ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 91-92 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 91-92 #นิยายวาย

2 of 2หน้าถัดไป

บทที่ 92 ฤดูหนาวที่มาถึง

 

พอตกกลางคืนโลกทั้งใบก็พลันเข้าสู่ความดำมืดสนิท เปลวไฟที่พวยพุ่งอย่างโดดเดี่ยวในบ้านส่ายไปมาราวกับว่าในอีกไม่ช้ามันจะมอดลง ด้วยอากาศที่ยังคงหนาวอย่างต่อเนื่อง ลู่ชิงจิ่วได้แต่ซุกตัวเองอยู่ในผ้าห่ม หูเขายังคงได้ยินเสียงหิมะที่ตกกระทบพื้นดังซาๆ อย่างไม่หยุดหย่อน

ลู่ชิงจิ่วนอนกลางวันไปเยอะ ตอนนี้เลยยังคงรู้สึกตื่นตัวอยู่ไม่น้อย เขานั่งอยู่บนคั่งอุ่นๆ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง อาศัยแสงสลัวในการอ่านตัวอักษรบนหน้าหนังสือ

ตอนนี้เสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยหลับไปแล้ว ทั้งสองต่างพากันส่งเสียงหายใจออกมาเป็นระยะๆ อย่างน้อยก็ทำให้บรรยากาศในบ้านดูแล้วสบายใจขึ้นมาหน่อย

ลู่ชิงจิ่วเห็นว่าเวลาใกล้จะห้าทุ่มแล้ว สายตาเริ่มรู้สึกอ่อนล้า แม้ว่าจะยังไม่อยากนอนสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องวางหนังสือลงและเตรียมตัวเข้านอน เขาเดินไปดับเทียนและหมุนตัวมาที่เตียง จากนั้นก็ไปปิดหน้าต่างให้ช่องว่างเล็กลงเพื่อที่เขาจะได้นอนสบายขึ้น ทว่าใครจะรู้ว่าการที่ลู่ชิงจิ่วมาปิดหน้าต่างและได้เห็นสภาพข้างนอกนั้นจะทำให้เขาถึงกับตกตะลึง บนท้องฟ้านอกบ้านปรากฏลายเส้นที่ปริออกคล้ายกับลำแสงอะไรสักอย่าง เมื่อเทียบกับที่เห็นตอนกลางวันแล้ว รอยปริในเวลากลางคืนทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจจนยากที่จะละสายตาได้ ที่รอยปริแตกตรงท้องฟ้ามีไอหมอกทะลักออกมาจากตรงกลาง มันลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณโดยรอบ แต่สิ่งที่ทำให้ลู่ชิงจิ่วตื่นตะลึงเป็นที่สุดคือตรงจุดรอยรั่วเหล่านั้นกลับปล่อยลำแสงออกมา ซึ่งลำแสงนั้นส่องไปยังกลางป่าเขาที่อยู่ไม่ไกล ทำให้ผืนป่าสว่างจ้าราวกับเป็นช่วงกลางวัน

บนทางที่เดินไปยังป่าเขา มีกลุ่มคนท่าทางเฉยเมยเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ จากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปยังลำแสงนั่น แต่เพราะว่าอยู่ห่างกันเกินไปทำให้ลู่ชิงจิ่วเห็นแต่ละคนไม่ชัด แต่ดูจากการแต่งตัวแล้วเป็นไปได้มากว่าคนพวกนี้ก็คือชาวบ้านในหมู่บ้านสุ่ยฝู่นั่นเอง

ลู่ชิงจิ่วมองดูคนเหล่านั้นที่ค่อยๆ เดินออกจากหมู่บ้านมุ่งหน้าไปยังลำแสง พวกเขาเหมือนกับเหล่าแมลงที่กระโจนเข้ากองไฟ แม้ว่าจะมีเสียงคำรามของพายุหิมะแต่นั่นก็ไม่สามารถขัดขวางการเดินทางของพวกเขาได้ แต่ละก้าวที่เดินไปค่อยๆ พาตัวของพวกเขาออกจากบริเวณบ้าน

“พวกเขาออกมากันได้ยังไงเนี่ย” เสียงของเสี่ยวฮวาที่ตกตะลึงแทรกมาจากทางด้านหลัง

ลู่ชิงจิ่วหันหลังกลับ เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวฮวาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกฝ่ายยืนอยู่ที่ข้างเตียง มองสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกบ้านและได้เห็นผู้คนมุ่งหน้าไปที่ลำแสงนั้น

“ไม่รู้เหมือนกัน” ลู่ชิงจิ่วส่ายหน้าตอบ

“นั่นน่ะสิ หิมะตกแบบนี้พวกชาวบ้านจะทำยังไงกันเนี่ย” เสี่ยวฮวากระโดดขึ้นมาบนโต๊ะริมหน้าต่าง สายตาของเขาดีกว่าของลู่ชิงจิ่วผู้ซึ่งมีสายตาไม่ต่างกับมนุษย์ทั่วไปมากนัก อย่างน้อยเสี่ยวฮวาก็เห็นลักษณะของผู้คนได้ชัดเจนกว่า

“พวกเขาจะไปไหนกันนะ” เสี่ยวฮวาถาม

“อาจจะเป็นไปได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเรียกพวกเขาไปที่นั่น” ลู่ชิงจิ่วตอบ

ที่จริงหน้าหนาวปีที่แล้วที่หมู่บ้านของพวกเราก็เคยเกิดเหตุการณ์แปลกๆ ทำนองนี้มาก่อน โดยที่ตลอดทั้งฤดูหนาวลู่ชิงจิ่วแทบจะไม่เคยเห็นเพื่อนบ้านที่เขามักจะเห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ เลย แม้จะเป็นไปได้ว่าช่วงฤดูหนาวทุกคนอาจจะไม่ชอบออกมาข้างนอก แต่ว่าตลอดทั้งฤดูหนาวเขากลับไม่เคยเจอใครเลย คิดแล้วก็น่าแปลก ตอนนั้นลู่ชิงจิ่วเองก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้ ทว่า ณ เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยสงสัยได้รับการยืนยันแล้ว

“เหมือนฉันจะเห็นหลี่เสี่ยวอวี๋อยู่นะ ทำไมอยู่ดีๆ เขาออกไปข้างนอกแบบนั้นล่ะ” เสี่ยวฮวาเพ่งตามองแล้วพูดออกไป

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ดูท่าแล้วตอนนี้ทั้งหมู่บ้านคงเหลือแค่ครอบครัวเราที่ยังมีชีวิตอยู่นะ”

เสี่ยวฮวาแสดงสีหน้าเศร้าโศกออกมา ลู่ชิงจิ่วที่เห็นแบบนั้นก็นึกว่าเสี่ยวฮวาเสียใจที่กำลังจะสูญเสียคู่ซี้ของตัวเองไป ทว่าใครจะรู้ว่าประโยคต่อมาที่เสี่ยวฮวาพูดกลับเป็น “ถ้างั้นทั้งฉันและแม่ของเขาก็คงเหนื่อยฟรีที่สอนวิชาเลขเขามาตั้งนาน”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เสี่ยวฮวา “เขายังบอกด้วยนะว่าคะแนนสอบเขาก้าวหน้าไปมาก ฮือๆ”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เสี่ยวฮวา “ที่แท้พวกมนุษย์ก็ชอบหลอกลวงนี่เอง ฮือๆ”

ลู่ชิงจิ่วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แค่คิดถึงภาพที่ทุกวันเสี่ยวฮวาต้องจุดเทียนสอนหลี่เสี่ยวอวี๋แล้ว เขาเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวฮวาอยู่

หลี่เสี่ยวอวี๋ก็อยู่ท่ามกลางพวกชาวบ้านเหล่านั้นและกำลังมุ่งหน้าไปที่ลำแสง พวกชาวบ้านแต่ละคนสภาพเหมือนผีดิบไร้วิญญาณที่ค่อยๆ เดินต่อๆ กันไปยังจุดหมาย และเมื่อพวกเขาไปถึงที่เสาลำแสงนั่น ร่างกายของพวกชาวบ้านก็ค่อยๆ เลือนหายไปหลอมรวมกับพายุหิมะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ลู่ชิงจิ่วเอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยวฮวาขึ้นมา ทั้งคนและหมูนั่งดูอยู่ที่ขอบเตียงเงียบๆ

“ไม่เข้าใจเลยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสี่ยวฮวาพึมพำ “ฉันก็เป็นแค่ตังคังตัวน้อยที่แม่พามาไว้ที่โลกมนุษย์เพราะบอกว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัยกว่า”

ลู่ชิงจิ่วถาม “นายมาที่นี่ยังไงน่ะ”

เสี่ยวฮวาตอบ “ก็ต้องมีวิธีของมันสิ”

ลู่ชิงจิ่วพูดต่อ “ถ้าหากว่าตอนนั้นพวกเราไม่ได้ช่วยนายไว้ล่ะก็…”

“ถ้างั้นก็ต้องรอให้ฉันโตกว่านี้หน่อยไงถึงจะกินได้ พอโตแล้วฉันก็จะมีวิธีกระโดดหนีออกมา” เสี่ยวฮวาจำใจตอบ

ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินแบบนั้นแม้จะอยากถามต่อแต่ก็เลือกที่จะไม่พูด สุดท้ายจึงไม่ได้บอกความจริงที่แสนโหดร้ายอย่างหนึ่งแก่เสี่ยวฮวา นั่นก็คือในโลกนี้ยังมีอาหารที่เรียกว่าหมูหันด้วย

ชาวบ้านเหมือนค่อยๆ ทยอยหายไปจากหมู่บ้าน จนเมื่อคนสุดท้ายกำลังจะหายวับไปนั้น ลู่ชิงจิ่วได้ยินเสียงดังสนั่นลั่นไปทั่ว เสียงอึกทึกนี้ลอยมาจากริมขอบฟ้า และถึงกับทำให้กระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ลู่ชิงจิ่วและเสี่ยวฮวาที่ไม่ทันได้สังเกตถูกแรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้รู้สึกมึนงง ถ้าเขาไม่นั่งอยู่ ป่านนี้ลู่ชิงจิ่วก็คงจะล้มพับลงกับพื้นไปแล้ว

หูได้ยินแต่เสียงอื้ออึงอยู่ตลอดเวลา เขาเห็นโลกทั้งใบกำลังหมุนไปมา จนผ่านไปสักพักหนึ่งถึงค่อยยังชั่ว เมื่อลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกตัวดีขึ้นแล้ว ที่ขอบฟ้าก็เกิดเปลวเพลิงสว่างจ้าแยกออกเป็นห้าแฉก ไม่สิ นั่นไม่ใช่เปลวเพลิง แต่มันคือมังกรยักษ์เกล็ดแดงที่ลอยอยู่ตรงขอบฟ้า และที่ด้านหลังของมันก็เหมือนจะมีรูขนาดใหญ่ รูปร่างที่ปรากฏขึ้นสลับไปมาไม่ชัดเจนราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวของมันกำลังจะฉีกท้องฟ้าออกเป็นชิ้นๆ

ลู่ชิงจิ่วยังคงรู้สึกมึนหัว ตอนนี้เขาเริ่มมีอาการคันๆ ที่โพรงจมูก และเมื่อยื่นมือไปสัมผัสถึงพบว่าตัวเองมีเลือดกำเดาไหลอยู่ แต่ลู่ชิงจิ่วกลับไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากนัก ทำเพียงแค่ยื่นมือไปหยิบทิชชูมาอุดจมูก และเฝ้ามองเหตุการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าต่อไป

ทว่าลู่ชิงจิ่วกลับรู้สึกเสียดายเมื่อมังกรยักษ์ที่เขาเห็นก่อนหน้าตอนนี้ได้หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา เหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยของเปลวไฟที่ฝังไว้แน่นกับชั้นเมฆสีดำๆ หิมะยังคงตกต่อไปไม่หยุดพร้อมกับค่ำคืนที่สุกสว่างละลานตา

เสี่ยวฮวาที่เพิ่งฟื้นมาจากการสลบไสลถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

ลู่ชิงจิ่ว “เมื่อกี้ฉันเห็นมังกรอยู่ห้าตัว”

เสี่ยวฮวา “กี่ตัวนะ”

“ห้าตัว”

เสี่ยวฮวามีสีหน้าตกใจและเริ่มตัวสั่นงันงก ก่อนจะอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือให้ลู่ชิงจิ่วฟังว่ามังกรคือสัตว์ในโลกอีกพิภพหนึ่ง มันคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารและยังเป็นผู้ควบคุมพลังของฟ้าดิน ว่ากันว่ามังกรอิงหลงคือพลังหยาง ส่วนมังกรจู้หลงคือพลังหยิน หยินหยางประสานพลังเข้าด้วยกันก็จะบังเกิดสรรพสิ่ง

พูดอีกอย่างก็คือถ้าพวกตนอยู่ในโลกของมนุษย์ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับมังกรตัวอื่นๆ ได้โดยสันติ แต่ถ้าหากอยู่ที่โลกอีกพิภพหนึ่ง กลัวว่าจะต้องกลายเป็นอาหารของไป๋เยวี่ยหูแน่นอน

เสี่ยวฮวาพูดต่อไปว่า “ทำไมถึงมีมังกรห้าตัวมาอยู่ที่โลกของมนุษย์ได้นะ…นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วขึ้นมาเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดความวิปริตอะไรกันแน่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเขาแทบจะไม่มีความเห็นใดๆ และก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรด้วย

ณ เวลานี้เสียงประหลาดที่ได้ยินก่อนหน้าหายไปแล้ว นอกเสียจากร่องรอยของเปลวเพลิงที่แผดเผากลุ่มเมฆจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ปรากฏการณ์อื่นๆ ก็เสมือนเป็นแค่ความฝันของลู่ชิงจิ่ว เขานั่งอยู่ที่ริมขอบหน้าต่างสักพักหนึ่งจนแน่ใจแล้วว่าข้างนอกไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แล้วถึงค่อยหยิบเทปกาวและกระดาษหนังสือพิมพ์มาปะติดกระจกที่แตกเพื่อกันลม แล้วจากนั้นก็ค่อยกลับไปซุกตัวที่ผ้าห่มตามเดิม

ขณะที่เขากำลังจะเดินไปที่เตียง ลู่ชิงจิ่วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ทำให้รู้สึกใจคอไม่ดีเป็นอย่างมาก เขานั่งอยู่ที่ขอบเตียงครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ สุดท้ายจึงมองไปนอกบ้านแล้วก้าวเท้าออกไป

เสี่ยวฮวาถามอย่างร้อนรน “นี่นายจะไปไหนน่ะ”

ลู่ชิงจิ่วตอบ “ฉันจะออกไปดูที่หน้าประตูหน่อย”

เสี่ยวฮวาพูด “ไปทำไมล่ะ ข้างนอกหนาวจะตาย”

ลู่ชิงจิ่วได้แต่ส่ายหัว ไม่อธิบายอะไรต่อ ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการที่จะออกนอกบ้านไปเฉยๆ เพียงแต่นึกถึงภาพเหตุการณ์ในฝันอันน่าหวาดกลัวนั้นแล้ว ลางสังหรณ์ก็สั่งให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเดินออกไป หิมะที่ลานบ้านหนามากจนได้ยินเสียงสวบสาบทุกฝีก้าว ลู่ชิงจิ่วเป่าลมร้อนออกจากปากมาที่ฝ่ามือและถูกันอย่างแรง บริเวณโดยรอบเงียบสงบ มีเพียงแต่เสียงหิมะที่ตกลงมา ลู่ชิงจิ่วเดินมาหยุดตรงหน้าประตูบ้าน เขานึกถึงสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูกำชับไว้ก่อนไปว่าไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามออกจากบ้านโดยเด็ดขาด ฉะนั้นแล้วเขาก็จะทำเพียงเปิดประตูบ้านออกแล้วแหงนมองสภาพนอกบ้าน แค่นี้คงไม่ถือว่าออกจากบ้านหรอก

ลู่ชิงจิ่วกลั้นลมหายใจ แล้วค่อยๆ ปลดกลอนก่อนจะผลักประตูเหล็กนั่น เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับประตูเหล็กที่ถูกเปิดออก แล้วเขาก็เห็นสภาพด้านนอก

ที่ลานบ้านและข้างนอกมีสภาพไม่ต่างกันมากคือเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน บนท้องฟ้าถูกไฟแผดเผาจนเป็นรูโหว่ส่องสว่างให้แก่สิ่งต่างๆ ณ บริเวณนั้น ลู่ชิงจิ่วมองไปยังถนนเล็กๆ ที่หน้าบ้านตัวเอง เขาเห็นรถกระบะคันเล็กจอดอยู่ตรงข้าม ข้างๆ กระบะคันเล็กเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ทุกอย่างยังคงดูปกติ ไม่มีอะไรต่างจากวันก่อน

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าลมหายใจยังไม่ทันได้ร่วงหล่น เขาก็ต้องกังวลใจขึ้นมาอีกครั้งเพราะสังเกตเห็นบางอย่างที่มุมกำแพง หิมะที่บริเวณนั้นสูงกว่าปกติเป็นเท่าตัว ถ้าไม่สังเกตก็คงจะไม่มีอะไร แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วใต้หิมะนั้นเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่

ลู่ชิงจิ่วคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ตัดสินใจไม่ออกจากลานบ้าน แต่หมุนตัวเพื่อเอื้อมไปคว้าไม้ไผ่ยาวๆ ด้ามหนึ่งที่ใช้เก็บองุ่นเป็นประจำแทน เขายื่นไม้ออกไปเขี่ยกองหิมะ แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็ยิ่งทำให้เขาชาวาบไปทั้งตัว

เพราะใต้กองหิมะคือร่างของคนคนหนึ่งที่ขดตัวฝังอยู่ คนคนนั้นสวมเสื้อสีดำมองเห็นหน้าไม่ชัด ทว่าลู่ชิงจิ่วจำได้ว่าอิ่นสวินก็มีเสื้อผ้าขนเป็ดแบบนี้เหมือนกัน

ลู่ชิงจิ่วถึงกับสบถออกมาอย่างคนสติแตกหลังจากที่เห็นภาพนั้น เขาโยนไม้ทิ้งและคิดจะวิ่งออกไปแบกคนคนนั้นกลับมาจากกองหิมะ

เมื่อครู่ที่เห็นชาวบ้านเดินปรี่กันไปบนเขาเหมือนร่างไร้วิญญาณทำให้ลู่ชิงจิ่วในตอนนี้นึกถึงสถานการณ์ที่บ้านของอิ่นสวินว่าจะเกิดอะไรขึ้นมั้ย และนั่นทำให้เขากังวลใจ ทั้งยังคิดที่จะออกไปดูสักหน่อย ไม่ดูก็ไม่มีทางรู้ เมื่อได้เห็นก็ถึงกับต้องตกใจเพราะอิ่นสวินนอนอยู่ที่ใต้หิมะนั้นจริงๆ และดูท่าแล้วน่าจะนอนอยู่ในนี้มานานแล้วด้วย

ลู่ชิงจิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวขาออกจากลานบ้าน ขาที่เพิ่งจะก้าวพ้นออกไปทำให้ลู่ชิงจิ่วนึกถึงคำที่ไป๋เยวี่ยหูกำชับไว้ก่อนหน้า ข้างนอกนั่นหนาวมากจริงๆ หนาวเสียจนเขาคิดว่าจะถูกแช่แข็งได้ในทันที เสื้อกันหนาวที่สวมใส่แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยเมื่อต้องมาปะทะกับพายุลมหนาวที่ราวกับจะแทรกซึมข้อต่อแต่ละส่วน และทะลวงเข้าสู่ร่างกายทุกส่วน หนาวจนลู่ชิงจิ่วถึงกับปากสั่นยากที่จะควบคุมร่างกายของตัวเอง เขาเดินไปจนถึงร่างไร้สติของอิ่นสวิน ดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วออกแรงลากกลับไป

อิ่นสวินถูกแช่แข็งไปแล้วอย่างสมบูรณ์ แม้จะถูกลู่ชิงจิ่วลาก ร่างกายของเขากลับไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางได้ ยังคงขดตัวอยู่ในท่าเดิมตลอดเวลา

แต่ละก้าวของลู่ชิงจิ่วเต็มไปด้วยความยากลำบาก ด้านหน้าของเขาก็ปะทะกับพายุลมหนาวเต็มๆ จนแม้แต่จะลืมตาก็ยังลำบาก ความร้อนในร่างกายค่อยๆ สูญเสียไป เพียงแค่ไม่กี่สิบก้าวลู่ชิงจิ่วก็รู้ซึ้งถึงรสชาติที่เรียกกันว่าวิบากกรรม

“แฮกๆๆ สุดท้ายก็มาถึงหน้าบ้านสักที” ลู่ชิงจิ่วออกแรงสุดตัวแบกอิ่นสวินข้ามเข้าไปข้างในลานบ้าน

วินาทีที่เข้าไปในเขตบ้านได้สำเร็จ พวกเขาทั้งสองถึงกับทิ้งตัวล้มพับ ลู่ชิงจิ่วถูกความหนาวเล่นงานจนหน้าซีด แต่ยังดีที่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ฟื้นตัว เขารีบปิดประตูบ้าน อุณหภูมิในบ้านค่อยๆ อุ่นขึ้น ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่าตัวเองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

“อิ่นสวินๆ” ลู่ชิงจิ่วเขย่าตัวของอิ่นสวิน

อิ่นสวินถูกแช่แข็งไปแล้วอย่างสมบูรณ์ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นยังคงเหลือกมองค้างพร้อมกับใบหน้าที่ถูกเกาะไปด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ

ถ้าหากว่าเป็นคนธรรมดา ป่านนี้ลู่ชิงจิ่วคงจะคิดว่าควรนำร่างนี้ไปฝังที่ไหนดี แต่อย่างไรอิ่นสวินก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้คงไม่น่าจะอ่อนแอขนาดนั้นแล้ว ลู่ชิงจิ่วคิดว่าจะพาตัวอิ่นสวินไปที่ห้องและลองพยายามละลายการถูกแช่แข็งของเขาดู

ร่างที่แข็งทื่อของอิ่นสวินจึงถูกแบกไปยังห้องที่มีไฟก่อไว้ ลู่ชิงจิ่วถอดเสื้อขนเป็ดของอิ่นสวินออกและจัดวางให้ตัวเขาอยู่ใกล้กับเตามากที่สุด

เสี่ยวฮวาตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ลู่ชิงจิ่วแบกเข้ามาคืออิ่นสวิน แถมยังอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับอิ่นสวิน” เสี่ยวฮวา

“ฉันออกไปก็เห็นเขาในสภาพนี้แล้ว ไม่รู้ว่าถูกแช่แข็งแบบนี้มานานหรือยัง” ลู่ชิงจิ่วสีหน้าเคร่งเครียด

“ถ้า…ช่วยเขาคลายหนาวแล้วอิ่นสวินจะยังมีชีวิตรอดอยู่มั้ยนะ” เสี่ยวฮวา

“ไม่รู้เหมือนกันสิ ต้องลองดูก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องรอให้ไป๋เยวี่ยหูกลับมา” ลู่ชิงจิ่วสัมผัสศีรษะของอิ่นสวินที่แข็งยิ่งกว่าหิน

สายตาของเสี่ยวฮวาเต็มไปด้วยความกังวลใจ แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เจอตัวของอิ่นสวิน ไม่งั้นคงได้ปล่อยให้ถูกแช่แข็งต่อไป อย่างน้อยๆ ก็ยังพอได้ช่วยอะไรบ้าง ส่วนลู่ชิงจิ่วที่เพิ่งออกไปข้างนอกทั้งตัวของเขาหนาวจนแทบเป็นน้ำแข็งไม่ต่างกัน ด้วยกลัวว่าจะเป็นหวัดจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับไปซุกตัวในผ้าห่มต่อ

“วางอิ่นสวินนอนไว้ที่นั่นเหรอ” เสี่ยวฮวาที่เฝ้ามองอิ่นสวินที่เป็นเสมือนรูปปั้นเอ่ย

“วางไว้ที่นั่นก่อน” ลู่ชิงจิ่วยื่นหน้าออกมาแค่ครึ่งเดียวพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ข้างนอกหนาวขนาดนั้น ฉันยังคิดว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นั่นแน่ๆ เลย”

เสี่ยวฮวาใช่กีบเท้าตัวเองตบๆ ไปที่ลู่ชิงจิ่วเพื่อปลอบใจ

เมื่อร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นมา ก็รู้สึกได้ถึงความง่วง เดิมทีลู่ชิงจิ่วตั้งใจจะเฝ้าดูอาการของอิ่นสวิน แต่เพราะการรอให้อิ่นสวินฟื้นขึ้นมานั้นใช้เวลานาน จึงเฝ้าไปเฝ้ามาแล้วเผลอหลับไป

 

เช้าวันต่อมาลู่ชิงจิ่วตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขายังคงมีอาการสะลึมสะลือและเห็นอิ่นสวินนอนอยู่ที่ข้างเตาด้วยท่าเดิม ทันใดนั้นสมองก็ตื่นตัว และถามออกไปทันทีว่า “เสี่ยวฮวา เมื่อวานนายได้พลิกตัวให้อิ่นสวินหรือเปล่า”

เสี่ยวฮวาที่ถูกเรียกจนตื่นส่ายหน้าอย่างงุนงง

ลู่ชิงจิ่วรีบวิ่งเข้าไปพลิกตัวให้อิ่นสวิน ตอนที่จะพลิกตัวเขาก็พบว่าร่างกายบางส่วนฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว แต่อีกส่วนยังคงถูกแช่แข็งไว้อยู่ ลู่ชิงจิ่วเรียกอิ่นสวินอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบสนองอะไร เขาเริ่มรู้สึกกังวลใจ วิธีนี้สรุปแล้วได้ผลมั้ยนะ

เสี่ยวฮวาไม่รู้หรอกว่าวิธีไหนได้ผลไม่ได้ผล เขาได้แต่ปลอบใจลู่ชิงจิ่วไปว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกน่า เคยอ่านเรื่องหนึ่งมาว่ามีปลาถูกแช่แข็งไว้ ผ่านไปตั้งสิบปียังฟื้นคืนชีพได้เลย ร่างกายของอิ่นสวินซับซ้อนน้อยกว่าปลาเยอะ ไม่น่ามีปัญหาหรอกน่า”

“นายไปอ่านนิทานพวกนี้มาจากไหน” ลู่ชิงจิ่วถาม

เสี่ยวฮวา “กู้ซื้อฮุ่ย* ไง”

ลู่ชิงจิ่ว “…” อิ่นสวิน กลัวว่านายจะกลับมายากแล้วล่ะ

เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน ลู่ชิงจิ่วจึงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาตัดสินใจกินมันเทศเผาเพื่อเป็นการสงบจิตใจ จากนั้นก็รักษาอิ่นสวินต่อไป มันเทศเผาที่อุ่นๆ เมื่อหยิบขึ้นมากัดยังสัมผัสได้ถึงความอุ่น พอปอกเปลือกออกก็เห็นเนื้อนุ่มๆ ข้างใน แม้จะกินเข้าไปในปากแต่กลับอุ่นไปถึงหัวใจ มันช่วยให้ลู่ชิงจิ่วคลายความกังวลเรื่องของอิ่นสวินไปได้บ้าง

“อร่อยจริงๆ” เสี่ยวฮวาพูดอย่างประทับใจ “ฉันอยากจะกินซุปเนื้อแกะอุ่นๆ ด้วยเลย”

“ฉันก็อยาก” ลู่ชิงจิ่วถูๆ ที่จมูก เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเป็นหวัดนิดหน่อยแล้ว อุณหภูมิข้างนอกต่ำมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาวิ่งเร็ว เกรงว่าคนที่จะนอนแข็งเป็นเพื่อนอิ่นสวินคงเป็นเขา

“เฮ้อ ดูท่าอิ่นสวินคงจะหายยากแล้ว งั้นฉันช่วยจัดการมันเทศเผาส่วนของเขาแล้วกันนะ” เสี่ยวฮวาใช้กีบเท้าตัวเองปอกเปลือกมันเทศอุ่นๆ น้องสาวของเสี่ยวฮวายังไม่ตื่นนอน ส่วนจิ้งจอกน้อยไม่ชอบกินอาหารประเภทผักอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงตกเป็นของเสี่ยวฮวาและลู่ชิงจิ่วสองคน

ลู่ชิงจิ่วกล่าว “โอเค ฉันจะช่วยนายจัดการส่วนที่เหลือแล้วกันนะ”

ทั้งสองคนช่วยกันปอกเปลือกมันเทศอย่างสนุกสนานจนลืมสนใจรูปปั้นที่นอนแข็งอยู่อย่างอิ่นสวินเสียสนิท น้ำตาหยดหนึ่งไหลตกออกมาที่หางตา แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองเห็นสิ่งนั้น แต่ก็เป็นไปได้ว่านั่นคงจะเป็นน้ำที่ละลายจากตัวของอิ่นสวิน

หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จ ลู่ชิงจิ่วพบว่าตัวเองป่วยเป็นหวัด เริ่มจากอาการคันคอ ต่อมาก็จามและน้ำมูกไหล เขาจึงรีบไปหายามากินและเพิ่มปริมาณยาเข้าไปให้มากขึ้น

อิ่นสวินที่ถูกละลายน้ำแข็งมาได้หนึ่งวันเต็มตอนนี้ร่างกายของเขาเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามที่ยังเป็นน้ำแข็งอยู่ ทั้งเสี่ยวฮวาและลู่ชิงจิ่วต่างเลิกนั่งเฝ้าอิ่นสวินแล้ว ส่วนเสี่ยวเฮยและจิ้งจอกน้อยก็เตรียมไปทำซุปเนื้อแกะ

เพราะตอนนี้ลู่ชิงจิ่วกำลังไม่สบาย เขาจึงได้แต่บอกให้เสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยไปตักน้ำ หมูทั้งสองมีเพียงกีบเท้าของตัวเองเท่านั้น แต่กลับทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งความจริงพอเทียบกับอิ่นสวินแล้วความไวแทบไม่ต่างกันเลย

ลู่ชิงจิ่วเสียดายที่น่าจะได้เห็นพรสวรรค์ของเสี่ยวฮวาและเสี่ยวเฮยเร็วกว่านี้ เสี่ยวฮวามั่นอกมั่นใจเดินไปที่ข้างหน้าของอิ่นสวินแล้วพูดว่า “สมองฉันไม่ได้มีแต่น้ำหรอกนะ”

ลู่ชิงจิ่วพูดเตือนอย่างสุภาพ “พูดแบบนี้ไม่ดีนะ อิ่นสวินยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย”

เสี่ยวฮวา “เขายังเป็นน้ำแข็งอยู่”

ลู่ชิงจิ่ว “แล้วถ้าเขาแค่ยังขยับตัวไม่ได้แต่ได้ยินที่นายพูดล่ะ”

เสี่ยวฮวา “งั้นพวกเราก็ไปอุดหูเขาไว้ก่อนดีมั้ย”

ลู่ชิงจิ่ว “…” อิ่นสวิน นายไม่ควรมีเรื่องกับเสี่ยวฮวาเลย

พวกเขาทั้งสองพูดหยอกเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน ที่ทั้งสองสบายใจได้ขนาดนี้เพราะร่างกายของอิ่นสวินที่เริ่มละลายค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว ซึ่งลักษณะนั้นต่างกับร่างกายของคนที่เสียชีวิต ผิวหนังอิ่นสวินกลับมามีความยืดหยุ่น และเมื่อกดลงไปก็เกิดลักษณะรอยจ้ำแดงๆ ซึ่งสิ่งนี้คือการตอบสนองของคนเป็น

เสี่ยวฮวา “นายไปกดที่หน้าแบบนั้นจะดีเหรอ”

ลู่ชิงจิ่ว “แล้วนายว่าควรจะไปกดตรงไหนล่ะ”

เสี่ยวฮวาพูด “ก็ต้องเป็นจุดที่มีเนื้อเยอะๆ…” เขาเหลือบไปมองที่ก้นของอิ่นสวิน

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เสี่ยวฮวาพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ก็เหมือนกับที่เขาชอบมากดฉันไง”

ลู่ชิงจิ่วขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับความรักและความชังของพวกเขาทั้งสอง ปล่อยให้พวกเขาไปจัดการกันเอง

ตอนนี้สัตว์น้อยทั้งสามตัวและลู่ชิงจิ่วกินซุปเนื้อแกะกันอย่างเอร็ดอร่อย ลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกว่าอาการหวัดของตัวเองค่อยๆ ดีขึ้น วิธีการทำซุปวันนี้ค่อนข้างง่ายกว่าปกติทั่วไปมาก เพราะอย่างไรหมูทั้งสองตัวก็ไม่ใช่พวกมืออาชีพในการทำอาหาร สำหรับพวกเขาที่กินแต่ธัญพืชมาตลอดหลายวันได้กินอะไรแบบนี้ก็นับว่าอร่อยมากแล้ว โดยเฉพาะคุณภาพของเนื้อแกะที่ดีมาก เพียงแค่ชั่วครู่พวกเขาก็จัดการเนื้อแกะจนหมด เหลือไว้เพียงแต่น้ำซุปหม้อใหญ่ๆ

ในขณะที่กำลังจะจัดการน้ำซุปที่เหลือ ลู่ชิงจิ่วก็ได้ยินเสียงครวญครางเล็กๆ มาจากข้างเตียง เขาเงี่ยหูฟังไปสักพักถึงมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด จึงรีบวิ่งไปที่ต้นเสียง เมื่อไปถึงเขาก็เห็นอิ่นสวินที่ไม่รู้ว่าฟื้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ

ลู่ชิงจิ่วรีบเข้าไปพยุงอิ่นสวินขึ้นเตียง “อิ่นสวิน ไม่ต้องร้องแล้วนะ นายไม่เป็นอะไรแล้ว”

อิ่นสวินที่น้ำตานองหน้ากลับพูดสิ่งที่ไม่ค่อยกินใจสักเท่าไหร่ “ลู่ชิงจิ่ว นายมันร้ายมาก เนื้อแกะสักชิ้นก็ไม่เหลือให้ฉันกิน”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

อิ่นสวิน “ฉันไม่ได้มีเพื่อนแบบนี้นะ”

ลู่ชิงจิ่ว “…” เขามองใบหน้าของอิ่นสวินที่เหมือนโดนต่อยมาจนบวมแดงไปหมด จากนั้นจึงค่อยหันตัวกลับไปอุ่นซุปเนื้อแกะร้อนๆ และยื่นให้อิ่นสวินต่อหน้า

อิ่นสวินหิวจะตายอยู่แล้ว แม้ว่าปากจะมัวแต่พูดตัดพ้อเรื่องเนื้อแกะ แต่สุดท้ายหลังจากได้ซดน้ำซุปอุ่นๆ ก็ทำให้เขาสงบใจลงเยอะ เขาดื่มไปสามสี่ชามถึงค่อยรู้สึกอุ่นขึ้น อิ่นสวินยื่นมือไปปัดเศษน้ำแข็งที่ติดอยู่ตรงคิ้วของตัวเองเบาๆ แล้วรำพึงออกมาว่า “ฉันคิดว่าต้องตายแล้วแน่ๆ”

“นายไปอยู่ที่หน้าบ้านฉันได้ยังไง บอกไปแล้วว่าห้ามออกมาไม่ใช่เหรอ” ลู่ชิงจิ่วถาม

อิ่นสวินส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้า เขาเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ ให้ลู่ชิงจิ่วฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่หิมะจะตกในวันนั้น แสงเทียนที่บ้านค่อยๆ มืดลง และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จุดไม่ติดจนในที่สุดก็ดับสนิท พวกดวงวิญญาณที่ถูกสะกดไว้ต่างกรูกันออกมา อิ่นสวินไม่สามารถต้านทานพวกมันได้และเห็นว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านของลู่ชิงจิ่วเลยกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับเขา ดังนั้นจึงรีบไล่ตามวิญญาณเหล่านั้นไป ทว่าอากาศนอกบ้านหนาวกว่าที่คิดไว้มาก อิ่นสวินที่เห็นจุดหมายอยู่ข้างหน้าอีกเพียงแค่ไม่กี่ก้าวกลับมาถูกแช่แข็งไปเสียก่อน โชคดีที่วิญญาณเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปในบ้านของลู่ชิงจิ่ว แต่พวกมันกลับมุ่งหน้าไปบนภูเขาแทน

ลู่ชิงจิ่วที่ได้ยินอิ่นสวินอธิบายแบบนี้ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาลูบไปที่ศีรษะอันเปียกชื้นของอิ่นสวินแล้วพูดว่า “ขอโทษนะ”

อิ่นสวินตอบรับด้วยความซาบซึ้งใจ “ไม่หรอก นี่เพราะฉันเป็นคนเลือกเอง”

ลู่ชิงจิ่วพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น ความหมายคือฉันควรจะให้เนื้อแกะนายสักสองชิ้น”

อิ่นสวิน “…” เรื่องนี้ถ้าไม่พูดถึงก็คงจะดี เพราะเมื่อเอ่ยถึงเมื่อไหร่อิ่นสวินก็พร้อมจะเดือดขึ้นจนแทบจะฉีกชามออกจากกันได้ ท้ายที่สุดลู่ชิงจิ่วจึงต้องให้สัญญาว่าจะทำให้กินอีกชามในวันรุ่งขึ้น ความโกรธของอิ่นสวินจึงค่อยบรรเทาลง ทว่าเขาสงบสติไปได้สักพักก็ต้องเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเมื่อเข้าไปในห้องน้ำเขาถึงได้เห็นใบหน้าของตัวเองที่บวมช้ำขึ้นมา

“บ้าเอ๊ย ลู่ชิงจิ่ว นี่นายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ตอนลงมือทำเบามือหน่อยไม่ได้หรือไง” อิ่นสวินตะโกนด้วยความโมโหดังออกมาจากในห้องน้ำ “ทำไมหน้าฉันถึงเหมือนคนโดนต่อยได้ขนาดนี้”

ลู่ชิงจิ่วที่รู้ดีว่าทำอะไรลงไปได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนหลับหูหลับตาแกล้งนอนหลับไป

 

* กู้ซื้อฮุ่ย เป็นนิตยสารรายปักษ์ของจีน โดยเนื้อหาจะเป็นงานประเภทวรรณกรรม

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 30 .. 65

2 of 2หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com