ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 89-90 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 89-90 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 89 เรื่องในวันวาน

 

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะระบายมันออกมาได้ยังไง ในใจเขานั้นอยากจะปรับทุกข์กับคุณตาของตัวเอง แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดูท่าคุณตาจะสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อีกทั้งครั้งนี้จู้หรงก็ได้ตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องของกรงเล็บมังกร ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นไปเพราะอะไร

จูเหมี่ยวเหมี่ยวซึ่งอยู่ที่สวนกับไป๋เยวี่ยหูวันนี้กลับมาก่อนเวลา เมื่อกลับมาถึงเธอได้ฝากคำพูดจากไป๋เยวี่ยหูให้ลู่ชิงจิ่วว่าเขามีธุระบางอย่างที่ต้องไปสะสาง ไม่สามารถกลับมากินข้าวกลางวันด้วยได้

“เขาออกไปกับคนผมแดงนั่นเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

“อืม ใช่ ทำไมเหรอ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าแล้วย้อนถาม

ลู่ชิงจิ่วตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะไปเตรียมข้าวกลางวันละ” ถึงอย่างไรจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พูดเรื่องนี้ไปคงไม่มีประโยชน์อะไร

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าอย่างสงสัย

ลู่ชิงจิ่วยกยิ้ม เขาถกแขนเสื้อขึ้นและเดินปลีกตัวไปทำอาหาร มื้อเช้าที่กินไปมีแต่ข้าวเหนียวที่ค่อนข้างอยู่ท้องเป็นพิเศษ แม้ว่าอีกสักพักจะถึงมื้อกลางวันแล้วก็ตาม แต่เขากลับยังไม่มีความอยากอาหารในตอนนี้ ทว่าในบ้านยังมีอีกหลายท้องที่ตั้งตารออาหารของเขา ท้ายสุดเขาก็ต้องรวบรวมพลัง ก้มหน้าก้มตาเตรียมมื้อเที่ยงสุดอลังการเช่นเคย

ผลไม้ที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวไปเก็บมาถูกนำมารังสรรค์เป็นมื้อเที่ยง ลู่ชิงจิ่วใช้ข้าวเหนียวทำข้าวอบสับปะรด ตามมาด้วยเมนูกุ้งผัด หมูสามชั้นที่เหลือจากการเชือดหมูครั้งก่อนก็ถูกนำมาอุ่นร้อนและนำมาทำหมูผัดเกลือและต่อด้วยไก่ตุ๋นอีกครึ่งตัว

กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารเตะจมูกของจูเหมี่ยวเหมี่ยวจนน้ำลายสอ ถึงขนาดว่ามือข้างหนึ่งคีบตะเกียบไว้ไม่ยอมปล่อย จูเหมี่ยวเหมี่ยวเคยลิ้มลองอาหารดีๆ มาไม่น้อย แต่กลับไม่มีอาหารที่ไหนเลยที่จะอร่อยได้เท่าที่แห่งนี้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อเมนูอาหารอื่น แม้แต่ข้าวเปล่าในถ้วยก็หอมเสียจนเกินคำบรรยาย แต่ละเม็ดช่างขาวใส หวานหอมละมุน เพียงแค่ข้าวเปล่าถ้วยนี้ จูเหมี่ยวเหมี่ยวแทบจะไม่ต้องคีบอาหารอื่นเลยก็สามารถกินได้จนหมด

ลู่ชิงจิ่วมีความกระวนกระวายใจจึงไม่ค่อยเจริญอาหารมากนัก แต่เมื่อเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวสวาปามอาหารอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้ ลู่ชิงจิ่วเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย

พอเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวกับอิ่นสวินกินใกล้จะหมด ลู่ชิงจิ่วถึงได้ขอตัวไปนอนกลางวัน

เขาปลีกตัวออกไปจากโต๊ะอาหาร

“ลู่ชิงจิ่วเขาเป็นอะไรรึเปล่า” จูเหมี่ยวเหมี่ยวสะกิดถามอิ่นสวิน

“ดูเหมือนเมื่อเช้าน่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่างน่ะ” อิ่นสวินตอบกลับ

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเล่าเรื่องที่วันนี้ไป๋เยวี่ยหูออกไปกับคนคนหนึ่งให้ฟัง

“งั้นก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาต้องมีอะไรบางอย่างกับไป๋เยวี่ยหูแน่ ช่างก่อนเถอะ รอเย็นนี้ที่ไป๋เยวี่ยหูกลับมาเขาก็น่าจะดีขึ้นแหละ ฉันไปล้างจานก่อนแล้วกัน เธอเองก็พักผ่อนด้วยล่ะ” อิ่นสวินกล่าว

ลู่ชิงจิ่วกลับไปที่ห้องตัวเอง หยิบกล่องไม้ที่คุณยายทิ้งไว้ให้ออกมา กล่องใบนี้มีสภาพที่กลับมาถูกปิดผนึกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะมีแค่วันเกิดของลู่ชิงจิ่วเท่านั้นที่จะสามารถเปิดกล่องใบนี้ออกมาได้ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ของข้างในกล่องถูกลู่ชิงจิ่วนำออกมาหมดแล้ว ทั้งสมุดบันทึกของคุณยายเล่มนั้นและเกล็ดมังกรที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน

เมื่อได้เห็นเกล็ดนั่น ลู่ชิงจิ่วพลันนึกถึงอะไรบางอย่างในตอนที่เขาอาบน้ำให้ไป๋เยวี่ยหู ซึ่งอีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่าเกล็ดมังกรแต่ละชิ้นล้วนเป็นตัวแทนของความรู้สึก เมื่อวันใดที่เกล็ดมังกรร่วงโรยไป จะมีแค่กรณีที่เจ้าของเกล็ดยินยอมเท่านั้นถึงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

เกล็ดมังกรนี้คือสิ่งที่คุณตาได้มอบไว้ให้คุณยายของลู่ชิงจิ่วเป็นที่ระลึก และนั่นก็คือเครื่องพันธนาการชิ้นสุดท้ายของทั้งสองคน

ลู่ชิงจิ่วอดไม่ได้ที่จะหยิบเกล็ดมังกรนั้นขึ้นมาดู เขาใช้มือสัมผัสรอยขีดข่วนเบาๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย ยิ่งเมื่อเขานึกถึงตอนที่จู้หรงหิ้วกรงเล็บมังกรซึ่งเต็มไปด้วยเลือดมา และคิดไปถึงว่าคุณตาเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่ ลู่ชิงจิ่วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความเศร้าใจ

เวลานี้ก็ประมาณบ่ายสองโมงแล้ว แสงอาทิตย์อันสว่างจ้าสาดส่องให้ลานหน้าบ้านสุกสว่าง อิ่นสวินและจูเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังนอนกลางวัน บรรยากาศของบ้านหลังเก่าในเวลานี้จึงทิ้งไว้แต่ความเงียบงันและเปล่าเปลี่ยว

ลู่ชิงจิ่วเองก็ตั้งใจว่าจะไปนอนพักสักครู่ แต่ระหว่างนั้นกลับสังเกตเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่นอกหน้าต่างห้อง ถ้าเป็นผีเสื้อธรรมดาก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ว่าผีเสื้อตัวนี้กลับดึงดูดให้ลู่ชิงจิ่วจดจ้องจนไม่อาจละสายตาได้ สาเหตุไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นเพียงเพราะผีเสื้อตัวนี้สวยกว่าตัวไหนๆ ที่เขาเคยพบเห็น ปีกของมันเป็นสีน้ำเงินเข้มแซมด้วยลายสีดำประดับประดาอยู่ด้านบน ดูแล้วคล้ายกับมังกรสีดำที่บินฉวัดเฉวียนไปมา มันค่อยๆ ขยับปีกบินเข้ามาและจ่ออยู่ตรงหน้าของลู่ชิงจิ่ว ก่อนจะไปเกาะอยู่บนเกล็ดมังกรชิ้นนั้น

ลู่ชิงจิ่วเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกไปสัมผัส เพียงชั่วครู่ผีเสื้อตัวนั้นก็บินมาเกาะที่นิ้วของเขาและค่อยๆ ขยับปีกอย่างแผ่วเบาราวกับว่าจะสื่อสารอะไรบางอย่าง

“เธออยากจะบอกอะไรกับฉันงั้นเหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

ผีเสื้อตัวนี้ราวกับฟังภาษาของลู่ชิงจิ่วรู้เรื่อง มันบินกลับไปอยู่กลางอากาศ ก่อนจะบินออกนอกหน้าต่างห้องไป เข้าๆ ออกๆ อยู่อย่างนี้เหมือนต้องการสื่อให้ลู่ชิงจิ่วตามมันออกไปด้านนอก

ลู่ชิงจิ่วนึกถึงก่อนหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณตาเองก็เคยใช้วิธีนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรีบตามออกไป

ลู่ชิงจิ่ววิ่งตามเจ้าผีเสื้อมาติดๆ ตลอดเส้นทางมีเพียงแค่เขาและเจ้าผีเสื้อตัวนี้ จนกระทั่งวิ่งออกมาจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่และมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านั้นลู่ชิงจิ่วส่งข้อความสั้นๆ ไปบอกไป๋เยวี่ยหู โดยบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ ทั้งยังบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผีเสื้อตัวนั้นเริ่มค่อยๆ บินช้าลง ราวกับกลัวว่าลู่ชิงจิ่วจะตามมาไม่ทัน ซึ่งลู่ชิงจิ่วเองก็สังเกตเห็นแล้วว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในป่าลึกที่โดยรอบมีแต่ภาพอันไม่คุ้นตา เขาได้หลุดเข้ามาสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว ถ้าเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นโลกที่คุณตาของเขาอาศัยอยู่แน่นอน

รอบๆ ตัวเขาที่แต่เดิมเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าอันอุดมสมบูรณ์กลับกลายสภาพเป็นเศษซากอันแห้งเฉาที่ไม่หลงเหลือร่องรอยของความเขียวขจีไว้แต่อย่างใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกสัตว์หรือแมลงอื่นๆ เพราะที่แห่งนี้ราวกับเป็นโลกที่ไร้สิ่งมีชีวิต ทั้งผืนป่านี้คงไว้แต่เพียงบรรยากาศอันเงียบสงัด

ท่ามกลางผืนป่าที่แห้งเฉา สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ได้เจอกับคนที่เขาต้องการตามหา เขาหยุดฝีเท้า เปล่งเสียงเรียกในสิ่งที่เขาอัดอั้นไว้อยู่นาน “คุณตา”

ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางต้นไม้โบราณค่อยๆ หันหน้ากลับมา เขาสวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัว ดวงตาปิดสนิทพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยแผลซึ่งยังไม่สมาน เมื่อชายคนนั้นได้ยินเสียงของลู่ชิงจิ่ว เขาก็ยิ้มออกมาและดูอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสภาพของเขา ณ เวลานี้ไม่สามารถที่จะพูดได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกวักมือเรียกลู่ชิงจิ่ว

“คุณตาไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ” ลู่ชิงจิ่วรีบวิ่งเข้าไปถาม

เอ๋ารุ่นฉีกยิ้มออกมา เขาอยากจะกุมมือของลู่ชิงจิ่วเหมือนแต่ก่อน ทว่าตอนนี้แขนขวาของเขาไม่มีแล้ว เอ๋ารุ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายกุมเข้าที่มือของลู่ชิงจิ่วแทน

เมื่อลู่ชิงจิ่วได้เห็นแขนขวาของคุณตาที่ขาดหายไป ความรู้สึกก็เหมือนกับมีอะไรมาจุกแน่นที่ลำคอ เขาแทบพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้เห็น

“คงเจ็บไม่น้อย จู้หรงบอกว่าถ้าหากคุณตาไม่กลับไปจะต้องตายแน่ๆ ผมเป็นห่วงมากครับ” ลู่ชิงจิ่วพูด

เอ๋ารุ่นได้แต่ยิ้มออกมา เขาเขียนที่ฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วว่า ‘ฉันจะไม่กลับไปอีกแล้ว’

“ทำไมล่ะครับ” ลู่ชิงจิ่วถามต่อ

เอ๋ารุ่นใช้ปลายนิ้วเขียนอธิบายลงบนฝ่ามือของลู่ชิงจิ่วอย่างแผ่วเบานุ่มนวล เขาค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่า ‘ก่อนหน้านี้ที่ฉันอยู่ที่นั่น ก็เพียงเพื่อต้องการไถ่บาป แต่ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องออกมาจากที่นั่นแล้ว ลู่ชิงจิ่วหลานรัก ฉันหวังว่าวันหนึ่งเธอจะออกมาจากหมู่บ้านแห่งนั้น’

“เพราะอะไรครับ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย

เอ๋ารุ่นเขียนอธิบายต่อไปว่า ‘เพราะเมื่อถูกทำให้แปดเปื้อนแล้วถึงจะเข้าใจว่าการแปดเปื้อนนั้นคืออะไร’ เอ๋ารุ่นหัวเราะอย่างขมขื่นและเขียนต่อว่า ‘การแปดเปื้อนนั้น…ก็แค่การอธิบายที่เกินจริง พูดอีกอย่างก็คือมันสามารถทำให้คนเราระเบิดทุกความต้องการต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างน่าสะพรึงกลัว’

ลู่ชิงจิ่วนึกถึงคุณตาร่างผมแดงพร้อมถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ความต้องการของพวกมังกรก็คือการกินคนที่เรารักที่สุดงั้นเหรอครับ”

เอ๋ารุ่นพยักหน้าอธิบายต่อไปว่า ‘แต่ไหนแต่ไรก็เป็นเช่นนี้ แท้จริงแล้วพวกมนุษย์เองก็เช่นกัน ทว่าพวกเขามีความสามารถที่จำกัด การทำลายล้างของพวกเขาจึงถูกจำกัดไปด้วย ดังนั้นแล้วเมื่อมีผู้ที่ถูกทำให้แปดเปื้อน ผลที่เกิดจึงไม่ร้ายแรงมากนัก แต่สำหรับพวกเราเผ่ามังกร…เดิมทีเผ่ามังกรก็คือเทพเจ้า เมื่อเทพเจ้าแปดเปื้อน ขีดจำกัดการทำลายล้างก็คงแทบจะไม่ต้องกล่าวถึง’

ลู่ชิงจิ่วได้แต่รับฟังอยู่เงียบๆ แม้จะมีหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจในคำพูดของเอ๋ารุ่น แต่ก็ทำได้แค่เพียงติดเครื่องหมายคำถามไว้ในใจเท่านั้น

‘ฉันจะบอกให้ว่าปลายปีนั้นเกิดอะไรขึ้น เรื่องมันค่อนข้างโหดร้าย เธอต้องการจะฟังหรือไม่’ เอ๋ารุ่นเขียนที่มือของลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วรีบพยักหน้าตอบ ทว่าขณะเดียวกันนี้เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ชั่วร้ายบางอย่างซึ่งกำลังเกิดขึ้น

‘ฉันกับคุณยายของนายตอนที่รักกันใหม่ๆ พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างชื่นมื่นในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นเธอก็ตั้งครรภ์ แต่ก่อนที่ฉันจะได้รู้เรื่องนี้ก็ถูกกับดักเล่นงานเข้าแล้ว และโชคไม่ดี…เลยถูกทำให้แปดเปื้อน’ เอ๋ารุ่นเขียนอธิบาย

ลู่ชิงจิ่วนั่งลงข้างๆ เพื่อให้เอ๋ารุ่นเขียนได้สะดวกมากขึ้น ในครั้งแรกเขารู้สึกถึงความอ่อนล้าของเอ๋ารุ่น เพราะในตัวอีกฝ่ายไม่หลงเหลือกลิ่นอายความน่าเกรงขามของมังกรอีกเลย แต่กลับเป็นเหมือนหมอกกลางหุบเขาในยามเช้าที่ใกล้จะเลือนหายไป

ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาแล้ว ในขณะที่เอ๋ารุ่นค่อยๆ อธิบายให้ฟัง

เผ่ามังกรที่ถูกทำให้แปดเปื้อนแล้วจะไม่ถูกลงโทษใดๆ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ถือว่าเป็นเทพเจ้าโบราณ มังกรที่ถูกทำให้แปดเปื้อนมีข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือจะไม่สามารถกลับไปสู่โลกมนุษย์ได้ อีกทั้งมังกรพวกนี้หลังจากถูกทำให้แปดเปื้อนนิสัยก่อนหน้าเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่เมื่อแปดเปื้อนแล้วนิสัยจะเปลี่ยนไปแบบคนละขั้ว โกรธง่ายไม่ยอมใคร แม้แต่เอ๋ารุ่นที่มีนิสัยนุ่มนวลสุภาพก็ยังไม่สามารถต้านทานต่อความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ แม้ว่าในใจจะมีหลายอย่างที่ไม่ยินยอม แต่ก็กลัวว่าจะไปทำร้ายคนรักของตัวเอง สุดท้ายจึงเลือกที่จะออกห่างและจากไป ซึ่ง ณ เวลานี้เผ่ามังกรก็ได้ส่งคนใหม่มาทำหน้าที่แทนแล้ว ซึ่งเขาคนนั้นก็คือไป๋เยวี่ยหู

เอ๋ารุ่นที่กลับไปยังโลกต่างแดนของตนแล้วก็มาทราบข่าวทีหลังว่าคนรักของตนตั้งท้อง วินาทีนั้นเขาดีใจอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่อยากจะทำที่สุดก็คือการได้เห็นลูกของตัวเองออกมาลืมตาดูโลก แต่เขาเองก็ยังมีสติยั้งคิดได้ว่าหากตนกลับไปที่โลกมนุษย์ เป็นไปได้สูงว่าจะทำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ ดังนั้นเอ๋ารุ่นจึงได้แต่เก็บงำความต้องการของตนและตั้งหน้าตั้งตาหาวิธียับยั้งการแปดเปื้อน

ตามคำอธิบายของเอ๋ารุ่น การแปดเปื้อนคือการที่กิเลสและความยับยั้งชั่งใจภายใต้จิตสำนึกสลับกันไปมาอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้วการยับยั้งชั่งใจจะกดทับกิเลสไว้ แต่เมื่อถูกทำให้แปดเปื้อนไปแล้วความสามารถในการยับยั้งชั่งใจจะไม่สามารถทำได้อย่างปกติ โดยปกติแล้วพวกมังกรปรารถนาที่จะกินสิ่งที่ตนเองรักมากที่สุด ดังนั้นยิ่งกับมังกรที่ถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยแล้ว ยิ่งจะไม่สามารถควบคุมจิตไม่ให้กินบุคคลอันเป็นที่รักของตนได้เลย

ตัวของเอ๋ารุ่นเองก็เคยมีความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งวันที่เขาเกือบจะไม่สามารถคุมจิตของตัวเองได้แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ค้นพบวิธีลดทอนภาวะการแปดเปื้อน นั่นคือการแบ่งวิญญาณตัวเองออกเป็นสองส่วน โดยเอาส่วนที่แปดเปื้อนไปไว้อีกครึ่งหนึ่ง และส่วนนั้นก็คือสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วเคยได้พบเห็นจากคุณตาตัวเองในร่างของเอ๋ารุ่นที่มีผมสีแดง

การแบ่งวิญญาณออกเป็นสองร่างไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ สำหรับเผ่ามังกร หรือแม้แต่ตัวเอ๋ารุ่นเองที่ก็สูญเสียอำนาจในการควบคุมร่างกายของตนไป แต่โชคยังดีที่ตอนเขาได้สติสามารถแอบหนีออกมาที่โลกมนุษย์ได้ อย่างน้อยๆ ก็ยังได้เห็นคนที่ตัวเองรักและไม่ต้องกังวลใจว่าจะไปทำร้ายเธอผู้นั้น

เอ๋ารุ่นเฝ้ามองลูกสาวของตนออกมาลืมตาดูโลกและค่อยๆ เติบโตขึ้น จากนั้นคุณยายของลู่ชิงจิ่วก็ได้ร้องขอให้ลูกสาวออกจากหมู่บ้านไป แม้ในใจของเอ๋ารุ่นจะเจ็บปวดมากเพียงใด แต่ก็ได้แค่ทำความเข้าใจว่าการเป็นผู้พิทักษ์ไม่ปลอดภัยเท่ากับการเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คุณยายของลู่ชิงจิ่วไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับลูกสาวของตนอีก จึงไม่เคยปริปากบอกถึงการมีตัวตนของไป๋เยวี่ยหู เธอพยายามปิดบังทุกอย่างจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

เอ๋ารุ่นเขียนอธิบายมาถึงตรงนี้ มือของเขาก็หยุดชะงักลงครู่หนึ่ง ซึ่งลู่ชิงจิ่วเองก็ไม่ได้เร่งเร้าให้คุณตาเขียนต่อแต่อย่างใด เขาได้แต่นั่งรอเงียบๆ ลู่ชิงจิ่วเหลือบมองสังเกตใบหน้าของเอ๋ารุ่นอย่างละเอียด ทั้งตาและคิ้วช่างละม้ายคล้ายคลึงกับแม่ของตนมาก โดยเฉพาะตาคู่นั้นที่แต่เดิมสวยใสมีเสน่ห์ตอนนี้กลับกลายเป็นรูโพรงที่ว่างเปล่า ลู่ชิงจิ่วใช้เวลานี้สังเกตสิ่งอื่นรอบตัวอีกครั้ง แล้วเขาก็พบกับผีเสื้อตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนไหล่ด้านหลังของเอ๋ารุ่น ซึ่งมันก็คือตัวเดียวกันกับที่นำทางลู่ชิงจิ่วมาที่นี่นั่นเอง

“คุณตาเหนื่อยมั้ยครับ ถ้าเหนื่อยแล้วเราสองคนค่อยคุยกันครั้งหน้าก็ได้” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา

เอ๋ารุ่นส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกกับลู่ชิงจิ่วว่าตนเองนั้นไม่เหนื่อย

ลู่ชิงจิ่วตอบกลับ “เป็นห่วงคุณตามากนะครับ…” เขาได้กลิ่นคาวเลือดบนตัวของเอ๋ารุ่นในเวลาต่อมา

เอ๋ารุ่นถอนหายใจอ่อนๆ ใช้มือข้างซ้ายที่เหลืออยู่เอื้อมไปสัมผัสที่หัวของลู่ชิงจิ่วแผ่วเบา จากนั้นจึงเขียนเล่าต่อไปอีกว่าเขาใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งในฤดูร้อน ตอนนั้นลู่ชิงจิ่วเติบโตมากแล้ว แม้เขาจะเคยเห็นลู่ชิงจิ่วมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่เคยโอบกอดเลยสักครั้ง

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา เขายื่นมือไปโอบกอดเอ๋ารุ่นอย่างแนบแน่นเหมือนกับครั้งที่เขากอดคุณยาย ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วไม่เหลือใครแล้วทั้งพ่อแม่และคุณยาย เอ๋ารุ่นจึงเป็นเพียงผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่

‘วันนั้นเป็นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก ฉันได้ยินมาว่าแม่ของเธอจะกลับไปที่หมู่บ้าน ฉันเลยอยากแวะกลับไปหาสักหน่อย’ เอ๋ารุ่นค่อยๆ บรรจงเขียนต่อไปว่า ‘ทว่าเป็นตัวฉันเองที่คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น…ฉันคุมตัวเองไม่ได้’

สถานะของแม่ของลู่ชิงจิ่วค่อนข้างพิเศษคือเธอไม่ใช่ทั้งมนุษย์และไม่ใช่ทั้งมังกร โดยทั่วไปแล้วถ้ามนุษย์ถูกทำให้แปดเปื้อนเข้าดวงวิญญาณจะถูกสะกดไว้ที่หมู่บ้าน เช่นนี้คนเหล่านั้นจะไม่สามารถออกไปจากที่นี้ได้ ป้ายบูชาวิญญาณที่บ้านอิ่นสวินก็มีที่มาจากสาเหตุนี้ แต่สำหรับแม่ของลู่ชิงจิ่วเธอมีสายเลือดของมังกรอยู่ครึ่งหนึ่ง และวันที่แม่ของเขากลับไปที่หมู่บ้าน เธอก็ดันถูกทำให้แปดเปื้อนเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว

เอ๋ารุ่นไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าทำไมแม่ของลู่ชิงจิ่วจึงถูกทำให้แปดเปื้อน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงถาม เพราะดูจากสีหน้าของเอ๋ารุ่นแล้ว เขาเองก็พอจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่งของอีกฝ่าย

‘ทั้งหมดของเรื่องนี้มันมีคนอยู่เบื้องหลัง รวมถึงเรื่องฉันและแม่ของเธอด้วยเช่นกัน’ เอ๋ารุ่นเขียนเล่าต่อ

ลู่ชิงจิ่วได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมาในทันใด

‘แม่ของเธอโชคร้ายไม่สามารถรอดพ้นได้ถึงได้ถูกทำให้แปดเปื้อน แต่เพราะเขามีสายเลือดมังกรอยู่ครึ่งหนึ่งเลยทำให้ไม่ถูกจองจำอยู่ที่หมู่บ้าน’ เอ๋ารุ่นเขียนต่อไปว่า ‘คุณยายของเธอไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครในเผ่ามังกรเว้นแต่ไป๋เยวี่ยหู มังกรตัวอื่นๆ ไม่มีใครทราบถึงเรื่องนี้เลย…’

ไป๋เยวี่ยหูรู้เรื่องแม่ของลู่ชิงจิ่วมาตั้งแต่แรก แต่ก็อาจจะเป็นเพราะคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับคุณยายของลู่ชิงจิ่ว ดังนั้นจึงไม่นำเรื่องนี้ไปบอกต่อ

‘ต่อมาก็ถึงฤดูร้อนของวันนั้น…’ มือของเอ๋ารุ่นเริ่มสั่นเบาๆ แม้สีหน้าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์ระทมขมขื่นที่แผ่ออกมาจากตัวของเอ๋ารุ่น ‘แม่ของนายกลับมาในวันนั้น ฉันอยากจะเจอหน้าเขา เพราะไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว’

ลู่ชิงจิ่วฟังถึงตอนนี้ก็ตาแดงขึ้นมา เขายกมือขึ้นไปซับน้ำตา พยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในใจ ส่วนอีกมือหนึ่งก็กุมที่หลังมือของเอ๋ารุ่นเพื่อปลอบใจ “คุณตา…”

เอ๋ารุ่นไม่ได้ตอบกลับใดๆ เพียงแต่ตบเบาๆ ที่มือของลู่ชิงจิ่ว และเขียนต่อไปว่า ‘แต่ว่าครั้งนั้นก็มีเรื่องไม่คาดคิดบางอย่างเกิดขึ้น’

แม่ของลู่ชิงจิ่ว ณ เวลานั้นระเบิดส่วนที่เป็นสายเลือดของมังกรออกมาแล้วกินคนรักของตัวเองลงไป ซึ่งนั่นก็คือพ่อของลู่ชิงจิ่ว

ลู่ชิงจิ่วที่รับรู้มาถึงจุดนี้รู้สึกเย็นวาบทั้งตัวตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ เขาเคยคาดเดาความเป็นไปได้ไว้ต่างๆ นานา แต่ก็ไม่เคยเดาถึงความจริงข้อนี้เลย เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงก่อนจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น แม่ของเขาก็อารมณ์เปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนโมโหร้ายรุนแรง ตอนนั้นเป็นเขาเองที่คิดน้อย คิดว่าเรื่องที่เกิดมันมาจากความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของพ่อและแม่ จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าอารมณ์รุนแรงแบบนั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร

มนุษย์ไม่มีพฤติกรรมกินคนที่ตัวเองรัก อีกทั้งจะไม่ทำร้ายคนรักถึงขนาดนี้ อย่างมากก็แค่หัวเสียใส่กัน แต่มังกรนั้นตรงข้ามกับมนุษย์ พวกเขามีนิสัยละโมบโดยกำเนิด อยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนรักลงไปในท้องเพื่อไม่ให้ใครก็ตามได้ครอบครองสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังนั้นนี่คือลักษณะการถูกทำให้แปดเปื้อนอย่างแน่นอน

แม่ของลู่ชิงจิ่วที่มีสายเลือดของเผ่ามังกรจึงสามารถกินคนรักของตัวเองลงไปได้อย่างไม่ลังเลใจ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ถูกเห็นมาตลอดโดยเอ๋ารุ่นซึ่งกลับมาเยี่ยมลูกสาวของตนที่โลกมนุษย์

ลู่ชิงจิ่วถึงกับพูดไม่ออก เขาได้แต่ฝังตัวเองอยู่ในความทุกข์ระทมอันยิ่งยวด เขาไม่อยากจะนึกภาพเหตุการณ์ในวันนั้น และยิ่งนึกไม่ออกว่าเอ๋ารุ่นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจะรู้สึกทุกข์ใจมากแค่ไหน

‘หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่บ้านหลังเก่าหลังนั้น’ เอ๋ารุ่นเขียนเล่าต่อไปว่า ‘ฉันรู้ว่าแม่ของเธอคิดจะทำอะไรต่อ เธอต้องการจะกินแม่ตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือคนรักของฉัน’ เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเอ๋ารุ่นก็พลันเศร้าขึ้นมา ก่อนจะยิ้มด้วยใบหน้าที่มีเมตตา ‘ฉันไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรอก คนรักของฉันฉันจะกินเองคนเดียวเท่านั้น’

“เพราะงั้น…คุณตาเลยกินคุณแม่ลงไปงั้นเหรอครับ” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ

เอ๋ารุ่นพยักหน้า เขาเหมือนกังวลว่าลู่ชิงจิ่วจะรังเกียจตัวเขา จึงกุมมือลู่ชิงจิ่วไว้แน่นแม้มือนั้นจะสั่นจากความระส่ำระสายในจิตใจก็ตาม เอ๋ารุ่นเขียนต่อไปว่า ‘ตอนแรกฉันคิดจะขัดขวางเธอ แต่ตอนที่กำลังจะเริ่มใช้พลัง วิญญาณส่วนที่ถูกทำให้แปดเปื้อนกลับคืบคลานเข้ามาควบคุมร่างกายของฉัน เมื่อฉันได้สติกลับมา เธอก็หายไปแล้ว…’ ทิ้งไว้แต่เพียงรอยเลือดที่บาดใจและเศษซากเกล็ดมังกรที่หลุดร่วงอีกนับไม่ถ้วน

เรื่องต่อจากนี้ดูเหมือนว่าลู่ชิงจิ่วจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลาต่อมา

การที่เอ๋ารุ่นกินลูกสาวตัวเองลงไปนั้นจะต้องถูกลงโทษสถานหนักตามกฎของเผ่ามังกร ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถแก้ต่างได้แต่อย่างใด เพียงแค่ยังติดค้างที่ไม่ได้บอกเล่าต้นสายปลายเหตุ ทว่าเมื่อคิดดูแล้วก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะหากคุณยายของลู่ชิงจิ่วรู้เรื่องที่ลูกสาวตัวเองกินคนรักเข้าไปก็คงจะรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจไม่น้อย

และตอนนี้เองลู่ชิงจิ่วจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการรับรู้เรื่องราวบางอย่างนั้นสู้ไม่รู้อะไรเลยจะดีกว่า ตัวเขาเองได้รับรู้สาเหตุการตายของพ่อและแม่ตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ทันได้รับคำปลอบประโลมใจแต่อย่างใด เขาที่เห็นสภาพทุกขเวทนาของเอ๋ารุ่นก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือของคุณตาเอาไว้ มือของเอ๋ารุ่นเย็นยะเยือกราวกับร่างกายไม่มีอุณหภูมิความร้อนหลงเหลืออยู่เลย

“คุณตา เรากลับไปกันเถอะครับ คุยกับพวกเขาให้เข้าใจ” ลู่ชิงจิ่วยังคงมองดูสภาพของเอ๋ารุ่นต่อไป เขาทนไม่ได้ที่คนที่ตัวเองเคารพรักต้องอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานเช่นนี้

“พอกับการอยู่ในสภาพแบบนี้เสียทีนะครับ ผมเป็นหลานของตา ผมจะช่วยแก้ต่างให้เอง”

เอ๋ารุ่นยิ้มพลางส่ายหัว และเขียนว่า ‘ครั้งนี้ที่ฉันออกมามีจุดประสงค์บางอย่าง แต่ยังไปไม่ถึงจุดประสงค์นั้น ฉันยังกลับไปไม่ได้’

“จุดประสงค์อะไรกันครับ” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างร้อนรน

‘อย่างที่ได้บอกไป ฉันถูกทำให้แปดเปื้อนเพราะพลาดท่าให้แก่กับดัก ส่วนภายหลังที่แม่ของเธอแปดเปื้อนนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย’ เอ๋ารุ่นเขียนอธิบาย

“แปลว่าคุณตาต้องการจะหาคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้นใช่มั้ยครับ” ลู่ชิงจิ่วถามกลับทันทีที่เข้าใจเรื่องราว

เอ๋ารุ่นพยักหน้าตอบรับ

“คนพวกนั้นมันเป็นใครกันแน่ ทำไมต้องทำร้ายกันขนาดนี้” ลู่ชิงจิ่วนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ไป๋เยวี่ยหูเคยมอบให้และพูดกลับไปอีกทีว่า “หรือเรื่องมันจะเกี่ยวกับพวกมังกรจู้หลง”

ลู่ชิงจิ่วพูดไปได้สักพัก เอ๋ารุ่นก็เริ่มกระแอมขึ้นเบาๆ เอ๋ารุ่นใช้แรงค่อนข้างมากในการกระแอมแต่ละครั้ง จนกระทั่งเขาสำลักอากาศออกมา สภาพของเขาราวกับจะอาเจียนจนเครื่องในหลุดออกมาด้วย

ลู่ชิงจิ่วช่วยลูบหลังให้คุณตา อย่างน้อยก็เพื่อที่จะทำให้เอ๋ารุ่นรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้าง ทว่ายิ่งเขาลูบหลังให้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติเกิดขึ้น ลู่ชิงจิ่วสังเกตเห็นผีเสื้อตัวสีน้ำเงินที่เกาะอยู่ตรงหลังของเอ๋ารุ่นค่อยๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลู่ชิงจิ่วเข้าใจมาตลอดว่าผีเสื้อเหล่านี้คือบริวารรับใช้ของเอ๋ารุ่น ทว่าเมื่อสังเกตอย่างละเอียดจึงพบว่าผีเสื้อเหล่านี้กำลังดูดเลือดสดๆ บนเสื้อผ้าของเอ๋ารุ่นอยู่ ไม่ว่าจะไล่อย่างไรผีเสื้อพวกนี้ก็ไม่ยอมบินหนี ซ้ำยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

“คุณตา…คุณตา เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมผีเสื้อพวกนี้มันเพิ่มจำนวนไม่หยุดเลย” สีหน้าของลู่ชิงจิ่วเริ่มไม่สู้ดี

เมื่อเอ๋ารุ่นที่กำลังสำลักอากาศออกมาอย่างหนักได้ยินสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วถามถึง สีหน้าของเขาก็แสดงความฉงนใจขึ้นมาราวกับกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่ากลับถูกอาการสำลักที่ทวีความรุนแรงขึ้นขัดขวางไว้ไม่ให้พูดออกมาได้

ลู่ชิงจิ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่ตาเหลือกมองเอ๋ารุ่นที่กำลังอาเจียนไม่หยุด สีผมของอีกฝ่ายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง กลิ่นอายความอ่อนโยนบนตัวถูกแทนที่ด้วยมวลของอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด…วิญญาณอีกส่วนที่แปดเปื้อนกำลังจะปรากฏตัวออกมาแล้ว

ลู่ชิงจิ่วรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่ปลอดภัย แต่เขาเองก็ทำใจทิ้งคุณตาไปไม่ได้ ทันทีที่เอ๋ารุ่นหยุดอาการสำลัก อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของอีกฝ่าย ณ เวลานี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สุดแสนอำมหิต เอ๋ารุ่นแสยะปากและเอ่ยกับลู่ชิงจิ่วด้วยน้ำเสียงที่แหบกร้านว่า “ไม่เจอกันนานนะ หลานรักของตา”

“คุณคือ…” ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วมองหน้าเอ๋ารุ่น

“ฉันก็คือคุณตาของแกไง ทำไมล่ะ เราไม่ได้รู้จักกันอยู่แล้วหรือไง” เอ๋ารุ่นตอบกลับพร้อมเหยียดตัวขึ้นตรง

ลู่ชิงจิ่วอยากจะยืนขึ้น ทว่ากลับถูกเอ๋ารุ่นใช้มือกดไหล่ไว้ตลอดแล้วพูดต่อไปว่า “เขาคงบอกทุกอย่างให้แกได้รับรู้หมดแล้วสินะ”

“ทุกอย่างที่ว่าคืออะไร” ลู่ชิงจิ่วถามกลับ

“แล้วแกอยากรู้อะไรล่ะ” เอ๋ารุ่นตวาดเสียงแทรกขึ้นทันที เหมือนว่าเขากำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก เอ๋ารุ่นสะบัดชายแขนเสื้อของตัวเองและพูดต่อไปอีกว่า “ไปบอกเขาด้วย เลิกดันทุรังฝืนสังขารใช้ร่างกายนี้ได้แล้ว ถ้าขืนยังดื้อรั้นอยู่อีกจะได้ตายจริงๆ แน่ ที่สำคัญชาตินี้อย่าหวังจะได้รู้เรื่องที่เขาตามหา”

“แกรู้ใช่มั้ยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร” ลู่ชิงจิ่วถามกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เอ๋ารุ่นหัวเราะดังลั่นและยื่นมือออกมา ก่อนผีเสื้อตัวสีน้ำเงินจะบินมาอยู่ตรงหน้าของลู่ชิงจิ่ว “ฉันต้องรู้แน่ ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีฉัน มันเป็นคนสร้างฉันขึ้นมา”

เอ๋ารุ่นสะบัดมือหนึ่งครั้ง ผีเสื้อก็บินกลับมาที่อุ้งมือของเขาและสลายกลายเป็นกลุ่มควันเย็นๆ ล่องลอยไปในอากาศ

ลู่ชิงจิ่วยังมีคำถามค้างคาอีกมากมาย ทว่าเอ๋ารุ่นกลับเอามือมากุมที่ศีรษะของเขา ลู่ชิงจิ่วสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูก ท้องฟ้าแปรปรวนวิปริต ภาพทุกอย่างที่เห็นมืดลงต่อหน้า แล้วเขาก็สลบไปทั้งอย่างนั้น

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com