everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 67-68 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
มีการกล่าวถึงการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 67 บาดแผลและหาง
เพราะไป๋เยวี่ยหูกำลังรออยู่ ลู่ชิงจิ่วจึงไม่กล้าทำอาหารที่ยุ่งยากเกินไป และเลือกวิธีทำอาหารที่ง่ายที่สุด เขาใช้หม้ออบแรงดันเคี่ยวเนื้อวัวตุ๋นหม้อใหญ่ เมื่อทำเสร็จแล้วก็นำเข้าไปให้ในห้องนอน
กลิ่นเนื้อวัวอบอวลไปทั่วบ้าน ไป๋เยวี่ยหูที่เพิ่งสลบไปเมื่อครู่ลืมตาขึ้น หลังตื่นขึ้นมาชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบตะเกียบและกินอาหารทั้งหมดที่ลู่ชิงจิ่วเตรียมไว้อย่างรวดเร็ว
“จะเพิ่มอีกมั้ย” ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเขาคงไม่อิ่มแน่นอน
ไป๋เยวี่ยหูส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าเขาอยากจะนอนต่ออีกสักพัก พรุ่งนี้เช้าค่อยเติมอาหาร
ลู่ชิงจิ่วมองรอยเลือดบนร่างกายของเขาแล้วรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายนอนเถอะ ฉันจะใช้ผ้าขนหนูร้อนๆทำความสะอาดร่างกายให้”
ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า ปิดเปลือกตาลงและหลับไปอีกครั้ง เขายังสวมชุดคลุมสีดำ บนเสื้อคลุมมีเลือดที่เกาะตัวจนแข็ง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายรุนแรง
ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมสีดำของไป๋เยวี่ยหูออกมาอย่างเบามือ เห็นบาดแผลจากการต่อสู้บนร่างกายของไป๋เยวี่ยหู เมื่อเทียบกับบาดแผลของครั้งที่แล้ว คราวนี้ดูจะรุนแรงกว่าเดิม บาดแผลแทบจะเต็มทั่วร่างกายของชายหนุ่ม โชคดีที่เหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงและเลือดก็หยุดไหลแล้ว
ลู่ชิงจิ่วหยิบน้ำร้อนและผ้าขนหนูมาช่วยไป๋เยวี่ยหูทำความสะอาดบาดแผล พร้อมพันแผลด้วยผ้าก๊อซ แต่ลู่ชิงจิ่วไม่กล้าใส่ยาบนร่างกายของไป๋เยวี่ยหูมากเกินไป เพราะกลัวว่ามันจะทำลายความสามารถในการรักษาตัวเองของเขา
เมื่อเห็นบาดแผลกระจัดกระจายบนร่างกายอันสวยงามของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกปวดใจเป็นพิเศษ พยายามเคลื่อนไหวมือให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยกลัวว่าจะทำให้ไป๋เยวี่ยหูตื่น เมื่อจัดการบาดแผลเรียบร้อย ลู่ชิงจิ่วก็ให้ไป๋เยวี่ยหูนอนบนเตียงนุ่มๆ ก่อนจะห่มผ้าให้เขาและปิดไฟ แล้วถึงได้ออกมา
“พี่ลู่ คุณไป๋เป็นอย่างไรบ้าง” เจียงปู้ฮ่วนที่ยืนอยู่ตรงประตูเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นบาดแผลของไป๋เยวี่ยหู แต่เขาก็สามารถเดาได้ว่าไป๋เยวี่ยหูต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน อย่างไรเสียนั่นก็คือสิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารสองตัวกำลังต่อสู้กัน กรงเล็บฟาดลงหนหนึ่งก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองกำลังหลับอยู่ แต่หลังจากทบทวนดูแล้ว ก็ชัดเจนว่าเขาหมดสติไป
“หลับแล้ว” ลู่ชิงจิ่วพูด “มีบาดแผลตามร่างกาย แต่น่าจะไม่เป็นอะไรมาก คุณเห็นมั้ยว่าสุดท้ายใครชนะ”
“ไม่เห็นครับ” เจียงปู้ฮ่วนพูดตามความจริง “ผมดูได้ครึ่งหนึ่งก็สลบไป”
ลู่ชิงจิ่วทวน “สลบไป?”
“อืม” เจียงปู้ฮ่วนตอบ “การต่อสู้ของพวกเขายิ่งใหญ่เกินไป ผมทนรับมันไม่ไหว” เขาเพิ่งทำความสะอาดเลือดบนใบหน้าของตัวเองจนสะอาด
“โอ้ คุณไปพักผ่อนเถอะ” ลู่ชิงจิ่วพูด “ผมเฝ้าเขาเอง”
เจียงปู้ฮ่วนพยักหน้าแล้วกลับไปนอน
อิ่นสวินจำต้องกลับบ้าน เจียงปู้ฮ่วนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ตัดสินใจว่าจะเฝ้าไป๋เยวี่ยหูตลอดทั้งคืน เผื่อไป๋เยวี่ยหูตื่นขึ้นมากลางดึกอยากกินอะไรแล้วไม่มีใครทำให้ ไป๋เยวี่ยหูยังคงหลับอยู่ แต่ท่าทางขมวดคิ้วน้อยๆ นั่นทำให้ดูออกว่าเขาไม่ได้หลับสนิทนัก
ลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ด้านข้าง โดยเปิดไฟดวงเล็กๆ พร้อมอ่านหนังสือไปเงียบๆ แม้ไป๋เยวี่ยหูจะเป็นผู้เช่ามาเกือบปี แต่ห้องก็ยังว่างเปล่า นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่สวมใส่เป็นประจำแล้ว ก็มีเพียงของใช้อื่นๆ อย่างเรียบง่ายที่สุดเท่านั้น นอกจากนี้ยังมองไม่เห็นร่องรอยการใช้ชีวิตอื่นใด หากว่าไม่ได้เจอหน้า ก็ดูเหมือนจะมีแค่เวลาที่หมุนแปรเปลี่ยนไป
หนังสือในมือของลู่ชิงจิ่วมีชื่อว่า ‘จื่อปู้อวี่’* ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานพื้นบ้าน หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับด้านที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ของโลกใบนี้ เป้าหมายการอ่านของเขาก็กลายเป็นหนังสือโบราณเกี่ยวกับวิญญาณ เทพ และอสูร ยิ่งอ่านมากขึ้นเท่าไหร่ ความสนใจต่อโลกอีกใบหนึ่งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เวลาดึกสงัด หลังจากพระจันทร์ขึ้น สายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่าง ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่เขาระงับความง่วงด้วยการจิบชาตรงหน้าที่ใกล้จะเย็นเต็มแก่ ไป๋เยวี่ยหูส่งเสียงครางเบาๆ มาจากข้างหลัง ลู่ชิงจิ่วได้ยินก็คิดว่าไป๋เยวี่ยหูตื่นแล้ว จึงรีบหันไปดู แต่กลับเห็นไป๋เยวี่ยหูยังคงหลับตานอนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เสียงร้องเบาๆ นี้ดูเหมือนจะเป็นเพราะเขาพลิกตัวไปโดนบาดแผล ลู่ชิงจิ่วเห็นดังนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ค่อยๆ เอื้อมมือออกไปช่วยไป๋เยวี่ยหูปรับท่านอน คิ้วที่ขมวดมุ่นของไป๋เยวี่ยหูถึงได้คลายลง
พรุ่งนี้เช้าจะทำอะไรให้เขากินดีล่ะ มีบาดแผลมากมาย ต้องเสียเลือดไปมากแน่ๆ ลู่ชิงจิ่วคิดในใจว่าพรุ่งนี้จะต้มไข่อีกหลายๆ ฟองให้ไป๋เยวี่ยหูเป็นการบำรุงสุขภาพ
ลู่ชิงจิ่วนั่งลงข้างเตียง และอยู่อย่างนั้นกระทั่งแสงอรุณปรากฏที่ขอบฟ้า ครึ่งหลังของคืนนั้นเขาขับไล่ความเหนื่อยล้าด้วยการเติมชาเข้มข้นอีกหลายแก้ว ทั้งดื่มและรออยู่อย่างนี้จนพระอาทิตย์ขึ้น ผ่านจุดที่ง่วงมากมาจนรู้สึกไม่ง่วงแล้ว
ลู่ชิงจิ่วเดาว่าไป๋เยวี่ยหูใกล้ตื่นแล้ว จึงเข้าห้องครัวไปต้มน้ำเตรียมตัวทำอาหาร เขารู้ว่าไป๋เยวี่ยหูชอบกินพวกเนื้อจึงตุ๋นซุปไก่หนึ่งหม้อ แม้ว่าจะค่อนข้างแปลกที่ดื่มซุปไก่ตอนเช้า แต่ไป๋เยวี่ยหูก็น่าจะชอบ
ปกติไป๋เยวี่ยหูจะนอนหลับไม่ลึก แต่คราวนี้เขาหลับสนิทมาก เพราะชายหนุ่มรู้ว่าลู่ชิงจิ่วอยู่เคียงข้าง นั่งห่างจากเขาอยู่ไม่ไกล
สิ่งนี้ทำให้ไป๋เยวี่ยหูลดการระแวดระวังตัว ปล่อยให้ร่างกายจมลงสู่ที่นอนนุ่มๆ เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆของชา กลิ่นหอมที่อบอวลในห้องทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
เรื่องต่อจากนั้นไป๋เยวี่ยหูจำไม่ค่อยได้ เพราะเขาผล็อยหลับไปจริงๆ
ลู่ชิงจิ่วทำอาหารเช้าเสร็จก็กลับไปห้องนอนของไป๋เยวี่ยหูอีกครั้ง ไป๋เยวี่ยหูตื่นแล้ว เขานั่งหลับตาอยู่บนเตียง ลู่ชิงจิ่วรีบเอ่ย “เยวี่ยหู หิวมั้ย ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้นาย”
ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า
ลู่ชิงจิ่วรีบนำอาหารที่ทำเสร็จแล้วจากในครัวมาเสิร์ฟ มันคือไก่ตุ๋นหนึ่งหม้อใหญ่และบะหมี่ซุปไก่ชามใหญ่หนึ่งชาม อาหารทั้งหมดรสชาติเจือจาง เหมาะสำหรับไป๋เยวี่ยหูที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย
ไป๋เยวี่ยหูตักอาหารขึ้นมาแต่ยังไม่ได้กิน เขาถามว่า “เจียงปู้ฮ่วนล่ะ”
ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเขากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเจียงปู้ฮ่วน “เขาได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ดูเหมือนไม่มีอะไรร้ายแรง ตอนนี้กำลังหลับอยู่ นายอยากให้ฉันปลุกเขามั้ย”
ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้ว “ทำไมเขายังไม่ไปอีก”
ลู่ชิงจิ่วแทบจะสำลักกับคำพูดนี้ ชายหนุ่มทำหน้าปั้นยากพลางถามว่า “เขาไปได้แล้วเหรอ”
“แน่นอนว่าไปได้แล้วสิ ไม่งั้นฉันจะเปลืองวิทยายุทธ์ไปเพื่ออะไรล่ะ” แค่คิดว่าเจียงปู้ฮ่วนต้องกินข้าวเช้าที่บ้าน ไป๋เยวี่ยหูก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว “ให้เขาไปซะ เร็วๆ เข้าล่ะ”
ลู่ชิงจิ่วยิ้มก่อนตอบตกลง
พูดจบไป๋เยวี่ยหูถึงได้ค่อยๆ เริ่มกินอาหารตรงหน้า
ลู่ชิงจิ่วมองไป๋เยวี่ยหูกินบะหมี่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน อิ่นสวินเข้ามาหา เขาได้กลิ่นซุปไก่จึงเดินมาถึงประตูห้องนอนของไป๋เยวี่ยหูแต่ไม่กล้าเข้า ได้แต่ชะโงกมองเข้าไปข้างใน มองเห็นแววตาดั่งคุณพ่อพร้อมด้วยรอยยิ้มของลู่ชิงจิ่ว
อิ่นสวิน “…” เอาล่ะ ครอบครัวมีลูกชายเพิ่มมาอีกคน ตอบสนองนโยบายลูกคนที่สองของประเทศพอดี
หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ไป๋เยวี่ยหูก็กลับไปนอนต่อ ลู่ชิงจิ่วที่เก็บกวาดเสร็จแล้วก็รู้สึกง่วงเช่นกัน พอออกจากประตูห้องไปก็เห็นอิ่นสวินกำลังทำลับๆ ล่อๆ อยู่
“นายมองอะไรอยู่” ลู่ชิงจิ่วเอื้อมมือไปตบศีรษะเขา
“ฉันไม่ได้ดูความสัมพันธ์พ่อลูกอันลึกซึ้งของพวกนาย…อ๊ะ ดูมิตรภาพอันยาวนานของพวกนายหรอกน่า” อิ่นสวินว่า “นายเฝ้าอยู่ทั้งคืนเลยเหรอ”
ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “อืม กินข้าวเช้ามั้ย ฉันจะทำข้าวต้มซุปไก่”
อิ่นสวินตอบ “กินๆ กินเสร็จนายก็ไปนอนสักพักเถอะ”
ลู่ชิงจิ่วเย้า “นายจะมาเฝ้า?”
อิ่นสวินเกาศีรษะ “เฝ้าก็ได้ แต่นายต้องบอกกับไป๋เยวี่ยหูก่อน อย่าให้เขาลงมือกับเนื้ออันบอบบางของฉัน…” ถ้าโดนกินลงไปแล้ว เขาคาดว่าคงไม่มีโอกาสได้เกิดอีก
ลู่ชิงจิ่วทำท่าอับจนหนทาง ได้แต่ตอบรับว่าตกลง
ลู่ชิงจิ่วไปหยิบผักดองมาบางส่วนแล้วผสมเข้ากับน้ำมันงา จากนั้นนำผักดองมากินกับข้าวต้มไก่ร้อนๆกับอิ่นสวินสองคน เพิ่งจะกินเสร็จ เจียงปู้ฮ่วนก็ตื่นขึ้นมาพอดี เมื่อคืนเขาคงจะนอนไม่ค่อยหลับ ใต้ตาถึงได้เป็นวงกลมคล้ำ
“อรุณสวัสดิ์” เขาทักทายลู่ชิงจิ่ว
“อรุณสวัสดิ์” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “มากินอาหารเช้าด้วยกันสิ”
เจียงปู้ฮ่วนพยักหน้าด้วยความดีใจ ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขาที่นี่คืออาหารสามมื้อต่อวัน ข้าวสวยนุ่มเพราะซุปไก่ โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักดองก็สดอร่อย ใส่น้ำมันงาและพริกลงไป เมื่อเคี้ยวในปากจะช่วยลดความเลี่ยนของซุปไก่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เจียงปู้ฮ่วนกินอย่างมีความสุข ได้ยินลู่ชิงจิ่วพูดขึ้นว่า “ไป๋เยวี่ยหูบอกว่าสิ่งที่ต้องการฆ่าคุณได้ถูกจัดการไปแล้ว คุณสามารถออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ได้แล้วล่ะ”
“ถูกจัดการแล้ว?” เจียงปู้ฮ่วนได้ยินคำเหล่านี้ก็รู้สึกใจหายอย่างไม่คาดฝัน
“อืม” ลู่ชิงจิ่วตอบ “เขาว่าอย่างนั้น น่าจะไม่เป็นไรแล้ว”
เจียงปู้ฮ่วนตอบ “งั้น…งั้นก็ดีล่ะ”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ยว่า “คุณซื้อตั๋วรถไฟของช่วงบ่ายก็ได้นะ ผมนอนสักพัก ตื่นแล้วจะไปส่งคุณในเมือง” เขาคิดว่าเจียงปู้ฮ่วนน่าจะอยากกลับไปจะแย่แล้ว เพราะหมู่บ้านสุ่ยฝู่ที่ทั้งห่างไกลและแสนล้าหลังน่ะเหมาะสำหรับคนที่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่
“โอเค” ในเมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อย เจียงปู้ฮ่วนก็ไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขากินข้าวซุปไก่ตรงหน้าอย่างไม่ค่อยรู้รส แล้วถามเสียงแผ่วว่า “ถ้าอย่างนั้น…วันหลังผมกลับมาที่นี่ได้มั้ย”
ลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าประหลาดใจ
“ผมหมายความว่าหลังจากนี้ช่วงวันหยุดจะมาเที่ยวเล่น” เจียงปู้ฮ่วนอธิบายอย่างรวดเร็ว “จะจ่ายค่าที่พัก แล้วก็จะไม่รบกวนพวกนายมากเกินไป…”
“ได้สิ” ลู่ชิงจิ่วหัวเราะขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเจียงปู้ฮ่วนจะชอบหมู่บ้านสุ่ยฝู่จริงๆ “ยินดีต้อนรับ” แต่คนดังมักจะยุ่งอยู่เสมอ เกรงว่าเจียงปู้ฮ่วนจะไม่มีเวลามากพอที่จะใช้วันหยุดมาหมู่บ้านสุ่ยฝู่หรอก
“เยี่ยมไปเลย” เจียงปู้ฮ่วนพูด “พวกคุณช่วยผมแก้ไขปัญหามากมายจนไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี”
“ไม่จำเป็นหรอก” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณเองด้วย” ถ้าคำพูดของไป๋เยวี่ยหูเป็นความจริง อย่างนั้นเจียงปู้ฮ่วนก็เป็นเพียงคนน่าสงสารคนหนึ่งที่ถูกดึงเข้ามาพัวพันเท่านั้น เป้าหมายสูงสุดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือหมู่บ้านสุ่ยฝู่และไป๋เยวี่ยหู เขาต้องการใช้การตายของเจียงปู้ฮ่วนทำให้ไป๋เยวี่ยหูแปดเปื้อน เพียงแต่ก็ไม่รู้ว่ามลทินประเภทนี้หมายถึงอะไร…
เจียงปู้ฮ่วนดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ เมื่อเห็นว่าลู่ชิงจิ่วไม่คิดจะอธิบาย จึงคิดว่าไม่ควรถามต่อ
หลังจากอดนอนมาตลอดทั้งคืน ลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกง่วงเล็กน้อย กินข้าวเสร็จจึงไปนอนพักครู่หนึ่ง นอนจนถึงช่วงบ่ายถึงค่อยลุกจากเตียง จากนั้นเขาก็ไปตรวจสอบอาการของไป๋เยวี่ยหู…ไม่สิ ไปยืนยันว่าอิ่นสวินยังมีชีวิตอยู่
“วู้ววว ฉันกลัวชะมัด” อยู่ในห้องกับไป๋เยวี่ยหูตามลำพัง อิ่นสวินที่ประหม่าจนแทะมือไปครึ่งหนึ่งเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นฉันไปส่งเจียงปู้ฮ่วนละกัน นายอยู่เฝ้าเขาดีมั้ย”
ลู่ชิงจิ่ว “เขาตื่นขึ้นมาบ้างมั้ย”
อิ่นสวิน “ตื่นแล้ว เขาตื่นมามองฉัน แล้วก็ถามหาลู่ชิงจิ่ว ฉันบอกว่านายกำลังนอนอยู่ เขาบอกให้ฉันอยู่ห่างๆ ไม่อย่างนั้นนอนละเมอมากินฉันจะไม่รับผิดชอบ”
ลู่ชิงจิ่ว “…” ทำไมเขาถึงคิดว่าไป๋เยวี่ยหูกำลังรังเกียจอิ่นสวิน
อิ่นสวินพูดเศร้าๆ “ฉันเป็นแค่เทพภูเขาที่น่าสงสาร อ่อนแอ แถมยังช่วยเหลือใครก็ไม่ได้ ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้”
สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ต้องยอมรับข้อเสนอของอิ่นสวินอย่างไม่มีทางเลือก ให้เขาขับรถกระบะคันเล็กไปส่งเจียงปู้ฮ่วน มือของอิ่นสวินถูกกัดแทะไปกว่าครึ่งเพราะความประหม่า ยิ่งกัดลงไปอีกแบบนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อไรถึงจะงอกออกมา กินมือตัวเองช่างเป็นคำคุณศัพท์เปรียบเปรยที่น่ารักน่าชังเสียจริง แต่ลูกชายที่โง่เขลาของเขาดันใช้ปากกินจริงๆ
ดังนั้นอิ่นสวินจึงรับหน้าที่ไปส่งเจียงปู้ฮ่วนอย่างมีความสุข โดยเปลี่ยนให้ลู่ชิงจิ่วอยู่เฝ้าไป๋เยวี่ยหูที่กำลังหลับใหลอยู่ที่บ้าน
สัตว์อื่นๆ ค่อนข้างกลัวเกรงไป๋เยวี่ยหู แต่ที่แปลกก็คือตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วแทบไม่มีความรู้สึกกลัวเกิดขึ้นในใจเลย ในสายตาเขาไป๋เยวี่ยหูเป็นเพียงปีศาจจิ้งจอกสุดแสนธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากลัว
นอนหลับถึงประมาณบ่ายสามหรือสี่โมงเย็น ในที่สุดไป๋เยวี่ยหูก็ตื่น ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นก็เห็นลู่ชิงจิ่วกำลังเอนกายพิงหน้าต่างอ่านหนังสือ แสงแดดอันอบอุ่นส่องลงที่แก้มของชายหนุ่ม ทำให้ผิวและเส้นผมสีดำเคลือบด้วยสีทองที่มัวๆ อยู่หนึ่งชั้น เส้นแสงทำให้ลู่ชิงจิ่วดูพร่าเลือน ราวกับว่าเขากำลังจะหายไปพร้อมกับแสงนั้น
“ลู่ชิงจิ่ว” ไป๋เยวี่ยหูเรียกชื่อเขาราวกับร่ายมนตร์เรียกให้เขากลับมา
ลู่ชิงจิ่วขยับร่างกาย เงยหน้าขึ้นมองไป๋เยวี่ยหู เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนโยนตามปกติก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม “นายตื่นแล้ว”
“อืม” ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วเดินมาถึงหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดูตัวของไป๋เยวี่ยหูที่อยู่ตรงข้ามกับแสง บริเวณหน้าอกพองฟูขึ้นมาราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะไหลออกมาจากมัน เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ กลัวว่าจะเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึก
“หิวมั้ย” มีเรื่องที่ลู่ชิงจิ่วสามารถทำให้ไป๋เยวี่ยหูได้ไม่มากนัก ดีที่หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูต้องการมากที่สุด
ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า การต่อสู้เมื่อวานกินพละกำลังของเขามากเกินไป จึงต้องใช้เวลานานในการเติมเต็มและฟื้นฟู
“ฉันจะไปทำให้” ลู่ชิงจิ่วพูด “อยากกินอะไร”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “อะไรก็ได้”
ลู่ชิงจิ่วพึมพำ “งั้นทำขาหมูให้นายสักสองสามชิ้น แล้วก็ข้าวผัด”
ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “ก็ได้”
ลู่ชิงจิ่วหมุนตัวไปที่ห้องครัว ของพวกนี้เป็นของที่พร้อมทานทั้งหมด เขาเตรียมมันไว้ก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าไป๋เยวี่ยหูตื่นมาจะไม่มีอะไรกิน หลังจากที่เขาทำด้วยความว่องไว ก็ตรงกลับมาที่ห้องนอนของไป๋เยวี่ยหู แต่กลับพบว่าในห้องนอนนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของไป๋เยวี่ยหู
“เยวี่ยหู?” ลู่ชิงจิ่วร้องอย่างร้อนรน
“ฉันอยู่นี่” เสียงของไป๋เยวี่ยหูดังออกมาจากลานบ้าน
ลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปที่ลานบ้าน เห็นไป๋เยวี่ยหูนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกอีกครั้ง เขาเอ่ย “อยากอาบแดด”
ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายิ้มแล้วเดินไปข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะวางอาหารลงบนโต๊ะหิน “กินเถอะ”
ไป๋เยวี่ยหูยกมือขึ้น เริ่มกินช้าๆ
แสงแดดในฤดูใบไม้ผลินั้นดีที่สุด ลมเย็นพัดไม่รู้ว่าพากลีบดอกท้อกระจัดกระจายมาจากไหน บ้างก็ตกลงบนดินโคลนในสวน บ้างก็ตกลงบนกลุ่มผมสีดำของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วพลันลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหลังของไป๋เยวี่ยหู ก้มศีรษะลง เอาผมของไป๋เยวี่ยหูรวบไว้ด้านหลังแล้วมัดเข้าด้วยกัน
“พวกเขาจะมาอีกมั้ย” ลู่ชิงจิ่วถาม
“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ที่ใดมีแสงที่นั่นย่อมมีเงา ตราบใดที่แสงยังอยู่ เงาก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป”
ลู่ชิงจิ่วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่พวกนายทำมาหลายชั่วอายุคน?”
ไป๋เยวี่ยหู “ใช่”
ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจเบาๆ
ไป๋เยวี่ยหูพูดขึ้นว่า “จริงสิ ฉันมีอะไรอยากให้นายดู”
ลู่ชิงจิ่ว “อะไร”
ตอนแรกเขาคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่สำคัญมาก เห็นไป๋เยวี่ยหูยืนขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปที่ก้นตัวเองด้วยสีหน้าจริงจังให้ลู่ชิงจิ่วดู ลู่ชิงจิ่วยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ก่อนจะเห็นหางที่มีขนยาวสีขาวเก้าหางโผล่ออกมาจากตำแหน่งหางของไป๋เยวี่ยหู และมีเสียงของไป๋เยวี่ยหูเอ่ยว่า “นายดูสิ มันงอกออกมาแล้ว”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “ฉันบอกแล้วว่ามันงอกในฤดูใบไม้ผลิ”
ลู่ชิงจิ่วไหล่สั่น เขาพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นหัวเราะ แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ชายหนุ่มหัวเราะตัวงอน้ำตาไหล
ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วอย่างสงสัย “นายหัวเราะอะไร”
“ไม่…ไม่มีอะไร” ลู่ชิงจิ่วคิดว่าปีศาจจิ้งจอกบ้านตนช่างน่ารัก เขาทนไม่ไหว ยื่นมือออกไปกอดหางจิ้งจอกปุกปุยทั้งเก้าหางทันที รู้สึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มที่เหลืออยู่หลังจากหางพาดผ่านแก้ม “ฉันชอบนายมากเลย”
ไป๋เยวี่ยหู “ชอบฉัน?”
ลู่ชิงจิ่วจุมพิตที่หางอย่างไม่ปรานี “แน่นอนสิ”
ไป๋เยวี่ยหูมองไปที่ลู่ชิงจิ่วอย่างระแวดระวัง เขาหันศีรษะกลับมาพึมพำเบาๆ ลู่ชิงจิ่วยืนอยู่ข้างหลังแน่นอนว่าได้ยินคำบ่นเล็กๆ น้อยๆ ของไป๋เยวี่ยหูอย่างแจ่มชัด สิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูเอ่ยก็คือ “นายชอบสิ่งของขนปุยชัดๆ”
“ซะที่ไหนล่ะ” ลู่ชิงจิ่วแก้ตัว “ใครบอกนายว่าฉันชอบของที่มีขนปุย”
ไป๋เยวี่ยหู “มนุษย์ก็ชอบมันทั้งนั้น” หางของเขาสั่นไปมา “ถ้าไม่ชอบนายจะจับไว้ทำไม”
ลู่ชิงจิ่วตอบว่า “ฉันชอบหางนายเพราะว่ามันเป็นของนาย ถ้าเป็นของคนอื่นฉันอาจจะไม่ชอบก็ได้”
ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของลู่ชิงจิ่ว เหอะ มนุษย์มักจะพูดโกหกได้ง่ายๆ ปากพูดอย่างนี้ ไว้รอถึงตอนเห็นร่างเดิมของฉันจริงๆ คงได้วิ่งหนี ไม่อย่างนั้นสุภาษิตเยี่ยกงชอบมังกรจะมีได้ยังไง
ลู่ชิงจิ่วเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “นายก็เห็นนี่นาว่าฉันไม่ได้อยากจับหางของพ่อซูซี”
ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วทะลุปรุโปร่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “นั่นเป็นเพราะเขาไม่เอาออกมา”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาปฏิเสธไม่ได้เลย
“แต่ตอนนี้เขามีแค่หางโล้นๆ เท่านั้นแหละ” ไป๋เยวี่ยหูพูด “เพราะขนส่วนเกินของเขาเอามาให้ฉันทำเสื้อโค้ตหมดแล้ว อุ่นมั้ยล่ะ”
ลู่ชิงจิ่วตอบ “อุ่น”
ไป๋เยวี่ยหู “ดี”
ลู่ชิงจิ่วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาต้องการอธิบายให้ไป๋เยวี่ยหูฟังว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับขนปุกปุยขนาดนั้น แต่รู้สึกว่ามือสองข้างที่จับหางอยู่ทำให้ดูไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเลย สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจ ลูบหางยาวใหญ่ขนปุยอีกครั้งพลางเอ่ยว่า “ถึงฉันจะชอบขนนุ่มฟู แต่ฉันชอบนายมากกว่า”
ไป๋เยวี่ยหูเลิกคิ้ว “เป็นเพราะขนมันไม่น่าจับแล้ว หรือเสื้อโค้ตมันไม่น่าใส่ล่ะ”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ไป๋เยวี่ยหูโกรธแบบไม่มีเหตุผล “ฉันก็แค่ขนปุกปุย”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เอาเถอะ เขาคิดว่าควรข้ามหัวข้อนี้ไปดีกว่า
ไป๋เยวี่ยหูกลับไปนั่งที่เก้าอี้โยกของตัวเอง แล้วยื่นหางให้ลู่ชิงจิ่วจับอย่างภาคภูมิใจ สัมผัสของหางนี้เหมือนกันกับของจริง ไม่เพียงแต่มีอุณหภูมิสมจริงแต่ยังเคลื่อนไหวได้อีกด้วย หางที่พันรอบเอวลู่ชิงจิ่วยิ่งทำให้ชอบอกชอบใจเข้าไปใหญ่ ทว่าคำถามก็คือหางนี้ปรากฏขึ้นมาได้ยังไงกัน ไป๋เยวี่ยหูใช้เสื้อโค้ตท้าพนันเหรอ หรือ…เขากินแล้วเหลือ
ลู่ชิงจิ่วค่อนข้างสับสน เทียบกับเมื่อก่อนแล้วขนที่หางดกหนาและเรียบลื่นมากกว่าเดิม จับแล้วเหมือนกับตุ๊กตาตัวใหญ่ สบายมือสุดๆ และสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือมันสามารถพันรอบตัวคนได้ ลู่ชิงจิ่วเอนตัวพิงมันราวกับพิงเบาะ ประกอบกับความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ ไม่ช้าชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ก็เปลี่ยนมาอยู่ทางทิศตะวันตกแล้ว เขาลืมตาขึ้นเห็นใบหน้าด้านข้างของไป๋เยวี่ยหู กลีบดอกท้อกลีบหนึ่งร่วงลงบนปลายจมูกของไป๋เยวี่ยหู ลู่ชิงจิ่วเหยียดนิ้วออกไปหยิบกลีบดอกท้อนั่นเบาๆ
ไป๋เยวี่ยหูถูกปลุกให้ตื่น ชายหนุ่มลืมตาแต่นัยน์ตายังมีอาการง่วงงุนอยู่ เขาหันศีรษะและส่งเสียงฮึมฮัมเบาๆ พลางดึงลู่ชิงจิ่วมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง
นี่อาจเป็นผลที่หลงเหลือหลังจากนอนด้วยกันในช่วงฤดูหนาว ช่วงนั้นขณะที่ลู่ชิงจิ่วกำลังหลับอยู่ ท่วงท่าในการนอนของทั้งสองคนก็ยังปกติดี แต่เกือบทุกเช้าเขากลับตื่นขึ้นมาอ้อมแขนของไป๋เยวี่ยหูซะอย่างนั้น
“อืม…” ลู่ชิงจิ่วคราง “ตื่นแล้ว ยังไม่ได้ทำอาหารเย็นเลย”
ไป๋เยวี่ยหูว่า “ไม่กินแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เอาน่า อย่าเรื่องมาก นายเพิ่งได้รับบาดเจ็บ จะไม่กินได้ยังไง”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ก็ไม่ได้หิวมาก”
แม้ไป๋เยวี่ยหูจะพูดว่าตนไม่หิว แต่ลู่ชิงจิ่วยังคงพยายามคลานออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก เขามองดูเวลา ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว แต่อิ่นสวินที่ไปส่งเจียงปู้ฮ่วนยังไม่กลับมาเลย
คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ ลู่ชิงจิ่วกังวลใจเล็กน้อย รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาอิ่นสวิน
หลังจากต่อสายติด เสียงของอิ่นสวินก็ดังมาจากปลายสายอีกด้าน เขาเอ่ย [จิ่วเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นห่วงน่า ฉันน่าจะกลับดึกหน่อย]
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย
อิ่นสวินตอบ [ไอ้หยา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่หลังจากส่งเจียงปู้ฮ่วน ฉันถึงเห็นว่าก้นขึ้นผื่นแดงก็เลยไปคลินิกรับยาหน่อย หมอบอกว่าฉันเป็นภูมิแพ้ ให้ฉันฉีดยาก่อนกลับ]
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขานึกขึ้นมาได้ว่าอิ่นสวินเหมือนจะแพ้ทาก เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ร้ายแรงอะไร ทำไมวันนี้ถึงล้มป่วย
อิ่นสวินอธิบายอย่างละเอียด [ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน หมอบอกว่าอาจจะเป็นเพราะฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดโรคสูง…]
ลู่ชิงจิ่ว “เอาเถอะ นายกลับมาเร็วๆ ละกัน”
อิ่นสวินวางสายโทรศัพท์เงียบๆ แอบร้องไห้มองหน้าจอโทรศัพท์ เขาเองอยากจะกลับ แต่บ่ายวันนี้มีคนส่งข้อความมาหา บอกว่าไม่อนุญาตให้ปรากฏตัวต่อหน้าตนก่อนหกโมงเย็น ไม่เช่นนั้นจะถูกฆ่าเอาเนื้อมากิน เขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแค่เกาศีรษะแล้วให้รถกระบะคันเล็กแบกคนที่ไม่มีประโยชน์คนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข้อความจากไป๋เยวี่ยหู ตอนที่ได้รับข้อความเขายังคิดอยู่เลยว่าไป๋เยวี่ยหูนิสัยเปลี่ยนหรือไงถึงได้ส่งข้อความหาเขาอย่างไม่คาดฝัน ใครจะรู้ว่าทันทีที่เปิดข้อความจะเห็นว่าไป๋เยวี่ยหูดันต้องการชีวิตน้อยๆ ของเขา
“วู้ว จิ่วเอ๋อร์ อยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆ นะ” อิ่นสวินปาดน้ำตาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนรัก “อย่าให้ฉันกลับไปเห็นไป๋เยวี่ยหูกำลังเคี้ยวนายที่เหลือแต่กระดูกเลย……” ลู่ชิงจิ่วไม่เหมือนเขาที่ถูกกินก็ยังสามารถงอกใหม่ได้ แต่พูดไปพูดมา ตกลงมันคือการกินแบบไหนกันล่ะ คงต้องมาถกกันต่อไป