everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 91-92 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 91 หิมะในเดือนหก
แต่ก่อนยังมีลู่ชิงจิ่วเป็นเพื่อน ทว่าตอนนี้จูเหมี่ยวเหมี่ยวคือมนุษย์เพียงคนเดียวในบ้าน ดังนั้นแล้วในสมรภูมิเมื่อครู่เธอจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยเหตุผลในตัวมันเอง จากสายตาที่ได้แต่เฝ้าจับจ้องทั้งสองคนที่ร่อนตะเกียบคีบเนื้อกันไปมา จูเหมี่ยวเหมี่ยวที่ในชามมีแต่ผักใบเขียวก็ทำใจไม่ได้จนต้องหลั่งน้ำตาออกมา
ลู่ชิงจิ่วลุกขึ้นยืนเมื่อกินเสร็จ เขาออกไปที่ลานบ้านเพื่อเติมน้ำตรงเล้าไก่และเปลี่ยนหญ้าให้กับพวกกระต่าย อากาศเริ่มร้อนแล้ว อาหารจำพวกเนื้อก็เน่าเสียง่ายกว่าปกติ อาหารไก่ถ้าจัดการไม่หมดก็ต้องรีบนำไปทิ้ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน
หลังจัดการธุระเหล่านี้เสร็จ ลู่ชิงจิ่วจึงปลีกตัวไปนอนกลางวัน เมื่อเขาตื่นขึ้นก็เตรียมไปทำของหวานที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวชอบให้ตามที่ได้สัญญาไว้
ชีสที่เขาซื้อเตรียมมาไว้ก่อนหน้าคราวนี้คงได้หยิบมาใช้แล้ว ลู่ชิงจิ่วคิดว่าจะทำชีสทาร์ตและค่อยไปทอดอกไก่เพื่อทำเป็นสเต๊กไก่อบชีสให้จูเหมี่ยวเหมี่ยวกิน ทว่าวิธีการทำอาหารจำพวกนี้ค่อนข้างซับซ้อน ลู่ชิงจิ่วเองก็ยังไม่เคยทำมาก่อน จึงไม่แน่ใจว่าจะทำออกมาแล้วกินได้มั้ย
โชคยังดีที่ลู่ชิงจิ่วทำขนมหวานบ่อย เขาจึงเชี่ยวชาญการใช้ไฟและการทำไส้ขนมชนิดที่ว่าแม่นยำในสัดส่วนมาก ดังนั้นชีสทาร์ตที่ออกมาจากเตาจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นของนมอย่างเข้มข้น และเมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่ง ชีสที่อมความร้อนอยู่ก็ไหลทะลักตามขอบที่กัดลงไป ขอบชีสทาร์ตกรอบนอกนุ่มใน ข้างในของมันอัดแน่นไปด้วยไส้ลาวาแบบเข้มข้น กลิ่นหอมของรสนมโดดเด่นเตะจมูก ทั้งยังมีเอกลักษณ์ของความหอมมันที่เฉพาะตัว เพื่อจะลดความเลี่ยนของขนม สเต๊กไก่จึงเลือกทำเป็นหมาล่าห้ารส โดยที่ด้านนอกห่อด้วยเกล็ดขนมปังบางๆ และนำลงไปทอดทั้งชิ้นใหญ่ๆ ด้วยไฟอ่อนๆ เมื่อทอดน้ำมันที่หนึ่งเสร็จไปแล้วจึงนำลงไปทอดอีกครั้งกับน้ำมันที่สอง แบบนี้จึงจะสามารถสะเด็ดน้ำมันที่ตัวไก่ออกไปและลดความเลี่ยนของอาหารได้ จากนั้นก็นำออกมาหั่นเป็นชิ้นยาวๆ ปลายมีดที่แหลมคมหั่นลงที่ตัวเกล็ดขนมปัง น้ำเน้นๆ ในตัวไก่ทะลักออกมาภายนอกและยังเห็นเนื้อไก่นุ่มๆ คลุกเคล้าไปด้วยควันร้อนๆ อีกด้วย
สายตาทั้งสามคู่เฝ้ารอด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า ไม่อาจทำใจให้ละสายตาไปจากห้องครัวได้เลย ลู่ชิงจิ่วให้พวกเขาทั้งสามคนไปรอที่ลานบ้าน จากนั้นก็ทำน้ำบ๊วยสดใส่น้ำแข็ง ซึ่งบ๊วยนี้เขาเริ่มหมักไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว รสชาติหวานอมเปรี้ยว เมื่อเติมน้ำแข็งแล้วก็ยิ่งเย็นชื่นใจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาบ่ายที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้ด้วยแล้ว มันคือของดับกระหายชั้นเลิศเลยทีเดียว ลู่ชิงจิ่วกะว่าปีนี้ลูกบ๊วยสุกเมื่อไหร่จะนำมาหมักเตรียมไว้เพื่อที่จะได้พอกินกันทั้งบ้าน
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถกินของเย็นได้ ดังนั้นจึงเตรียมนมอุ่นๆ ไว้ให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ตั้งแต่ที่จูเหมี่ยวเหมี่ยวมาที่นี่และรู้ว่าวัวสามารถให้นมได้หลากหลายรสสารพัดแบบ เธอจึงเริ่มให้อาหารแปลกๆ กับมัน อย่างเช่นนมที่ลู่ชิงจิ่วกำลังดื่มอยู่คือนมรสไข่ไก่ รสชาติถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ทั้งสามคนที่รออยู่ในลานบ้านเตรียมออกศึกแย่งชิงอาหาร แต่ตอนนี้ยังคงได้แต่อดทนด้วยฟางเส้นสุดท้าย ลู่ชิงจิ่วนั่งลงและเห็นสีหน้าของพวกเขาทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “เรียบร้อยแล้ว มากินได้แล้ว”
ทันทีที่พูดจบ เงาดำของทั้งสามคนก็กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว อาหารหายไปถึงครึ่งหนึ่งในพริบตาเดียว จูเหมี่ยวเหมี่ยวมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ครั้งนี้เธอจึงยื่นมือทั้งสองออกไปคว้า ไม่ยอมเสียเปรียบแบบก่อนหน้า
ลู่ชิงจิ่วนั่งดื่มนมเงียบๆ เฝ้ามองพวกเขาทั้งสามแย่งกันสวาปามอาหาร
ช่วงจิบชาในยามบ่ายคือช่วงเวลาอันแสนสบายใจ ทว่ากลับมาเจอสามคนนี้ที่เปิดสมรภูมิแย่งชิงอาหารกันอย่างดุเดือด ท้ายที่สุดแล้วผู้ชนะในศึกนี้ก็คือไป๋เยวี่ยหูผู้ซึ่งไม่กลัวทั้งอะไรลวกปากและกินได้แม้กระทั่งกระดูก ส่วนอิ่นสวินและจูเหมี่ยวเหมี่ยวยังคงได้แต่เก็บความชอกช้ำเอาไว้ตามเคย
วันหยุดพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสามวัน แม้ว่าจูเหมี่ยวเหมี่ยวจะยังอาลัยอาวรณ์แต่สุดท้ายเธอก็ต้องกลับเข้าเมืองไปทำงานต่อตามเคย แน่นอนว่าตอนกลับเธอไม่ลืมที่จะหิ้วน้ำผึ้งและน้ำยาปลูกผมที่เธอชอบติดมือไป รวมไปถึงผลไม้ที่ไป๋เยวี่ยหูปลูกเอาไว้ด้วย
“เดี๋ยวครั้งหน้าจะกลับมาหาใหม่นะ” จูเหมี่ยวเหมี่ยวกล่าวลาลู่ชิงจิ่วก่อนจะขึ้นรถไฟไป
“อื้ม ครั้งหน้ามาใหม่นะ” ลู่ชิงจิ่วโบกมือลาและเฝ้ามองจูเหมี่ยวเหมี่ยวจนสุดสายตา จากนั้นค่อยหันหลังกลับ
ลู่ชิงจิ่วขับรถกระบะคันเล็กของเขาเพื่อที่จะกลับหมู่บ้าน ระหว่างทางเห็นเงาของบุคคลหนึ่งซึ่งคุ้นตา ตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะจำคนผิดไป จนกระทั่งคนคนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้า เขาจึงมั่นใจได้ว่าจำคนไม่ผิดอย่างแน่นอน
“พระคุณเจ้า ท่านอยู่แถวนี้เหรอครับ” ลู่ชิงจิ่วลงจากรถมาทักทาย
ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งห่มจีวรพร้อมสวมหมวกฟาง ในมือถือไม้ตะพดอยู่นั้นเมื่อได้ยินเสียงของลู่ชิงจิ่วก็ค่อยๆ หันหน้ามาและแสดงการทักทาย แม้ว่าใบหน้าจะถูกปกปิดไว้ด้วยหมวกฟาง แต่ด้วยการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ ลู่ชิงจิ่วจึงจำได้ทันทีว่าภิกษุรูปนี้ต้องเป็นเสวียนอวี้ ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนบ้านของเขาในหน้าหนาวปีที่แล้วอย่างแน่นอน
เสวียนอวี้รู้จักกับคุณยายของลู่ชิงจิ่วมาก่อน อีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่บอกลู่ชิงจิ่วเป็นนัยๆ ถึงวิธีการใช้กล่องไม้สีดำใบนั้นอีก
“ไม่เจอกันนานเลยนะโยม” เสวียนอวี้เอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาถือว่าค่อนข้างหล่อเหลาทีเดียว ไม่ต่างกับใบหน้าของไป๋เยวี่ยหูที่มีออร่าของความหล่อแบบจู่โจม ตัวของเสวียนอวี้ราวกับหยกชนิดหนึ่งซึ่งมีเสน่ห์ของทั้งความอ่อนโยนและจิตใจที่กว้างขวาง โดยรวมแล้วนิสัยใจคอคล้ายคลึงกับลู่ชิงจิ่วอยู่มาก
“ไม่เจอกันนาน พระคุณเจ้ามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ” ลู่ชิงจิ่วถาม
“อาตมาแค่จะมาเตือนโยมหน่อยว่าช่วงหลายวันต่อจากนี้อย่าออกนอกบ้านโดยเด็ดขาดนะ” เสวียนอวี้ตอบ
“ห้ามออกนอกบ้าน?” ลู่ชิงจิ่วพูด
เสวียนอวี้ “หมู่บ้านสุ่ยฝู่ใกล้จะมีหิมะตก”
“หิมะตก? ตอนนี้เพิ่งจะเดือนหก จะมีหิมะตกได้อย่างไรครับ” ลู่ชิงจิ่วสงสัย
เสวียนอวี้ไม่พูดอะไร เพียงแต่ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยเมตตาคู่นั้นเพ่งมองไปยังลู่ชิงจิ่ว เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกเพ่งมองจนทะลุเข้ามาถึงวิญญาณของตนเอง
ลู่ชิงจิ่ว “พระคุณเจ้ามีเรื่องอะไรจะเตือนหรือเปล่าครับ”
“โยมเคยไปที่ศาลเจ้าของเทพภูเขาแล้วหรือยัง” เสวียนอวี้ถาม
“เคยไปมาแล้วครับ” ลู่ชิงจิ่วตอบ
“แล้วได้พบเห็นอะไรบ้างมั้ย” เสวียนอวี้ถามต่อ
“พบเห็นอะไรงั้นหรือครับ หรือว่าท่านจะหมายถึงป้ายวิญญาณของคุณแม่ผม”
“ดูเหมือนว่าโยมจะเข้าใจเรื่องราวแล้วสินะ” ภิกษุเสวียนอวี้กล่าว
“ก็คิดว่าน่าจะพอรู้มาบ้างครับ” ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าตอบ
ทว่าคำพูดของเสวียนอวี้กลับทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ครั้งหนึ่งในตอนที่เสวียนอวี้ทำให้อิ่นสวินกลายเป็นหุ่นไล่กา ถ้าไม่ใช่ว่าไป๋เยวี่ยหูรีบกลับมาช่วยล่ะก็ เกรงว่าข้าวของทั้งหลายที่ศาลสะกดไว้คงได้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกแน่ เสวียนอวี้ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ศาลนั่น หากเป็นเช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องทำให้อิ่นสวินเป็นหุ่นไล่กาด้วยล่ะ หรือว่าที่เขาทำเพราะมีเจตนาอย่างอื่น
ยังไม่ทันที่ลู่ชิงจิ่วจะคิดออก เสวียนอวี้ก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง สายตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตามองดูที่ตัวของเขาอย่างเสียดายบางอย่างในโชคชะตา
“แล้วทำไมโยมไม่เดินทางออกจากหมู่บ้านไปเล่า” ภิกษุเสวียนอวี้เอ่ยถาม
“ทำไมต้องออกจากที่นั่นด้วยครับ” ลู่ชิงจิ่วทำหน้าสงสัย
“แม่ของโยมเสียชีวิตเพราะเรื่องที่หมู่บ้าน ส่วนคุณยายก็ต้องถูกกักอยู่ที่นั่นชั่วชีวิต ตอนนี้โยมยังมีโอกาสที่จะออกจากหมู่บ้านนั้น ทำไมถึงยังลังเลอยู่” เสวียนอวี้ตอบ
“ลังเลงั้นหรือครับ ผมไม่ได้ลังเลเลย ผมไม่คิดที่จะออกมาจากหมู่บ้านนั้นแน่ๆ” ลู่ชิงจิ่วยิ้มพร้อมตอบอย่างไม่ลังเลใจ
เสวียนอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับยิ้มไม่ออก นัยน์ตาสีดำเหมือนหยกคู่นั้นจดจ้องที่ลู่ชิงจิ่วอย่างไม่คลาดสายตา ปกติแล้วนัยน์ตาของคนทั่วไปจะมีลายเส้นประสาทอยู่ข้างใน แต่สำหรับภิกษุรูปนี้ นัยน์ตาเขาราวกับทะเลสาบสีดำที่ดิ่งลึก
“ทำไมถึงไม่ออกไปล่ะโยม” เสวียนอวี้ถาม
“นั่นเป็นเพราะผมชอบหมู่บ้านแห่งนี้” ลู่ชิงจิ่วตอบ
“เพราะโยมชอบหมู่บ้านนี้หรือชอบคนที่หมู่บ้านมากกว่าล่ะ?” เสวียนอวี้ถาม
“ไม่ทราบว่าท่านหมายความว่าอะไรหรือครับ ท่านมีอะไรจะเตือนหรือเปล่า” ลู่ชิงจิ่วเริ่มขมวดคิ้วทำหน้าตึงเครียด
เสวียนอวี้ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง
“ช่างมันเถิดๆ” เสวียนอวี้กล่าว
ลู่ชิงจิ่วสัมผัสได้ว่าเสวียนอวี้ยังมีอะไรอยากจะบอกกับเขาอีก แต่ไม่เป็นไปตามคาด อีกฝ่ายหยิบหมวกฟางใบนั้นขึ้นมาสวมใหม่ ก่อนกลับหลังหันแล้วค่อยๆ เดินออกไปทางภูเขา เสียงที่แผ่วเบาเสมือนกับไอหมอกในหุบเขาบอกเตือนลู่ชิงจิ่วอีกครั้งว่า “เดือนหกนี้จะมีหิมะตก โยมระวังตัวไว้หน่อยนะ”
ลู่ชิงจิ่วตั้งใจที่จะเรียกเสวียนอวี้ให้หยุดรอชั่วครู่ ทว่าแค่ชั่วพริบตาเดียว ภิกษุรูปนั้นก็เลือนหายไปแล้ว
ที่นี่มีเพียงถนนเส้นเดียวที่ใช้สัญจรได้ ลู่ชิงจิ่วขับรถตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวจนถึงบ้านของตัวเอง ตลอดทางไม่เห็นแม้แต่เงาของเสวียนอวี้อีกเลย
เมื่อกลับถึงบ้าน ลู่ชิงจิ่วรีบเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ไป๋เยวี่ยหูฟังทันที
ใครจะไปคาดคิดว่าไป๋เยวี่ยหูที่ได้ฟังเรื่องราวจะถึงกับหน้าเปลี่ยนสีในทันใด และกำชับกับลู่ชิงจิ่วว่าพรุ่งนี้ให้รีบเข้าเมืองไปซื้อฟืนมาเก็บไว้ และภายในเจ็ดวันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามออกจากบริเวณบ้านเป็นอันขาด ส่วนอิ่นสวินก็ให้เขาอยู่ในบ้านตัวเองคอยเฝ้าพวกป้ายวิญญาณที่ถูกสะกดเอาไว้
ลู่ชิงจิ่วถามอย่างลนลานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไป๋เยวี่ยหูส่ายหน้าบอกให้รอเรื่องจบก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เมื่อพูดจบเขาก็กลายร่างเป็นกลุ่มหมอกสีดำหายวับไปต่อหน้าต่อตาลู่ชิงจิ่ว ลางสังหรณ์ของลู่ชิงจิ่วบอกว่าเหตุการณ์นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เขาจึงรีบเอาเรื่องนี้ไปบอกกับอิ่นสวิน และหลังจากนั้นก็รีบพาอิ่นสวินเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อฟืนตามที่ไป๋เยวี่ยหูสั่ง รวมถึงของใช้จำเป็นในฤดูหนาวด้วย
เจ้าของร้านฟืนเห็นลู่ชิงจิ่วซื้อของพวกนี้ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย ถึงกับต้องเอ่ยถามว่าจะเข้าฤดูหนาวเร็วๆ นี้แล้วเหรอ
ลู่ชิงจิ่วยิ้มรับและตอบไปแบบส่งๆ
เมื่อซื้อเสื้อ ฟืน และอาหารเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านลู่ชิงจิ่วเห็นท้องฟ้ายังสดใสและยังมีก้อนเมฆลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ทั้งยังได้ยินเสียงอื้ออึงของเหล่าแมลง วันนี้มันช่างต่างกับคืนวันก่อนๆ
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” อิ่นสวินทำหน้างง
ลู่ชิงจิ่วเก็บข้าวของต่างๆ พร้อมเล่าเรื่องเมื่อตอนบ่ายให้อิ่นสวินฟังไปด้วย เล่าจนถึงตอนที่ไป๋เยวี่ยหูรีบลนลานหายตัวออกไป อิ่นสวินก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จนเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เสวียนอวี้คือคนที่ทำให้ฉันเป็นหุ่นไล่กาน่ะเหรอ แล้วทำไมถึงมาบอกว่าจะมีหิมะตกนะ นี่มันเพิ่งจะเดือนหกเองนี่ จะมีหิมะได้ยังไง”
ลู่ชิงจิ่วได้แต่ส่ายหน้าเพื่อที่จะบอกว่าตัวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ว่าท่าทางของไป๋เยวี่ยหูที่ดูลนลานขนาดนั้นคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน ลู่ชิงจิ่วเอาของที่ซื้อมาบางส่วนส่งให้อิ่นสวินเอากลับบ้านไป เผื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็ยังมีอะไรให้กิน
อิ่นสวินไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าก็ยอมเชื่อฟังลู่ชิงจิ่วแต่โดยดี
ค่ำคืนนี้ลู่ชิงจิ่วมีเรื่องไม่สบายใจ เขานอนพลิกตัวไปมาก็ยังไม่หลับ ในหัวของเขาคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา จวบจนใกล้เวลาที่ฟ้าจะสว่างถึงได้หลับลงครู่หนึ่ง แต่หลับไปได้ไม่นานเขาก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงแปลกๆ จากนอกหน้าต่าง
ซ่าๆๆ…ซ่าๆๆ เสียงแบบนี้จริงอยู่ที่ไม่ได้แปลกอะไร แต่มันไม่ควรจะมาเกิดขึ้นเวลานี้ ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ ตื่นขึ้นจากความฝัน เขาลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดหน้าต่าง แล้วภาพที่ได้เห็นก็ทำให้ตกใจอย่างน่าเหลือเชื่อ
ยังไม่ทันข้ามไปอีกคืน ลานบ้านที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์เขียวขจีตอนนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โลกทั้งใบขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาจนสะท้อนกับแสงอาทิตย์และทำให้เจ็บตา
ลู่ชิงจิ่วอึ้งอยู่พักหนึ่งจึงค่อยได้สติว่านี่มันไม่ใช่ความฝัน คำเตือนของเสวียนอวี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ หิมะจะตกในเดือนหก ตอนนี้ฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว
ลู่ชิงจิ่วรีบดูที่มือถือของตัวเองและก็เป็นไปตามคาดที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เขาพ่นไอเย็นออกมา ก่อนจะรีบไปสวมเสื้อผ้าหนาๆ จากนั้นก็เตรียมก่อฟืนและอุ้มหมูทั้งสองตัวพร้อมจิ้งจอกตัวน้อยที่กำลังหนาวสั่นจากความหนาวเย็นเข้ามาในห้องรับแขก ส่วนเขาก็เข้าไปหลบหนาวในห้องนอน
ที่บริเวณลานบ้านยังมีพวกกระต่ายและไก่อีกจำนวนหนึ่งที่กำลังหนาวไม่แพ้กัน ลู่ชิงจิ่วทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้พวกมันแข็งตาย เขาจึงใช้ห้องเก็บของในบ้าน ก่อฟืนขึ้นมาแล้วต้อนพวกมันเข้าไปหลบข้างใน จากนั้นก็ปิดหน้าต่างและปูพรมหนาๆ แม้ลู่ชิงจิ่วจะไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยให้พวกมันอุ่นขึ้นมั้ยก็ตาม
เพียงแค่ชั่วข้ามคืนจากอากาศที่อยู่ราวๆ สามสิบองศากลับดิ่งลงไปถึงขั้นติดลบ ตามหลักการแล้วพวกพืชพันธุ์ทั้งหลายจะต้องเฉาตายกันหมด ทว่าที่น่าแปลกคือผักในลานบ้านของเขานั้นยังมีสภาพสมบูรณ์ปกติ แค่เพียงโดนหิมะปกคลุมเอาไว้ นอกนั้นก็ไม่มีร่องรอยเหี่ยวเฉาใดๆ เกิดขึ้นเลย
ลู่ชิงจิ่วซุกตัวเองในผ้าห่ม เขาขดตัวเป็นก้อนกลมๆ คล้ายลูกบอล และเดินหนาวสั่นไปที่หลุมก่อไฟ จากนั้นจึงจุดไฟขึ้นที่นั่นอีกจุด แล้วค่อยๆ กินหมั่นโถวปิ้งเป็นอาหารเช้าของวันนี้
“หนาวจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ หิมะถึงตกได้นะ” จมูกของลู่ชิงจิ่วโดนความหนาวจนแดงก่ำ เขาโอบกอดเจ้าหมูตัวหนึ่งโดยไม่ยอมปล่อยมือ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนฤดูหนาวอิ่นสวินถึงชอบกอดเจ้าเสี่ยวฮวานัก ที่แท้มันก็ช่วยให้อุ่นมือได้ดีเลยทีเดียว เพราะว่าอุณหภูมิของลูกหมูปกติแล้วจะสูงกว่าคนทั่วไป อีกทั้งผิวหนังของมันยังทั้งนุ่มและลื่นในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเวลากอดจึงรู้สึกสบายตัว
เสี่ยวฮวาส่งเสียงร้องและตะกายขึ้นไปที่หน้าอกของลู่ชิงจิ่วเพื่อกินหมั่นโถวปิ้งนั่น
“นายมาที่โลกมนุษย์นี่นานหรือยังนะ” ลู่ชิงจิ่วถาม
“ฉันเพิ่งมาก็โดนนายจับมาเลย” เสี่ยวฮวา
“หืม? จับเหรอ” ลู่ชิงจิ่ว
“ก็คือซื้อมานั่นแหละ” เสี่ยวฮวาหันไปมองน้องสาวที่กำลังก้นโด่งพร้อมส่งเสียงฮึมฮัม “อ้อ ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ พวกมังกรแข็งแรงอยู่แล้ว ไป๋เยวี่ยหูไม่เป็นไรหรอก”
ลู่ชิงจิ่วมองไปที่ฝ้าเพดานแล้วพูดว่า “งั้นเดี๋ยวรอให้หิมะหยุดตกก่อนนะ ฉันจะไปทำความสะอาดเพดานหน่อย” เลอะดำจนมองไม่เห็นปูนขาวเลย
หิมะที่ด้านนอกตกหนักมากจนได้ยินเสียงของมันที่ตกกระทบลงบนพื้น ความหนาของหิมะในตอนเช้ายังสูงแค่ประมาณถึงส้นเท้า แต่เพียงช่วงเวลาของครึ่งเช้าผ่านไป หิมะกลับทับถมกันจนหนาถึงต้นขา และที่สำคัญยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเร็วๆ นี้ ท้องฟ้าที่ดำมืดสนิทมองไม่เห็นแม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆ สภาพราวกับว่าฟ้าจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
ถ้าหิมะยังคงตกไม่หยุดแบบนี้ หลังคาบ้านคงจะต้องรับแรงแบกไม่น้อยเลยทีเดียว บ้านที่หลังคาทำจากไม้เก่าๆ แบบนี้ กับหิมะที่อยู่ดีๆ ก็ตกลงมาแบบไม่หยุดไม่หย่อนมีความเป็นไปได้ว่าจะแบกรับไม่ไหวและถล่มลงมาในที่สุด ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินเสียงไม้เสียดสีกันขึ้นมาเป็นระลอกๆ รู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ลู่ชิงจิ่วคิดว่าถ้าหิมะยังตกมาไม่หยุดแบบนี้แล้วล่ะก็ เขาจะหาบันไดปีนขึ้นไปบนหลังคาและกวาดหิมะลงมา ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยไว้ต้องถล่มแน่ๆ เวลานี้ลู่ชิงจิ่วมีเรื่องกังวลใจอยู่ไม่น้อย ไม่เพียงแค่เรื่องของไป๋เยวี่ยหู แต่ไหนจะเรื่องของอิ่นสวินอีก นับว่ายังดีที่เมื่อคืนให้เสื้อผ้า ฟืน และอาหารกับอิ่นสวินไปเยอะพอควร
ตามที่ไป๋เยวี่ยหูกำชับเอาไว้ ลู่ชิงจิ่วต้องอยู่แต่ในบ้าน ซุกตัวเองอยู่ข้างเตาไฟอุ่นๆ โดยที่ภายนอกบ้านของเขายังมีหิมะตกลงมาไม่หยุด ทำให้โลกทั้งใบเหลือแต่สีขาวโพลน ซึ่งไม่ว่าใครเห็นก็ล้วนแต่ต้องเกิดอารมณ์หดหู่ใจ
ราวๆ หกโมงเย็น ท้องฟ้าดำมืดสนิท ลู่ชิงจิ่วใช้เตาถ่านตุ๋นน้ำแกงไก่ครึ่งหม้อ เขายกซดดื่มไปได้ครึ่งถ้วยก็แบ่งเนื้อให้กับเหล่าสัตว์ตัวน้อยในบ้านทั้งสาม หลังจากที่ดื่มแกงเสร็จจึงค่อยรู้สึกอุ่นขึ้นมาหน่อย เขาไปก่อไฟเพิ่ม แง้มหน้าต่างออกเล็กน้อย และซุกตัวเองเข้าไปในรังผ้าห่มนุ่มๆ
“ไป๋เยวี่ยหูจะเป็นยังไงบ้างนะ จะหนาวมั้ย แล้วได้กินอะไรบ้างหรือยัง ถ้าเกิดว่าระหว่างทางไปเจอพวกปีศาจขึ้นมาจะได้รับบาดเจ็บมั้ยนะ” ไออุ่นค่อยๆ ดึงสติของลู่ชิงจิ่วไป แล้วเขาก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด
วันที่สองหิมะก็ยังคงตกไม่หยุด และดูท่าแล้วคงจะตกตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
ลู่ชิงจิ่วเดินไปผลักประตูเพื่อจะออกมาจากตัวบ้าน แล้วเขาก็พบว่าหิมะตอนนี้หนาถึงหน้าแข้งของเขาแล้ว และนั่นทำให้การเปิดประตูกลายเป็นเรื่องยากมากในเวลานี้
เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกขังอยู่ในบ้าน ลู่ชิงจิ่วจึงได้นำไม้กวาดมาปัดหิมะที่ขวางหน้าประตูออก ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้หิมะกองไปถึงตอนบ่ายคงแย่แน่ๆ
แม้ว่าการที่เขาทำเช่นนี้จะค่อนข้างอันตราย แต่ลู่ชิงจิ่วก็ยังดันทุรังไปเอาบันไดแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อที่จะปัดหิมะลงมา
ในขณะที่เขากำลังเก็บกวาดหลังคาอยู่ ลู่ชิงจิ่วสังเกตเห็นปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้าที่ทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดี กลุ่มเมฆหนาซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนเป็นลายทาง ในลายทางของเมฆที่เรียงซ้อนกันมีแสงเล็ดลอดออกมาจากรอยรั่ว ราวกับว่าท้องฟ้าแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ภาพที่เห็นทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกถึงเหตุการณ์ในความฝันนั้นที่มีผีเสื้อน้ำแข็งและเงาคนปริศนายืนอยู่ท่ามกลางฝูงผีเสื้อ
ลู่ชิงจิ่วเงยหน้ามองอยู่นานจนกระทั่งหิมะค่อยๆ ทับถมที่ไหล่ของเขาเป็นชั้นๆ แต่โชคยังดีที่รอยรั่วบนก้อนเมฆนั้นไม่ได้ขยายช่องโหว่ให้กว้างขึ้น ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกและก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดหลังคาต่อไป
หลังจากที่เก็บกวาดเสร็จ ลู่ชิงจิ่วรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหวจึงรีบปรี่เข้าไปหลบในบ้าน และนำน้ำขิงอุ่นๆ ที่เตรียมไว้ก่อนหน้ามาซดดื่ม ความร้อนของน้ำขิงไหลลงสู่ร่างกายของเขา ผ่านทางเดินอาหารทำให้กระเพาะที่โดนความเย็นอุ่นขึ้นมา อุณหภูมิความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเหมือนได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
“ข้างนอกมันหนาวมากจริงๆ” ลู่ชิงจิ่วนวดที่บริเวณจมูกและพูดอยู่คนเดียว
“ใช่น่ะสิ เมื่อไหร่หิมะจะหยุดนะ” เสี่ยวฮวาพูดแทรกขึ้นหลังจากที่ถูกลู่ชิงจิ่วอุ้มมากอดเพื่อเพิ่มความอุ่นให้กับมือของตัวเอง
“ดูท่าแล้วน่าจะอีกหลายวันเลยนะ” ลู่ชิงจิ่วตอบ
ถ้าตามที่เสวียนอวี้ได้กล่าวไว้ หิมะน่าจะตกยาวไปเจ็ดถึงแปดวัน ฤดูหนาวนี่มันช่างทรมานเสียจริง โดยเฉพาะเวลาที่ไป๋เยวี่ยหูไม่อยู่เป็นเพื่อนด้วย
ลู่ชิงจิ่วจามออกมาทีหนึ่ง
“นายไม่เป็นไรใช่มั้ย” เสี่ยวฮวาถาม
“ไม่เป็นไรๆ สงสัยเป็นเพราะออกไปข้างนอกมาเมื่อกี้” ลู่ชิงจิ่วถูมือตัวเองจนพอรู้สึกว่าอุ่นขึ้นมาแล้ว จึงค่อยคิดจะไปเทเหล้าออกมาดื่มเพื่อไล่ความหนาวในตัว
“งั้นนายก็ต้องระวังตัวหน่อยนะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดขึ้นมา” เสี่ยวฮวาพูดไปพร้อมกับเอาจมูกนิ่มๆ ของตัวเองซบที่ตัวของลู่ชิงจิ่ว
ลู่ชิงจิ่วเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งเสี่ยวฮวาและซูซีอยู่ที่นี่มานานแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงชอบเลียนแบบพฤติกรรมกันเอง เสี่ยวฮวาก็คือลูกหมูตัวหนึ่ง มันเลียนแบบพฤติกรรมการซบหน้าของจิ้งจอกมา ส่วนซูซีก็เลียนแบบการขุดดินจากเสี่ยวฮวา ซึ่งก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ลู่ชิงจิ่วลูบๆ หัวของเสี่ยวฮวา จากนั้นจึงเข้าไปหยิบเหล้าขาวที่ห้องเก็บของออกมา โชคไม่ดีที่เหล้าขาวดันเย็นจนเป็นน้ำแข็งไปแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนที่โชคดีอยู่ตรงที่ขวดเหล้าไม่ได้เย็นเกินไปจนแตกออกมา ไม่อย่างนั้นแล้วคงจะดื่มไม่ได้อย่างแน่นอน ลู่ชิงจิ่วนำเหล้าขาวมาต้มให้อุ่น จากนั้นจึงกระดกลงไปหลายแก้ว ใบหน้าของเขาแดงขึ้น ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
เมื่อวานที่หิมะตกทำให้ไฟฟ้าในบ้านดับลง ลู่ชิงจิ่วกลัวว่ามือถือตัวเองจะแบตฯ หมด เขาจึงรีบเปลี่ยนไปใช้โหมดประหยัดพลังงานและไม่กล้าหยิบมาเล่นเกมอีกเลย การอยู่บ้านคนเดียวทำให้เขารู้สึกเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ดังนั้นจึงเข้าไปที่ห้องนอนตัวเองแล้วหยิบหนังสือออกมาสักเล่ม เขาจุดเทียนขึ้นแล้วค่อยๆ อ่านไปอย่างช้าๆ
ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ไอเย็นที่พ่นออกมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าหอมๆ ทำให้ลู่ชิงจิ่วรู้สึกอุ่นตัวขึ้นมา และในภาวะที่ตัวเขากำลังจะหลับใหล ก็รู้สึกเหมือนกับว่าไป๋เยวี่ยหูเดินมาอยู่ข้างตัว แล้วก้มตัวลงจูบที่หน้าผากเบาๆ
“ไป๋เยวี่ยหู…” ลู่ชิงจิ่วละเมอเรียกชื่อของไป๋เยวี่ยหู เขายื่นมือออกมาต้องการจะคว้าตัวคนที่อยู่ข้างๆ แต่กลับถูกความหนาวเล่นงานจนต้องรีบหุบมือกลับเข้าไปทันที ที่จริงแล้วข้างกายของลู่ชิงจิ่วไม่มีใครอยู่เลย และที่สำคัญไป๋เยวี่ยหูก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
ลู่ชิงจิ่วตื่นขึ้นมาและมองไปที่นาฬิกาก่อนเห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสองโมง เวลาที่ไม่รู้จะทำอะไรแต่ละนาทีมันช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเบื่อและจำใจ เขาอยากจะนอนต่ออีกสักพักแต่ก็หลับไม่ลง สุดท้ายจึงลุกขึ้นจากเตียงมาอ่านหนังสือต่อและถือโอกาสศึกษาเมนูอาหารใหม่ๆ ไปในตัว
รอจนถึงเวลาที่หิมะหยุดตก ลู่ชิงจิ่วคิดว่าจะไปทำอาหารที่ก่อนหน้าคิดว่ายุ่งยากและเสียเวลาเพื่อเฉลิมฉลองกับทุกคน
เพราะช่วงนี้หิมะตกหนักไปหน่อย ทำให้การแบ่งเส้นระหว่างกลางวันกับกลางคืนค่อนข้างจะไม่ชัดเจนเหมือนตอนปกติ ถ้าหากไม่มีเวลาบอกบนมือถือแล้วล่ะก็ เขาเองก็คงแยกเวลาไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนกันแน่
หกโมงกว่าแล้วถึงเวลาของอาหารเย็น ลู่ชิงจิ่วคิดว่าการทำอาหารไม่ควรทำแบบสุกเอาเผากิน อีกทั้งยังไงก็ไม่มีวิธีฆ่าเวลาอย่างอื่น และหากจะให้เอาแต่กินอะไรไปเรื่อยๆ ชีวิตก็ดูจะไม่มีสาระเกินไปหน่อย ท่อน้ำในบ้านตอนนี้ถูกแช่แข็งไปแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงต้องจำใจหิ้วถังไปตักหิมะกลับมา จากนั้นก็นำมากรองให้สะอาดอยู่หลายรอบ ต้มให้ร้อนและใช้ไปทั้งสภาพอย่างนั้น
เขาหยิบแป้งและเนื้อหมูที่แช่เย็นเอาไว้ออกมาเพื่อทำเป็นแป้งสอดไส้ จากนั้นจึงวางปิ้งไว้บนเตา กลิ่นอายของอาหารคละคลุ้งไปทั่วทั้งบ้าน สัตว์ตัวน้อยทั้งสามตัวนั่งรออยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟังคำสั่ง แม้ว่าสายตาจะทอดมองไปยังแป้งสอดไส้เรียบร้อยแล้ว
ลู่ชิงจิ่วกลับแป้งมาอีกด้านแล้วโรยด้วยงาขาวที่ด้านบนก่อนปิ้งด้วยไฟอีกสักพัก ไส้ขนมค่อยๆ ส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วทั้งห้อง
“มาเร็ว เอาไปคนละหนึ่งชิ้นนะ ถ้าไม่พอค่อยทำให้ใหม่” ลู่ชิงจิ่วพูด
เหล่าสัตว์ตัวน้อยทยอยกันมารับขนมแล้วนั่งกินเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ลู่ชิงจิ่วก็กินด้วยเช่นกัน เขารู้สึกถึงน้ำซอสอุ่นๆ จากเนื้อด้านในที่สัมผัสปลายลิ้นและไหลไปทั่วทั้งปาก แป้งด้านนอกกรุบกรอบ ส่วนเนื้อสัมผัสของไส้ด้านในนั้นอ่อนนุ่มละมุนลิ้น แม้จะไม่ได้ใส่ต้นหอมสดๆ ลงไป แต่ความหอมจากงาที่โรยก็ช่วยชูรสได้ไม่น้อยหน้ากันเลย ลู่ชิงจิ่วเพลิดเพลินกับอาหารที่กิน เขากินเข้าไปทีเดียวถึงสามชิ้นด้วยกันจนถึงกับเรอออกมาเลยทีเดียว เมื่อกินเสร็จแล้ว ลู่ชิงจิ่วก็ไปที่เตาถ่านอีกครั้งแล้วโยนพวกมันเทศลงไปเผาต่อ
“เมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกสักทีนะ” คำถามที่ไม่รู้ว่าถามมาแล้วกี่ครั้งถูกถามขึ้นอีก ลู่ชิงจิ่วก้มหน้าลงพร้อมกับลูบหัวของเสี่ยวเฮย
“อีกไม่นานหรอก ใจเย็นๆ นะ”
“ใช่แล้ว ใจเย็นๆ อย่ารีบ” เสี่ยวฮวาปลอบน้องสาวของตัวเอง
“แต่ฉันกลัวนี่นา เอ๊ะ รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรกำลังจะเข้ามานะ” เสี่ยวเฮยพูดเบาๆ
“นี่คงจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกสัตว์สินะ” ลู่ชิงจิ่วเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นหิมะที่ยังคงตกไม่หยุดราวกับว่ามันจะไม่มีทางหยุดอีกต่อไป