everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 65-66 #นิยายวาย
บทที่ 66 สัตว์ร้ายตัวใหญ่
เจียงปู้ฮ่วนอาศัยอยู่ในบ้านของลู่ชิงจิ่วมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ผู้จัดการของเขาเริ่มโทรหาอย่างบ้าคลั่งเพื่อกระตุ้นให้เขากลับไป ต่อมาถึงขั้นพยายามถามหาตำแหน่งของดาราหนุ่มหวังจะเอาตัวกลับ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ด้วยความคิดที่ค่อนข้างซับซ้อน ถ้าไม่ใช่ว่าเขาย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่เป็นอะไร เกรงว่าผู้จัดการคงเลือกโทรหาตำรวจ
“ฉันต้องไปแล้ว ไม่งั้นแย่แน่!” เจียงปู้ฮ่วนบอกกับผู้จัดการ แต่ผู้จัดการคิดว่าเจียงปู้ฮ่วนถูกใครบางคนคุกคาม จึงสัญญาว่าจะหาทีมรักษาความปลอดภัยให้เจียงปู้ฮ่วนเพื่อป้องกันความปลอดภัยของเขา
“ฉันบอกแล้ว คนที่จะฆ่าฉันมันไม่ใช่คน เฮ้อ ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะพูดยังไงคุณก็ไม่เข้าใจหรอก” เจียงปู้ฮ่วนรู้ว่าเรื่องนี้มันไร้สาระเกินกว่าจะพูดออกมาได้ ถ้าเขาไม่เคยเจอกับตัวคงรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาทางจิต
[สิ่งที่คิดจะฆ่าคุณไม่ใช่คน งั้นมันคืออะไรล่ะ] ผู้จัดการจะเป็นบ้าเพราะเจียงปู้ฮ่วนอยู่แล้ว ดาราของเขาหายตัวไปหลายวัน กำหนดการล่าช้าไปหมดแล้ว ตอนนี้เขายังพอปกปิดได้ แต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่กี่วันคงปิดเรื่องนี้ต่อไม่ได้ ถ้าแฟนๆ รู้ว่าเจียงปู้ฮ่วนหายตัวไป คงได้เป็นข่าวใหญ่แน่ๆ
“ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร” เจียงปู้ฮ่วนตอบ “ไม่พูดละ ฉันต้องไปทำกับข้าวแล้ว”
ผู้จัดการได้แต่อ้าปากค้าง คิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจียงปู้ฮ่วนวางสายเรียบร้อยแล้ว เขามองโทรศัพท์แล้วถอนหายใจยาวๆ พูดตามตรงถ้าไม่ได้คุยผ่านวิดีโอคอลล์จนมั่นใจว่าเจียงปู้ฮ่วนมีสภาพจิตใจที่ดี คงสงสัยว่าเจียงปู้ฮ่วนถูกแฟนคลับลักพาตัวไปคุมขังแล้วหรือเปล่า
เจียงปู้ฮ่วนวางสายแล้วเข้าห้องครัวไปช่วยลู่ชิงจิ่วทำอาหาร เขามาที่นี่ได้ไม่กี่วัน แต่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ธรรมดา
แม้ลู่ชิงจิ่วจะเตือนไม่ให้เขาไปที่ลานหลังบ้าน แต่เจียงปู้ฮ่วนก็ไม่ได้ลดความอยากรู้อยากเห็นลงเลย ชายหนุ่มไปดูลานหลังบ้านเงียบๆ แต่ก็เห็นเพียงบ่อน้ำลึก และรังผึ้งอีกหลายรัง ข้างในรังผึ้งพวกนั้นมีเสียงหึ่งๆ ดังออกมา เจียงปู้ฮ่วนไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้เกิน ได้แต่มองอยู่ด้านข้าง ใครจะรู้ว่าทันทีที่ยื่นศีรษะเข้าไป สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนผึ้งตัวหนึ่งจะออกมาจากข้างใน และตะโกนจากในลำคอ “ดูอะไรน่ะ นายเป็นพวกโรคจิตใช่มั้ย ถึงมาทำลับๆ ล่อๆ แอบมองพวกเราแบบนี้”
เจียงปู้ฮ่วนถูกตะโกนใส่จนชะงักค้างไปทั้งตัวอยู่สองวินาที เขาคิดจะอธิบาย “ไม่…ฉันไม่ใช่ ฉันก็แค่สงสัย…”
“อะไรๆๆ นายอยากรู้อะไร” ผึ้งพูดด้วยความโมโห “พวกเรากำลังนอนกับภรรยา นายก็มองอยู่นั่น ไม่กลัวเป็นตากุ้งยิงหรือไง”
เจียงปู้ฮ่วน “ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ผึ้งพูดว่า “รีบไปซะ อย่าให้ฉันเจอนายอีก!”
เจียงปู้ฮ่วนถูกดุจนสติหลุด ถึงกับเริ่มรู้สึกละอายใจกับพฤติกรรมน่ารังเกียจของตัวเอง แต่เมื่อเขากลับมาที่ห้องนอนถึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ…สิ่งนั้นคือผึ้งหรือเปล่า แต่ทำไมผึ้งถึงพูดได้ล่ะ แล้วเจียงปู้ฮ่วนก็รู้สึกถึงความผิดปกติของบ้านหลังนี้อีกครั้งในทันใด แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในชีวิต ไม่ช้าเจียงปู้ฮ่วนก็รู้ว่ามีหมูพูดได้อีกสองตัวในบ้าน มีวัวที่สามารถผลิตนมสารพัดรสชาติ นอกจากนี้ยังมีฝูงไก่ที่ดุร้ายและทรงพลัง เดิมทีเขาคิดว่าอย่างน้อยคนในบ้านนี้ก็น่าจะปกติดี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเห็นอิ่นสวินหั่นผัก มีดเล่มนั้นบาดโดนนิ้วอีกฝ่ายเข้า อิ่นสวินคิดว่าเขาไม่ทันสังเกตเห็น จึงเอานิ้วนั้นเข้าปากแล้วกลืนลงไป
แม้เจียงปู้ฮ่วนที่ยืนอยู่ข้างๆ จะมองเห็นฉากนี้ แต่เขาก็ได้แต่แกล้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไร กลัวว่าถ้าเขาเปิดโปงอิ่นสวิน ชายหนุ่มคงเอามีดพุ่งตรงมาที่ตัวเขาแทน…เขาก็แค่คนธรรมดา
ถึงแม้การอาศัยอยู่ที่นี่จะปลอดภัย แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ที่นี่นาน เจียงปู้ฮ่วนยังไม่มีแผนจะออกจากวงการบันเทิง นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นบ้านของคนอื่น เขายังรู้สถานะตัวเองอยู่บ้าง…
ดังนั้นหลังจากที่ลู่ชิงจิ่วส่งจูเหมี่ยวเหมี่ยวกลับไปทำงาน เจียงปู้ฮ่วนก็ไปหาลู่ชิงจิ่วและแสดงความขอบคุณกับเขา ดาราหนุ่มมอบเช็คตัวเลขเจ็ดหลักให้กับลู่ชิงจิ่วพร้อมสอบถามรายละเอียดว่าตัวเองควรจะออกไปตอนไหนถึงจะปลอดภัย
แม้ว่าเจียงปู้ฮ่วนจะเป็นคนดัง แต่อยู่ที่บ้านนี้เขาทำตัวดี ทุกวันเขาจะอยู่ดูแลลานบ้านกับอิ่นสวิน ล้างผักหั่นผักจนแทบจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา ลู่ชิงจิ่วเกือบจะลืมชายหนุ่ม เมื่อมองดูท่าทางน่าสงสารของเขาตอนนี้ ลู่ชิงจิ่วจึงรู้สึกตลกขึ้นมาเล็กน้อย ปฏิเสธเช็คของเจียงปู้ฮ่วนโดยบอกว่าตนจะช่วยไปถามให้
“พี่ชาย คุณรับเงินนี้ไปเถอะ” เจียงปู้ฮ่วนพูดอย่างขมขื่น “ถ้าคุณไม่รับมัน ผมจะรู้สึกไม่สบายใจ”
ลู่ชิงจิ่วตอบ “ไม่เป็นไร ช่วงนี้ครอบครัวเราไม่ได้ขาดเงิน”
เจียงปู้ฮ่วน “คุณเอาไปซื้อเนื้อเพิ่มให้พวกพี่ใหญ่เขาเถอะ…”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “เขากินเนื้อมากขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ไม่เป็นไรจริงๆ อีกอย่างผมแค่ช่วยถามให้คุณเท่านั้น จะแก้ไขได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ถ้ารับเงินนี่ เรื่องนี้ก็จะเปลี่ยนเลยนะ
เจียงปู้ฮ่วนยังคงไม่สบายใจอยู่มาก แต่เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วปฏิเสธที่จะรับเงินก็ทำอะไรไม่ได้ ในใจได้แต่ภาวนาว่าไม่ช้าเรื่องนี้จะถูกแก้ไข และขอให้ตัวเองได้ออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ แม้ว่าชีวิตในชนบทจะอบอุ่นมาก แต่บรรยากาศของทั้งหมู่บ้านนี้ก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในกองถ่ายหนังสยองขวัญ
วันรุ่งขึ้นลู่ชิงจิ่วหาโอกาสที่จะพูดคุยกับไป๋เยวี่ยหูเกี่ยวกับเรื่องของเจียงปู้ฮ่วน แน่นอนว่าเขาต้องใช้ทักษะในการพูด “เยวี่ยหู เจียงปู้ฮ่วนอยู่บ้านพวกเรามาสักพักแล้ว เมื่อไหร่เขาถึงจะไปได้ล่ะ”
เดิมทีไป๋เยวี่ยหูกำลังกินพุทราเขียวที่ลู่ชิงจิ่วเพิ่งซื้อมาจากในเมือง ปากยังคงเคี้ยวอยู่ แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หยุดการกระทำลงทันที กระทั่งสีหน้าก็อึมครึม เขาตอบ “เขากินอาหารไปเยอะแค่ไหนแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วกลั้นยิ้ม “นี่ไม่ใช่ว่าทุกมื้อเขาก็กินกับพวกเราหรอกเหรอ”
ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “มีคนคิดจะฆ่าเขาที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่”
“ทำไมกัน” ลู่ชิงจิ่วชะงัก เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินไป๋เยวี่ยหูพูดเรื่องนี้ “ทำไมต้องฆ่าเจียงปู้ฮ่วนที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “หมู่บ้านสุ่ยฝู่เป็นเขตแดน ถ้าจะให้พูดอย่างมนุษย์ก็คือมันเป็นเขตแดนระหว่างตำนานกับความเป็นจริง เดิมทีเขตแดนนั้นมีมากมาย แต่เมื่อช่วงเวลาที่โลกทั้งสองแยกจากกันนานขึ้นเรื่อยๆ เขตแดนก็ค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ตอนนี้มีเพียงหมู่บ้านสุ่ยฝู่เท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างโลกทั้งสองได้”
ลู่ชิงจิ่วเข้าใจได้ในทันที “สายเลือดของเจียงปู้ฮ่วนมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ”
“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ครอบครัวของพวกเขาเคยเป็นครอบครัวที่ปกป้องเขตแดน แต่ตอนนี้เขตแดนได้รวมเข้ากับโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์แล้ว เลือดของครอบครัวนี้เบาบางลงไปเรื่อยๆ จนแทบจะหายไป เจียงปู้ฮ่วนน่าจะเป็นทายาทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของครอบครัว”
คิดได้ดังนี้แล้ว ลู่ชิงจิ่วและเจียงปู้ฮ่วนก็มีพื้นเพแบบเดียวกัน เขาเป็นตระกูลลู่คนสุดท้าย ส่วนเจียงปู้ฮ่วนเป็นคนสุดท้ายของตระกูลเจียง เพียงแต่ดูเหมือนเจียงปู้ฮ่วนจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย แถมยังออกจากวงจรนี้โดยสิ้นเชิง
“ทำไมถึงต้องให้เจียงปู้ฮ่วนตายในหมู่บ้านสุ่ยฝู่” ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างน่ากลัว
“ผู้ปกป้องเสียชีวิตในหมู่บ้านสุ่ยฝู่จะทำให้เกิดการแปดเปื้อนของเขตแดน” ไป๋เยวี่ยหูเล่า “การแปดเปื้อนนี้ไม่ค่อยมีผลกระทบกับมนุษย์ แต่จะส่งผลต่อพวกเราอย่างมาก”
นี่เป็นครั้งที่สองที่ลู่ชิงจิ่วได้ยินคำนี้ “แปดเปื้อน?”
ไป๋เยวี่ยหู “ใช่ แปดเปื้อน”
ลู่ชิงจิ่วถามต่อ “หมายความว่ายังไง”
ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วอธิบายว่า “มันส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณ” แม้ว่าคำอธิบายนี้จะยังคลุมเครืออยู่สักหน่อย แต่ลู่ชิงจิ่วก็พอจะเข้าใจความหมายบ้างแล้ว เขาเอ่ย “มันอาจจะเหมือนกับเด็กที่เห็นเรื่องแย่ๆ หลายเรื่องจะถูกสั่งสอนให้กลายเป็นเด็กไม่ดีได้ง่ายถูกมั้ย”
ไป๋เยวี่ยหู “…นายจะคิดอย่างนั้นก็ได้”
ลู่ชิงจิ่วพูด “ถ้างั้นเจียงปู้ฮ่วนจะทำยังไงล่ะ จะให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับเราตลอดอย่างนั้นเหรอ”
ไป๋เยวี่ยหูพูดอย่างเฉียบขาด “นั่นเป็นไปไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเจ้าดาราที่เอาแต่กินดื่มที่บ้านคนนี้มากๆ แต่เขาก็ไม่สามารถขับไล่เจียงปู้ฮ่วนออกไปได้ ทันทีที่จากไปคาดว่าเจียงปู้ฮ่วนคงจะถูกฆ่าตายระหว่างทางออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่แน่
“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” ไป๋เยวี่ยหูหยิบพุทราสีเขียวมาหนึ่งกำ ใส่ลงในปากทั้งหมด เคี้ยวกรุบกรับจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนกลืนลงไป
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า “นายก็ระวังหน่อยล่ะ อย่าได้รับบาดเจ็บละกัน”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อยู่แล้วล่ะ”
ในใจของลู่ชิงจิ่วค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย
ไม่กี่วันถัดมา ภายในบ้านสงบมาก ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิช่างแสนสบาย ลู่ชิงจิ่วหั่นมันเทศที่เหลือจากฤดูหนาวออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นจึงนำไปตากให้เป็นมันเทศแห้ง หลังจากตากแดดแล้วมันเทศก็แห้งบางโปร่ง เคี้ยวแล้วหนึบหนับ แต่จะมีความชื้นมากกว่านำไปย่างไฟ อย่างไรเสียมันเทศเหล่านี้ยังไงก็กินไม่หมด นำมาจัดการทำเป็นของว่างแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ลู่ชิงจิ่วใช้น้ำผึ้งส่วนเกินมาทำขนมมากมายหลายอย่าง ตอนนี้เขาใช้เตาอบมากขึ้น ควบคุมความร้อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาของขนมปังอบที่อบออกมาเกือบจะเหมือนกับที่วางขายในร้านขนมหวาน รสชาติดียิ่งกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นนมและน้ำผึ้งที่บ้านนั้นพิเศษมาก ไม่มีทางหาซื้อได้จากข้างนอก
คืนนั้นลู่ชิงจิ่วตัดต้นกุยช่าย และซื้อหมูสดอีกหลายชิ้นมาห่อทำเกี๊ยวสำหรับหนึ่งโต๊ะ เกี๊ยวแต่ละชิ้นแป้งบางไส้เยอะ ยังไม่ทันเอาลงหม้อก็สามารถดึงดูดผู้คนได้แล้ว อิ่นสวินผู้ชอบกินเกี๊ยวมากเอ่ยอย่างมีความสุขว่า “วันนี้ครอบครัวของพวกเรากำลังฉลองปีใหม่เหรอ ทำเกี๊ยวเยอะแยะขนาดนี้”
ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองเขานิดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร
“ทำไมนายทำหน้าตาแบบนั้นน่ะ” อิ่นสวินไม่เข้าใจ “กินเกี๊ยวนี่แล้วจะตายทันทีเลยหรือไง…อื้ม” ยังไม่ทันได้พูดจบ ลู่ชิงจิ่วก็ปิดปากของเขา
“เงียบปาก กินเกี๊ยวของนายไปเถอะ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยเสียงต่ำ
อิ่นสวินทำท่าหวาดกลัวก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่บ้านใครกำลังจะตายเหรอ” เขาชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่ใช่ฉันใช่มั้ย” สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องการกำจัดอาหารสำรองที่ตุนไว้ให้เป็นอาหารบนโต๊ะแทนใช่มั้ย
ลู่ชิงจิ่ว “ใครจะอยากกินนาย กินแล้วได้ท้องเสียกันพอดี”
อิ่นสวิน “…”
ลู่ชิงจิ่ว “กินเจียงปู้ฮ่วนต่างหาก…ฮ่าๆ ใครบอกว่าจะกินคนล่ะ”
อิ่นสวิน “งั้นนายจะทำอะไรล่ะ”
ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “ถามทำไมเยอะแยะ เกี๊ยวไม่อร่อยเหรอ”
อิ่นสวินรู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างมีเหตุผล ในเมื่อคนถูกกินไม่ใช่เขา เขาจะถามให้มากความไปทำไม สู้เลือกที่จะเชื่อฟังและกินเกี๊ยวของตัวเองไปไม่ดีกว่าเหรอ
เจียงปู้ฮ่วนไม่รู้ว่ากำลังจะตาย สายตาทอดมองไปยังเกี๊ยวที่อยู่ในหม้อแล้วน้ำลายสอ พูดตามตรง เขากินของดีๆ มามากมาย แต่อาหารที่ลู่ชิงจิ่วทำไม่ว่ากินอย่างไรก็อร่อยทั้งนั้น พูดถึงเกี๊ยวธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า เขาชิมไปแค่ชิ้นเดียว รสชาติสดใหม่มาก มันไม่ใช่รสชาติของผงชูรส แต่เป็นรสของวัตถุดิบ ความอร่อยของส่วนผสมที่ลงตัวจากกุยช่ายและเนื้อหมูควบคู่ไปกับน้ำส้มสายชูและกระเทียมส่งผลโดยตรงถึงจิตวิญญาณ
ทว่านอกจากเกี๊ยวแล้ว สายตาของอิ่นสวินที่ยืนอยู่ด้านข้างมักทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เจียงปู้ฮ่วนอ่อนไหวต่อสายตาของผู้คน เขาหันศีรษะไป “ทำไมนายถึงเอาแต่มองฉัน”
อิ่นสวินคิดในใจ นี่มันเป็นการแสดงความสงสารต่ออาหารไม่ใช่หรือไง แต่เขาไม่กล้าพูด เพียงเอ่ยแค่ว่า “ไม่ใช่เพราะนายดูดีหรือไงล่ะ”
เป็นครั้งแรกที่เจียงปู้ฮ่วนได้รับคำชมจากผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย “โอ้ ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” อิ่นสวินกล่าว “ฉันดีใจที่ได้เจอนายนะ”
เจียงปู้ฮ่วน “…” น้ำเสียงที่เหมือนจะบอกว่าฉันกำลังจะตายมันคืออะไรกัน
แต่อยู่ต่อหน้าเกี๊ยวแสนอร่อยนั่นเจียงปู้ฮ่วนไม่คิดให้มากความ เมื่อเกี๊ยวถูกนำขึ้นโต๊ะ ลู่ชิงจิ่วก็เสิร์ฟให้เจียงปู้ฮ่วนหนึ่งชามใหญ่ ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มใจดี “เด็กๆ กินเถอะ กินเยอะๆ เลย”
เจียงปู้ฮ่วน “อืม…ครับ” เขากัดไปหนึ่งคำ รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้า “อร่อยจริงๆ” เกี๊ยวนี่มีไส้อัดแน่น หลังจากกัดเพียงหนึ่งคำน้ำเกรวี่ก็ไหลออกมา แม้ว่าจะยังร้อนอยู่ แต่ก็อร่อยจนยิ้มไม่หุบ เขากินคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่ได้
ลู่ชิงจิ่วต้มไว้ค่อนข้างเยอะ ข้างในยังมีส่วนที่เป็นไส้กุยช่ายและกุ้ง เจียงปู้ฮ่วนกินอาหารด้วยความพออกพอใจ กระทั่งหน้าท้องของเขาปูดขึ้นมา ช่วงนี้ไม่มีการจำกัดอาหารเลยสักนิด เขาอ้วนขึ้นแล้ว มันอาจไม่มีผลกระทบอะไรกับคนธรรมดา แต่กล้องจะทำให้คนตัวใหญ่ขึ้นอย่างที่สุด ผีก็รู้ว่าหลังจากที่เขากลับไปผู้จัดการจะทารุณเขาอย่างไร้มนุษยธรรมเพียงใด
คิดถึงวันที่เขาจะต้องมีชีวิตอยู่หลังจากนั้น เจียงปู้ฮ่วนก็กลืนเกี๊ยวอีกชิ้นผ่านลำคอลงท้องทันที
ลู่ชิงจิ่วไม่ได้เตือนอะไร ปล่อยให้เขากินไปพลางช่วยเติมเกี๊ยวให้เขาเป็นครั้งคราว ท่าทางอันอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้อิ่นสวินที่นั่งมองจากด้านข้างถึงกับตัวสั่น ในใจแอบบอกกับตัวเองว่าจากนี้ต้องระวังท่าทางของลู่ชิงจิ่ว…ภายในของคนที่ดูอ่อนโยนสามารถแปรเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายได้โดยพลัน และนั่นคือเรื่องที่น่ากลัวที่สุด
เจียงปู้ฮ่วนกินจนอิ่มหนำ เขานั่งย่อยอาหารบนเก้าอี้ ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “คุณอยากออกไปเดินย่อยอาหารข้างนอกมั้ย”
เดิมทีเจียงปู้ฮ่วนอยากปฏิเสธ แต่สายตาที่จริงใจของลู่ชิงจิ่วทำให้เขาไม่อาจพูดปฏิเสธออกมาได้ “เอาสิผมจะไปเดินเล่น”
ลู่ชิงจิ่วพูด “อื้ม ไปเถอะ”
เจียงปู้ฮ่วนเดินออกจากประตูไปช้าๆ ความจริงแล้วเขากลัวคนทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นปกติเวลาออกมาเดินเล่นเขาจะไปแค่บริเวณใกล้ๆ บ้านลู่ชิงจิ่ว ไม่ไปไหนไกลเกินกว่านั้น ชายหนุ่มเดินไปรอบๆ บ้าน ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เวลานี้พระอาทิตย์ตกทอประกายสวยงามที่เส้นขอบฟ้า นี่คือเหตุผลที่เจียงปู้ฮ่วนกล้าที่จะออกมาเดินรอบๆ เพราะถ้าฟ้ามืดแล้ว ให้ตายเขาก็ไม่กล้าที่จะออกจากบ้านลู่ชิงจิ่ว
บริเวณใกล้ๆ บ้านของลู่ชิงจิ่วมีผู้อยู่อาศัยไม่มากนัก ที่จริงแล้วมีเพียงครอบครัวของหลี่เสี่ยวอวี๋ครอบครัวเดียว เจียงปู้ฮ่วนเคยพบเด็กคนนั้น เด็กนั่นน่ารักมาก แต่เพราะอคติที่มีต่อหมู่บ้านสุ่ยฝู่ เจียงปู้ฮ่วนจึงไม่กล้าคุยกับเขา
เดินไปถึงบริเวณที่ลู่ชิงจิ่วจอดรถกระบะคันเล็ก หลังจากเดินวนอยู่ข้างๆ สองสามรอบ เจียงปู้ฮ่วนก็รู้สึกว่าท้องดีขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงตั้งใจจะเดินกลับ
ทว่าขณะเดินทางกลับเขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พอคิดดูดีๆ ก็พบว่าท้องฟ้าข้างบนศีรษะที่เคยมีแสงสว่างมืดลงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เจียงปู้ฮ่วนมองขึ้นไปเห็นเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสุ่ยฝู่ บดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ขณะนั้นบริเวณโดยรอบก็มืดลงจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือ
เจียงปู้ฮ่วนพลันประหลาดใจ ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเริ่มรุนแรงขึ้น เขารู้ว่าสถานการณ์มีอะไรไม่ถูกต้อง ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดฉายไฟไปตามทางข้างหน้า รีบวิ่งไปยังลานบ้านของลู่ชิงจิ่วอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกเขาก็อยู่ข้างๆ ลานบ้าน ทว่าตอนนี้ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ เจียงปู้ฮ่วนวิ่งจนหายใจไม่ทัน แต่ก็ยังมองไม่เห็นแม้แต่เงาของลานบ้าน เขาพยายามใช้โทรศัพท์มือถือส่องแสงไปรอบๆ ตัวเพื่อหาทางกลับ แต่พบว่าสภาพรอบตัวเขาแปลกตาไปมากเหมือนกับไม่เคยมาที่นี่
“มีใครอยู่มั้ย ที่นี่มีคนอยู่มั้ย ช่วยด้วย ช่วยด้วยอ่า…” เจียงปู้ฮ่วนร้องตะโกนอย่างหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะหอบแต่ก็ยังไม่กล้าหยุดฝีเท้า เดินโซเซต่อไปข้างหน้าโดยมีความมืดเป็นอุปสรรค หลังจากเดินไปอีกหลายสิบก้าว เจียงปู้ฮ่วนก็สะดุดก้อนหินล้มลงไปนั่งกับพื้น
หลังจากล้มลงแล้ว เดิมทีเขาคิดจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่อยู่เหนือศีรษะ บนศีรษะเขามีเมฆสีดำรวมเป็นรูปน้ำวนเหมือนกับน้ำทะเลที่ไหลไปมา ตรงกลางของเมฆดำมีดวงตาขนาดใหญ่ ดวงตานั้นสีเหลือง รูม่านตาเป็นแนวตั้งคล้ายสัตว์เลือดเย็นกำลังจ้องมองมาที่เจียงปู้ฮ่วนอย่างเย็นชา
“อ่า…” เจียงปู้ฮ่วนถูกสายตานี้จ้องมองก็ตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่ เขามองดูเมฆดำที่เปลี่ยนรูปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็กลายเป็นกรงเล็บมังกรขนาดใหญ่ ดวงตาสีเหลืองกะพริบ กรงเล็บมังกรขนาดใหญ่พุ่งตรงมาครอบคลุมเจียงปู้ฮ่วน บรรยากาศรุนแรงมากจนเจียงปู้ฮ่วนไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้ เขานั่งเฉยๆ ตรงนั้นราวกับกระต่ายที่กำลังหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับนักล่าดุร้ายซึ่งมีความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถเทียบเทียมได้ ทำได้แค่รอความตายเท่านั้น
ขณะนั้นเองพระพุทธรูปบนหน้าอกของเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาครอบคลุมทั่วทั้งร่าง กรงเล็บมังกรนั้นนำมาซึ่งบรรยากาศที่กดดันพร้อมเสียงลมที่แผดร้อง และเมื่อเหลือบเห็นว่ามันกำลังจะกดทับร่างเจียงปู้ฮ่วน เจียงปู้ฮ่วนก็ตกใจสุดขีดจนลืมหลับตา จากนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงแผดร้องของมังกร ทันทีที่เสียงแผดร้องนั้นดังขึ้นมา กรงเล็บมังกรก็เหมือนจะเจออะไรบางอย่างกีดขวางให้หยุดอยู่กลางอากาศ
จากนั้นก็มีหมอกดำก่อตัวขึ้นบนพื้น เสียงแผดร้องต่ำๆ มาจากด้านใน ด้วยเสียงแผดร้องนั้นเมฆหมอกที่รวมตัวกันเป็นกรงเล็บมังกรก็ค่อยๆ สลายไปต่อหน้าต่อตาเจียงปู้ฮ่วน
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เจ้าของดวงตาสีเหลืองคู่นั้นดูเหมือนจะหงุดหงิด เมฆเริ่มม้วนตัวอย่างรุนแรง จากนั้นกรงเล็บสีดำเข้มก็ยื่นออกมาจากด้านหลังก้อนเมฆ สร้างรูขนาดใหญ่บนท้องฟ้าในทันใด พระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินส่องแสงพาดผ่านรูนั้น หมอกสีดำบนพื้นเริ่มพุ่งสูงขึ้น แล้วสลายหายไปกลางอากาศ ในที่สุดเจียงปู้ฮ่วนก็มองเห็นสัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่ซ่อนอยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน
มันคือมังกรสีดำท่าทางสง่างามตัวหนึ่ง ลำตัวของมันยาวมาก เขามังกรสีขาวขนาดใหญ่และส่วนหัวมังกรอันผ่าเผยกินพื้นที่ไปครึ่งค่อนฟ้า เกล็ดสีดำสะท้อนแสงระยิบระยับภายใต้แสงแดด ลำตัวของมันสมบูรณ์แบบไปทุกตารางนิ้วราวกับงานแกะสลักสุดประณีตของศิลปิน หากแต่ไม่มีศิลปินคนไหนสามารถแกะสลักสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ มันเป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ที่สวยงามและชวนตื่นตะลึงไปถึงจิตวิญญาณ
เจียงปู้ฮ่วนชะงักค้าง มังกรยักษ์ตัวนั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเขา จากนั้นสัตว์ร้ายตัวยักษ์กลางกลุ่มเมฆก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจียงปู้ฮ่วน มันมีลักษณะบางส่วนคล้ายกับมังกรตัวใหญ่ เพียงแต่ในปากของมันเหมือนมีดาบเหล็กสีดำอยู่เล่มหนึ่ง เขาของมันไม่ใช่สีขาวสวยแต่เป็นสีดำ เมื่อมองเห็นมังกรอีกตัว มันก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ
เมฆเคลื่อนไหวปั่นป่วน ร่างของมังกรสองตัวพุ่งเข้าปะทะกัน ฟัน ร่างกาย และกรงเล็บของพวกมันล้วนเป็นอาวุธแหลมคม ต่างมีวิทยายุทธ์เก่งกาจ นี่คือการปะทะพลังกันแบบเก่าแก่ที่สุด เจียงปู้ฮ่วนที่มองอยู่ข้างหลังไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาได้รับผลกระทบจากมังกร เลือดเริ่มไหลออกจากจมูกและปาก ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ
ถ้าไม่ใช่เพราะลำแสงที่ปกคลุมรอบตัวเขา ชายหนุ่มอาจจะตายไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เขาเองก็แทบจะรับไม่ไหว เพื่อชีวิตของตัวเอง ชายหนุ่มจึงไม่กล้าที่จะดูอีกต่อไป เขาเอื้อมมือไปปิดหู
ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เสียงต่อสู้เหนือศีรษะยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง ดังคลอไปกับเสียงหยาดฝนที่โปรยปรายและเสียงสิ่งของตกลงสู่พื้น จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้เจียงปู้ฮ่วนรู้ดีว่ามันคือเลือดและเศษชิ้นส่วนต่างๆ ของมังกร เขาทั้งกลัวและกังวลในขณะเดียวกัน กังวลว่ามังกรดำในหมอกทึบจะเสียเปรียบ
เจียงปู้ฮ่วนขดตัวกลม ฟังไปเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เงียบสงบลงแล้ว ท้องฟ้ากลับสู่ความสงบ แสงที่ห่อหุ้มรอบตัวเขาหายไปแล้ว บนพื้นไม่มีทั้งคราบเลือดหรือเกล็ดใดๆ ถ้าไม่มีคราบเลือดแห้งระหว่างปากและจมูกของเขา ชายหนุ่มอาจคิดว่ามันเป็นความฝันอันแปลกประหลาด
แต่สภาพโดยรอบกลับสู่ลักษณะที่เขาคุ้นเคย เจียงปู้ฮ่วนลุกขึ้นจากพื้น รู้สึกเจ็บหน้าอก เขาไออยู่หลายครั้ง ก่อนจะไอก้อนเลือดออกมาจากลำคอ
โชคดีที่หลังจากไอออกมาแล้วความเจ็บปวดก็บรรเทาลงมาก เจียงปู้ฮ่วนเดินโซเซไปทางบ้านลู่ เดินไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงกังวลของลู่ชิงจิ่ว “เยวี่ยหู เยวี่ยหู นายโอเคมั้ย”
“ไม่เป็นไร” เสียงของไป๋เยวี่ยหูบางเบาเหมือนกับเมฆในสายลมที่อีกสักพักก็จะล่องลอยหายไป เขาเอ่ย “ฉันต้องพักผ่อน อย่ารบกวน”
“โอเค นายไปพักเถอะ” ลู่ชิงจิ่วรู้ว่าไป๋เยวี่ยหูผ่านการต่อสู้อันเลวร้ายมา ชายหนุ่มเป็นกังวลอย่างมาก แต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ “ฉันจะไปเตรียมอะไรให้นายกิน”
คราวนี้ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้ไปที่ลานบ้าน แต่เดินเข้าไปในห้องนอน เข้าไปแล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีโดยไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออกด้วยซ้ำ เมื่อก่อนไม่ว่าอย่างไรอย่างน้อยเขาก็จะเปลี่ยนชุดคลุมเปื้อนเลือดก่อนเข้านอนเสมอ
เจียงปู้ฮ่วนค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน ลู่ชิงจิ่วมองเห็นชายหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดก็รีบพูดว่า “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ฉันไม่เป็นไร…” เจียงปู้ฮ่วนพูดอย่างยากลำบาก “อาการบาดเจ็บของไป๋เยวี่ยหูร้ายแรงหรือเปล่า”
ลู่ชิงจิ่วยิ้มขื่น “ฉันเองก็ไม่รู้ หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมาก”
เจียงปู้ฮ่วนถาม “ฉันเห็นเขาต่อสู้กับมังกรอีกตัวหนึ่ง”
ลู่ชิงจิ่วทวน “มังกรอีกตัวหนึ่ง?”
เจียงปู้ฮ่วนตอบ “อืม ทำไมเหรอ”
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกได้ถึงความวุ่นวาย “งั้นนายก็เห็นร่างจริงของไป๋เยวี่ยหูแล้ว?”
เจียงปู้ฮ่วน “เห็นแล้วล่ะ มีอะไรรึเปล่า” เขาชะงัก
ลู่ชิงจิ่ว “เป็นยังไงเหรอ”
เจียงปู้ฮ่วน “ก็เป็นแบบมังกร…?” เขางุนงงนิดหน่อย
ลู่ชิงจิ่วเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็หยุดไป ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หันกลับไปทำอาหารให้ไป๋เยวี่ยหู ปีศาจจิ้งจอกบ้านเขายังคงเจ็บอยู่ แม้ว่าเขาจะสงสัยมาก แต่เขาตัดสินใจว่าหลังจากนี้ค่อยศึกษาอีกทีว่าแท้จริงแล้วไป๋เยวี่ยหูคือมังกรชนิดไหนกันแน่
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 ต.ค. 65