everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3 บทที่ 69-70 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 3
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
มีการกล่าวถึงการทารุณกรรมเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 69 คนเก่าเรื่องเก่า
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อในเช้าวันนี้ยังคงอร่อยเหมือนกับที่ผ่านมา ในก๋วยเตี๋ยวไม่ได้มีแค่เนื้อวัว แต่ยังมีเอ็นด้วย เอ็นเนื้อตุ๋นจนเปื่อยไม่ต้องกังวลว่าจะเคี้ยวไม่ได้ รสชาตินุ่มลิ้น กินคู่กับผักใบเขียวและเส้นก๋วยเตี๋ยวทำให้สดชื่น กินแล้วทำให้กระปรี้กระเปร่าไปตลอดทั้งวัน
เมื่อวานลู่ชิงจิ่วไม่ได้พักผ่อนดีๆ สักเท่าไร วันนี้เขาก็เลยไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า เขากินอาหารเช้าเสร็จก็ไปให้อาหารหมูและไก่ จากนั้นก็ไปนั่งพักผ่อนในลานบ้าน
หลังจากที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกผักเสร็จแล้วก็นำผักสดๆ บางส่วนกลับมา อิ่นสวินล้างแตงกวาแล้วเคี้ยวกรุบกรับอยู่ข้างๆ ลู่ชิงจิ่ว แตงกวาที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกมีรสชาติดีทีเดียว ทั้งสดและหวานกรอบ เกือบจะได้รสชาติของผลไม้ ไม่ว่าจะกินแบบสด แบบเย็น หรือนำมาต้มเป็นซุปก็ล้วนได้รสชาติที่โอชะ
ลู่ชิงจิ่วงีบหลับท่ามกลางแสงแดด เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วจึงลุกไปทำอาหารกลางวัน
อิ่นสวินยังคงกังวลเรื่องลู่ชิงจิ่วอยู่เล็กน้อย จึงรีบตามเขาไปช่วยลงมือทำ ล้างผักไปก็ถามลู่ชิงจิ่วไปว่าเมื่อไรพวกเขาจะได้ออกไปเที่ยว ถือโอกาสช่วงที่อากาศกำลังดีออกไปข้างนอก ไปเล่นว่าว
“ยังไงก็ได้” ลู่ชิงจิ่วก้มศีรษะลงและตอกไข่ใส่ชาม “เมื่อวานฝนตกไม่ใช่เหรอ บนภูเขายังเปียกอยู่ รอมันแห้งแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
อิ่นสวินเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นมะรืนนี้ไปกันเถอะ อากาศน่าจะดีขึ้นแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วตอบ “ได้”
เมื่ออิ่นสวินเห็นว่าลู่ชิงจิ่วเห็นด้วยก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เขากังวลว่าลู่ชิงจิ่วจะอารมณ์ไม่ดี จึงคิดหาเรื่องสนุกเพื่อทำให้ลู่ชิงจิ่วรู้สึกดีขึ้น
เนื่องจากสภาพจิตใจของลู่ชิงจิ่วไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มจึงทำอาหารอย่างง่ายกว่าปกติ เขานึ่งหมูหนึ่งชามใหญ่ ต้มซุปผักต้ม ผัดหมูสามชั้นกลับกระทะ และทำข้าวเหนียวใส่พุทราแดง พุทราเป็นผลไม้แช่อิ่มที่มีรสชาติหวานมาก เมื่อนำมานึ่งกับข้าวเหนียวความหวานจะกระจายเข้าสู่ภายในเนื้อข้าว ให้รสหวานแผ่ซ่านเมื่อกินในปาก
ลู่ชิงจิ่วชื่นชอบของหวานประเภทนี้ เขาเลยกินมากกว่าตอนเช้านิดหน่อย
อิ่นสวินพูดเรื่องออกไปข้างนอกวันมะรืนบนโต๊ะอาหาร โดยมีไป๋เยวี่ยหูรับฟังอยู่ข้างๆ โดยไม่ออกความเห็นใดๆ
“ฉันออกไปได้มั้ย” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยถามทันที เมื่อวานไป๋เยวี่ยหูบอกว่าหลังจากมังกรตัวนั้นหนีออกมาแล้วก็อาจจะมาหาเขา ถ้าออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านอย่างนี้ จะเจออันตรายอะไรมั้ย
“ได้” ไป๋เยวี่ยหูสังเกตเห็นว่าลู่ชิงจิ่วยังไม่มีชีวิตชีวา เขาพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จะให้อยู่ในบ้านตลอดเวลาไม่ได้หรอก”
มันก็จริง ลู่ชิงจิ่วกินพุทราหวานเยิ้มอีกหนึ่งคำ รู้สึกจิตใจของตัวเองดีขึ้นเล็กน้อย
ในยามบ่าย ลู่ชิงจิ่วค่อยร่าเริงขึ้นมาบ้าง เขาใช้เตาอบทำขนม โดยขนมที่ว่าก็คือคุกกี้แบบง่ายๆ แต่หลังจากใช้นมของหนิวหนิวมาผสมแล้ว รสชาติของคุกกี้ก็หอมหวานเป็นพิเศษ ลู่ชิงจิ่วยังคิดว่าในฤดูใบไม้ผลิต้องปลูกข้าวสาลีสักหน่อยจะได้มีแป้งไว้ใช้ในปีที่กำลังจะมาถึง เดิมทีพวกเขามีพื้นที่ในการปลูกข้าวสาลีน้อยมาก จึงน่าเสียดายที่ทักษะการปลูกพืชชนิดพิเศษของไป๋เยวี่ยหูนั้นไม่ได้เอามาใช้
ต้นกล้าไม้ผลที่ปลูกในลานบ้านเมื่อเดือนที่แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้น ดูจากการเจริญเติบโตของพวกมันแล้ว ลู่ชิงจิ่วสงสัยว่าฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะมีผลออกมาหรือไม่ ไม่รู้ว่าผลไม้จะมีรสชาติอย่างไร แต่คิดดูแล้วมีไป๋เยวี่ยหูอยู่ รสของมันต้องไม่แย่อย่างแน่นอน
ตอนที่เขายังเด็ก เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง คุณยายของลู่ชิงจิ่วจะพาพวกเขาไปเที่ยวเล่นบนภูเขา เก็บผลไม้ป่า เล่นว่าว ในตอนนั้นสภาพการเงินไม่ค่อยดี ว่าวส่วนใหญ่จึงทำขึ้นเอง คุณยายมักจะแปะลายผีเสื้อให้ลู่ชิงจิ่ว แปะผึ้งให้อิ่นสวิน เมื่อมาถึงบนภูเขาก็มองดูตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองวิ่งไปมา กระทั่งเชือกของว่าวในมือยืดยาวออกไป ว่าวตัวสวยก็โบยบินสู่กลางท้องฟ้า
ในบ้านไม่มีว่าว เดิมทีลู่ชิงจิ่วตั้งใจว่าจะไปซื้อในเมืองมาสักตัว ใครจะรู้ว่าอิ่นสวินจะขออาสา บอกว่าตัวเองจะทำว่าว รับประกันว่าทำเสร็จแล้วจะต้องออกมาดูดี
ลู่ชิงจิ่วยังคงเคลือบแคลงเกี่ยวกับความมั่นใจในตัวเองของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นอิ่นสวินตบหน้าอกทำท่าสัญญา เขาจึงตัดสินใจให้โอกาสลูกชายผู้โง่เขลา
ว่าวกระดาษก็คือกระดาษธรรมดา โครงคือไม้ไผ่ที่อิ่นสวินนำกลับมา หลังจากเอาไม้ไผ่มาแยกออกเป็นเส้นแล้วก็สามารถนำมาใช้เป็นโครงของว่าวได้ ลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ข้างๆ เห็นว่าวที่อิ่นสวินทำออกมาดูดีทีเดียว จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“นายทำว่าวอะไร” ลู่ชิงจิ่วถาม
“ปลาหมึก”* อิ่นสวินตอบ
ลู่ชิงจิ่ว “ปลาว่ายน้ำ?” เขาใช้ความคิด รู้สึกว่าว่าวรูปปลาก็ไม่ได้ดูแปลกประหลาดจนเกินไป ชายหนุ่มโล่งใจ หลังจากเตรียมสีระบายให้อิ่นสวินเสร็จก็เข้าลานบ้านไปทำอย่างอื่น ถือโอกาสที่อากาศดีทำความสะอาดคอกหมูและเอาฟางข้างในทั้งหมดออกมาเปลี่ยน
รอจนลู่ชิงจิ่วทำงานเสร็จ กำลังหมุนตัวกลับไป เขาจึงเห็นสิ่งที่อิ่นสวินเรียกว่า ‘ปลาว่ายน้ำ’
ลู่ชิงจิ่วแปลกใจ “…นี่มันของเล่นอะไรน่ะ”
อิ่นสวิน “ปลาหมึกไง”
ลู่ชิงจิ่ว “ทำไมปลาว่ายน้ำตัวนี้ถึงมีหนวด”
อิ่นสวิน “ปลาหมึกไม่ได้มีหนวดหรอกเหรอ”
ลู่ชิงจิ่วหยุดคิดชั่วขณะ “เดี๋ยวนะ ปลาว่ายน้ำที่นายว่าหมายถึงคำไหน”
อิ่นสวิน “…ปลาหมึก ปลาหมึกที่เอาไว้ตุ๋นกับไก่”
ลู่ชิงจิ่วเข้าใจได้ทันที ว่าวที่อิ่นสวินทำมีขนาดใหญ่และเป็นสีดำเกือบทั้งหมด มีเพียงลูกตาสองดวงเท่านั้นที่เป็นสีเหลืองสดใส หนวดด้านล่างทั้งยาวและบาง ลู่ชิงจิ่วจินตนาการภาพว่าวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าแล้วทำให้เด็กกลัวจนร้องไห้
แต่ทุกอย่างทำเสร็จหมดแล้วก็ใช้มันไปเถอะ ลู่ชิงจิ่วตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก
อิ่นสวินทำว่าวสองตัวในเวลาไม่นาน รูปร่างและสีสันของมันยากต่อการอธิบาย แต่เพื่อที่จะไม่เป็นการกีดกันความกระตือรือร้นของลูก คนเป็นพ่ออย่างลู่ชิงจิ่วจึงตัดสินใจที่จะอดทนไว้
อิ่นสวินตั้งตารอที่จะได้ออกไปเที่ยวเล่นวันมะรืน
ถึงแม้จะไร้ความสามารถ แต่การพยากรณ์อากาศของอิ่นสวินยังคงมีประสิทธิภาพ สองวันต่อมาจะมีแดดจ้า ในเช้าของวันที่สามลู่ชิงจิ่วจึงเตรียมอาหารไว้แต่เนิ่นๆ ทั้งครอบครัวพากันออกไปนอกบ้าน
เสี่ยวฮวา เสี่ยวเฮย และจิ้งจอกน้อยก็ตามออกมาด้วย คนทั้งสามพร้อมสัตว์อีกสามตัวขึ้นไปบนภูเขาอย่างผ่าเผย
หมู่บ้านสุ่ยฝู่มีลานที่ค่อนข้างกว้างขวางซึ่งอยู่ใกล้กับยอดเขา เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิจึงมีลมพัดแรงเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับการเล่นว่าวเป็นอย่างยิ่ง
อิ่นสวินถือปลาหมึกสีดำตัวใหญ่ไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือสัตว์บางอย่างที่มองไม่ออกว่ามันคือสัตว์ชนิดไหน เขาวิ่งตามหลังลู่ชิงจิ่วไปจนเพื่อนต้องหันกลับมาบอกเขาว่าอย่าล้ม ไป๋เยวี่ยหูยังคงมีท่าทีเกียจคร้าน ผมของอีกฝ่ายกลับมาสั้นแล้ว เพียงแต่คราวนี้ลู่ชิงจิ่วเป็นคนลงมือตัด เขาไม่ได้ตัดให้ไป๋เยวี่ยหูสั้นเกินไป แค่ตัดให้ความยาวของมันไม่ส่งผลต่อการกินข้าว แต่ก็ดูดีกว่าทรงผมสุนัขแทะที่ไป๋เยวี่ยหูตัดเองอยู่มากโข…ถึงแม้ไม่ว่าไป๋เยวี่ยหูจะตัดผมทรงไหนก็ไม่ส่งผลต่อความงดงามของเขาเลยก็ตาม
ลมบนภูเขาพัดพากลิ่นหอมของดอกไม้ สามารถมองเห็นดอกไม้ป่านานาชนิด มีผึ้งและผีเสื้อรายล้อมอยู่รอบๆ เทียบกับความเงียบงันของฤดูหนาวแล้วเหมือนความมีชีวิตชีวาจะเต็มไปทั่วทุกหนแห่ง
ทั้งสามคนหยิบว่าวพร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยอาหารก้าวเดินไปบนถนนทางขึ้นไปสู่ยอดเขา รู้สึกถึงลมที่พัดแรงบนนั้น อิ่นสวินแทบรอที่จะหยิบว่าวออกมาไม่ไหว รีบวิ่งไปตามทาง เดิมทีก่อนหน้านี้ลู่ชิงจิ่วค่อนข้างสงสัยว่าว่าวของอิ่นสวินจะลอยขึ้นได้หรือไม่ ใครจะรู้ว่าทันทีที่อิ่นสวินวิ่งเป็นวงกลมบนลานกว้างปลาหมึกตัวนั้นจะทะยานขึ้นโผบินสู่ท้องฟ้า
อิ่นสวินหัวเราะลั่นเหมือนกับเด็กๆ “ดูสิ ดูสิ ว่าวของฉันบินขึ้นไปแล้วล่ะ!!!”
เสี่ยวฮวาเสี่ยวเฮยก็วิ่งไปกับเขา อิ่นสวินเห็นว่าพวกมันอยากจะเล่นด้วยจึงเอาเชือกว่าวพันรอบกีบเท้าของเสี่ยวฮวา ผลที่ได้ก็คือลมบนยอดเขาแรงเกินไป ส่วนตัวเสี่ยวฮวาก็เล็กเกินไปจนเกือบจะถูกลมพัดลอยขึ้นไปในอากาศ ดีที่ลู่ชิงจิ่วหูตาไวคว้าหางเล็กๆ ของมันไว้ได้ทัน เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรม
“นายต้องคอยดูเสี่ยวฮวาเล่นว่าว เขาเป็นหมูตัวเล็ก มันไม่ปลอดภัย” ลู่ชิงจิ่วเป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังสอนเด็กๆ “จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”
อิ่นสวินตอบตกลงอย่างว่าง่าย
จบการบอกกล่าวกับอิ่นสวิน ลู่ชิงจิ่วก็เปิดตะกร้าไม้ไผ่ที่เขานำมา เอาผ้าในตะกร้ามาปูบนหญ้าเขียว ก่อนจะวางอาหารทุกชนิดไว้บนนั้น มีเนื้อตุ๋นและไก่ทอดบรรจุในกล่องเก็บความสดใหม่ ทั้งยังมีบิสกิตสตรอเบอรี่และเค้กแอปเปิ้ลที่อบในตอนเช้า ลู่ชิงจิ่วจำได้ว่ามีน้ำอัดลมที่ใช้ผ้าขนหนูเย็นห่อมาด้วยสองสามขวด
ไป๋เยวี่ยหูนั่งบนพื้นถัดจากลู่ชิงจิ่ว เงยศีรษะขึ้นมองดูว่าวบนท้องฟ้า
ลู่ชิงจิ่วยืนอยู่ด้านข้าง พูดยิ้มๆ ว่า “ตอนพวกเรายังเด็กชอบเอาหญ้าผูกบนเชือกว่าว ตอนที่ผูกหญ้าในใจก็อธิษฐานเงียบๆ ว่ากันว่ามันเป็นการส่งจดหมายถึงเทพเจ้าบนท้องฟ้า ให้เหล่าเทพเจ้าทำความปรารถนาของพวกเขาให้เป็นจริง”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “เทพเจ้าทำให้ความปรารถนาของนายเป็นจริงแล้ว?”
ลู่ชิงจิ่วผิดหวัง “แน่นอนว่าไม่”
ไป๋เยวี่ยหูได้ยินประโยคนี้ก็ก้มศีรษะ ใช้มือดึงหญ้าสีเขียวต้นหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้ลู่ชิงจิ่ว “ลองอีกครั้ง?”
ลู่ชิงจิ่วยิ้ม “โอเค” เขาถือหญ้าเดินไปหยุดข้างๆ อิ่นสวิน เอาหญ้าผูกกับเชือกว่าว จากนั้นอิ่นสวินจึงเริ่มปล่อยเชือกให้ว่าวบินสูงขึ้น หญ้าต้นนั้นที่ลู่ชิงจิ่วผูกก็ลอยขึ้นไปในอากาศด้วยเช่นกัน
สำหรับความปรารถนาอะไรของลู่ชิงจิ่วนั้นมันไม่สำคัญหรอก เพราะท้ายที่สุดแล้วบนท้องฟ้าก็ไม่มีเทพเจ้า ในเมื่อไม่มีเทพเจ้า ถ้าอย่างนั้นใครจะสามารถสนองความปรารถนาของเขาได้ล่ะ
อิ่นสวินนั้นเหมือนเด็กๆ เล่นสนุกสนานสุดเหวี่ยงกับเจ้าหมูน้อยและจิ้งจอกน้อย ถึงขั้นคิดอยากจะลองเอาจิ้งจอกน้อยผูกติดกับว่าวตัวหนึ่งแล้วปล่อยให้บินขึ้นไป ในฐานะผู้ปกครองลู่ชิงจิ่วทำได้เพียงห้ามปรามอย่างไร้ความปรานี ไม่ให้เด็กพวกนี้ก่อเหตุฆาตกรรม เจ้าจิ้งจอกน้อยไม่สามารถบินได้ ถ้ามันตกลงมาคาดว่าทั้งหมู่บ้านจะต้องมากินอาหารที่บ้านของพวกเขา
อิ่นสวิน “ทำไมคนทั้งหมู่บ้านถึงจะมากินข้าวที่บ้านเราล่ะ”
ลู่ชิงจิ่ว “มาเฉลิมฉลองงานศพของนายไง”
อิ่นสวิน “…”
สุดท้ายอิ่นสวินก็บอกว่าเขายังไม่อยากสร้างความลำบากให้ชาวบ้าน และผูกว่าวกับต้นไม้เล็กๆ อย่างเชื่อฟัง ก่อนจะนั่งลงและเริ่มต้นกินอาหาร
ไก่ทอดนั้นลู่ชิงจิ่วเป็นคนทำเอง เขาชุบไก่ด้วยแป้งชั้นบางๆ แล้วใช้น้ำมันอุ่นทอดช้าๆ หลังจากทอดแล้ว หนังด้านนอกจะกรอบ ส่วนด้านในจะนุ่มและชุ่มฉ่ำ เมื่อกัดลงไปหนึ่งคำน้ำของเนื้อไก่สีเหลืองจะล้นออกมาจากข้างใน เพราะเป็นไก่ตัวเล็กดังนั้นมันจึงกรอบไปถึงกระดูก ด้วยแรงกัดเพียงเล็กน้อยก็ทำให้กระดูกนั้นแตกในปากได้
ลู่ชิงจิ่วดื่มน้ำอัดลมเย็นๆ พลางกินไก่ทอดที่ยังคงร้อนอยู่ รู้สึกว่าที่จริงแล้วชีวิตนั้นช่างดีเหลือเกิน ไม่ได้มีอุปสรรคที่ไม่สามารถก้าวผ่านได้มากมายขนาดนั้น
กินไปได้ครึ่งหนึ่ง ลู่ชิงจิ่วพลันรู้สึกอยากปัสสาวะ เขาวางอาหารในมือก่อนใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือตัวเอง แล้วพูดว่า “ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ”
“อืม” อิ่นสวินกำลังยัดน่องไก่เข้าปาก “กลับมาเร็วๆ ล่ะ ไม่งั้นไก่จะถูกพวกเรากินหมดนะ” พูดพลางเหลือบมองไป๋เยวี่ยหู
ไป๋เยวี่ยหูจ้องกลับมาอย่างเย็นชา อิ่นสวินยอมแพ้ทันใด ดึงขาไก่ออกจากปากแล้วกัดอีกหนึ่งคำ “…ไม่เป็นไร ฉันจะเหลือขาหนึ่งชิ้นให้นาย”
ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ปลอมมาก”
อิ่นสวินแกล้งทำเป็นเศร้าที่โดนกล่าวหา
ลู่ชิงจิ่วเดินไปที่ป่าข้างๆ หามุมที่ซ่อนอยู่มุมหนึ่งตั้งใจจะปลดทุกข์ ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวจะถอดกางเกง กลับสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ที่เท้าของตัวเอง เมื่อมองดูดีๆ ก็พบว่ามีมดดำฝูงหนึ่งกำลังคลานอยู่ในหญ้า
หากเป็นเพียงการคลานก็ไม่เป็นไร แต่ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเส้นทางการเคลื่อนไหวของมดเหล่านี้มันแปลกมาก หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อตระหนักว่ากลุ่มมดดำนี้ได้สร้างตัวอักษรจีนที่น่าทึ่งสองตัว
‘อาจิ่ว’
อาจิ่วคือชื่อที่ยายของลู่ชิงจิ่วใช้เรียกลู่ชิงจิ่ว นอกจากหญิงชราท่านนั้นที่ล่วงลับไปแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คนที่เรียกเขาแบบนี้
ขนที่หลังของลู่ชิงจิ่วลุกชัน ก่อนที่เขาจะทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ มดดำก็เปลี่ยนเป็นตัวอักษรจีนคำอื่น
‘มานี่สิ’
อาจิ่ว มานี่สิ…เสียงกระซิบแผ่วเบาของคนแก่ดังอยู่ในหู ลู่ชิงจิ่วคล้ายต้องมนตร์ สมองเริ่มเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า เหลือเพียงความคิดเดียว เขาอยากเดินไปดู คุณยายกำลังเรียกหาเขา
มดดำพวกนั้นก่อตัวเป็นป้ายบอกทาง ลู่ชิงจิ่วที่ตกอยู่ในภวังค์เดินเข้าไปกลางป่า อาจิ่ว มานี่สิ…อาจิ่ว มานี่สิ…ในสมองของลู่ชิงจิ่วยังก้องกังวานไปด้วยเสียงเรียกของคุณยาย จนกระทั่งมีชายแปลกหน้าปรากฏตัวต่อหน้าเขา ลู่ชิงจิ่วถึงค่อยหลุดออกจากสภาวะมึนงง
“คุณ…คุณเป็นใคร” ในใจของลู่ชิงจิ่วคาดเดาตัวตนของชายผู้นี้คร่าวๆ
ชายคนนี้ยืนอยู่ตรงข้ามกับแสงแดดในส่วนลึกของป่าทึบ เขาสวมเสื้อคลุมสีดำซึ่งค่อนข้างคล้ายกับเสื้อคลุมของไป๋เยวี่ยหู ผมของเขายาวประบ่า เขากำลังหลับตา ถึงแม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ค่อยชัดแต่ก็ยังคงความสวยงาม
ก่อนจะทันได้รู้ตัว ลู่ชิงจิ่วก็เดินมาถึงส่วนลึกของป่าแล้ว ทิวทัศน์โดยรอบดูแปลกตา สายลมที่พัดผ่านข้างแก้มแข็งกระด้าง ไม่มีนกร้องในป่า มีเพียงความเงียบเท่านั้น
ชายคนนั้นเดินมาทางลู่ชิงจิ่ว
เห็นดังนั้นลู่ชิงจิ่วก็หมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนี แต่เป็นเพราะเขาลุกลนเกินไปจึงสะดุดก้อนหินบนพื้น ทั้งร่างเซไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ในที่สุดก็เสียการทรงตัวและล้มลงนั่งกับพื้น
“อ๊ะ!” ฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วกดลงบนหินก้อนคม ผิวถูกทำให้เกิดบาดแผลจนเขาร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ดวงตาของชายคนนั้นยังปิดอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขารับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เดินไปทางที่ลู่ชิงจิ่วล้มลงบนพื้น
ลู่ชิงจิ่วมองชายคนนั้นหยุดฝีเท้าลงข้างหน้าเขา เกิดเป็นเงาตัดกับแสง
“คุณพาผมมาทำอะไรที่นี่…” เดิมทีลู่ชิงจิ่วน่าจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ใกล้ๆ เขากลับสงบลงอย่างกะทันหัน และถามสิ่งที่เขาต้องการออกมาด้วยความสุภาพ “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ชายคนนั้นไม่พูด หากแต่ย่อตัวลง แม้ว่าเขาจะปิดตาอยู่ แต่ลู่ชิงจิ่วมีความรู้สึกว่ากำลังถูกชายคนนี้จ้องสำรวจ
“คุณฆ่าพ่อแม่ของผมหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วพูด “คุณยังอยากฆ่าผมอยู่มั้ย”
ริมฝีปากของผู้ชายคนนี้เม้มน้อยๆ เผยให้เห็นรอยโค้งแน่น ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าเขาต้องการจะพูดอะไร แต่เขากลับทำเพียงส่ายศีรษะเบาๆ โดยไม่เอื้อนเอ่ยสักคำ
“คุณไม่อยากฆ่าผมเหรอ” ลู่ชิงจิ่วรู้สึกผ่อนคลายลง เขารู้สึกว่าชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะไม่มีความเกลียดชังอะไรกับเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ “งั้นคุณอยากบอกอะไรกับผมล่ะ”
ชายคนนั้นเอื้อมมือไปหาลู่ชิงจิ่ว ทำท่าให้เขายกมือขึ้น
ลู่ชิงจิ่วเห็นดังนั้นก็ลังเลเล็กน้อย กำลังคิดว่าจะยื่นมือไปดีมั้ย ทว่าขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่เสียงของไป๋เยวี่ยหูก็ลอยมาจากป่าด้านหลัง “ลู่ชิงจิ่ว ลู่ชิงจิ่วนายอยู่ที่ไหน” เสียงของเขาร้อนรน เห็นได้ชัดว่ากำลังมองหามาทางนี้
ชายคนนั้นขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ให้เวลาลู่ชิงจิ่วลังเลอีกต่อไป คว้ามือชายหนุ่มมาจับทันที จากนั้นจึงใช้นิ้วเขียนคำหนึ่งคำลงบนฝ่ามือ
คำนั้นเขียนเพียงแค่ครั้งเดียวลู่ชิงจิ่วก็เข้าใจว่าคืออะไร
มันก็คือคำว่า ‘ไป’ ชายแปลกหน้าที่อยู่ข้างหน้านี้กำลังบอกให้เขาไป
“หมายความว่ายังไง” ลู่ชิงจิ่วค่อนข้างสับสน “คุณให้ผมไป? ไป? ทำไมผมต้องไป”
เสียงตะโกนของไป๋เยวี่ยหูดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่องรอยความกังวลเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายคนนั้น เขาอ้าปากออก คิดอยากจะพูดอะไร แต่ก็ทำได้เพียงเปล่งพยางค์ที่ไม่ชัดเจนออกมา ลู่ชิงจิ่วซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขาเห็นได้แจ่มชัดว่าในปากของชายผู้นี้มีลิ้นที่ขาดไปครึ่งหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือมังกรดำที่ติดอยู่ในหลุมตัวนั้น เขาหนีออกมาจากกรงและตามหาชายหนุ่มจนพบ ที่แท้ก็มาเพื่อเขียนคำหนึ่งคำบนฝ่ามือของเขางั้นเหรอ
เสียงเรียกของไป๋เยวี่ยหูอยู่ด้านหลังลู่ชิงจิ่ว เขาแค่ต้องผลักต้นไม้เล็กๆ ไม่กี่ต้นออกไปก็จะปรากฏตัวต่อหน้าลู่ชิงจิ่ว
ชายคนนั้นรู้ว่าเวลาของตัวเองกำลังจะหมดลง เขายกมือขึ้นลูบศีรษะลู่ชิงจิ่วเบาๆ ใบหน้าเจือด้วยกลิ่นความเศร้าและรอยยิ้มที่อ่อนโยน จากนั้นก็หันหลังกลับและหายตัวไปต่อหน้าลู่ชิงจิ่วทันที
ลู่ชิงจิ่วอยากได้ยินชายคนนั้นพูดอะไรสักอย่าง แต่เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นไม่อยากพบไป๋เยวี่ยหู ตอนจากไปท่าทางของเขาหนักแน่นไม่มีใครเปรียบ
“ลู่ชิงจิ่ว!” เสียงร้องกังวลของไป๋เยวี่ยหูดังขึ้นข้างหลังลู่ชิงจิ่ว เมื่อเห็นลู่ชิงจิ่วนั่งอยู่ที่พื้นชายหนุ่มก็รีบพุ่งตัวไปข้างหน้าแล้วจับไหล่ของลู่ชิงจิ่ว “นายไม่เป็นไรใช่มั้ย เขาไม่ได้ทำอะไรนายนะ?”
“ไม่ได้ทำอะไร” ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองไป๋เยวี่ยหู มันเป็นอุบัติเหตุ เขาไม่ได้บอกไป๋เยวี่ยหูว่าชายคนนั้นเขียนอะไรบนฝ่ามือ เขาส่ายศีรษะ “ดูเหมือนว่าเขาจะพูดไม่ได้”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “นายได้รับบาดเจ็บ”
ฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วถูกหินบาดขณะที่ล้มลง ตอนนี้เลือดไหลเต็มทั้งฝ่ามือ เมื่อครู่นี้ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ชายคนนั้นจึงไม่ทันรู้ตัว เมื่อไป๋เยวี่ยหูเอ่ยทักถึงค่อยรู้สึกว่าฝ่ามือตัวเองปวดแสบปวดร้อน
“ฉันไม่ระวังเลยล้มน่ะ” ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอายนิดหน่อย “แผลเล็กนิดเดียว กลับไปเช็ดด้วยแอลกอฮอล์หน่อยก็โอเคแล้ว”
ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไร เขาทำจมูกฟุดฟิดราวกับว่ากำลังดมกลิ่นอะไรบางอย่าง ก่อนมองสำรวจลู่ชิงจิ่วด้วยสายตาจริงจัง “บนตัวนายมีกลิ่นของเขา เขาสัมผัสนายแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนอธิบายอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ เขาก็แค่จับมือฉัน” แล้วก็ลูบหัวฉันด้วย
ไป๋เยวี่ยหูเม้มริมฝีปาก สีหน้าจริงจังของเขาดูคล้ายกับผู้ชายคนนั้นอยู่หลายส่วน จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วไม่คาดคิด…ก้มศีรษะลง แล้วเลียเลือดบนฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วจนสะอาด
“อ๊ะ!” ลิ้นอุ่นนุ่มเลียช้าๆ บนฝ่ามือเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกรอบๆ บาดแผลทีละน้อย การกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดแต่กลับทำให้ชามากขึ้น ใบหน้าของลู่ชิงจิ่วเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใดพร้อมเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “อย่า มันสกปรก!”
ไป๋เยวี่ยหูดูไม่ค่อยพอใจ “กินแล้วไม่ป่วยหรอกน่า”
ลู่ชิงจิ่ว “แต่ว่า…”
ไป๋เยวี่ยหูพูด “ต้องทำให้มันสะอาด”
ประโยคที่ว่าต้องทำให้สะอาดน่าจะหมายถึงบาดแผล แต่ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่ามีความหมายอื่นซ่อนอยู่ การกระทำของไป๋เยวี่ยหูดูจริงจังมากซะจนเขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร รอจนอีกฝ่ายจัดการเสร็จเรียบร้อยถึงได้หยุดการกระทำลง ชายหนุ่มถูกไป๋เยวี่ยหูดึงขึ้นจากพื้น ยืนอยู่ที่เดิมให้ไป๋เยวี่ยหูจัดการร่องรอยต่างๆ บนร่างกายอย่างว่าง่าย
หลังจากที่ไป๋เยวี่ยหูปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของลู่ชิงจิ่ว และกำลังจะจบการทำความสะอาดก็กลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา เขาขมวดคิ้ว ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าตัวเองถูกมือหนึ่งจับข้างหู บังคับให้เอียงศีรษะ จากนั้นก็ถูกจูบหนักๆ ลงบนเส้นผม
ลู่ชิงจิ่วตะลึงกับการกระทำของไป๋เยวี่ยหู “นาย…”
เสียงของไป๋เยวี่ยหูแข็งกระด้างราวกับว่ากำลังโกรธ “เขาสัมผัสผมของนาย”
ลู่ชิงจิ่วซึ่งเดิมทีเป็นคนมีความมั่นใจและมีเหตุผล แต่เพราะประโยคนี้กลับทำให้เขาพลันรู้สึกผิดขึ้นมา ปากของชายหนุ่มอ้าเปิดออก ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยเสียงเบา “เขาแค่ลูบนิดเดียวเอง”
“ลูบก็ไม่ได้” ไป๋เยวี่ยหูพูดอย่างเย็นชา “ดีที่สุดคือห้ามมองเลย”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เฮ้อ
ไป๋เยวี่ยหูจับมือลู่ชิงจิ่วพาเขาออกไปจากป่า ลู่ชิงจิ่วพบว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากจุดปิกนิกมากนัก มีระยะห่างสั้นๆ เท่านั้นเอง
“ลู่ชิงจิ่ว นายไม่เป็นไรใช่มั้ย!!!” อิ่นสวินเห็นไป๋เยวี่ยหูพาลู่ชิงจิ่วกลับมาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อครู่นี้สมองของเขาได้ผ่านการคาดเดาที่น่าสะพรึงมานับไม่ถ้วน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือไป๋เยวี่ยหูนำศพที่มีสภาพย่ำแย่ออกมา หรือไม่ก็…แม้แต่ศพก็ไม่เหลือ
“ฉันไม่เป็นไร” ลู่ชิงจิ่วตอบ “ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีเจตนาร้ายอะไรต่อฉันเลย”
“ไม่มีเจตนาร้าย?” อิ่นสวินพึมพำ “ไม่มีเจตนาร้ายแล้วเขาเอานายไปเพื่ออะไร ฉันกลัวมากจนเหงื่อแตกเลย” โชคดีที่ไป๋เยวี่ยหูพาคนกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
ลู่ชิงจิ่วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเขาคิดร้ายต่อฉัน ตอนนี้ฉันคงตายไปแล้ว” แม้ว่ามังกรตัวนั้นจะถูกทรมานแต่ก็ยังเป็นมังกร ไม่ว่ามนุษย์จะแข็งแกร่งเพียงใด ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตในตำนานนี้ก็เป็นเพียงมดตัวน้อยเท่านั้น
อิ่นสวินทำหน้าบึ้ง เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของลู่ชิงจิ่ว ในความเห็นของเขาอะไรที่แอบพาลู่ชิงจิ่วออกไปล้วนไม่ใช่สิ่งที่ดี
กว่าจะรู้ตัวท้องฟ้าก็มืดแล้ว ลู่ชิงจิ่วไม่ได้สังเกตเลยว่าตัวเองจากไปนานขนาดไหน
การออกไปเที่ยวนอกบ้านของวันนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้ พวกเขาเก็บของเตรียมตัวลงจากภูเขา ขณะเดินทางออกจากภูเขา ลู่ชิงจิ่วอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเข้าไปในป่า เขามีความรู้สึกว่าชายคนนั้นยังอยู่ที่นี่ เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัว
หลังจากบาดแผลที่ฝ่ามือถูกทำความสะอาดโดยน้ำลายของไป๋เยวี่ยหู เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดมากนัก แต่ตัวอักษรที่นิ้วชี้เรียวยาวของชายคนนั้นทิ้งไว้เป็นดั่งรอยไหม้ที่ลู่ชิงจิ่วยากจะลืมเลือน
“ไป?” ไปหมายความว่ายังไง ให้ตนเองไปด้วยกันกับเขางั้นเหรอ ยังมีความหมายอะไรอย่างอื่นอีก เขาหนีออกจากที่นั่นเพื่อมาบอกตนแค่อักษรตัวหนึ่งอย่างนั้นเหรอ
จริงๆ แล้วลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
อิ่นสวินถาม “นายถอนหายใจทำไมน่ะ”
ลู่ชิงจิ่วตอบไม่ตรงคำถาม “พรุ่งนี้กินปลาหมึกแล้วกัน”
อิ่นสวิน “ทำไม”
ลู่ชิงจิ่ว “เพราะฉันรู้สึกว่าว่าวของนายมีกลิ่นเหมือนปลาหมึกอยู่ตลอดเลย”
อิ่นสวิน “…” กลิ่นปลาหมึกแล้วไง ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ลอยไปตั้งสูงแล้วเรอะ!