ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 89-90 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 89-90 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 90 สีน้ำแข็ง

 

ลู่ชิงจิ่วกำลังฝันถึงเหตุการณ์หนึ่ง ในฝันเขาอยู่กลางภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เมื่อกวาดสายตามองออกไป ทั่วทั้งผืนฟ้าและผืนดินมีเพียงสีขาวโพลนของหิมะที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ลู่ชิงจิ่วเดินไปอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางหิมะที่ปกคลุม จนเมื่อเดินไปถึงตีนเขา ฝูงผีเสื้อสีน้ำแข็งก็โผบินออกมา พวกมันทะยานขึ้นสู่กลางอากาศ รวมตัวกันบดบังท้องฟ้าและแสงจากดวงอาทิตย์ ไม่นานพวกมันก็แผ่ปกคลุมทั่วภูเขาหิมะได้สำเร็จ ระหว่างนั้นมีผีเสื้อตัวหนึ่งมาเกาะที่ไหล่ของลู่ชิงจิ่ว แต่เมื่อมันเกาะที่ไหล่ของเขาก็กลับสลายกลายเป็นหิมะไปในทันที

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างกาย สติสัมปชัญญะของเขาค่อยๆ เลือนรางลง ราวกับว่ากำลังจะหลุดออกจากความฝันประหลาดๆ นี้ ในห้วงเวลาก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา เขาเห็นภาพในภวังค์ที่มีผีเสื้อจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปมาท่ามกลางเงาของคนคนหนึ่ง เงานั้นเหมือนเด็กสวมเสื้อสีน้ำแข็งทั่วทั้งตัว แม้จะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็เห็นได้ว่ามีผมสีน้ำเงินที่งดงาม เด็กคนนั้นมองดูลู่ชิงจิ่วจากไกลๆ นัยน์ตาของอีกฝ่ายราวกับสามารถมองทะลุตัวของลู่ชิงจิ่วได้อย่างไรอย่างนั้น

ลู่ชิงจิ่วกำลังจะเพ่งสังเกตอีกครั้ง แต่ไม่ทันไรก็ตื่นขึ้นเสียก่อน เสียงที่เลือนรางของไป๋เยวี่ยหูลอยเข้ามาที่ข้างหูของเขา อีกฝ่ายเรียกชื่อของลู่ชิงจิ่วอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ตื่นจากภวังค์

“ลู่ชิงจิ่ว…ลู่ชิงจิ่ว ตื่นเร็ว รีบตื่นขึ้นมาสิ”

ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นสีหน้ากังวลใจของไป๋เยวี่ยหูและสังเกตเห็นว่าเส้นผมของไป๋เยวี่ยหูยาวขึ้น ซึ่งนั่นแปลว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งใช้พลังไป

“ฉัน…ฉันอยู่ไหน” ลู่ชิงจิ่วตอบด้วยอาการมึนงง

“ที่ภูเขานั่น…มันเป็นคนพานายไปงั้นเหรอ” ไป๋เยวี่ยหูแสดงความไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจในตัวเอ๋ารุ่นเป็นอย่างมาก

“ไม่ใช่ ฉันอยากไปเองต่างหาก” ลู่ชิงจิ่วตอบกลับ

ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มองดูโดยรอบแล้วจึงพบว่าตัวเองอยู่บนผืนหญ้าแห่งหนึ่ง เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีแล้วความหนาวเหน็บเช่นเดียวกันกับในฝันเมื่อครู่ เพราะตอนนี้คือช่วงลมของเดือนหก ซึ่งมันได้พัดพากระแสความร้อนเข้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“มันทำอะไรนายหรือเปล่า” ไป๋เยวี่ยหูถามอย่างเป็นห่วง

ลู่ชิงจิ่วนิ่งไปชั่วครู่ “เขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับแม่ของฉันให้ฟัง”

ไป๋เยวี่ยหูตกตะลึง

“เขาเป็นคนกินแม่ของฉันเข้าไป เพราะแม่ของฉันก็ถูกทำให้แปดเปื้อนเหมือนกัน หลังจากที่แม่กินร่างของพ่อไป แม่ก็อยากจะมากินคุณยายต่อ” เดิมลู่ชิงจิ่วคิดว่าการจะพูดเรื่องนี้ออกมานั้นคงยาก แต่ไม่นึกเลยว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋เยวี่ยหูแล้วกลับไม่ได้รู้สึกลำบากใจอย่างที่คิดไว้

ไป๋เยวี่ยหูไม่พูดอะไร เขาได้แต่ขยับไปสวมกอดลู่ชิงจิ่วอย่างแนบแน่น และนั่นก็ทำให้ลู่ชิงจิ่วอดใจไม่ได้ที่จะไปสวมกอดเขาตอบเช่นกัน

“ฉะนั้นแล้วคุณตาเลยต้องทำแบบนี้ ที่เขากินแม่ของฉันไปคือเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้” ลู่ชิงจิ่วพูดต่อ

ไป๋เยวี่ยหูเงียบไม่พูดอะไร

“พวกเราเดินไปคุยไปกันเถอะ มื้อเที่ยงนายยังไม่ได้กินอะไรเลย คงจะหิวแย่แล้วล่ะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

เขายันตัวขึ้นจากบนพื้น ใช้มือไปปัดๆ เศษหญ้าที่ติดตามก้น สภาพของเขาตอนนี้ราวกับว่าไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

“ได้” ไป๋เยวี่ยหูเดินตามหลังลู่ชิงจิ่วไป

ระหว่างที่เดินลู่ชิงจิ่วเล่าเรื่องที่ได้เจอเอ๋ารุ่นให้ไป๋เยวี่ยหูฟังจนหมด และแน่นอนว่าในเนื้อหานั้นก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง ลู่ชิงจิ่วคิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะหลุดพูดอะไรบางอย่างกับเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับฟังอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร มีแค่เพียงสายตาคู่นั้นที่ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลอยู่ตลอดทาง

ลู่ชิงจิ่วเล่ามาถึงตอนที่เอ๋ารุ่นในร่างผมสีแดงนำมือมาแตะที่ศีรษะของตน ไป๋เยวี่ยหูเริ่มแสดงสีหน้าวิตกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยปากซักถามลู่ชิงจิ่วเกี่ยวกับลักษณะของผีเสื้อตัวนั้น

“ทำไมเหรอ ผีเสื้อตัวนั้นมันมีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความแปลกใจ

“ใช่ มันมีลักษณะพิเศษอยู่” ไป๋เยวี่ยหูตอบกลับ

“เป็นยังไงเหรอ” ลู่ชิงจิ่วตอบ

ไป๋เยวี่ยหูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ตอนนี้ยังไม่ขออธิบายให้ฟังแล้วกันนะ ฉันก็แค่มีข้อสันนิษฐานเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่กล้าฟันธงอะไรมากนัก”

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะบอกอะไรให้รู้สักหน่อยนะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

“ผีเสื้อนั่นอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างระหว่างคนที่ทำให้ตานายแปดเปื้อนกับคนที่ทำให้แม่นายแปดเปื้อน” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

เมื่อคุยมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ลู่ชิงจิ่วก็นึกถึงความฝันประหลาดกับเงาของเด็กน้อยในดงผีเสื้อที่ภูเขาน้ำแข็งนั่น ความฝันนี้มันสื่อถึงอะไรกันแน่นะ หรือว่าเด็กคนนั้นคือคนที่อยู่เบื้องหลังงั้นหรือ ทว่าเมื่อลู่ชิงจิ่วพยายามบรรยายสิ่งที่ได้พบในฝันให้ไป๋เยวี่ยหูฟัง เขากลับมีแต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เหมือนจะไม่เข้าใจความนัยของฝันนั้นเลยแม้แต่น้อย

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ “งั้นรีบไปหาอะไรกินลงท้องเถอะ พอท้องหิวเลือดเลยไปเลี้ยงสมองไม่พอ จะคิดอะไรก็ยากที่จะคิดออก”

ทั้งสองเดินลงมาจากภูเขานั้นเพื่อกลับบ้าน จูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินที่กำลังนั่งรอที่ลานบ้านเมื่อเห็นพวกเขากลับมาก็ต่างโล่งใจไม่น้อย โดยเฉพาะอิ่นสวินที่คิดว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับลู่ชิงจิ่วแล้ว

“พวกเธอกินข้าวเย็นกันหรือยัง” ลู่ชิงจิ่วถาม

“ยังเลย พวกเรารอนายกลับมากินด้วยกัน” จูเหมี่ยวเหมี่ยวตอบ

“งั้นเดี๋ยวฉันทำอะไรง่ายๆ ให้กินแล้วกันนะ” ลู่ชิงจิ่วพูด

ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว ไม่มีเวลาที่จะทำอาหารอะไรพิสดารเลิศรสมากนัก เพื่อให้สะดวกและประหยัดเวลา ลู่ชิงจิ่วจึงลงมือทำบะหมี่แบบง่ายๆ แล้วทุกคนในบ้านก็ได้กินอาหารมื้อนี้กันไปแบบนั้น

พอกินกันเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง แต่ครั้งนี้ไม่ได้เล่าถึงเรื่องของเอ๋ารุ่น เพียงแต่บอกว่ามีธุระด่วนนิดหน่อยเลยต้องรีบขึ้นภูเขาไป ตัวเขาเองนั้นปลอดภัยดี เพื่อให้ทั้งจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินไม่ต้องเป็นห่วงเขา ตอนแรกอิ่นสวินอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป ส่วนจูเหมี่ยวเหมี่ยวเองก็สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูมีลับลมคมใน แม้จะรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

สุดท้ายจึงจบมื้อดึกนี้โดยที่ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเข้านอน

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอ่อนล้า เขารีบอาบน้ำแล้วเข้านอน ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็นอนอยู่ด้านข้างลู่ชิงจิ่วตามปกติ ก่อนนอนวันนี้พวกเขาปิดแอร์ไว้ ทว่าจู่ๆ หางขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนนุ่มอุ่นก็ปรากฏออกมาจากร่างกายของไป๋เยวี่ยหู

“นายยื่นหางออกมาทำไมกันเนี่ย” ลู่ชิงจิ่วถามอย่างตกตะลึง อุณหภูมิตอนนี้จะปาไปสามสิบองศาแล้วนะ เอาหางมาโอบไว้แบบนี้เขาคงได้ร้อนตายแน่

“มันจำเป็นน่ะ” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

ลู่ชิงจิ่วเห็นไป๋เยวี่ยหูดูตอบอย่างมั่นใจขนาดนี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะซักไซ้อะไรต่อ จนกระทั่งเขาเพิ่งจะหลับได้ลง ถึงเข้าใจสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูบอกว่ามันจำเป็น ในฤดูร้อนที่อบอ้าวเช่นนี้อาการหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหันกลับเกิดขึ้นได้ มันมาจากความเย็นที่ฝังอยู่ในหัวและสุดท้ายก็ทำให้ร่างกายหนาวสั่น ฉะนั้นมีเพียงแค่วิธีการโอบกอดหางอุ่นๆ ขนนุ่มๆ นี้ที่จะสามารถทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น ทว่าค่ำคืนนี้ลู่ชิงจิ่วก็ต้องมากังวลใจ เมื่อกลับไปฝันถึงเหตุการณ์บนภูเขาน้ำแข็งและเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินที่บินว่อนไปมานับไม่ถ้วนอีกครั้ง ทว่าฝันในครั้งนี้ภาพอะไรหลายๆ อย่างค่อนข้างชัดเจนขึ้น ถึงขนาดว่าได้ยินแม้กระทั่งเสียงน้ำแข็งที่ปริแตกออกจากกัน ทีแรกเขาคิดว่าแผ่นน้ำแข็งที่ยืนอยู่นั้นกำลังแยกตัวออก แต่เมื่อฟังไปเรื่อยๆ บวกกับเสียงที่ค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้น เขาจึงได้รู้ว่าเสียงเหล่านี้มันมาจากบนหัวของเขานั่นเอง

ลู่ชิงจิ่วที่กำลังอยู่ในความฝันเงยหน้าขึ้น เขาเห็นท้องฟ้าสีครามซึ่งเหมือนกระจกมหึมาบานหนึ่งค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากรอยแตกนั้นมีของสีดำบางอย่างร่วงโรยลงมา ในเวลาเดียวกันพวกผีเสื้อสีน้ำเงินก็บินว่อนไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนราวกับว่าฟ้ากำลังจะถล่ม

ลู่ชิงจิ่วรู้สึกสะพรึงกลัวกับภาพที่ปรากฏขึ้นต่อหน้า เขาเห็นเหมือนว่าแผ่นฟ้าทั้งผืนกำลังจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น ในช่วงเวลาที่โลกทั้งใบกำลังจะมืดมิดลง ลู่ชิงจิ่วถูกเขย่าตัวอย่างแรง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจากความหวาดกลัวลืมตาขึ้นมา และได้พบกับไป๋เยวี่ยหูที่กำลังจดจ้องมองเขาอย่างกังวลไม่น้อย

“เมื่อกี้…เมื่อกี้ฉันฝันร้าย” ลู่ชิงจิ่วพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือเข้าไปโผกอด ค่อยๆ บรรจงลูบหัวของลู่ชิงจิ่วแล้วพูดว่า “เขาคนนั้นกำลังจะมาแล้ว นายทนอีกนิดนะ”

ลู่ชิงจิ่วเพิ่งตื่นขึ้นมา สติสัมปชัญญะที่ยังคงเลือนรางทำให้เขาไม่ได้ถามไป๋เยวี่ยหูไปอย่างละเอียดเกี่ยวกับใครคนนั้น ตัวของลู่ชิงจิ่วเองยังคงรู้สึกระส่ำระสาย ไม่อาจดึงตัวเองออกจากห้วงอารมณ์ในความฝันนั้นได้

 

ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาที่หน้าต่าง เสียงฝีเท้าคนเดินมาหยุดที่หน้าประตูก่อนที่จะเคาะเรียก

“เข้ามา” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

คนคนนั้นผลักประตูเข้ามา ลู่ชิงจิ่วทอดสายตามองไปตามเสียงเท้าที่ก้าวเข้ามาโดยไม่คาดคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นคนคนเดียวกับที่มาหาไป๋เยวี่ยหูเมื่อวานนี้ ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือจู้หรงนั่นเอง

“เป็นยังไงบ้าง” จู้หรงเอ่ยถาม

“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ไอเย็นวิ่งเข้ากระดูกน่ะ” ไป๋เยวี่ยหูตอบ

จู้หรงเดินมาที่ข้างตัวของลู่ชิงจิ่วแล้วนั่งลง เขาเริ่มสำรวจร่างกายของลู่ชิงจิ่วและสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ลู่ชิงจิ่วพลอยกังวลใจไปด้วย ราวกับว่ากำลังตรวจเจอโรคร้ายอะไรสักอย่าง

“ฉัน…ฉันไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” การที่จู้หรงแสดงออกมาเช่นนี้ทำเอาลู่ชิงจิ่วที่อยากจะนอนต่อไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ลู่ชิงจิ่วยื่นมือออกมาให้จู้หรงจับชีพจร

“อืม…” จู้หรงหน้านิ่วคิ้วขมวด

ลู่ชิงจิ่วกลั้นลมหายใจ ในใจเขาลุ้นเหมือนกับกำลังรอการพิพากษาคดีร้ายแรงอะไรสักอย่าง

“น่าเป็นห่วง” จู้หรงเอ่ยปากตอบเบาๆ สั้นๆ

ลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ในหัวของลู่ชิงจิ่วครุ่นคิดถึงแต่ชื่อโรคร้ายสารพัด ไป๋เยวี่ยหูที่ยังคงหนักแน่นกว่าลู่ชิงจิ่วเข้ากุมมือของลู่ชิงจิ่วก่อนถามกลับไปว่า “ช่วยพูดให้ละเอียดหน่อย”

“เวลานี้ก็ใกล้จะเข้าฤดูร้อนเต็มตัวแล้ว เกรงว่าร่างกายของลู่ชิงจิ่วจะ…” จู้หรงตอบ

ลู่ชิงจิ่วกลืนน้ำลาย ใจจดใจจ่อเฝ้ารอคำตอบของจู้หรง ไป๋เยวี่ยหูขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็อดทนไว้ไม่พูดเพื่อรอให้จู้หรงพูดให้เสร็จก่อน

“เกรงว่าฤดูร้อนนี้จะกินของเย็นๆ ไม่ได้นะ” จู้หรงพูด

ลู่ชิงจิ่ว “…”

ไป๋เยวี่ยหู “…”

ทั้งลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนลู่ชิงจิ่วจะพูดต่อว่า “แค่นี้เองเหรอ”

จู้หรงเลยรีบแก้ต่างไปว่า “ก็ห้ามกินของเย็นๆ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเหรอ” จู้หรงสะบัดมือไปมา แล้วจากนั้นที่ปลายนิ้วก็เกิดเปลวเพลิงขึ้น เปลวเพลิงที่ราวกับมีชีวิตนั้นแล่นไปแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังของลู่ชิงจิ่ว ลู่ชิงจิ่วที่รู้สึกหนาวเหน็บมาตลอดเพียงแค่ไฟนี้วิ่งเข้าไปในตัวเขาก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาในทันที ไม่ต้องรู้สึกหนาวอีกต่อไป

ไอเย็นออกไปจากร่างกายของลู่ชิงจิ่ว ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมาก “ปกติฉันก็ไม่ค่อยชอบกินของเย็นเท่าไหร่หรอก กินไม่กินก็คงไม่ได้กระทบอะไรมากน่ะ”

จู้หรงได้ยินแบบนั้นแล้วก็หน้าถอดสีและพูดว่า “มนุษย์อย่างพวกนายมันช่างน่ากลัวจริงๆ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

จู้หรงค่อนข้างอึดอัดใจ เพราะเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก ในฤดูร้อนแบบนี้การที่อยากหาอะไรเย็นๆ กินสักหน่อยถือว่าเป็นเรื่องปกติ ยิ่งร่างกายที่ร้อนเหมือนไฟแบบนี้ด้วยแล้ว ก็อยากจะดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ สักแก้ว หรือกินไอศกรีมรสนม มันคงจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขไม่น้อย ฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าคนคนหนึ่งแม้แต่ในฤดูร้อนยังไม่สามารถจะหาอะไรเย็นๆ กินได้…จู้หรงคิดถึงจุดนี้แล้วก็คงทำให้เขาแสดงสีหน้าออกมาเช่นนั้น

“แล้วยังมีอาการอื่นที่น่าเป็นห่วงอีกมั้ย” ลู่ชิงจิ่วถามต่อ

จู้หรงส่ายหน้า

เปลวไฟเมื่อครู่ที่ช่วยขับไอเย็นให้ลู่ชิงจิ่วแทรกซึมออกมาเป็นรูปร่างของผีเสื้อ ลู่ชิงจิ่วจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ และเขาก็ต้องตกตะลึงว่าผีเสื้อที่ออกมาจากร่างเขามีลักษณะคล้ายกับผีเสื้อสีน้ำเงินตัวนั้นมาก มีเพียงแค่อย่างเดียวที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือสีระหว่างทั้งสองตัว

ลู่ชิงจิ่วมองไปที่หน้าของไป๋เยวี่ยหู ไป๋เยวี่ยหูส่งสายตาให้เขาเพื่อจะบอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้

“เรียบร้อย ฉันช่วยขับไอเย็นออกให้แล้วนะ จากนี้ไปก็พยายามรักษาความอบอุ่นของร่างกายแล้วก็อย่าไปสถานที่หนาวจัด ฉันขอตัวก่อนนะ” จู้หรงกล่าว

จู้หรงที่ถูกเรียกให้มาช่วยโดยไป๋เยวี่ยหูปลีกตัวกลับไปเมื่อเสร็จสิ้นธุระ

จนเมื่อจู้หรงกลับไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงหันหน้าไปพูดกับไป๋เยวี่ยหูว่า “ทำไมเมื่อกี้ถึงไม่ให้ฉันพูดล่ะ”

“ถ้านายพูดออกไปแล้วล่ะก็ จู้หรงคงรู้เรื่องที่นายเจอกับคุณตาแน่” ไป๋เยวี่ยหูกล่าว

ลู่ชิงจิ่วเข้าใจได้ในทันทีว่าที่แท้จู้หรงก็คือคนสำเร็จโทษผู้กระทำผิด หน้าที่ของเขาคือการตามล่าตัวของเอ๋ารุ่น ขอเพียงแค่เอ๋ารุ่นไม่กลับมาที่นี่อีก จู้หรงก็จะไม่สามารถทำอะไรเขาได้ กรงเล็บมังกรที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นก่อนหน้าคือเครื่องยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

“ก็จริงอยู่ แต่ว่าทำไมผีเสื้อตัวที่ฉันเคยเห็นถึงมีรูปร่างไม่ต่างกับที่อยู่บนตัวของจู้หรงล่ะ หรือว่าสองคนนี้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วพูด

“ฉันเองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่” ไป๋เยวี่ยหูตอบ แต่ตอนนี้เขายังหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้

ลู่ชิงจิ่วและไป๋เยวี่ยหูแสดงสีหน้าวิตกเหมือนกัน

เท่าที่เห็นตอนนี้ ร่างกายของลู่ชิงจิ่วคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว ถ้าทำตามที่จู้หรงบอกไว้ ขอแค่ฤดูร้อนนี้ไม่กินของเย็น ไม่ไปสถานที่เย็นจัดก็คงไม่มีอะไรน่ากังวล ทว่าเรื่องปัญหาทางใจของเขากลับมีไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นเรื่องที่ว่าเจ้าของผีเสื้อนั้นคือใคร แล้วเอ๋ารุ่นในร่างผมแดงทำไมต้องเอาผีเสื้อนั่นมาฝังไว้ที่ศีรษะของเขาด้วย…

ถ้าเอ๋ารุ่นต้องการจะฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ออกแรงนิดหน่อยเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียตัวเขาก็มีสายเลือดมังกรอยู่เพียงแค่หนึ่งส่วนสี่ แทบจะไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ในหัวของเขาครุ่นคิดไปมาเช่นนี้ สุดท้ายก็ลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าตามเดิม

จูเหมี่ยวเหมี่ยวเห็นลู่ชิงจิ่วสีหน้าไม่สู้ดีนักก็พลันคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน จึงเอ่ยปากเสนอตัวช่วยเตรียมอาหาร ลู่ชิงจิ่วปฏิเสธความหวังดีของจูเหมี่ยวเหมี่ยว ซ้ำยังเหลือบไปเห็นสีหน้ากังวลของอิ่นสวิน นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและคิดว่าตัวเองจริงจังเกินไปหรือเปล่า แม้ว่าจะมีปัญหาทางใจ แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ไขได้ภายในวันสองวัน สู้ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมันดีกว่า ใช้ชีวิตตอนนี้ให้มีความสุขก่อน ยิ่งไปกว่านั้นจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็ลาพักผ่อนมาได้แค่สามวัน เขาไม่ควรเอาปัญหาตัวเองไปวางไว้บนบ่าคนอื่น

ลู่ชิงจิ่วจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นเขาจึงส่งยิ้มออกมา แสดงอารมณ์ที่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้งอย่างที่เคยเป็น

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า มัวแต่มานั่งกังวลเรื่องของฉันสู้เอาเวลาไปคิดว่ามื้อเที่ยงนี้จะกินอะไรดีกว่ามั้ย” ลู่ชิงจิ่วพูด

“กินอะไรงั้นเหรอ นายทำอะไรฉันก็กินอันนั้นแหละ อร่อยทุกอย่างเลย” จูเหมี่ยวเหมี่ยวผู้ซึ่งไม่เคยปฏิเสธอะไรเอ่ยตอบ

“งั้นก็ให้ไป๋เยวี่ยหูล่ากระต่ายมาสักตัวดีมั้ย พวกเรามาทำหม้อไฟเนื้อกระต่ายกันดีกว่า ส่วนอิ่นสวินนายออกไปเก็บผักมานะ เอามาทุกชนิดเลย” ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูด

อิ่นสวินดีใจจนส่งเสียงออกมา เขารีบคว้าตะกร้าแล้ววิ่งออกไป

จูเหมี่ยวเหมี่ยวช่วยลู่ชิงจิ่วเตรียมอาหารอยู่ในครัว ระหว่างนั้นก็ชวนคุยเรื่องสถานการณ์ทั่วไปของที่ทำงาน เธอเล่าถึงหัวหน้าอู๋ที่เคยมีเรื่องทะเลาะกับเขา ซึ่งตอนนี้ถูกเสนอให้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงปฏิเสธการเลื่อนขั้นแล้วเลือกที่จะอยู่แผนกนี้ตามเดิม นิสัยเขาเดี๋ยวนี้ดีขึ้นกว่าเก่าเยอะ พนักงานในบริษัทกล้าหยอกล้อกับเขามากขึ้น หรือนี่เป็นเพราะว่าหัวหน้าอู๋ทำใจไม่ได้ที่จะต้องแยกจากพนักงานของตัวเองกันแน่นะ

ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินเรื่องของหัวหน้าอู๋ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องของต้นไม้โบราณอย่างเหล่าซู่ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วด้วยบุญกรรมวาสนาอะไรไม่รู้ทำให้อู๋เซียวได้ไปแต่งงานกับเหล่าซู่ ตอนแรกเขาเองก็เป็นห่วงไม่น้อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรอีกเลย ดูท่าสองคนนี้คงจะเข้ากันได้ดี เดือนแปดที่กำลังจะมาถึงนี้ ลู่ชิงจิ่วจะกลับไปเซ่นไหว้พ่อแม่ตัวเอง คิดว่าระหว่างทางจะแวะไปเยี่ยมเหล่าซู่เสียหน่อย อย่างน้อยก็ถือว่ายังได้เจอกัน

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่รู้เรื่องนี้ ยังคงเล่าเรื่องของอู๋เซียวต่อไป เธอบอกว่าหัวหน้าอู๋รู้จักดูแลตัวเอง เดี๋ยวนี้ดูหนุ่มกว่าแต่ก่อนเยอะ ทุกคนต่างพากันคิดว่าเขากำลังมีความรัก แต่ไม่เคยมีใครเห็นแฟนของเขาเลย รู้เพียงว่าทุกวันหลังเลิกงานอู๋เซียวจะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะอยู่นานหลายชั่วโมง ซ้ำยังมีพนักงานบางคนเคยเห็นอู๋เซียวพูดคนเดียวด้วย แต่ว่าเรื่องนี้กลับไม่ค่อยมีคนรู้มากนัก เพราะอย่างไรตามนิสัยที่จริงจังและดูซีเรียสก็เหมือนจะกลายเป็นภาพฝังหัวของใครหลายคนไปแล้ว

“จะว่าไป…หรือหัวหน้าอู๋คนนี้อาจจะโดนปีศาจเข้าสิง? คิดว่าเป็นไปได้มั้ยนะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูดในขณะที่ก้มหน้าปอกกระเทียม

“อืม…ก็เป็นไปได้นะ” จะว่าไปแล้วเหล่าซู่เองก็เป็นปีศาจจำพวกต้นไม้ประเภทหนึ่ง

“ปีศาจที่ทำให้อู๋เซียวหลงเสน่ห์ได้ขนาดนี้คงจะสวยน่าดูเลย ก็คงเหมือนกับไป๋เยวี่ยหูล่ะเนอะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวพูด

ลู่ชิงจิ่วที่นึกถึงใบหน้าอันงดงามของไป๋เยวี่ยหูและร่างเดิมของเขาที่ถูกเด็กน้อยเมินเฉยก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

จูเหมี่ยวเหมี่ยวได้เห็นลู่ชิงจิ่วอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ อย่างไรเขาเองก็เป็นคนคนหนึ่ง จิตใจย่อมคิดเล็กคิดน้อยเป็นธรรมดา พอเห็นแบบนี้ก็รู้ได้เลยว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่สบายใจมาแน่นอน ไม่อย่างนั้นลู่ชิงจิ่วคงไม่แสดงสีหน้าแบบนั้นหรอก แต่ว่าในเมื่อตัวลู่ชิงจิ่วไม่สะดวกใจที่จะพูด เธอเองก็ไม่อยากคะยั้นคะยอเพราะคงเป็นเรื่องส่วนตัว

อิ่นสวินเก็บผักสดๆ กลับมา ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็เดินตามมาติดๆ ในมือของเขาหิ้วนกสวยตัวใหญ่มาหนึ่งตัว ลำตัวของมันมีขนสีแดงสวยสดไปทั้งตัว ปากสีคราม มีตำหนิเพียงแค่ที่เดียวคือคอของมันที่ถูกหักโดยไป๋เยวี่ยหูจนเอียงเทไปข้างหนึ่ง

จูเหมี่ยวเหมี่ยวที่เห็นขนอันสวยงามของมันเอ่ยปากถาม “นี่มันคือนกอะไรเนี่ย คงจะไม่ใช่สัตว์คุ้มครองใช่มั้ย”

“ไม่ใช่หรอกน่า”

ลู่ชิงจิ่วรู้ดีว่าถ้าไป๋เยวี่ยหูออกไปล่าสัตว์เมื่อไหร่ นั่นแปลว่าอีกฝ่ายจะไม่ล่าสัตว์ของมนุษย์ แม้ว่าเขาจะยังนึกไม่ออกว่านี่คือนกอะไร แต่อย่างเดียวที่เขากล้าพูดก็คือรสชาติของมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

“มันคือนกหลิงเยา อร่อยนะ” ไป๋เยวี่ยหูพูด

ลู่ชิงจิ่วเคยได้ยินที่มาของนกประเภทนี้ ที่แท้มันคือนกหลิงเยาที่มาจากตำนานปักษาในคัมภีร์ซานไห่จิงนี่เอง ทั้งตัวของมันจะมีสีแดงสด มีเพียงแค่ส่วนของปากเท่านั้นที่เป็นสีคราม ใครก็ตามที่ได้กินเนื้อของมันจะไม่ฝันร้าย อีกทั้งมันยังสามารถช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคลได้ด้วย ลู่ชิงจิ่วส่งสายตาไปยังไป๋เยวี่ยหู ทั้งสองคนมองหน้าอย่างเข้าใจความหมายของกันและกัน เห็นได้ชัดว่าไป๋เยวี่ยหูทำแบบนี้เพราะเห็นสภาพที่ทุกข์ทรมานจากฝันร้ายของลู่ชิงจิ่ว เขาเลยตั้งใจออกไปล่านกประเภทนี้มาโดยเฉพาะ

ลู่ชิงจิ่วใจเต้นเบาๆ ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “งั้นฝากนายไปจัดการเอาขนมันออกให้หน่อย เดี๋ยวจะได้เอามาปรุงพร้อมกับเนื้อกระต่ายวันนี้”

ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้าตอบรับ

“ขนของมันเก็บไว้ให้ฉันเถอะ สวยขนาดนี้จะทิ้งก็น่าเสียดาย ว่าจะเอาไปทำงานฝีมือสักหน่อยน่ะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวรีบพูดขึ้นมา

ไป๋เยวี่ยหูส่งเสียงอืม เขาทำตามที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวขอมา

ในอีกโลกหนึ่งมันคือการมีชีวิตอยู่แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ซึ่งต่างกับโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่ โลกของอมนุษย์มีกฎฟ้าดินเป็นข้อบังคับใหญ่สุด ทว่ากฎฟ้าดินกลับไม่ได้มีไว้เพื่อคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่มันทำหน้าที่เพียงแค่ควบคุมการใช้พลัง ไป๋เยวี่ยหูมีสายเลือดของมังกร เขาคือนักล่าแถวบน และถือเป็นชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารก็ว่าได้

ลู่ชิงจิ่วต้มซุปเสร็จแล้ว เขาแล่เนื้อกระต่ายออกเป็นชิ้นๆ ส่วนจูเหมี่ยวเหมี่ยวก็จัดการกับขนของนกตัวนั้น เธอคิดที่จะนำไปเป็นของขวัญให้กับเพื่อนร่วมงานของเธอด้วย

เมื่ออิ่นสวินจัดแจงพวกเมนูผักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไปตระเตรียมพวกภาชนะถ้วยชามและนั่งเฝ้ารออาหารที่เหลืออย่างเงียบๆ

พอลู่ชิงจิ่วประกอบเตาไฟฟ้าเสร็จ เขาก็ยกหม้อน้ำซุปสีแดงฉูดฉาดขึ้นมาวางบนเตาพร้อมเปิดไฟ จากนั้นจึงนำเนื้อกระต่ายและนกหลิงเยาใส่ลงไปต้ม เนื้อขาวๆ นุ่มๆ ที่ถูกใส่ลงไปในน้ำซุปแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้น้ำลายสอ กลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ทั้งจูเหมี่ยวเหมี่ยวและอิ่นสวินเห็นเช่นนั้นก็ต่างพากันอดใจไม่อยู่

ลู่ชิงจิ่วเตรียมเครื่องปรุงเสร็จ เห็นว่าเนื้อที่ต้มไปนั้นใกล้จะสุกได้ที่แล้ว จึงบอกให้ทุกคนเตรียมตะเกียบไว้ให้พร้อม

เมื่อเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ต่างไม่เกรงใจ คว้าตะเกียบไปคีบเนื้อส่วนที่อวบอ้วนที่สุดขึ้นมา ลู่ชิงจิ่วชิมเนื้อของนกหลิงเยา พบว่ารสชาติไม่เลวเลยทีเดียว คล้ายๆ กับเนื้อไก่แต่กลับละมุนกว่ามาก การที่เขาได้ลิ้มรสอาหารที่ไขมันมากแต่ไม่เลี่ยน กระดูกไม่เยอะมาก ทั้งยังถูกนำมาต้มในน้ำซุปเดือดๆ เช่นนี้มันช่างนุ่มละมุนปากเสียจริง ทั้งหอมและเผ็ดอยู่ในทีเดียวกัน

“อร่อยมาก เนื้อนี่รสชาติสุดยอด รีบๆ มาชิมกันเร็ว” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยปากชม

ทุกคนได้ลิ้มรสและต่างพากันเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย ลู่ชิงจิ่วหยิบชามออกมาใบหนึ่ง เตรียมแบ่งเนื้อบางส่วนไปให้ซูซี เสี่ยวเฮย และเสี่ยวฮวา แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะเอาไปฝากสนมเทพสายฝนด้วย

เมื่อเนื้อทั้งหม้อถูกจัดการจนหมดในพริบตา ลู่ชิงจิ่วก็เตรียมหม้อที่สองต่อทันที โดยไม่ลืมที่จะใส่ผักลงไปในหม้อด้วย มีทั้งเห็ดเข็มทอง ผักโหยวม่าย* ฟักทอง รวมทั้งวุ้นเส้นด้วย จูเหมี่ยวเหมี่ยวกับอิ่นสวินเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ส่วนไป๋เยวี่ยหูที่แม้จะดูสุขุมนิ่งๆ แต่แท้จริงแล้วเขาเองก็เตรียมซุ่มเข้าไปกินไม่ต่างกัน แม้แต่ตะเกียบในมือยังสั่นอยู่เรื่อยๆ

“เสร็จหรือยังเนี่ย” อิ่นสวินอดใจรอไม่ไหว หันหน้าไปถามลู่ชิงจิ่ว

“เอ่อ แป๊บนะ ขอดูก่อน” ลู่ชิงจิ่วคีบเนื้อขึ้นมาแล้วชิมไปคำหนึ่ง จากนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วตอบว่า “โอเค ได้ที่แล้ว กินได้เลย”

ทันทีที่สิ้นเสียงของลู่ชิงจิ่ว ทั้งสามคนที่เหลือต่างกระโจนเข้าไปคีบเนื้อในหม้อออกมาราวกับฉากสงคราม มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้ครอบครองเนื้อมากที่สุด

ลู่ชิงจิ่วเห็นสภาพของทั้งสามคนที่ตะเกียบในมือบินว่อนฉวัดเฉวียน ทีแรกไป๋เยวี่ยหูพยายามเก็บอาการอยากนั้นไว้ แต่ตอนหลังเก็บไม่อยู่ เขากินแม้กระทั่งกระดูกโดยไม่คาย จูเหมี่ยวเหมี่ยวเห็นว่าไป๋เยวี่ยหูขี้โกง เธอเลยถึงกับส่งเสียงออกมาว่า “โอ้โห ไป๋เยวี่ยหู นายกินแม้กระทั่งกระดูกเชียวเหรอเนี่ย เกินไปๆ”

“ถ้าเธอทำได้แบบนี้ก็ทำสิ” ไป๋เยวี่ยหูรีบตอบอย่างไร้เยื่อใย

จูเหมี่ยวเหมี่ยวไม่พูดอะไรต่อ แต่หลังจากที่เห็นไป๋เยวี่ยหูขี้โกง เธอก็เหลือบไปเห็นความผิดปกติบางอย่างของอิ่นสวิน เนื้อที่ออกจะร้อนขนาดนี้อิ่นสวินกลับคีบออกมาแล้วรีบยัดเข้าปากเลย เป่าให้เย็นสักหน่อยก็ไม่ทำ เหมือนไม่กลัวลวกปากเลยแม้แต่น้อย

“อิ่นสวิน นายไม่กลัวมันลวกปากหรือไงฮะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวถามอย่างตกใจ

“ไม่ ฉันไม่กลัวหรอกน่า” อิ่นสวิน

“…” จูเหมี่ยวเหมี่ยว เธอถอดใจแล้ว

คนหนึ่งไม่คายกระดูก อีกคนไม่กลัวลวกปาก เผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงคนเดียวอย่างเธอคงต้องขอยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มวิ่ง

ลู่ชิงจิ่วที่ค่อยๆ บรรจงกินผักอย่างไม่กลัวใครมาแย่งเห็นจูเหมี่ยวเหมี่ยวน้ำตาตกจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเพื่อปลอบใจและบอกกับเธอให้เก็บท้องไว้ เดี๋ยวบ่ายนี้จะทำขนมหวานให้กิน จูเหมี่ยวเหมี่ยวถึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา

 

* ผักโหยวม่าย เป็นผักใบเขียวที่คนจีนนิยมนำมาใส่ในหม้อไฟ

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 .. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com