everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 93-94 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 93 เดินทางกลับ
เพื่อเป็นการชดเชยสภาพจิตใจที่แตกสลายของอิ่นสวิน ในวันถัดมาลู่ชิงจิ่วจึงได้ทำซุปเนื้อแกะหม้อใหญ่ให้อีกครั้ง ทว่าอาการหวัดของเขากลับหนักขึ้นกว่าเมื่อวาน จึงไม่ได้เข้าครัวจัดการด้วยตัวเองแต่ให้เสี่ยวฮวาเป็นคนจัดการตามเดิม ตอนแรกเป็นอิ่นสวินที่อาสาเป็นคนทำ แต่ลู่ชิงจิ่วพิจารณาแล้วว่าด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นขนาดนี้การที่ต้องมานั่งยองๆ ทำธุระอาจจะทำให้ถึงตายได้ เขาจึงต้องบอกปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี ส่วนเรื่องอื่นๆ เองก็ให้เสี่ยวฮวาเป็นธุระให้ เช่น ไปข้างนอกเพื่อเอาหิมะมาต้ม หรืองานอื่นที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอะไรพวกนี้
หิมะรอบนี้ต่างกับหิมะที่ตกในรอบก่อนๆ โดยปกติแล้วหิมะที่ตกในฤดูหนาวมักจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนสูงมากจนไม่สามารถนำมาใช้ดื่มกินได้ แต่หิมะรอบนี้สะอาดกว่าปกติและรสชาติก็หวานด้วย เหมาะที่จะนำมาต้มใช้ประกอบอาหาร
อิ่นสวินกำลังซดน้ำซุปเนื้อแกะ ส่วนลู่ชิงจิ่วและคนในครอบครัวคนอื่นต่างก็อยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ บนคั่ง อิ่นสวินใช้แรงกัดแทะเนื้อแกะ เนื้อแกะรอบนี้ไม่ได้ต้มจนเปื่อย การจะกัดแต่ละทีจึงค่อนข้างลำบาก อิ่นสวินใช้ฟันกัดฉีกเนื้อออกมาเป็นชิ้น สายตาของเขาดุดันน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“อิ่นสวิน ไป๋เยวี่ยหูเป็นยังไงบ้าง” ลู่ชิงจิ่วที่รู้สึกกังวลใจถาม
อิ่นสวินยกมือขึ้นมาเช็ดปาก “นายอยากจะดูสักหน่อยมั้ยล่ะ”
“ดูได้เหรอ” ลู่ชิงจิ่ว
“ไม่รับปากว่าจะเห็นได้ทั้งหมดนะ แต่อย่างน้อยก็คงได้เห็นไป๋เยวี่ยหู” อิ่นสวินกัดเนื้อไปพูดไป “นายอยากจะลองดูหน่อยมั้ยล่ะ” ไป๋เยวี่ยหูคงยังไม่ได้ออกไปจากหมู่บ้าน ถ้าเขายังอยู่ที่นี่ก็จะสามารถเห็นได้ แต่ว่าสถานการณ์ฝั่งนั้น ณ ตอนนี้ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารับปากลู่ชิงจิ่วไป
“อยากสิ” น้ำเสียงของลู่ชิงจิ่วตอบอย่างไม่ลังเล “ยิ่งตอนนี้ผ่านไปแล้วตั้งสามวัน ยังไม่ได้ข่าวจากไป๋เยวี่ยหูเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเห็นไป๋เยวี่ยหูตอนนี้”
อิ่นสวินบอก “งั้นรอฉันกินเนื้อพวกนี้ให้เสร็จก่อนแล้วกัน”
หลังจากที่จัดการเนื้อพวกนี้เรียบร้อยแล้ว อิ่นสวินก็รู้สึกว่าตัวอุ่นขึ้นมา เขาลูบพุงกลมๆ อุ่นๆ ของตัวเอง แล้วมองไปที่ลู่ชิงจิ่วเพื่อส่งสัญญาณให้เข้ามานั่งใกล้ๆ
ลู่ชิงจิ่วขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ อิ่นสวิน
“ฉันจะลองพยายามดูนะ ไม่รู้ว่าจะเห็นอะไรบ้าง” อิ่นสวินพูด
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า
อิ่นสวินที่เห็นว่าลู่ชิงจิ่วมีสีหน้าแน่วแน่ จึงกัดไปที่นิ้วของตัวเอง ทว่านิ้วที่ถูกกัดของเขากลับไม่ได้มีเลือดหยดออกมา แต่เป็นของแข็งที่จับตัวเป็นก้อน อิ่นสวินยื่นมือออกไปแล้วนำของแข็งที่มาจากนิ้วทาไปที่เปลือกตาของลู่ชิงจิ่ว อิ่นสวินบอกให้อีกฝ่ายกะพริบตาเพื่อให้ของแข็งนั้นเข้าไปในดวงตา
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกเย็นซาบซ่านทั่วบริเวณรอบดวงตา เขากะพริบตาถี่ๆ จนสิ่งนั้นค่อยๆ ขยับแทรกเข้าไปที่ลูกตา เขารู้สึกเหมือนมีเยื่อบางๆ มาบังที่ตา แม้ว่าจะรู้สึกเย็นซาบซ่าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกทรมาน
“จะเริ่มแล้วนะ” อิ่นสวินพูด
ลู่ชิงจิ่วตอบตกลง
ทันทีที่สิ้นสุดคำพูดของอิ่นสวิน ตาของลู่ชิงจิ่วก็ปรากฏภาพที่น่ามหัศจรรย์ขึ้นมา แม้ว่าร่างกายของเขาจะนั่งอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน แต่สายตากลับเหมือนล่องลอยไปอยู่กลางอากาศ จากมุมนี้สามารถมองทั้งหมู่บ้านสุ่ยฝู่ได้ในการกวาดตาเพียงครั้งเดียว นี่คือมุมมองที่อิ่นสวินเห็น ลู่ชิงจิ่วยังไม่ทันได้อุทานด้วยความประหลาดใจ ภาพในสายตาของเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงได้เห็นหมู่เมฆและหินผาสลับซับซ้อนเรียงรายเป็นชั้นๆ
ในหมู่เมฆนั้น ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่กำลังมุดแทรกไปด้วยความเร็ว ลู่ชิงจิ่วเพ่งมองไปสักพัก แล้วจึงพบว่านั่นคือไป๋เยวี่ยหูที่รอบๆ ตัวรายล้อมไปด้วยเปลวไฟห้าแฉกอันเจิดจ้า เพียงแวบเดียวที่เห็นเขาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่านั่นคือมังกรห้าตัวที่ทะลุออกมาจากท้องฟ้าในวันนั้น
การต่อสู้กับมังกรไฟทั้งห้า ไป๋เยวี่ยหูไม่ได้แสดงความอ่อนด้อยแต่อย่างใด เขาแหวกว่ายไปมาท่ามกลางหมู่เมฆและใช้กรงเล็บอันแหลมคมฟาดไปที่หินผาสีดำจนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน เมื่อเขาหมุนตัว หางที่แข็งแรงกำยำของไป๋เยวี่ยหูก็สามารถเหวี่ยงมังกรไฟตนหนึ่งตกลงไปในเหวลึกได้ ส่วนกรงเล็บสีดำอันแหลมคมก็ฉีกร่างของมังกรไฟอีกตนหนึ่งจนเห็นเครื่องในที่ชุ่มไปด้วยเลือดสดๆ ทะลักออกมา
ฉากที่เห็นดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ลู่ชิงจิ่วรู้สึกใจคอไม่ดีที่ได้เห็นแบบนั้น เพราะแม้ว่าไป๋เยวี่ยหูจะแข็งแรงกำยำ แต่อีกฝ่ายก็มีกันมากถึงห้าตน อีกทั้งบนร่างกายก็มีบาดแผลประปรายอยู่ไม่น้อย ซึ่งนี่ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ เพราะไป๋เยวี่ยหูทำท่าทางเหมือนกำลังปกป้องบางสิ่งบางอย่าง ต่อให้พวกมังกรไฟเหล่านั้นจะกระโจนมาที่หน้าของเขา ไป๋เยวี่ยหูก็จะออกไปต้านอย่างแข็งขันและไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอย สายตาของลู่ชิงจิ่วมองทะลุตัวของไป๋เยวี่ยหูและได้เห็นสถานที่หนึ่งที่เขากำลังปกป้องอย่างเต็มที่ ณ ที่แห่งนั้นมีหมู่เมฆพันล้อมซ้อนกันเป็นชั้น ตรงกลางของหมู่เมฆคือยอดเขาสีดำที่สูงทะลุขึ้นมา บนยอดเขามีหินก้อนหนึ่งที่มันวาวสะท้อนเหมือนเล่มกระบี่ และที่บนยอดเขายังปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆอีกชั้นหนึ่ง ดูท่าแล้วไม่ใช่ภูเขาธรรมดาที่มนุษย์จะสามารถปีนขึ้นไปได้เลย ลู่ชิงจิ่วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาภูเขาลูกนี้ เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่านี่คือภูเขาลูกที่เคยเห็นมาแล้วก่อนหน้า ทว่าครั้งนั้นที่เห็นทำไมถึงมีมังกรสีดำแหวกว่ายอยู่ที่ยอดเขาได้นะ หรือว่านั่นคือร่างเดิมของไป๋เยวี่ยหู
ลู่ชิงจิ่วที่กำลังคิดอยู่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เขามองลงมาที่ด้านล่างก็เห็นว่ามีมังกรไฟตัวหนึ่งถูกไป๋เยวี่ยหูตะครุบ มังกรไฟตัวนั้นไม่ต่อสู้ขัดขืน แต่กลับยอมให้ไป๋เยวี่ยหูลากขึ้นไปบนยอดเขา ไป๋เยวี่ยหูแยกเขี้ยวมังกรออกมาแล้วกัดไปที่ร่างของมังกรตัวนั้นก่อนจะเหวี่ยงลงไปข้างล่าง
อากาศในวันนี้หนาวมากจนไป๋เยวี่ยหูถึงกับพ่นไอเย็นออกมาจากปาก นัยน์ตาสีดำของเขาไม่มีแล้วซึ่งความเกียจคร้านและความอ่อนโยนอย่างในวันวาน มีแต่ความเลือดเย็นและโหดเหี้ยมของสัตว์ดุร้าย ณ วินาทีนี้จิตวิญญาณของการต่อสู้และการฆ่าฟันครอบครองวิญญาณของเขาไปแล้วทุกส่วน ลู่ชิงจิ่วสังเกตได้ถึงความสะใจที่ออกมาจากตัวของไป๋เยวี่ยหู
โชคดีที่การต่อสู้ในครั้งนี้ไป๋เยวี่ยหูถือไพ่เหนือกว่ามาก พวกมังกรไฟเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย ลู่ชิงจิ่วที่กำลังคิดแบบนี้กลับรู้สึกว่าสถานการณ์มีอะไรบางอย่างไม่ปกติ เขาสังเกตเห็นว่ามีมังกรไฟอีกสามตัวกำลังเกาะแกะที่ตัวของไป๋เยวี่ยหู โดยที่สองในสามตัวนี้ร่วงมาอยู่ที่พื้นหิมะ หนึ่งในนั้นมีตัวหนึ่งที่แยกเขี้ยวกลืนกินอีกตัวหนึ่งลงไปในท้องและนั่นทำให้สีของมันแดงสดและฉูดฉาดขึ้นมากกว่าเดิม ลู่ชิงจิ่วนึกถึงคุณตาของตัวเองในร่างที่มีผมและนัยน์ตาสีแดง เขานึกถึงใบหน้านั้นอย่างละเอียดและหลังจากเปรียบเทียบดูแล้ว เขาก็แน่ใจว่าสีแดงที่เห็นของมังกรตัวนี้อ่อนกว่าที่เห็นจากตัวของคุณตามาก ถ้าให้พูดก็คือสีแดงที่เห็นจากคุณตานั้นสดเหมือนกับเลือดของมนุษย์ ส่วนมังกรตัวนี้มีแค่ความแดงประมาณเปลวไฟที่สุกสว่าง แม้ว่าจะมีสีแดงเหมือนกันแต่สำหรับมังกรตัวนี้ค่อนข้างออกจะไปทางสีส้มมากกว่า ทว่าหลังจากที่มันได้กินพรรคพวกตัวเองไปแล้วสีของมันก็แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ลู่ชิงจิ่วเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี ในขณะที่เขากำลังจะตั้งใจเพ่งดูต่อกลับรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาทันที พร้อมกับเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ ซึ่งความรู้สึกทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาต้องบีบบังคับให้ตัวเองหลับตาลง ฟุบลงที่ข้างเตียงแล้วอาเจียนออกมาอย่างรุนแรงโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“แหวะ” แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรออกมาจากการอาเจียน แต่ภาพนิมิตที่ลู่ชิงจิ่วได้เห็นก่อนหน้าก็ได้เลือนหายไปในพริบตา
อิ่นสวินที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบไปหยิบน้ำมาให้เขาดื่มและทำความสะอาดสิ่งที่ทาไว้ตรงดวงตาของเขา ลู่ชิงจิ่วรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาเห็นเหลือเพียงแค่ภาพห้องนอนตรงหน้า ภาพฉากการต่อสู้ของเหล่ามังกรได้มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
“ลู่ชิงจิ่วนายไม่เป็นไรใช่มั้ย” อิ่นสวินถามอย่างร้อนรน
“ไม่เป็นไร ฉันอยากดูอีกหน่อยได้มั้ย” ลู่ชิงจิ่วรีบพูดตอบ
“ไม่ได้ ถ้าขืนดูต่อไปอีก ร่างกายนายจะรับไม่ไหวเอานะ” อิ่นสวินตอบ
ลู่ชิงจิ่วแสดงสีหน้าสิ้นหวัง “แต่เมื่อกี้กำลังอยู่ในช่วงคอขาดบาดตายเลยนะ”
“หรือจะให้ฉันดูแทน” อิ่นสวินถาม
“ถ้างั้นก็ได้”
อิ่นสวินทำหน้างงอยู่สักพักแล้วจึงบอกไปว่า “ไม่ได้แล้ว ตอนนี้เห็นแต่ภาพจอดำ”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
อิ่นสวิน “เปลี่ยนช่องสัญญาณใหม่ก็ไม่ได้”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เปลี่ยนช่องสัญญาณบ้าบออะไร
อิ่นสวินได้แต่ส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็จนปัญญาที่จะมองเห็น ไม่ใช่แค่ไป๋เยวี่ยหูเท่านั้น แต่ทั้งหมู่บ้านสุ่ยฝู่เหลือแต่ภาพดำมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ลู่ชิงจิ่วร้อนใจ แต่ถึงเขาจะลนลานไปก็เท่านั้น เพราะแม้แต่ตอนที่ไป๋เยวี่ยหูกำลังต่อสู้อยู่ แค่จะถือธงเล็กๆ ยืนเชียร์ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ยังทำไม่ได้เลย
ลู่ชิงจิ่วแหงนมองไปที่รูโหว่ตรงขอบฟ้า ในใจมีทั้งความรู้สึกผิดหวังและกลัดกลุ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้เพียงแค่มองไปที่อิ่นสวินและปลอบใจตัวเองว่ายังไงไป๋เยวี่ยหูก็ไม่มีทางแพ้แน่นอน
อิ่นสวินเห็นสีหน้าของลู่ชิงจิ่วก็พลอยเป็นห่วงไปด้วย ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
ลู่ชิงจิ่วพยายามดึงตัวเองออกจากความรู้สึกด้านลบ เขาพูดว่า “ฉันว่าถ้าไป๋เยวี่ยหูกลับมาเมื่อไหร่จะทำอาหารอร่อยๆ ให้เขากิน ต่อสู้กันนานขนาดนี้ ป่านนี้คงหิวแย่ กลับมาเมื่อไหร่จะต้องทำอะไรร้อนๆ ให้กินแล้ว แต่ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่กันแน่นะ”
ณ เวลานี้ หิมะตกลงมาแล้วเจ็ดวันเต็มๆ
เมื่อหิมะตกถึงเข้าวันที่เจ็ด รูโหว่บนขอบฟ้าก็ค่อยๆ หดตัวเล็กลง และหิมะที่กำลังตกก็ได้หยุดลง ขณะนั้นลู่ชิงจิ่วกำลังนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เขาเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินโบยบินขึ้นจากกลางหุบเขา กระพือปีกบินสู่อากาศและมุ่งหน้าไปที่ช่องโหว่ตรงขอบฟ้านั่น
ลู่ชิงจิ่วได้ยินเสียงคนเคาะที่ประตู ตอนแรกเขาเข้าใจผิดว่าคิดไปเอง แต่เมื่อได้ยินเสียงนั้นเป็นครั้งที่สอง เขาจึงได้หันหน้าไปทางอิ่นสวิน ทั้งคู่ต่างประหลาดใจและงวยงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ลู่ชิงจิ่ว “มีคนเคาะประตู?”
อิ่นสวิน “ใช่ ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน”
ลู่ชิงจิ่ว “เดี๋ยวฉันจะไปเปิดเอง”
ลู่ชิงจิ่วรีบลุกขึ้นไปที่ประตู เขารอไป๋เยวี่ยหูอยู่นานแล้ว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเป็นห่วงไป๋เยวี่ยหูและกังวลมาตลอดจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนนี้เขารู้สึกว่าทุกอย่างจะได้ยุติลงเสียที
เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยด ลู่ชิงจิ่วค่อยๆ แง้มประตูออกทีละนิดจนเห็นบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตู แน่นอนว่าคนคนนั้นก็คือไป๋เยวี่ยหู
เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ มองมายังลู่ชิงจิ่วด้วยสายตาอบอุ่น บนไหล่ของเขายังมีละอองหิมะปะปนกับเส้นผมอยู่ ไป๋เยวี่ยหูเรียกชื่อของเขาเหมือนอย่างเคย “ลู่ชิงจิ่ว”
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เขาไม่สนอะไรอีก นอกจากเอื้อมมือเข้าไปกอดที่ตัวของไป๋เยวี่ยหู ศีรษะของเขาพาดวางบนไหล่ของไป๋เยวี่ยหู “ไป๋เยวี่ยหู ในที่สุดนายก็กลับมา”
ไป๋เยวี่ยหู “อืม ฉันกลับมาแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความสงสัยขึ้นมา มือที่โอบกอดไป๋เยวี่ยหูอย่างแนบแน่นค่อยๆ คลายออกจากกัน กลิ่นบนตัวของไป๋เยวี่ยหูไม่เหมือนเดิม ถึงจะดูเป็นเรื่องน่าขำ แต่ด้วยความที่ทั้งสองสนิทสนมกัน เขาถึงได้แน่ใจว่ามีกลิ่นบางอย่างบนตัวของไป๋เยวี่ยหู กลิ่นนั้นจางมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลู่ชิงจิ่วเอาหน้าไปซบที่ไหล่ของไป๋เยวี่ยหูก็คงไม่ได้กลิ่น เป็นกลิ่นที่ลุ่มลึกซึ่งอบอวลไปด้วยไอเยือกเย็นราวกับน้ำแร่บนภูเขา เมื่อสูดดมเข้าไปจะรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งอก ราวกับว่าสมองจะถูกแช่แข็งไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น
ลู่ชิงจิ่วถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง
ไป๋เยวี่ยหูที่เห็นท่าทางอย่างนั้นก็ทำหน้าสงสัยออกมา “ลู่ชิงจิ่ว นายเป็นอะไรหรือเปล่า”
ลู่ชิงจิ่วขมวดคิ้วมองไปที่ไป๋เยวี่ยหู
ไป๋เยวี่ยหู “ลู่ชิงจิ่ว…”
ลู่ชิงจิ่ว “นายเป็นใคร”
ไป๋เยวี่ยหูทำหน้างง
ลู่ชิงจิ่วมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด เขาพูดเตือนออกไปอย่างแข็งกร้าว “นายไม่ใช่ไป๋เยวี่ยหู บอกมานะว่านายเป็นใครกันแน่”
ไป๋เยวี่ยหูที่แต่เดิมกำลังยิ้มอยู่เมื่อได้ยินคำพูดของลู่ชิงจิ่วก็กลับไม่ยิ้มแล้ว รอยยิ้มนั้นค่อยๆ เลือนหายจากใบหน้าและเริ่มมองไปที่ลู่ชิงจิ่วอย่างพินิจพิเคราะห์ สายตาแบบนี้ทำให้ลู่ชิงจิ่วรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาแน่ใจว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่ไป๋เยวี่ยหูแน่นอน
“นายเหมือนกับยายของตัวเองเสียจริง” คนตรงหน้าพูด “เหมือนจนแทบจะเป็นคนคนเดียวกันเลย”
ลู่ชิงจิ่วไม่อยากเสวนาให้มากความ เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจากบุคคลผู้นี้ จึงรีบเอื้อมมือไปปิดประตู ทว่าตอนที่เขาจะไปปิดประตูกลับถูกบุคคลนี้คว้ามือเอาไว้เสียก่อน
“ลู่ชิงจิ่ว” ผีเสื้อสีน้ำเงินบินออกมาจากตัวของเขาคนนั้น ร่างกายค่อยๆ หดเล็กลง “นายคือคนสุดท้าย” เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็พลันหัวเราะราวกับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก “ฉันเคยคิดว่ายายของนายจะเป็นคนสุดท้ายแล้วเสียอีก”
เมื่อได้ยินการเอ่ยถึงคุณยาย ลู่ชิงจิ่วก็ถึงกับหน้าถอดสี เขาคิดจะพูดอะไรต่อ แต่บุคคลปริศนากลับหมุนตัวและหายวับไปในพริบตาท่ามกลางฝูงผีเสื้อสีน้ำเงิน เมื่อดูจากรูปร่างของบุคคลปริศนา ดูท่าแล้วเหมือนจะเป็นเด็กที่ยังอายุไม่มาก ทั้งเส้นผมและดวงตาก็ล้วนแต่มีสีน้ำเงินสวยสดใส ทั้งเรือนร่างราวกับรูปปั้นน้ำแข็งที่แกะสลักออกมาอย่างไรอย่างนั้น หลังจากลู่ชิงจิ่วมองดูบุคคลนั้นหายไป เมื่อเขาก้มหน้าลงก็พบว่ามีผีเสื้อตัวหนึ่งร่วงอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ลู่ชิงจิ่วก้มตัวลงไปคว้ามันขึ้นมา ผีเสื้อตัวนี้ถูกสร้างมาจากน้ำแข็ง ดังนั้นเมื่ออยู่บนมือของลู่ชิงจิ่วจึงละลายเหลือแต่เพียงน้ำที่ทิ้งไว้บนมือของเขาหลังจากที่มันกระพือปีกสองครั้ง
ลู่ชิงจิ่วรีบปิดประตูบ้านแล้วเข้าไปข้างในทันที
อิ่นสวินที่เฝ้ามองสองคนนั้นพูดคุยกันมาโดยตลอดสีหน้ามีความฉงนใจ ไม่รู้เลยว่าเด็กคนนั้นคือใครกันแน่
ลู่ชิงจิ่ว “ไป๋เยวี่ยหูยังไม่กลับมา พวกเรารอต่อไปเถอะ”
อิ่นสวินทำท่าเบะปาก “คนคนนี้ไม่มีมารยาทจริงๆ มาหาคนอื่นไม่ว่า แต่ทำไมต้องปลอมตัวเป็นไป๋เยวี่ยหูด้วย แบบนี้ไม่ต่างกับพวกหลอกลวงขโมยกอดคนอื่นเลย”
“ไม่รู้สิ”
เด็กคนนั้นก็คือคนที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นในฝัน แน่นอนว่าคุณตาของเขาคงอยากจะบอกอะไรสักอย่าง ทว่าลู่ชิงจิ่วเองในตอนนี้ก็ยังคิดอะไรไม่ออก ประกอบกับว่าถ้าเด็กคนนั้นอยากจะทำร้ายลู่ชิงจิ่วขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยาก แล้วทำไมถึงไม่ลงมือแต่เลือกที่จะจากไป และความหมายของคนสุดท้ายคืออะไรกันแน่ หรือว่ามันคือผู้พิทักษ์คนสุดท้ายงั้นเหรอ
ลู่ชิงจิ่วที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้
โชคดีที่บุคคลปริศนานั้นจากไปได้สักชั่วโมงครึ่ง ไป๋เยวี่ยหูตัวจริงก็กลับมา
แน่นอนว่าลู่ชิงจิ่วในตอนนี้ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ เปิดประตูออกแล้วเพ่งพินิจพิเคราะห์ไปที่ไป๋เยวี่ยหู เมื่อแน่ใจแล้วว่านี่คือไป๋เยวี่ยหูตัวจริง จึงค่อยสวมกอดชายหนุ่ม
ไป๋เยวี่ยหูที่เห็นลู่ชิงจิ่วมองด้วยสายตาแบบนั้นเลยเอ่ยปากถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
ลู่ชิงจิ่ว “ไม่มีอะไรๆ ก็แค่อยากดูว่านายได้รับบาดเจ็บอะไรมั้ย”
ไป๋เยวี่ยหูลูบที่หัวของลู่ชิงจิ่วแล้วพูดว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้เรื่องมันจบแล้ว”
ไป๋เยวี่ยหูตอนที่กลับมายังคงสวมผ้าคลุมสีดำตัวนั้น ทว่าบนผ้าคลุมกลับมีร่องรอยฉีกขาดที่เกิดจากกรงเล็บ อีกทั้งลู่ชิงจิ่วยังได้กลิ่นคาวเลือดที่ตัวของไป๋เยวี่ยหูด้วย แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาพูด เมื่อเข้าไปในบ้าน ไป๋เยวี่ยหูกินอาหารไปนิดหน่อยแล้วก็เข้านอน เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย
หิมะตอนจะมาก็มาในชั่วข้ามคืน เมื่อจะหายไปก็หายไปในชั่วข้ามคืนเช่นกัน และอากาศร้อนในเดือนหกก็ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง
อิ่นสวินที่กลับไปบ้านพบว่าเทียนที่ใช้สะกดวิญญาณได้กลับมาติดเป็นปกติแล้ว ส่วนชาวบ้านก็กลับมาปรากฏตัวกันตามเดิม และมีพฤติกรรมที่ปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง เสี่ยวฮวาที่ตอนแรกแน่วแน่ว่าจะเลิกสอนหนังสือให้หลี่เสี่ยวอวี๋เมื่อได้เห็นหน้าอันมึนงงของหลี่เสี่ยวอวี๋ก็รู้สึกผิดจนน้ำตานองหน้า ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะยอมประนีประนอม
“ต่อให้มีคนต้องตายก็ต้องสอบให้ได้” เสี่ยวฮวาได้แต่ปลอบตัวเองและติวคณิตศาสตร์ระดับโอลิมปิกให้หลี่เสี่ยวอวี๋เหมือนเดิมต่อไป “เหมือนกับที่คนว่าไว้ ตั้งใจเรียนวิชาเลข ฟิสิกส์ เคมี ไปที่ไหนไม่มีอดตาย แม้แต่ในยมโลกก็ตาม”
ลู่ชิงจิ่วได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ปล่อยให้เสี่ยวฮวาพูดไปเรื่อย
เสี่ยวฮวาว่า “เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว นายก็ช่วยสนับสนุนเรื่องติวหนังสือของฉันต่อไปแล้วกันนะ จะลำบากอะไรก็ช่างอย่าให้เด็กต้องลำบาก หรือจะขัดสนอะไรก็ตาม แต่อย่าได้ขัดสนเรื่องการศึกษา” แม้ว่าเด็กคนนี้จะตายไปแล้ว แต่อย่างน้อยๆ เขาก็เป็นเด็กดี
ลู่ชิงจิ่วเดินหนีออกไป เลิกสนใจเสี่ยวฮวาที่พูดพล่าม เขารู้ว่าเสี่ยวฮวาจะต้องใช้เวลาทำใจอีกหน่อยถึงค่อยทำการสอนต่อไปตามเดิมได้
เพียงผ่านไปแค่คืนเดียวสภาพทุกอย่างก็กลับคืนสู่ฤดูร้อนตามปกติ พวกฟืนทั้งหลายก็ใช้ต่อไม่ได้แล้ว ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็นอนหลับอย่างกับคนตาย ถ้าไป๋เยวี่ยหูไม่นำมืออุ่นๆ มาสัมผัสที่ใบหน้า เขาก็คงจะคิดว่าอีกฝ่ายตายไปแล้วแน่ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้อาหารปลุกชายหนุ่มไม่สำเร็จ ลู่ชิงจิ่วเดินถือซุปไก่วนไปมาอยู่ในห้องหลายรอบก็ไม่เห็นว่าไป๋เยวี่ยหูจะตื่น ดูท่าแล้วเขาคงจะเหนื่อยมากจริงๆ
ไป๋เยวี่ยหูนอนพักไปสามวันเต็มๆ เมื่อตื่นขึ้นดวงตาก็เป็นสีเขียวเพราะความหิว ลู่ชิงจิ่วรีบไปเตรียมอาหารให้ทันที อิ่นสวินที่กำลังมาที่บ้านเห็นไป๋เยวี่ยหูจ้องมองมาที่ตัวเองทุกอณูรูขุมขน ก็ถึงกับต้องรีบวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อช่วยลู่ชิงจิ่วทำอาหารให้เสร็จเร็วขึ้น เพราะกลัวว่าไป๋เยวี่ยหูจะหิวจนคุมตัวเองไม่อยู่แล้วกินเขาเป็นอาหารแทน
เพื่อที่จะทำอาหารให้เสร็จไวขึ้น ลู่ชิงจิ่วเลยนำซุปไก่ที่ทำไว้เมื่อวานมาเติมเส้น แล้วโรยด้วยผักชี ตามด้วยไข่เจียวอีกห้าฟองใส่ลงไป ก่อนจะรีบเอาไปเสิร์ฟตรงหน้าไป๋เยวี่ยหู
ไป๋เยวี่ยหูคว้าตะเกียบขึ้นมาแล้วรีบซดด้วยความไวในขณะที่คนอื่นๆ ค่อยๆ กินไปทีละนิด เขาเหมือนจะกินเส้นบะหมี่ไปรวดเดียว ไม่มีแม้แต่จะเคี้ยวสักนิด ลู่ชิงจิ่วเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยืนมองตาค้าง
เมื่อกินเสร็จ ไป๋เยวี่ยหูนั่งเงียบอยู่ประมาณสองนาที จากนั้นค่อยหันหน้าไปทางลู่ชิงจิ่วแล้วพูดเบาๆ ว่า “ยังไม่อิ่ม”
ลู่ชิงจิ่วที่นั่งมองตาค้างตะลึงอยู่ข้างๆ แทบจะสำลักอาหาร เขาไออยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงบอกกับไป๋เยวี่ยหูให้รอ แล้วตัวเองก็เข้าครัวไปทำอาหารอย่างอื่นเพิ่มให้
อิ่นสวินขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพราะถูกจ้องมองโดยไป๋เยวี่ยหู “งั้น…เดี๋ยวฉันไปช่วยงานที่ครัวนะ”
ลู่ชิงจิ่วเตรียมข้าวผัดไข่จานมหึมาให้ไป๋เยวี่ยหู เขามองดูไป๋เยวี่ยหูกินจนหมดทั้งหม้อต่อหน้าต่อตา หลังจากที่กินเสร็จอารมณ์ของไป๋เยวี่ยหูก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ
แม้ว่าไป๋เยวี่ยหูจะไม่ได้โอดครวญถึงความหิวแล้วก็ตาม แต่ลู่ชิงจิ่วรู้จักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ทำให้รู้ว่าไป๋เยวี่ยหูยังไม่อิ่ม ดังนั้นทั้งวันของเขาจึงง่วนอยู่กับการเสิร์ฟอาหารให้ไป๋เยวี่ยหูอย่างไม่หยุดหย่อน
พอถึงตอนเย็น ในที่สุดไป๋เยวี่ยหูก็กินอิ่มเสียที ส่วนเรื่องที่ลู่ชิงจิ่วรู้ได้อย่างไรว่าไป๋เยวี่ยหูอิ่มแล้วนั้นก็เพราะว่าลู่ชิงจิ่วสังเกตพฤติกรรมและสายตาของไป๋เยวี่ยหูที่มองมายังอิ่นสวินอย่างมีเลศนัย สายตาที่มองมาที่ตัวอิ่นสวินนั้นไม่ใช่เพราะเกิดความสนใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่เป็นการชั่งน้ำหนักรสชาติของอีกฝ่ายว่าน่ากินมากน้อยแค่ไหนต่างหาก ถ้าจะให้เทียบดูแล้ว ก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เห็นไอศกรีมริมถนน ด้วยฐานะยากจนจึงได้แต่มองตาปริบๆ แม้ว่าพ่อแม่เด็กจะถามว่าอยากกินมั้ย เด็กก็จะส่ายหน้าปฏิเสธแล้วบอกว่าตัวเองไม่อยากกิน
ส่วนอิ่นสวิน ณ เวลานี้ก็เริ่มตระหนักถึงสถานะของตัวเองในบ้านหลังนี้มากขึ้นว่าตนเองนั้นไม่ต่างจากเสบียงฉุกเฉิน ถ้าหากว่าวันไหนที่ไป๋เยวี่ยหูหิวจนขาดสติขึ้นมาคาดว่าตัวเขาคงจะโดนเขมือบแน่นอน
ลู่ชิงจิ่วไม่ถามต่อแล้วว่าไป๋เยวี่ยหูอิ่มหรือยัง เพราะยังไงเขาก็เข้าใจดีว่าตัวเขมือบอย่างไป๋เยวี่ยหูอย่างไรก็ไม่มีทางกินอิ่มแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีถามเป็นแบบที่ชาญฉลาดกว่าเดิมว่ายังอยากกินอะไรอีกมั้ย
ไป๋เยวี่ยหูส่ายหน้า “ไม่เอาแล้ว นายพักก่อนเถอะ นั่งลงคุยอะไรกับฉันหน่อย”
ลู่ชิงจิ่วตอบตกลงพร้อมนั่งลงข้างกายไป๋เยวี่ยหู
ทั้งสองได้พูดคุยกัน โดยไป๋เยวี่ยหูได้เล่าเรื่องที่มาที่ไปของเหตุการณ์หิมะที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจากการที่ทั้งสองโลกเกิดรอยรั่วระหว่างกัน สิ่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกจึงได้หลุดลอดเข้ามา แต่สุดท้ายก็ถูกจัดการส่งกลับไป แก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นได้สำเร็จ แม้ว่าที่เล่ามาคร่าวๆ นั้นสถานการณ์จริงจะน่ากลัวและอันตรายมากกว่าหลายร้อยเท่าก็ตาม
ลู่ชิงจิ่วฟังเรื่องที่ไป๋เยวี่ยหูเล่าและถามว่า “นายไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่มั้ย”
ไป๋เยวี่ยหูนิ่งไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ “ก็นิดหน่อย”
ลู่ชิงจิ่ว “ฉันขอดูหน่อย”
ไป๋เยวี่ยหูแสดงสีหน้าลังเลนิดหน่อย แต่ลู่ชิงจิ่วยังยืนกรานว่าจะขอดู สุดท้ายเขาจึงยอม อิ่นสวินที่อยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกันแต่ไม่อยากจะเข้าไปร่วมวงด้วยได้แต่มองไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่วเดินเข้าไปในห้อง ส่วนตัวเขาเองก็หาข้ออ้างว่าจะไปทำความสะอาดลานบ้าน
เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ลู่ชิงจิ่วจึงสังเกตบาดแผลที่ร่างกายส่วนบนของไป๋เยวี่ยหูหลังจากถอดเสื้อออกมา แม้จะบอกว่าเป็นแผลเล็กน้อย แต่ลู่ชิงจิ่วก็เห็นว่าที่ผิวหนังของไป๋เยวี่ยหูมีทั้งบาดแผลที่โดนความเย็นจนช้ำ และส่วนบนของร่างกายแทบจะไม่มีสภาพที่ดูสมบูรณ์ปกติเลย แผลเล็กแผลน้อยกระจายไปทั่วทั้งตัว จนขนาดว่าบางแผลลึกจนเห็นถึงกระดูกขาวๆ ไม่ต้องคิดที่จะถามถึงความเจ็บปวดเลยว่าจะเจ็บขนาดไหน ลู่ชิงจิ่วเห็นแบบนั้นก็รู้สึกหดหู่แทบขาดใจ เขายื่นนิ้วออกไปแตะบริเวณขอบแผลและถามว่า “ต้องการให้ฉันช่วยจัดการให้มั้ย แบบนี้นานแค่ไหนถึงจะดีขึ้นล่ะ”
ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือออกมากุมที่ข้อมือของลู่ชิงจิ่วและนำมือของเขาขึ้นมาแตะที่บาดแผลของตน
“ไม่เจ็บหรอก ขอแค่นายมาสัมผัสยังไงก็ไม่เจ็บหรอก” ไป๋เยวี่ยหูพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ลู่ชิงจิ่วกลัวจะไปทำให้ไป๋เยวี่ยหูเจ็บกว่าเดิมจึงรีบดึงมือออก เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของไป๋เยวี่ยหูก็พูดว่า “เวลานี้ยังจะมาพูดแบบนี้อีกนะ”
ไป๋เยวี่ยหูพูดด้วยเสียงที่ทุ้มลงเล็กน้อย “ถ้านายจูบฉันสักหน่อยก็หายเจ็บแล้ว”
ลู่ชิงจิ่วไม่มีทางเลือก เขาไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ เพียงแต่ตอนแรกแค่กลัวว่าบาดแผลของไป๋เยวี่ยหูจะปริออกหนักกว่าเดิม ดังนั้นจึงทำตามที่อีกฝ่ายขอ
ใครจะไปคิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะมีลูกเล่น เขากะพริบตามองไปที่ลู่ชิงจิ่ว สายตาที่ดูกระหายและใสซื่อทำให้ใครที่เห็นเข้าล้วนแต่อดใจไม่ไหว ลู่ชิงจิ่วได้แต่เก็บคำปฏิเสธของตนเอาไว้และไม่ทันได้พูดออกมา สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วพูดว่า “เอาเถอะ แต่ว่าครั้งนี้นายห้ามขยับนะ ให้ฉันจัดการเอง”
“ได้สิ”
ลู่ชิงจิ่วเอื้อมมือไปผลักไป๋เยวี่ยหูลงกับเตียง ค่อยๆ เริ่มจูบไปที่คางของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปที่บาดแผลตามตัวของไป๋เยวี่ยหู ในใจได้แต่ถอนหายใจออกมายาวๆ ที่เห็นไป๋เยวี่ยหูบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เขาเองก็ทำใจไม่ได้ที่จะให้ไป๋เยวี่ยหูต้องเจ็บอีก อีกอย่างอยู่ด้านบนก็มีวิธีทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน
ลู่ชิงจิ่วเล่นหูเล่นตาและยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ
ไป๋เยวี่ยหูที่เห็นแบบนั้นยิ่งเหมือนถูกยั่วยวนให้ใจเต้นแรง จนท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว คว้ามือไปโอบที่คอของลู่ชิงจิ่ว และแล้วทั้งสองก็คลอเคลียกันอย่างนี้