everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 67-68 #นิยายวาย
บทที่ 68 กรงชำรุด
เมื่อลู่ชิงจิ่วได้งีบหลับตอนกลางวันก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าได้หายไปจากร่างกาย ท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปทำอาหารเย็น
อิ่นสวินกลับมาดึก เขามีสีหน้าอมทุกข์ตอนที่กลับมา ลู่ชิงจิ่วคิดว่าเป็นเพราะโดนฉีดยาจึงไม่คิดอะไรมาก ไม่รู้เลยว่าลูกชายตัวน้อยที่น่าสงสารของเขาถูกคุกคามถึงชีวิตอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เจียงปู้ฮ่วนจากไป พวกเขาก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตามปกติ งานเกษตรกรรมของครอบครัวยังคงมีให้ทำไม่จบไม่สิ้น ยังมีหมูขาวสองตัวที่เลี้ยงจนโตเป็นหมูตัวใหญ่ ซึ่งเจ้าลูกหมูสีขาวนี่เขาซื้อมาพร้อมกับเสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮย เพียงแต่เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยยังมีลักษณะอย่างลูกหมูเช่นเดิม ลูกหมูสีขาวกลายเป็นหมูตัวใหญ่แล้ว เพื่อทำให้พวกมันมีชีวิตรอดในฤดูหนาว ลู่ชิงจิ่วไม่ลืมที่จะให้อิ่นสวินจุดไฟที่เตาถ่านทุกวัน ทำอาหารหมูร้อนๆ ให้ อย่างที่อิ่นสวินบอกว่าเขาเลี้ยงหมูสองตัวนี้มาด้วยความยากลำบาก
“ตอนนี้นายอยากบอกอะไรพวกเขามั้ย” ลู่ชิงจิ่วถามอิ่นสวิน หมูขาวตัวใหญ่เลี้ยงมาหนึ่งปีเกือบจะโตเต็มวัยแล้ว ถ้าเลี้ยงต่อไปเนื้ออาจจะเหนียว เขาเลยตั้งใจจะหาเวลาเหมาะๆ ฆ่าหมูมาทำอาหาร
“ฉันอยากบอกว่า…” อิ่นสวินเอ่ย “หวังว่าเนื้อของพวกเขาจะอร่อยนะ”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาคงนึกถึงเสี่ยวฮวาที่ตายไปตั้งแต่ตอนเด็ก
ในเมื่อตัดสินใจจะกินเนื้อหมู หน้าที่ฆ่าหมูจึงอยู่ในมือพวกเขา หมู่บ้านเล็กๆ นี้ไม่มีคนฆ่าหมูเลย พวกชาวบ้านที่เลี้ยงหมูต่างฆ่าพวกมันด้วยตัวเอง แม้ว่าลู่ชิงจิ่วจะเคยฆ่าไก่ แต่เขาก็ไม่เคยฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่เท่าหมูมาก่อน หลังจากสอบถามเพื่อนบ้านเกี่ยวกับขั้นตอนการทำ เขาก็รู้สึกสิ้นหวัง
“เหมือนจะต้องเอาหมูมาผูกไว้บนเก้าอี้แล้วเอามีดแทงลงไป” อิ่นสวินถือมีดฆ่าหมูที่ยืมมาอย่างเริงร่าอยู่ด้านข้าง “แล้วเลือดก็พุ่งทะลักไหลลงมา…”
ลู่ชิงจิ่ว “…นายทำมั้ย ฉันช่วยนายกดดีมั้ย”
อิ่นสวินตอบเสียงเบา “แต่ฉันไม่เคยฆ่านะ หมูนี่ตัวหนักกว่าฉันอีก”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เพ่งสายตามองไปที่เดียวกัน…ไป๋เยวี่ยหูที่นั่งอยู่ในลานบ้าน
ลู่ชิงจิ่วถือมีดฆ่าหมู ค่อยๆ เดินไปข้างกายไป๋เยวี่ยหู “หูเอ๋อร์อ่า”
ไป๋เยวี่ยหูลืมตา “ฆ่าหมู?” เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนเมื่อครู่นี้
ลู่ชิงจิ่ว “อ๊ะ…อื้ม”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ได้” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอื้อมมือหยิบมีดในมือของลู่ชิงจิ่ว แล้วหมุนตัวเดินไปทางคอกหมู เห็นดังนั้นลู่ชิงจิ่วก็รีบหยิบกะละมังเดินตามหลังเขาไป เลือดหมูนับว่าเป็นของดี หากนำมาทำไส้กรอกเลือดก็จะอร่อยมาก
ไป๋เยวี่ยหูมาถึงคอกหมูด้วยท่าทางเย็นชา เอื้อมมือไปดึงหมูออกมา เวลาบ้านคนอื่นๆ ฆ่าหมูจะต้องใช้ชายร่างใหญ่หลายคนมาจับหมูกดเอาไว้ แต่สำหรับเขาไม่จำเป็นเลย พอหมูตัวใหญ่หนักหลายร้อยจินอยู่ในมือของเขาก็เหมือนกับสัตว์เล็กที่ไม่มีแรงจะต่อสู้ มีดสะอาดถูกแทงเข้าไปก่อนจะถอนออกมาเป็นมีดสีแดง ท่าทางเด็ดเดี่ยวและเย็นชานั่นทำเอาอิ่นสวินที่มองอยู่ข้างๆ รู้สึกว่าคอของเขาเย็นเฉียบขึ้นมาดื้อๆ เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ
ไป๋เยวี่ยหูเป็นนักฆ่าหมูมือฉมัง ฆ่าเสร็จแล้วยังไม่ลืมที่จะแบ่งส่วนของเนื้อหมูอย่างดี เนื้อหมูในมือของเขาถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้นใหญ่อย่างรวดเร็ว ลู่ชิงจิ่วนำขาหมูไปให้บ้านของหลี่เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ส่วนเนื้อที่เหลือตั้งใจว่าจะใช้ทำอาหารชุดใหญ่
เนื้อหมูนี้แตกต่างจากที่ซื้อในเมือง เนื้อหมูของพวกเขามีคุณภาพดีและมีกลิ่นหอมมาก ลู่ชิงจิ่วเอาหมูสามชั้นออกมาผัดเป็นเมนูหมูสามชั้นกลับกระทะ แล้วก็ตุ๋นเป็นขาหมูหนึ่งหม้อ จากนั้นก็เอาขาและหูหมูมาหมัก ส่วนเนื้อตรงหัวหมูนำมาปรุงแบบเย็น โดยรวมแล้วทุกส่วนของร่างกายหมูต้องได้รับการใช้ประโยชน์สูงสุด
หมูที่เลี้ยงด้วยธัญพืชมีไขมันน้อยกว่าหมูที่เลี้ยงด้วยอาหารสัตว์มาก ทั้งยังมีกลิ่นหอมเมื่อนำใส่หม้อเพื่อกลั่นน้ำมัน ส่วนกากน้ำมันหมูที่เหลือนั้นโรยด้วยน้ำตาลจะกลายเป็นเครื่องเคียงอีกชนิดหนึ่ง
หลังจากฆ่าหมูที่บ้านไปแล้วก็มีความสุขเหมือนได้ฉลองปีใหม่ กระทั่งเสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยก็ได้กระดูกหมูชิ้นโตที่ต้มแล้วด้วยเช่นกัน ทั้งคู่เคี้ยวกินอย่างเพลิดเพลิน
เดือนเมษายนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นทีละน้อย เสื้อผ้าก็เริ่มใส่น้อยชิ้นลงเรื่อยๆ ในตอนกลางคืนลู่ชิงจิ่วได้นำหูหมูและขาหมูที่หมักไว้ตอนกลางวันไปที่ลานบ้านพร้อมเบียร์เย็นๆ สองสามขวด ทั้งสามคนกินไปคุยไป ขาและหูหมูถูกน้ำที่ใช้หมักเปลี่ยนให้นุ่มหนืด รสชาติเข้าเนื้อ หากชอบรสเผ็ดก็จิ้มกับงาและพริกป่นคั่วหอมๆ
วันนี้อากาศดีมาก พระจันทร์กลมโต บรรยากาศภายในลานบ้านดีสุดๆ ไป๋เยวี่ยหูไม่ชอบดื่มของมึนเมา แต่ก็ยังสนใจเนื้อหมูหมักอยู่มาก อิ่นสวินที่อยู่ข้างๆ กำลังพูดถึงสิ่งแปลกๆ ที่เขาพบเจอหลังจากกลายเป็นเทพภูเขา เช่น พ่อแม่ที่ไม่ต้องการมีลูกจงใจพาเด็กไปที่ภูเขาแล้วปล่อยทิ้ง และเป็นตัวเขาเองที่ช่วยเด็กหาทางลงเขาอย่างปลอดภัย
ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน กำลังจะพูดว่าทำไมถึงมีพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นมาจากขอบฟ้า เสียงนี้เหมือนกับภูเขาถล่มอย่างไรอย่างนั้น ลู่ชิงจิ่วหูอื้อ สีหน้าเรียบสงบของไป๋เยวี่ยหูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกเปลี่ยนไปกะทันหัน เขาพูดว่า “พวกนายอยู่ในบ้านนะ อย่าไปไหน”
“เกิดเรื่องอะไรเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างเร่งรีบ
ไป๋เยวี่ยหูส่ายศีรษะ “ยังไม่รู้ ฉันจะไปดูก่อน” เขาลุกขึ้นยืน หมอกสีดำปรากฏขึ้นรอบกายเขา ก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าลู่ชิงจิ่ว
ลู่ชิงจิ่วไม่เคยเห็นไป๋เยวี่ยหูมีท่าทางเคร่งขรึมมาก่อน ชายหนุ่มเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ”
อิ่นสวินพูดอย่างทึ่มทื่อ “อย่างกับท้องฟ้าถูกทำลายเลย…”
ลู่ชิงจิ่ว “ท้องฟ้าถูกทำลาย?” เขามองไปทางที่อิ่นสวินมองก็พบว่าท้องฟ้าราวกับถูกทำลายจริงๆ กลางท้องฟ้าที่เดิมทีกำลังมืดลงกลับปรากฏแสงสีแดงเส้นยาวเส้นหนึ่ง แสงนั้นส่องทะลุฟ้า ทิ้งร่องรอยระยิบระยับไว้บนนั้น ดูเหมือนมีเมฆสีดำเคลื่อนไหวในแสงนั้น คล้ายกับมีอะไรบางอย่างต้องการพุ่งตัวออกมา ทำให้คนมองรู้สึกไม่สบายใจ
ลู่ชิงจิ่วและอิ่นสวินมองดูด้วยกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าแสงที่เปล่งออกมานั้นหมายถึงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี เมฆสีดำล้นทะลักออกจากข้างในลำแสงอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้าทั้งผืนดูเหมือนจะรั่วไหลอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกวิตกกังวลในใจของอิ่นสวินเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาพูด “ชิงจิ่ว พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”
ลู่ชิงจิ่วตอบ “โอเค”
ทั้งสองคนออกจากลานบ้าน กลับเข้าไปในบ้านพร้อมปิดประตูและหน้าต่าง
แสงสีแดงค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ลู่ชิงจิ่วมองเห็นได้จากระยะไกลและรอดูการเปลี่ยนแปลงของมัน อิ่นสวินอ่อนไหวมากกว่าลู่ชิงจิ่ว ตอนนี้เขาไม่กล้ามองออกไปข้างนอกอีก เอาแต่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ร่างกายของเขาสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว ลู่ชิงจิ่วมองดูท่าทางของเขาแล้วเอ่ยอย่างกังวล “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย อิ่นสวิน?”
“ไม่…ไม่เป็นไร” อิ่นสวินตอบเสียงสั่น “ชิงจิ่ว นาย…นายรู้มั้ย ปีที่พ่อแม่ของนายประสบอุบัติเหตุ บนท้องฟ้าก็มีแสงเจิดจ้าแบบนี้”
ลู่ชิงจิ่วชะงัก
“แล้วฝนก็ตกหนักต่อเนื่อง” อิ่นสวินก้มศีรษะลง “ฉันไม่รู้สึกถึงอะไรเลย” เขาเป็นเทพภูเขา ทั้งต้นไม้ต้นหญ้าบนภูเขา ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเขาสามารถรับรู้ได้ในใจ แต่ทันทีที่แสงส่องออกมา การรับรู้ของเขาบนภูเขากลับดูเหมือนจะถูกปิดกั้นด้วยพลังประหลาด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
ลู่ชิงจิ่วคิดถึงการตายของพ่อแม่ ตลอดมาเขาคิดอยู่เสมอว่าการตายของพ่อแม่เป็นอุบัติเหตุ แม้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเหล่าซู่ เขาถึงกลับมาที่หมู่บ้านสุ่ยฝู่พร้อมความสงสัยในใจ แต่ก็ไม่พบอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งวันเกิดเขาที่ได้เปิดกล่องไม้ซึ่งคุณยายทิ้งไว้ ถึงรู้ว่าการตายของพ่อแม่ไม่ใช่อุบัติเหตุ
ภายนอกหมู่บ้านสุ่ยฝู่ล้วนเป็นที่ต่างแดน ซึ่งที่ต่างแดนนี้หมายถึงอะไรกันแน่ หมายถึงโลกที่ไป๋เยวี่ยหูพาเขาไป หรือหมายถึงสถานที่อื่น
ท้องฟ้าควรจะมืด ทว่าลำแสงกลับส่องสว่างไปครึ่งค่อนฟ้า ท่ามกลางปรากฏการณ์เช่นนี้ทั้งหมู่บ้านสุ่ยฝู่ตกอยู่ในความเงียบ เหมือนว่าไม่มีชาวบ้านคนไหนสนใจความแปลกประหลาดบนท้องฟ้านี้ ประตูบ้านทุกหลังถูกปิดแน่นเหมือนสุสานร้าง
แม้จะไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสัญชาตญาณอิ่นสวินจึงตกอยู่ในความกลัวที่ไม่อาจบรรยายได้ เขากลัวลำแสงนั่น พูดตรงๆ ก็คือเขาหวาดกลัวสิ่งที่ล้นทะลักออกมาจากในลำแสง
ลู่ชิงจิ่วดีกว่าอิ่นสวินนิดหน่อย เขานั่งอยู่ริมหน้าต่างจ้องมองที่แสงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ขอบเขตของลำแสงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมฆสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากข้างในก็มากขึ้นไปด้วย ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้าใกล้แสงนั่น แล้วใช้ร่างกายของมันปิดกั้นรอยแตกไว้
และเพราะลำแสงข้างหลังนั่นทำให้ลู่ชิงจิ่วไม่สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามันคือตัวอะไร แต่ดูจากรูปร่างแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมังกร
ลู่ชิงจิ่วจ้องมองไปที่ท้องฟ้า คาดเดาตัวตนที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมังกรนั่น…เห็นได้ชัดว่ามันคือผู้เช่าจอมขี้เกียจของเขา ไป๋เยวี่ยหู
อีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ แสงนั่นหมายความว่าอะไร ความกังวลในใจของลู่ชิงจิ่วเพิ่มมากขึ้น เขารู้ว่าอาการบาดเจ็บของไป๋เยวี่ยหูยังไม่หายดี ถ้าต้องต่อสู้อีกครั้ง ร่างกายของไป๋เยวี่ยหูจะรับไหวจริงๆ หรือ ลู่ชิงจิ่วเป็นกังวล แต่เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา สิ่งที่เขาสามารถทำได้มีน้อยเกินไป กระทั่งไป๋เยวี่ยหูก็ยังต้องแบ่งความสนใจมาปกป้องเขา
ไม่รู้ไป๋เยวี่ยหูทำอะไรกันแน่ ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ลำแสงที่ขอบฟ้าเริ่มหรี่แสงลง ท้องฟ้าค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพสงบตามปกติ
เป็นไปตามที่อิ่นสวินคาด ฝนเม็ดใหญ่เริ่มโปรยปรายลงมา สาดกระเซ็นจนกลายเป็นม่านฝนขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งโลก ฝนตกหนักมากจนลู่ชิงจิ่วไม่ได้ยินแม้แต่เสียงพึมพำของอิ่นสวิน และมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับลำแสงสีแดงหลังกลุ่มเมฆดำเช่นกัน
อิ่นสวินที่ขดตัวอยู่มุมห้องพลันยืดตัวขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ไป๋เยวี่ยหูกลับมาแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะกลับมาเร็วขนาดนี้ เมื่อมองออกไปข้างนอกอีกครั้งก็เห็นร่างของไป๋เยวี่ยหูภายใต้ม่านฝน
ไป๋เยวี่ยหูยืนอยู่นอกประตู โบกมือให้ลู่ชิงจิ่วอย่างนุ่มนวลเป็นเชิงให้เขาออกไป
“นายจะออกไปข้างนอกเหรอ” อิ่นสวินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “ข้างนอก…มันดูอันตรายมากเลยนะ”
“ไม่เป็นไร” ลู่ชิงจิ่วพูด “มีไป๋เยวี่ยหูอยู่”
อิ่นสวินได้ยินดังนั้นก็ทำท่าเหมือนจะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ลู่ชิงจิ่วผลักประตูเปิดออก ที่ลู่ชิงจิ่วพูดจริงๆ ก็มีเหตุผล ถ้ามีคนต้องการทำร้ายลู่ชิงจิ่วจริงๆ ก็มีแค่ไป๋เยวี่ยหูเท่านั้นที่สามารถปกป้องเขาได้
ส่วนตัวเขาเป็นเพียงเทพภูเขาผู้อ่อนแอ
เขามองลู่ชิงจิ่วออกจากประตูไป แล้วอิ่นสวินก็เผยรอยยิ้มขมขื่น
ลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปในลานบ้าน บนท้องฟ้ายังคงมีฝนตกอยู่ เพียงแต่เมื่อฝนจะตกลงมาบนร่างของลู่ชิงจิ่ว ก็จะกระเด็นออกไปด้วยแรงที่มองไม่เห็น ไป๋เยวี่ยหูยืนอยู่ที่หน้าประตูลานบ้าน นัยน์ตาสีดำกลืนไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้คนมองเห็นไม่ค่อยชัด เขามองฝีเท้าของลู่ชิงจิ่วที่หยุดลงตรงหน้าตัวเอง จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาลู่ชิงจิ่ว “มากับฉัน”
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า กระชับฝ่ามือไป๋เยวี่ยหู
จากนั้นภาพรอบข้างก็หมุนวน ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังโบยบินไปกับไป๋เยวี่ยหู รอจนไป๋เยวี่ยหูหยุดลงอีกครั้ง ฉากอันคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา…หลุมลึกขนาดมโหฬาร
หลุมลึกแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไป๋เยวี่ยหูเคยพาลู่ชิงจิ่วและอิ่นสวินมาเพื่อเล่าเรื่องสยองขวัญ แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วหลุมลึกที่อยู่ข้างหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
บริเวณขอบของหลุมลึกถูกกระแทกออกเป็นรูขนาดใหญ่ มังกรตัวยักษ์ที่ติดอยู่ข้างในหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือแค่เพียงแอ่งตะกอนที่ส่งกลิ่นเหม็น
“เขาหนีไปแล้ว” ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “อาจมาหานาย”
“หาฉัน?” ลู่ชิงจิ่วตกใจ “เขามาหาฉันเพื่ออะไร เขาก็อยากกินฉันด้วย?” แม้ไป๋เยวี่ยหูจะเคยบอกว่ามังกรตัวนี้ไม่ได้กินพ่อแม่ของเขา แม้สุดท้ายแล้วมันจะเป็นคำพูดจากไป๋เยวี่ยหูเองก็ตาม แต่หากฝ่ายนั้นไม่ได้ทำเรื่องนี้ ทำไมถึงต้องถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ได้แก้ตัวด้วยล่ะ
ฝนยังคงตกอยู่รอบบริเวณ เสียงฝนที่โปรยปรายทำให้เสียงของไป๋เยวี่ยหูแผ่วจางลง ไม่รู้ว่าลู่ชิงจิ่วรู้สึกไปเองหรือเปล่า เขาสัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจจากน้ำเสียงของไป๋เยวี่ยหู “ฉันเดาว่า…หลังจากนั้น…”
ลู่ชิงจิ่วพูด “หลังจากอะไรนะ”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ไม่มีอะไร”
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าไป๋เยวี่ยหูกำลังปิดบังอะไรบางสิ่งจากตน เขาเอ่ย “เยวี่ยหู นายมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันมั้ย”
ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วและยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “อืม” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบ “ฉันไม่รู้ว่าจะบอกนายยังไง”
ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ “มังกรตัวนี้มีพลังมากใช่มั้ย” ถูกขังอยู่ในหลุม แถมยังถูกควักดวงตาออกทั้งสองข้าง แต่เขาก็ยังหลบหนีออกมาจากหลุมได้อยู่ดี
“มีพลังสูงมาก” ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ก่อนหน้าที่ถูกขังอยู่ในนั้นเป็นเพราะเขาไม่อยากออกมา”
ลู่ชิงจิ่ว “ไม่อยาก?”
ไป๋เยวี่ยหู “เขารู้สึกว่าตัวเองผิด”
ลู่ชิงจิ่ว “ผิดเหรอ เขาถูกคุมขังเพราะกินพ่อแม่ของฉัน…” พูดถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกเศร้า “ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น” เขานึกถึงภาพตอนจัดงานศพให้พ่อแม่ ตอนนั้นชายหนุ่มยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ยังมีความเป็นเด็กอยู่กว่าครึ่ง การเสียชีวิตของพ่อกับแม่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาเลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะเติบโตด้วยวิธีนี้
ไป๋เยวี่ยหูอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายจึงไม่ได้เอ่ยอะไร ทำเพียงแค่ยื่นมือมากดไหล่ลู่ชิงจิ่วเบาๆ
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ตอนนี้เขาต้องการกินฉันใช่มั้ย”
ไป๋เยวี่ยหู “ฉันไม่รู้”
ลู่ชิงจิ่วยิ้มขมขื่น “แสงบนท้องฟ้าเมื่อกี้…”
ไป๋เยวี่ยหูอธิบาย “แสงนั่นเป็นแค่การดึงดูดความสนใจฉัน ให้โอกาสเขาหลบหนี” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าเขาอยากจะไป มันก็มีวิธีเสมอนั่นแหละ”
ลู่ชิงจิ่วหลับตาลง “แล้วฉันทำอะไรได้บ้าง”
ไป๋เยวี่ยหู “ไม่ต้องกลัว ฉันปกป้องนายอยู่แล้ว”
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสิ้นหวังแพ้พ่าย “ที่จริงฉันควรจะปกป้องนายไม่ใช่เหรอ การปกป้องดูแลแบบนี้ตกลงหมายความว่าอะไร ฉันก็แค่มนุษย์ธรรมดา เห็นนายบาดเจ็บก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“ไม่” เสียงของไป๋เยวี่ยหูอ่อนลง “นายมีพลังที่นายไม่รู้”
ลู่ชิงจิ่ว “พลังที่ฉันไม่รู้?”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “ใช่” แต่ฉันหวังว่านายจะไม่ต้องรับรู้ตลอดไป เขามองดูนัยน์ตาเศร้าหม่นของลู่ชิงจิ่วแล้วเอ่ยเสริมในใจเงียบๆ
ลู่ชิงจิ่วคิดว่าคำพูดของไป๋เยวี่ยหูเหมือนคำปลอบใจแบบส่งๆ เขาฝืนยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก
ไป๋เยวี่ยหูที่ปกติไม่ค่อยพูดจาสื่อสารกับผู้คนพอเห็นท่าทีฝืนยิ้มเต็มทนของลู่ชิงจิ่ว แม้ในใจจะรู้สึกอึดอัด แต่ก็ไม่รู้จะปลอบโยนเขาอย่างไรดี ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ทำได้เพียงเอี้ยวศีรษะไปจุมพิตลงบนกลุ่มผมของลู่ชิงจิ่วอย่างนุ่มนวล
ลู่ชิงจิ่วมองหลุมลึกตรงหน้า เข้าสู่ภวังค์ความเงียบ
ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย “พวกเรากลับกันเถอะ”
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า
ระหว่างที่ไป๋เยวี่ยหูพาลู่ชิงจิ่วกลับบ้านอีกครั้ง จิตใจของลู่ชิงจิ่ววุ่นวายสับสน เมื่อกลับถึงบ้าน เขาไม่ได้ทักทายอิ่นสวินแต่ตรงไปที่ห้องและพักผ่อนตามลำพัง
อิ่นสวินมองท่าทางสิ้นหวังของลู่ชิงจิ่วแล้วจึงใช้ความกล้าถามไป๋เยวี่ยหูว่าเกิดอะไรขึ้น
“มังกรที่ถูกคุมขังหนีไปแล้ว” ไป๋เยวี่ยหูตอบอย่างใจเย็น “อาจจะมาหาลู่ชิงจิ่ว”
“อะไรนะ???” อิ่นสวินมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ “หนีออกมา? หนีออกมาได้ยังไง!” เมื่อคิดว่าชีวิตของเพื่อนรักอาจจะเป็นที่ต้องการของมังกรที่ทรงพลัง ทั่วทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล “ชิงจิ่ว…ชิงจิ่วจะไม่เป็นอันตรายใช่มั้ย!”
ไป๋เยวี่ยหู “ฉันอยู่นี่ไง”
อิ่นสวินตอบ “ฉันรู้…แต่…”
“ไม่มีแต่” ไป๋เยวี่ยหูตัดบทอิ่นสวินอย่างไม่ไว้หน้า “ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะปกป้องลู่ชิงจิ่ว”
อิ่นสวินกัดฟัน “แต่นายรับประกันได้มั้ยล่ะว่าจะอยู่กับลู่ชิงจิ่วตลอดไป”
ไป๋เยวี่ยหูตอบอย่างเย็นชา “ทำไมจะไม่ได้?”
อิ่นสวินเงียบ เขาดูออกว่าไป๋เยวี่ยหูพูดประโยคนี้ด้วยความจริงจัง
“ดึกแล้ว นายควรกลับไปต่อเทียน” ไป๋เยวี่ยหูเอ่ยเป็นการปิดท้ายบทสนทนาของพวกเขา
ข้างนอกฝนยังคงตกหนัก อิ่นสวินเลือกที่จะไป เขาไม่มีร่มจึงต้องเปียกฝนอย่างไม่มีทางเลือก เขาเดินกลับบ้านทีละก้าวด้วยความยากลำบากสุดขีด หมู่บ้านเงียบราวกับป่าช้า อิ่นสวินเปิดประตูบ้าน เห็นเทียนที่ใกล้จะมอดและป้ายวิญญาณอีกนับไม่ถ้วน
อิ่นสวินมองไปที่ป้ายวิญญาณแล้วเผยรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่ารอยยิ้มนี้กลับไม่น่ามองเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้
ฝนตกหนักทั้งคืนราวกับต้องการล้างสีของโลกทั้งใบออก
ลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ในห้องนอน มองดูเกล็ดสีดำที่เต็มไปด้วยรอยแผล มันน่าจะเป็นของมังกรที่ถูกคุมขังอยู่ในหลุมตัวนั้น คุณยายของเขาเก็บเกล็ดมังกรนี้ไว้ด้วยอารมณ์ไหนนะ
คุณปู่ที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึงที่แท้ก็คือมังกรตัวนั้นงั้นเหรอ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมเขาถึงต้องกินลูกของตัวเอง ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยล่ะ
ลู่ชิงจิ่วไม่เข้าใจ และไม่มีใครสามารถให้คำตอบเขาได้
เขาเงยหน้าขึ้นมองผ่านหน้าต่าง เห็นแต่ความมืดที่ปกคลุมด้วยสายฝน ฝนตกหนักเหมือนจะไม่มีวันหยุดเช่นเดียวกับวันนั้นที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต…ภูเขาลูกใหญ่ถล่มลงมา มนุษย์ที่อยู่ในนั้นมีขนาดเล็กเสียจนการค้นหาศพกลายเป็นความหวังที่ดูสูญเปล่า
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเจ็บที่หน้าอก เขาสอดเกล็ดนั้นไว้ในสมุดบันทึกและวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง กล่องไม้ที่มีตัวล็อกแบบตัวอักษรถูกล็อกอีกครั้ง มันควรจะถูกเปิดเฉพาะในวันเกิดเท่านั้น โชคดีที่สิ่งของภายในกล่องไม้ถูกนำออกมาแล้ว
อย่างน้อยช่วงเวลาตีสามกว่า ลู่ชิงจิ่วที่นอนไม่หลับถึงค่อยข่มตาหลับลงได้ แต่ประสิทธิภาพการนอนนั้นแย่มาก เขาถึงกับฝันถึงมังกรที่ถูกคุมขัง
เขาของมังกรหัก แต่ยังคงมีดวงตาอยู่ มันคือดวงตาคู่สวยสีดำ นัยน์ตาดำนั้นแฝงไปด้วยความเศร้า จ้องมองลู่ชิงจิ่วราวกับกำลังมองใครคนอื่นผ่านตัวชายหนุ่ม
“คุณเป็นใคร” ในความฝันลู่ชิงจิ่วอดไม่ได้ที่จะถาม
มังกรดำอ้าปากเผยให้เห็นลิ้นที่หายไปครึ่งหนึ่ง
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “คุณ…พูดไม่ได้เหรอ”
มังกรดำพยักหน้า
“ทำไมผมถึงฝันเห็นคุณ คุณต้องการบอกอะไรผมหรือเปล่า” ความฝันกับความจริงเริ่มพร่าเลือน ลู่ชิงจิ่วไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองตื่นแล้วหรือฝันอยู่กันแน่
มังกรดำไม่พูดอะไร ความเศร้าในดวงตาของเขายิ่งแย่กว่าเดิม เขาใช้เขามังกรที่หักไล้แขนของลู่ชิงจิ่วเบาๆ การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างบางเบาคล้ายกลัวจะทำให้ลู่ชิงจิ่วหวาดกลัว
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเจ็บปวดในใจ ไม่รู้ว่าทำไมจึงนึกถึงไป๋เยวี่ยหู ถ้าเขาเดาไม่ผิด ร่างจริงของไป๋เยวี่ยหูก็น่าจะเป็นมังกรดำเช่นเดียวกับที่เห็นอยู่ตรงหน้า ถ้าไป๋เยวี่ยหูกลายเป็นแบบนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด แค่นึกก็รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง
มังกร…สิ่งมีชีวิตที่หยิ่งผยองเช่นนี้จะปล่อยให้พวกเขาพิการไม่สมบูรณ์ไปต่อหน้าต่อตาได้ยังไง พวกเขาควรเป็นตำนานของการทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าจะสิ้นอายุขัยก็ควรจากไปอย่างสง่างาม
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณอยากพูดอะไร” ลู่ชิงจิ่วว่า “ผม…” เขาต้องการจะพูดอะไรอีก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าพลันสลายหายไปทันใด ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นจากความฝันมาเจอกับไป๋เยวี่ยหูที่มีท่าทางกังวล
“นายฝันร้าย” ไป๋เยวี่ยหูพูด
ลู่ชิงจิ่วกะพริบตา ก่อนจะตระหนักได้ว่าทั้งร่างของเขาเย็นเฉียบ หน้าผากปกคลุมด้วยเม็ดเหงื่อเย็นๆ เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ฉันฝันถึงมังกรสีดำ”
ไป๋เยวี่ยหูจ้องมองลู่ชิงจิ่วเงียบๆ โดยไม่เอ่ยแทรก
“เขาของเขาหัก ลิ้นของเขาก็หายไป” ลู่ชิงจิ่วพูด “น่าเวทนาเหลือเกิน” เขาคิดจะใช้รอยยิ้มเป็นการบอกไป๋เยวี่ยหูว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
ทว่าไป๋เยวี่ยหูกลับพูดว่า “อย่ายิ้มเลย”
ลู่ชิงจิ่วชะงัก
“ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม” ไป๋เยวี่ยหูเอื้อมมือไปกอดลู่ชิงจิ่ว ร่างกายอุ่นร้อนนำพาความอบอุ่นมาสู่ร่างกายเย็นเฉียบของลู่ชิงจิ่ว “จะทำสีหน้ายังไงก็ไม่เป็นไรหรอก”
ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจและหลับตาลง “ฉันเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ไป๋เยวี่ยหูตอบ “ถ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ ฉันอยู่นี่”
ทั้งสองคนนอนบนเตียงเดียวกัน คนข้างๆ กอดเขาแน่น ทำเหมือนเขาเป็นเด็กทารกในน้ำคร่ำอุ่นๆ ลู่ชิงจิ่วหลับตาลงอีกครั้งแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาไม่ได้ฝันทั้งยังไม่เห็นมังกรสีดำนัยน์ตาเศร้าสร้อยตนนั้นด้วย
เมื่อตื่นนอนในเช้าวันถัดมา ข้างนอกฝนก็หยุดตกแล้ว ดวงอาทิตย์แขวนอยู่กลางท้องฟ้าสีคราม เป็นอีกฉากหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่น
ร่างของไป๋เยวี่ยหูที่อยู่ข้างๆ หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เขาอาจจะไปปลูกผักในสวนแล้ว
ดูเหมือนนี่จะเป็นช่วงเช้าที่ธรรมดาอย่างสุดแสนจะธรรมดา ฝนที่ตกหนักและภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเมื่อวานเหมือนเป็นเพียงแค่ความฝันมหัศจรรย์
ถ้านั่นเป็นเพียงความฝันจริงๆ ก็คงจะดี ลู่ชิงจิ่วลุกขึ้นนั่ง เห็นอิ่นสวินยื่นศีรษะเข้ามาจากนอกประตู อิ่นสวินยิ้มยิงฟันมาทางเขา โชว์ฟันเขี้ยวน่ารักที่มุมปาก รอยยิ้มนั้นเจิดจ้าดั่งดอกทานตะวันที่ไล่ตามดวงอาทิตย์ “จิ่วเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” ลู่ชิงจิ่วเองก็ยกยิ้ม ติดจากรอยยิ้มของอิ่นสวิน เมื่อจัดการอารมณ์ความรู้สึกแล้วก็ร่าเริงขึ้นอย่างรวดเร็ว “อยากกินอะไร”
อิ่นสวินตอบ “อะไรก็ได้ แต่ฉันแอบอยากกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อล่ะ”
“งั้นก็กินก๋วยเตี๋ยว” ลู่ชิงจิ่วกล่าว “นายไปเก็บผักสดๆ ที่สวนมาทีสิ”
“ได้เลย” อิ่นสวินตอบพร้อมรอยยิ้ม
วันธรรมดาๆ วันหนึ่งเริ่มต้นจากเช้าอันแสนธรรมดา
* จื่อปู้อวี่ หรือ What the Master Would Not Discuss เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องตำนานต่างๆ ไว้ ประพันธ์โดยหยวนเหมย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 6 ต.ค. 65