครได้สมบทบาทกันดีจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว พวกนั้นก็ระแวงผมราวกับเห็นผมเป็นไอ้พวกตัวประหลาดนั่น คนที่เป็นตัวประหลาดน่ะไม่ใช่ผม แต่เป็นพวกมันต่างหากล่ะ น่าอึดอัดฉิบหาย พวกไร้น้ำยาที่ทำอะไรไม่เป็น อีกทั้งยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำห่าอะไรไม่ได้นอกจากตัวสั่นงันงก ถ้าจะไร้ประโยชน์ขนาดนั้น อย่างน้อยๆ ก็น่าจะหุบปากเงียบแล้วทำตัวให้มันสงบเสงี่ยมหน่อยสิ ถ้าหากว่านี่เป็นหนัง พวกนั้นก็คงเป็นได้แค่ตัวประกอบโนเนม หรือถ้าเกิดว่านี่เป็นเกม พวกนั้นอย่างเก่งก็คงเป็นได้แค่เอ็นพีซี* บทน้อยที่พูดได้แต่ประโยคซ้ำๆ
ความหงุดหงิดที่ทับถมไว้ระเบิดออกมาในที่สุด ผมรวมตัวกับพวกที่เจอกันในตึกคณะมนุษยศาสตร์ และกำลังหารือเรื่องแผนการในอนาคตที่ห้องบรรยายอันว่างเปล่า ดูเหมือนว่าเสบียงที่หาได้จากตึกนี่จะไม่มีเหลือแล้ว พวกเราเลยมีความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่ายว่าจะย้ายไปอยู่อาคารอื่นหรือว่าจะอยู่ที่นี่กันต่อไปดี
ตัวผมยืนกรานว่าจะย้ายตึก แต่คนอื่นๆ กลับแย้งว่าจะอยู่ต่อ พวกนั้นให้ความเห็นว่าควรปักหลักอยู่ที่ตึกมนุษยศาสตร์จนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ เพราะข้างนอกอาจมีอันตรายบางอย่างดักซุ่มอยู่ก็เป็นได้ ผมรู้ดีว่าต่อให้ปักหลักรอยังไงความช่วยเหลือก็ไม่มีวันมาถึง เลยทำได้เพียงแค่สิ้นหวังและสมเพชความโง่เขลาของคนพวกนั้น
“อยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันเถอะครับ เคลื่อนไหวฉุกละหุกเอาตอนนี้มันอันตราย”
“ใช่แล้ว ไหนจะเรื่องอาหารอีก ตอนนี้ลำพังแค่น้ำเรายังมีไม่พอเลยไม่ใช่หรือไง”
“จะว่าไปแล้วเรายังไม่ได้ค้นดูที่ชั้นหกเลยนี่ครับ เห็นว่าที่นั่นมีห้องแล็บของอาจารย์ด้วยนี่ ลองไปสำรวจกันก่อนสักครั้งดีไหมครับ”
“พอเคลียร์สถานการณ์ได้แล้ว…”
“ก่อนอื่นก็…”
เสียงรบกวนปะปนมากับเสียงกระซิบกระซาบจนเนื้อความขาดหายจับใจความไม่ได้ ฟังไปก็มีแต่จะปวดหัว ผมก้มหน้าพลางใช้อุ้งมือกดนวดลงตรงหว่างคิ้ว
“หุบปาก”
คนอื่นๆ ไม่ได้ยินผมและยังคงพูดคุยเอะอะกันต่อไป อารมณ์โกรธเดือดพล่านขึ้นมาจากข้างใน ผมยกเท้าถีบเก้าอี้ตัวข้างๆ เต็มแรง เสียงโครมดังก้องไปทั่วห้องบรรยาย ทุกคนสะดุ้งโหยงแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียว
“หุบปาก บอกให้หุบปากไงวะ!”
การตะโกนลั่นเพียงเท่านั้นไม่ได้ช่วยให้ความโกรธลดลง ผมถีบเก้าอี้แล้วคว่ำโต๊ะทุกตัวที่ผ่านเข้ามาในสายตา ใครบางคนโดนโต๊ะกระแทกชนจนตัวเซ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะคนพวกนั้นมันไม่ได้เป็นคนจริงๆ
“พล่ามกันเก่งนักนะ เคยรู้เหี้ยอะไรบ้างล่ะ ไอ้พวกที่ยังไงก็ตายห่ากันหมดเอ๊ย ฉันบอกว่าให้ออกไปก็ออกไปสิ เวลาพูดเวลาบอกอะไรก็หัดเชื่องหัดทำตามกันหน่อยสิวะ!”
ทุกคนต่างก็ผงะก้าวถอยหลัง ผมกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะสบตาเข้ากับไอ้เอ็นพีซีตัวหนึ่งที่ไม่ค่อยมีตัวตนและบทบาท เขากลัวผมตัวสั่นงันงกจนแข้งขาพันกันแล้วล้มหงายหลังไปขณะเดินถอยหลัง
“ดะ…เดี๋ยวสิ จู่ๆ ทำไมถึง…”
“จู่ๆ ทำไมอะไรของนาย”
“คุณโวยวายแบบนี้เพียงเพราะพวกเราไม่ยอมฟังที่คุณพูดเหรอครับ แบบนั้นมัน…”
ทั้งๆ ที่กลัวจนผวาขนาดนั้น แต่ก็ยังจะอุตส่าห์อ้าปากเถียง คนอื่นๆ ต่างส่งสายตาให้กันราวกับคิดเห็นตรงกัน จะไม่ยอมฟังกันสินะ ตลกเป็นบ้า ไอ้กระจอกนั่นมันคิดว่ามันเป็นใครถึงได้กล้าพูดกับผมอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ตัวมันเองถ้าไม่ได้ผมช่วย ป่านนี้ก็คงจะตายห่าไปนานแล้ว
“เชิญเลย ถ้าอยากอยู่ที่นี่นักก็เชิญ ฉิบหายขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อย่ามาร้องขอให้ช่วยนะ ให้แม่งตายห่าไปให้หมดนั่นแหละ ค่ายปิดเทอมฤดูหนาวปีนี้พวกแกคงอยากไปทัวร์ยมโลกกันสินะ โปรแกรมทัวร์คืออะไรล่ะ เปิดประสบการณ์ฆ่าตัวตายหมู่? ว้าว แม่งคงสนุกน่าดูเลยว่ะ”
ผมทำหน้าเหวี่ยงพร้อมกับตะคอกออกไปจนใบหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือด
“แม่งเอ๊ย มองเหี้ยไร!”
“รุ่นพี่ หยุดเถอะนะครับ”
ชองโฮฮยอนที่ปิดปากเงียบและเฝ้าดูสถานการณ์มาตลอดโพล่งขึ้น
“ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากจะคัดค้านความเห็นของรุ่นพี่หรอกนะครับ เพียงแต่รุ่นพี่ต้องให้เหตุผลที่ฟังแล้วพวกเราพอเข้าใจได้มาก่อน”
เด็กนี่เป็นแบบนี้อยู่เสมอ ถ้าจะสงบปากสงบคำเฝ้าดูอยู่เงียบๆ ก็ต้องเงียบไปให้ถึงที่สุดสิ ไม่ใช่มาตาขาวเอาตอนวินาทีสุดท้ายแบบนี้ ชองโฮฮยอนวางตัวนิ่งเฉยมาโดยตลอด แต่ถ้าเกิดมีใครล้ำเส้นบางอย่างเข้า เขาก็จะโยนความนิ่งเฉยนั่นทิ้งไปแล้วหยิบยกมุมมองด้านศีลธรรมแบบคลั่งความถูกต้องที่เก็บไว้ลึกๆ อยู่ข้างในออกมาพล่ามทันที
“นายว่าไงนะ”
ทั้งที่เวลาอยู่ต่อหน้าผม เขาชอบทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายตลอด แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เขากลับทำตัวเชื่องแถมยังปั้นหน้ายิ้มใส่เนี่ยนะ? แม่งเอ๊ย หัวร้อนฉิบหาย ถ้าลองใช้มีดกรีดหน้าพวกแม่งให้เละ เด็กนี่มันจะหยุดทำตัวแบบนี้ไหมนะ
“รุ่นพี่ไม่เคยพูดสิ่งที่คิดออกมาสักคำ แล้วพวกเราจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะครับ รุ่นพี่เอาแต่พูดจาบังคับขู่เข็ญลูกเดียวเลย”
“…”
“พวกเราต่างก็เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ คนที่อยู่ในห้องนี้ทุกคนต่างก็ไม่เคยรู้จักกัน จะมีอะไรที่ไม่เข้าใจกันบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะแบบนั้นเราเลยยิ่งต้องคุยกันให้มากขึ้นไงครับ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สติผมก็ขาดผึงไปทันที รู้ตัวอีกทีก็พบว่าผมได้เหวี่ยงหมัดใส่หน้าของชองโฮฮยอนไปแล้ว
ผลัวะ!
หน้าของชองโฮฮยอนสะบัดหันไปอย่างแรง เขาทรุดตัวลงบนพื้นห้องบรรยายโล่งๆ เพราะเก้าอี้กับโต๊ะถูกผลักออกไปหมดแล้ว เสียงอุทานสั้นๆ ดังขึ้นจากรอบด้าน
“เจอกันครั้งแรกงั้นเหรอ”
ชองโฮฮยอนที่หยัดกายลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบากเงยหน้ามองผม สายตาของเขาดูเหมือนไม่เข้าใจการกระทำที่หุนหันจากแรงอารมณ์ของผมเลยสักนิด มุมปากข้างหนึ่งของเขาแตกและมีเลือดซิบ
“นายคงอยากตายมากจนสติหลุดไปแล้วงั้นสินะ”
ผมพึมพำเสียงเย็นยะเยียบ เขายืนเหม่ออ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะหุบปิดลง มวลอารมณ์มากมายฉายชัดอยู่ในดวงตาที่สั่นระริกเพราะความช็อก รวมทั้งยังมีความขุ่นเคืองและความตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่ในนั้น
ชองโฮฮยอนกระชากคอเสื้อของผมเข้าหาตัวแล้วเหวี่ยงหมัดซัดหน้าผมอย่างไม่ลังเล ก่อนที่เขาจะผลักผมเต็มแรงในระหว่างที่ผมกำลังยืนเซ
ปึก!
ความเจ็บรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังที่กระแทกชนเข้ากับผนัง วินาทีนั้นผมเองก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน ผมคว้าและบิดแขนของชองโฮฮยอน ก่อนจะสวนหมัดกลับไปอีกรอบ
เราซัดกันนัวจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครราวกับสัตว์ป่า เขากระโจนเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งๆ ที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก อย่างไอ้เด็กที่งับแก้มแล้วเหมือนได้กลิ่นวิปครีมนั่นน่ะเหรอจะสู้ผมได้ ผมเป็นผู้ชายรูปร่างดีตามแบบฉบับของผู้ชายอยู่แล้ว หมัดที่สวนออกไปเลยแรงไม่ใช่น้อย
“กรี๊ด!”
“ทะ…ทำยังไงดีครับ”
“ใครก็ได้ช่วย…”
ผู้คนตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ทำท่าเหมือนไม่กล้าเข้ามาห้ามพวกเรา
ผมขยุ้มผมของชองโฮฮยอนแล้วกระชากขึ้นมา ก่อนจะจับหัวของเขาโขกพื้นอย่างแรง
ปัก!
เขาไม่แม้แต่จะร้องเสียงหลงออกมา ผมขึ้นไปคร่อมตัวเขาที่ล้มหมอบลงไป โดยใช้น้ำหนักตัวกดทับเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับเขยื้อน ก่อนจะใช้สองมือบีบคอ
“…”
ชองโฮฮยอนอ้าปากค้างด้วยความทรมาน ใบหน้าขาวเนียนเริ่มแดงก่ำ เขาหอบหายใจเอาลมหายใจร้อนๆ ออกมาทางริมฝีปากที่มีเลือดกบอยู่ ถ้าผมยังบีบคอเขาแบบนี้ต่อไป เขาก็จะตาย และถ้าเขาตาย ผมก็จะตายเช่นกัน ผมจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยการตื่นขึ้นมาในห้องของหอพัก
เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรก…อีกครั้ง…
‘พวกเราต่างก็เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ’
เด็กนี่พูดแบบนั้น จนถึงตอนนี้ผมได้พบกับคนที่ชื่อ ‘ชองโฮฮยอน’ มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่สำหรับเขาผมกลับเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าอยู่เสมอ ผมที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดกลับไม่เคยหลงเหลือตัวตนอยู่เลยแม้แต่ในความทรงจำของใครๆ
ผมพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจนในหัวขาวโพลนและเริ่มหายใจไม่ออก การเคลื่อนไหวของคนใต้ร่างที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ สติของผมเริ่มกลับมาทำงาน ปลายนิ้วกับนิ้วเท้าพลันแข็งทื่อ
“อะ…อะ…”
ผมสะดุ้งโหยงแล้วผละมือที่บีบคอเขาอยู่ออก ทว่าชองโฮฮยอนกลับแน่นิ่งไปแล้ว เปลือกตาของเขาปิดลงอย่างหมดแรง ผมเอื้อมมือไปจับแก้มของเด็กนี่ด้วยมือที่สั่นเทา หัวใจของผมเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง
โฮฮยอนอา…ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากเรียกชื่อเขา ทันใดนั้นวัตถุหนักๆ ก็ฟาดลงมาที่หัวของผมโดยที่ยังไม่ทันได้มีเสียงไหนหลุดลอดออกไปจากริมฝีปาก ภาพของชายคนที่ถือเก้าอี้เหล็กสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เริ่มพร่าเบลอของผม
ผมถูกคุมตัวอยู่ในห้องบรรยายโดยถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ด้วยสายเคเบิลเส้นหนา ส่วนคนอื่นๆ กำลังประชุมเกี่ยวกับบทลงโทษของผมที่โถงทางเดินนอกห้องประชุม
“เราควรไล่เขาออกไปตอนนี้เลยไหม”
“หมอนั่นมันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ อย่างกับคนโรคจิตเลย เราจะไปไหนมาไหนกับคนแบบนั้นได้ยังไงกันคะ”
“เมื่อกี้ผมนี่ขนลุกไปหมดเลยครับ”
“เดี๋ยวไว้รอคุณโฮฮยอนตื่นขึ้นมาค่อยลองถามเขาแล้วตัดสินใจกันทีหลังก็แล้วกัน ความเห็นของเหยื่อผู้ถูกกระทำก็สำคัญไม่ใช่เหรอครับ”
ฉันได้ยินหมดแล้ว ไอ้พวกสมองกลวงเอ๊ย ผมกลืนเสียงโอดครวญขณะเย้ยหยันอยู่ในใจ หัวที่ถูกเก้าอี้ฟาดยังคงรู้สึกเจ็บอยู่ไม่คลาย ในขณะที่ข้อมือกับข้อเท้าถูกรัดไว้แน่นด้วยสายเคเบิล
ผมลองคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขณะนั่งขดตัวเอาศีรษะพิงผนังเย็นๆ ผมไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้นที่ตัวเองนึกอยากจะฆ่าชองโฮฮยอน แต่เรื่องที่ผมตกใจน่ะมันหลังจากนั้นต่างหาก ทั้งที่ไม่ว่าเขาจะตายด้วยน้ำมือของผมหรือว่าตายเพราะถูกพวกห่านั่นกัดตาย ยังไงเขาก็จะฟื้นกลับมาในสภาพที่สมบูรณ์แบบไร้รอยขีดข่วนใดอยู่แล้วแท้ๆ แต่แล้วทำไมผมถึงได้หวาดกลัวขนาดนั้นกันนะ
หลังจากผมบุกเข้าไปหาชองโฮฮยอนที่หลับอยู่อย่างอุกอาจจนทำเขาตื่นกลัวสุดขีดแล้วตกลงไปจากหน้าต่าง ผมก็ได้เรียนรู้บทเรียนหนึ่งที่น่าเจ็บใจ
ทุกครั้งที่พบชองโฮฮยอนหลังย้อนกลับมาจากความตาย ผมจำต้องเล่นละครเสมอ ผมต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร แสร้งทำเหมือนทุกอย่างเพิ่งเคยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะขืนผมเปิดปากเล่าเรื่องที่ตายแล้วฟื้นกับเรื่องที่ติดลูปอยู่ในช่วงเวลาเดิมออกไป เขาก็มีแต่จะด่าหาว่าผมเป็นบ้าแล้วก็พูดจาดูถูกผม นับว่าโชคดีที่ชองโฮฮยอนยังหลงเชื่อการแสดงห่วยๆ นั่นได้ลงก็เลยไม่ได้หวาดกลัวผมสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรักษาระยะห่างจากผมอยู่เสมอ ด้วยความที่ใจหนึ่งก็เมินเฉย แต่อีกใจหนึ่งก็ยังคงหวาดระแวง
ทว่าครั้งนี้กลับเลวร้ายที่สุด ลำพังแค่ชกหน้าเขาเท่านั้นยังไม่พอ มิหนำซ้ำผมยังพยายามฆ่าเขาให้ตายอีก ผมบีบคอเขาสุดแรงกระทั่งเขาหมดสติไป ตอนนี้ชองโฮฮยอนคงจะรู้สึกเหยียดหยามผมมากจนเกลียดกันไปแล้ว มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ภาพที่เขาตื่นกลัวแล้วผงะก้าวถอยหลังไปจนหงายหลังร่วงลงไปนอกหน้าต่างนั้นยังคงเลือนรางอยู่ตรงหน้า
พอได้สติกลับคืนมา เขาคงโอดโอยร้องขอคนพวกนั้นสุดชีวิต โดยบอกว่าให้ไล่ผมออกไปเพราะคงอยู่กับไอ้เวรน่าขนลุกนั่นต่อไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด คนอื่นๆ เองก็คงจะเห็นพ้องกับเขาอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และหลังจากนั้นผมก็จะไม่ได้เจอชองโฮฮยอนอีก เขาจะตายโดยอยู่นอกสายตาของผม ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมคงได้แต่หวาดกลัวกับความมืดมิดที่ไม่รู้จะมาถึงอีกครั้งเมื่อไหร่…
“…”
ผมก้มหัวแล้วซุกใบหน้าลงกับข้อมือที่ถูกมัดแน่น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ครั้งนี้ถือซะว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามนี้แล้วก็รอเวลาเอา
“หืม? คุณโฮฮยอน!”
“ได้สติแล้วเหรอคะ”
เสียงวุ่นวายดังมาจากข้างนอก ดูเหมือนว่าชองโฮฮยอนจะตื่นขึ้นมาแล้ว
“อา…”
เขาโอดครวญเสียงแผ่วเบา ก่อนจะไอออกมาไม่หยุด
“เป็นอะไรไหมครับ”
“ดื่มน้ำไหมครับ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
เขาตอบกลับมาแผ่วเบาด้วยเสียงที่แหบแห้งอย่างหนัก ผมได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนว่าชองโฮฮยอนจะลุกขึ้น
“อึก…”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหนไหมคะ”
“เมื่อกี้ยันพื้นผิดท่า ข้อมือเลยน่าจะพลิกน่ะครับ”
“มันบวมมากเลยนะคะ…”
“พอขยับตัวได้ไหมครับ”
บรรยากาศด้านนอกวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง ชองโฮฮยอนหยุดความวุ่นวายนั้นด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรและไม่ต้องกังวล
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกับเขาคนนั้นดีครับ เราควรไล่ออกไปนะครับ คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกันหมดเลย แล้วคุณโฮฮยอนล่ะครับ คิดแบบนั้นเหมือนกันไหม”
“ครับ? เขาคนนั้น?”
“ก็คุณคียองวอนไงครับ”
“รุ่นพี่น่ะเหรอครับ ว่าแต่ตอนนี้รุ่นพี่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“เรามัดเขาแล้วคุมตัวไว้ด้านใน จะได้ไม่ก่อเรื่องขึ้นมาอีกไงครับ”
“แล้วเรื่องที่ว่าไล่ออกอะไรนั่นล่ะครับ…”
“ก็ตามที่พูดเลยครับ พวกเรารู้ว่าเขารู้เส้นทางดีแล้วก็ฆ่าซอมบี้เก่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกอย่างนะครับ”
“ยังไงเราก็ลงความเห็นกันแล้วครับ ขอแค่คุณโฮฮยอนพูดความคิดเห็นออกมา เราก็จะไล่เขาออกไปทันทีค่ะ”
ชองโฮฮยอนไม่ได้ตอบกลับในทันที ผนังที่กั้นอยู่ทำให้ผมไม่เห็นว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน แต่แล้วไงล่ะ เห็นสีหน้าแล้วผมจะทำอะไรได้ ยังไงผลการตัดสินใจของเขามันก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว จะตายแบบนี้หรือตายแบบนั้น สุดท้ายก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าสมเพชอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ที่ยุ่งเหยิงกำลังเดือดพล่านอยู่ในใจของผม
“ผม…”
ข้างนอกเงียบลง ชองโฮฮยอนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ
“แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…ผมอยากให้ทุกคนช่วยให้อภัยเขาสักครั้งน่ะครับ”
ทุกคนต่างตะลึงงันไปพร้อมกัน
“ครับ?”
“คุณโฮฮยอนคะ ตอนนี้คุณยังมีสติดีอยู่ใช่ไหมคะ”
“ครับ ผมสติครบถ้วนดี”
“แล้วทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ คุณเองก็รู้นี่คะว่าหมอนั่นมันไม่ปกติ เมื่อกี้คุณเองก็โดนเขาเล่นงานซะหนักเลยไม่ใช่หรือไง แถมคุณยังโดนบีบคอด้วยนะคะ”
“เมื่อกี้นี้ผมเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ผมดันตั้งใจไปยั่วโมโหเขาด้วย อีกอย่างก็ใช่ว่าผมจะโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวนี่ครับ”
“ไม่สิ ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น! สถานการณ์ในตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ขืนปล่อยเขาไว้มีแต่ฝ่ายเรานะคะที่จะเสียหาย!”
“สถานการณ์เป็นแบบนี้แล้วยังจะขอให้ปล่อยเขาไปสักครั้งอีกเหรอครับ!”
คนอื่นๆ พากันตะคอกเสียงดังด้วยความคับข้องใจ ทว่าชองโฮฮยอนกลับยังคงปะทะกับอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้
“เราทอดทิ้งคนอื่นไปง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นเพราะนิสัยไม่เข้ากัน เพราะตัวเองเสียหาย หรือเพราะบาดเจ็บจนกลายเป็นตัวเกะกะ ถ้าเราทิ้งคนทั้งคนด้วยสาเหตุแบบนั้น แล้ววันข้างหน้าจะเป็นยังไงกันครับ แค่มีปากเสียงกันนิดๆ หน่อยๆ ก็คิดจะตึงใส่กันแล้ว แล้วแบบนี้เราจะเชื่อใจคนอื่นได้ยังไงกันครับ”
“…”
“พวกคุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ถ้าไล่ใครออกไปคนเดียวในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีโอกาสรอดหรอกครับ”
“เขาจะกลายเป็นเหยื่อซอมบี้หรือจะไปนอนตายที่ไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องมารับรู้หรือใส่ใจอะไรนี่ครับ คุณเห็นสภาพแบบนั้นของตัวเองแล้วยังจะมีหน้ามาบอกให้เรายกโทษให้เขาอีกเหรอครับ เขาไม่ได้มองเราเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แล้วทำไมเราถึงต้องยอมเขาฝ่ายเดียวด้วยล่ะครับ”
“ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่รุ่นพี่ทำมันถูกต้อง แล้วผมก็ไม่ได้โอ๋ทุกอย่างที่เขาทำอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย ผมคือคนที่ถูกรุ่นพี่ต่อยหน้า และผมก็เป็นคนที่ถูกเขาบีบคอ ผมกำลังขอร้องในฐานะคู่กรณีครับ ผมให้โอกาสเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นครับ ถ้าครั้งหน้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ถึงตอนนั้นผมจะทำตามการตัดสินใจของทุกคนโดยไม่ปริปากบ่นเลยครับ”
“ผมว่าจะไม่พูดแบบนี้แล้วนะครับ แต่ว่าหมอนั่นน่ะตัวปัญหาชัดๆ คุณเองก็รู้นี่ครับ ถึงเราจะให้เขาเข้าร่วมกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกันเพราะเขาเด็ดหัวพวกซอมบี้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็จะมองว่าพวกเราเป็นแค่กาฝาก ผมว่าเราคงให้เขาไปต่อด้วยไม่ได้จริงๆ ครับ”
“…”
“จะยังไงเราก็ยอมรับไม่ได้ครับ เราพยายามเคารพความเห็นของคุณโฮฮยอนแล้วนะครับ แต่ถ้ายังดึงดันแบบนี้ต่อไป คุณโฮฮยอนก็จะดูไม่ดีไปด้วยนะครับ”
ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อได้ยินคำนั้น ผมอึ้งจนลืมความโกรธไปเสียสนิท ชองโฮฮยอนที่กำลังหัวเราะอยู่ก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน ทุกอย่างเงียบจนได้ยินเสียงสายลมที่พัดหวีดหวิวผ่านไป
“ถ้างั้นผมก็คงเป็นตัวปัญหาเหมือนกันครับ ข้อมือก็ดันมามีสภาพเป็นแบบนี้ จะให้ทุกคนมาดูแลรับผิดชอบชีวิตผมก็คงไม่ได้หรอกครับ”
“ครับ?”
“คราวนี้จะทำยังไงล่ะครับ พวกคุณจะไล่ผมไปอีกคนหรือเปล่า”
เด็กนี่มันประสาทกลับชัดๆ มาช่วยปกป้องคนที่ทั้งต่อย ทั้งบีบคอ แถมยังทำข้อมือตัวเองเจ็บอีกเนี่ยนะ?…นั่นสินะ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นชองโฮฮยอน ถ้าไม่ทำตัวบ้าบอแบบนั้นก็ไม่ใช่ชองโฮฮยอนน่ะสิ
ผมเอนตัวพิงผนังแล้วหัวเราะเหมือนคนบ้า ถึงจะคิดอยู่แวบหนึ่งว่าเสียงหัวเราะจะดังไปถึงข้างนอกไหม แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้นึกใส่ใจ
ชองโฮฮยอนยึดมั่นในเจตนารมณ์ของตัวเองจนถึงที่สุด และสุดท้ายเราก็ถูกขับออกจากกลุ่มพร้อมกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงต้องบอกว่าเขาเลือกที่จะพาผมออกมาเอง
* เอ็นพีซี (NPC) หรือ non-player character หมายถึงตัวละครในเกมที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้เล่น โดยตัวละครที่ว่านี้จะเล่นไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดในเกมนั้นๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…