everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 95-96 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4
ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)
แปลโดย : ธันวาตุลาคม
ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์
มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 95 เรื่องยิบย่อย
สายตาของทุกคนยังคงจับจ้องไปที่ไหใบนั้น บรรยากาศในห้องเงียบจนดูวังเวง
สุดท้ายลู่ชิงจิ่วก็ทนกับบรรยากาศนี้ไม่ไหวจึงถามไป๋เยวี่ยหูว่าไหนี้มันเป็นมายังไงกันแน่ ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือไปเคาะที่ตัวไหอยู่สองครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ
“มันไม่ยอมพูด” ไป๋เยวี่ยหูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งั้นก็จับมันกินไปเลยแล้วกัน”
ลู่ชิงจิ่ว “…”
ไป๋เยวี่ยหูพูดอย่างจริงจังต่อไปอีกว่า “กินแล้วก็จบเรื่อง”
ไหนั้นได้ยินที่ไป๋เยวี่ยหูพูดก็เริ่มออกอาการสั่นและทำตัวน่าสงสารขึ้นมาอีกครั้ง มันอยากจะร้องออกมาแต่เพื่อรักษาชีวิตตัวเองจึงต้องกลั้นเอาไว้ไม่ให้ร้อง
ลู่ชิงจิ่ว “…ไหมันกินได้จริงๆ เหรอ”
“ข้างในมันมีเนื้ออยู่” ไป๋เยวี่ยหูมองที่ไหแล้วพูดออกมา “แต่ว่าดูท่าแล้วคงไม่ใช่เนื้อที่อร่อยอะไรมากนักหรอก”
สามคนที่เหลือเงียบยิ่งกว่าเดิม ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีได้ยินเนื้อหาที่ทั้งสองพูดคุยกันก็ถึงกับตกใจ ถ้าหากไม่ใช่ว่าเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็คงไม่เชื่อว่าไหในมือของไป๋เยวี่ยหูมีปีศาจอยู่ แถมยังพูดถึงเนื้อที่อยู่ข้างในอีก ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าที่ไป๋เยวี่ยหูพูดมันฟังดูเหมือนจะกินปูอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินหรอก อีกสักพักก็จะได้ไปกินเนื้อย่างแล้ว” ลู่ชิงจิ่วรีบพูดเกลี้ยกล่อมไป๋เยวี่ยหู “แล้วพวกคุณจะทำยังไงกับไหนี่ต่อล่ะครับ” เขามองไปที่หูซู่
หูซู่ที่ถูกถามไปต่อไม่ถูก “ไม่รู้เหมือนกัน ดูแล้วเจ้าทุกข์ก็ไม่ได้แจ้งความเท็จ โยนทิ้งไปเลยดีมั้ย หรือไม่ก็ทุบให้พังไปเลย” เขากลัวเจ้าสิ่งนี้จริงๆ
“หรือว่าไปกินข้าวกันก่อนดีกว่ามั้ยครับ” จะว่าไป ก็รอมาตั้งนานแล้ว ลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา และดูท่าทางว่าเรื่องไหผีสิงนี่คงเคลียร์ไม่จบง่ายๆ สู้คุยไปด้วยกินไปด้วยน่าจะดีกว่า
“งั้นก็ได้” หูซู่ที่คิดว่าใกล้จะเลิกเวรแล้วจึงเห็นด้วยกับสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วกล่าวมา
ไป๋เยวี่ยหูนำไหกลับไปวางไว้บนโต๊ะตามเดิม ทุกคนค่อยๆ ทยอยออกจากห้องอย่างระมัดระวังและล็อกประตูเอาไว้
เพื่อนร่วมงานที่ต้องเข้าเวรต่อมาถึง เขาเห็นหูซู่และเพื่อนๆ ที่เหลือ หูซู่จึงแนะนำลู่ชิงจิ่วให้รู้จักพร้อมกำชับเพื่อนที่มารับเวรต่อว่าห้ามเปิดประตูห้องนั้นโดยเด็ดขาด
เพื่อนร่วมงานทำหน้าสงสัย “ทำไมถึงห้ามเปิดประตูล่ะ ข้างในเก็บอะไรไว้น่ะ”
ผังจื่อฉี “บอกว่าห้ามเปิดก็อย่าเปิด ถามอะไรเยอะแยะ”
เพื่อนร่วมงาน “บ้าเอ๊ย ผังจื่อฉี นายกับหูซู่ไปเก็บของกลางแปลกๆ มาได้อีกแล้วสินะ”
ผังจื่อฉีและหูซู่มองหน้ากันเอง ทั้งสองรู้สึกใจคอไม่ดี แต่ก็ต้องฝืนทำตัวไม่ให้มีพิรุธ
ผังจื่อฉี “นายพูดอะไรน่ะ ฉันใช่คนแบบนั้นซะที่ไหน ไป หูซู่ ไปกินข้าวดีกว่า หิวจะแย่อยู่แล้ว”
หูซู่ “ไปๆๆ”
แน่นอนว่าเมื่อเดินไปถึงที่หน้าประตู หูซู่เองก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปเตือนเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามห้ามเปิดประตูนั้นเด็ดขาด
เพื่อนร่วมงานมองหน้าพวกเขาทั้งสองอย่างสงสัย
ระหว่างทางที่กำลังไปร้านเนื้อย่างพวกเขาก็ได้คุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไปด้วย ทุกคนเห็นตรงกันว่าไหนั่นไม่สามารถโจมตีใครได้ ไม่งั้นคนที่โดนคนแรกก็ต้องเป็นคนที่แจ้งความ แค่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างในนั้นกันแน่
“ปกติพวกนายชอบเอาของแปลกๆ มาเก็บไว้ที่โรงพักเหรอ” อิ่นสวินได้ยินที่เพื่อนตำรวจพูดเมื่อครู่เลยถามออกมาอย่างสงสัย
หูซู่มองไปที่หน้าผังจื่อฉีซึ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่ผังจื่อฉีจะมาอยู่ที่นี่ หูซู่คือนายตำรวจเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่ง แต่หลังจากที่ผังจื่อฉีมาแล้ว แนวทางการทำคดีของพวกเขาก็เบนไปทางสืบสวนพวกคดีลี้ลับ แล้วก็มีหลายครั้งที่บางเรื่องยิ่งสืบก็ยิ่งน่ากลัว
อิ่นสวินถาม “อย่างเช่นเรื่อง?”
“อย่างอาทิตย์ที่แล้วก็มีคนมาแจ้งความว่าแมวที่บ้านหายไป” หูซู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อิ่นสวินรู้สึกประหลาดใจ “แค่หาแมวไม่เจอเลยมาแจ้งความเนี่ยนะ”
“ก็เมืองนี้มันเล็ก คดีอะไรก็รับแจ้งทั้งนั้นแหละ” หูซู่ถอนหายใจ “ตอนนั้นพวกเราไปดูที่เกิดเหตุก็ไม่เห็นแมวจริงๆ แต่ว่าแมวตัวนั้นเหมือนถูกปีศาจกินเข้าไป”
“ถูกกินเข้าไป?” ลู่ชิงจิ่วเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา
หูซู่พูด “ใช่แล้ว ตอนที่เจอซากของแมวก็เหลือแต่ขนและชิ้นส่วนของมันเพียงเล็กน้อย เรียกว่าแทบจะถูกกินจนไม่เหลือซากเลย” เขาถอนหายใจยาว “ตอนนั้นพวกเราก็สงสัยว่ามีสัตว์ป่าหลุดมาจากบนเขาหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่มาก เลยต้องรีบสืบเรื่องต่อไป”
อิ่นสวิน “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
หูซู่นั่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไร เขาใช้สายตาอันคับแค้นใจมองไปที่ผังจื่อฉี
ผังจื่อฉีถอนหายใจ พูดต่อจากส่วนที่หูซู่ไม่ได้พูดไป “หลังจากนั้นก็มีอยู่คืนหนึ่งที่พวกเราหาตัวฆาตกรที่ฆ่าแมวตัวนั้นเจอ”
ทุกคนนั่งเงียบตั้งใจฟัง
ผังจื่อฉี “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งนั้นมันคือตัวอะไรกันแน่ มันมีส่วนที่คล้ายๆ ลิง แล้วก็คล้ายคนด้วยตอนที่เจอมันกำลังห้อยอยู่บนหลังคา โดยที่มือมันยังถือซากแมวที่กัดกินไปแล้วครึ่งหนึ่งไว้อยู่”
“บนพื้นมีแต่คราบเลือดและเศษซากกระดูก พระเจ้า ภาพแบบนั้นชาตินี้ฉันคงไม่มีทางลืมได้ลงแน่” หูซู่พูดอย่างเจ็บปวดใจ
โชคยังดีที่ตอนนั้นพวกเขาพกปืนไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้เกิดเหตุไม่คาดฝันแน่ ทว่าเรื่องไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะวันนั้นสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาเกาะแกะที่ตัวของหูซู่ด้วย และมันได้ทิ้งบาดแผลเอาไว้ซึ่งกว่าจะหายก็ปาไปแล้วหลายสิบวัน
เรื่องที่เล่าจบลงในขณะที่ทุกคนเดินเข้าไปในร้านพอดี
ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีน่าจะเป็นขาประจำของร้านนี้ เพราะทันทีที่เจ้าของร้านเห็นหน้าพวกเขาก็คลี่ยิ้มออกมา “วันนี้เอาเหมือนเดิมใช่มั้ย”
หูซู่ “วันนี้ขอเป็นเนื้อแกะแล้วกันครับ แล้วก็เอาเบียร์สองแพ็กแบบแช่เย็นครับ”
เจ้าของร้าน “ได้เลย เซี่ยงจี๊* ย่างสักสองไม้ด้วยมั้ย ของเพิ่งมาลง สดๆ ใหม่ๆ เลย”
หูซู่ “ได้ครับ แล้วมีเนื้อส่วนตรงอกมั้ยครับ”
เจ้าของร้าน “มีๆ แต่ว่าไม่เยอะมากนะวันนี้”
หูซู่ “งั้นก็ตามนี้เลย”
ลู่ชิงจิ่วที่กำลังนั่งฟังอยู่ข้างๆ ได้กลิ่นหอมๆ ของเนื้อย่าง ปัจจุบันจะหาร้านในเมืองที่ใช้เตาถ่านย่างอยู่นอกร้านแบบนี้ไม่ง่ายแล้ว เพราะหนึ่งคือทำให้เสียทัศนียภาพและสองเป็นมลพิษทางอากาศ แน่นอนว่าเมืองเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้พิถีพิถันกับเรื่องเหล่านี้มากนัก อย่างไรก็ตามบริเวณที่ผู้คนอาศัยอยู่ก็แวดล้อมไปด้วยป่าไม้และภูเขา ซึ่งแทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศเลย
เนื้อส่วนอกคือส่วนบนของเนื้อวัวที่มีไขมันสีขาวๆ แทรกอยู่ ซึ่งคนที่ไม่เคยกินอาจจะรู้สึกว่าเลี่ยนไปหน่อย แต่ว่าเมื่อย่างแล้วจะให้รสชาติที่ดีมาก เนื้อเหนียวนุ่ม ละมุนปาก เมื่อกัดลงไปส่วนมันจะกระเซ็นออกมาแถมยังมีความหอมเฉพาะตัวของมันอีกด้วย เนื้อส่วนนี้ค่อนข้างจะน้อย ใช่ว่าจะหากินที่ไหนก็ได้ ดูท่าทางแล้วร้านนี้ถือว่าไม่เลวเลย
ในขณะที่รออาหาร หูซู่ก็ได้พูดกับผังจื่อฉีถึงคดีที่เขารับผิดชอบ คดีพวกนี้เขาต้องไขแบบไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่มันเพิ่มความซับซ้อนขึ้นมาจนจากคดีธรรมดาๆ เริ่มจะเบนไปในทางที่ไม่ค่อยปกติ อย่างเช่นคดีเรื่องไหสองใบวันนี้ ตอนที่พวกเขาทั้งสองรับเรื่องก็คิดว่าคนแจ้งความต้องมีปัญหาทางจิตแน่นอน ใครจะไปรู้ว่าที่มีปัญหาไม่ใช่คนที่แจ้งความแต่กลับเป็นไหสวยๆ สองใบนั้น
หูซู่รู้ว่าลู่ชิงจิ่วไม่ใช่คนธรรมดาและเมื่อเขาเห็นเบียร์ที่มาเสิร์ฟถึงโต๊ะจึงรีบรินเหล้าให้ลู่ชิงจิ่วโดยทันที “พี่ลู่ ควรจะทำยังไงกับไหใบนั้นดี พวกเราคงปล่อยทิ้งไว้ที่โรงพักอย่างนี้ไม่ได้หรอก”
ลู่ชิงจิ่วดื่มไปอึกหนึ่งแล้วพูดว่า “ผมเองก็ไม่ได้มีวิธีที่ดีอะไรหรอก กินข้าวกันก่อนดีกว่า อิ่มแล้วค่อยว่ากัน”
เขาพูดแล้วมองไปที่ไป๋เยวี่ยหู ถึงอย่างไรถ้าไม่ทำให้คนอย่างไป๋เยวี่ยหูอิ่มเสียก่อนรับรองได้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะไม่มีอารมณ์มายุ่งเรื่องนี้ด้วย
ไป๋เยวี่ยหูแทบไม่มีกะจิตกะใจกับเรื่องของคดีที่กำลังคุยกัน เขาสนใจเนื้อย่างที่กำลังพลิกไปพลิกมาบนเตาถ่านพร้อมส่งกลิ่นหอมๆ มากกว่า เนื้อย่างมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อแกะที่ขนาดกำลังพอดีและสดใหม่ บนเนื้อโรยด้วยเครื่องเทศและพริกสดที่กำลังส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว
“ไม่งั้นพวกเราค่อยไปปรึกษาเจ้าทุกข์ดีกว่า” หูซู่ยังคงง่วนอยู่กับเรื่องคดีของเขา “เพราะไหนี่มันเป็นสมบัติตกทอดของบ้านเขานี่ แล้วทำไมก่อนหน้าไม่เคยพบเห็นอะไรแปลกๆ เลยล่ะ หรือว่าตัวประหลาดนั่นจะปรากฏตัวออกมาเมื่อมีเงื่อนไขอะไรบางอย่าง”
นิ้วของผังจื่อฉีเคาะไปมาบนโต๊ะ “งั้นเดี๋ยวฉันเรียกเขามาที่นี่แล้วกัน”
หูซู่ว่า “กลัวว่าเขาจะไม่ยอมมาน่ะสิ”
ผังจื่อฉีอารมณ์ร้อน กัดฟันพูดขึ้นมา “ไม่ยอมก็ต้องยอมแล้วล่ะ พวกเราเป็นตำรวจนะ ไม่ใช่พ่อมดหมอผี ถ้าเป็นเรื่องให้เรารับผิดชอบความปลอดภัยของผู้คนก็พอว่า แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว” แม้ว่าความจริงเรื่องนี้แค่ส่งไปที่แผนกนั้นให้มาดูแลก็จบแล้ว
หูซู่ถอนหายใจและเริ่มบ่นว่าพักนี้คดีเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีคดีอะไรเลย ตั้งแต่ผังจื่อฉีมาประจำที่นี่ก็เหมือนได้เปิดโลกใหม่ๆ ให้กับเขา แม้ว่าโลกใบใหม่นั้นเขาไม่ได้อยากจะเข้าไปเกี่ยวด้วยก็ตาม
ลู่ชิงจิ่วที่นั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันกลับรู้สึกใจเต้น เพราะเขานึกไปถึงเรื่องหิมะตกที่หมู่บ้านครั้งนั้น หรือว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้จะมีส่วนเชื่อมโยงกับอีกโลก เพราะถ้าหากเส้นพรมแดนของทั้งสองภพบางลงเรื่อยๆ จริงๆ แล้วล่ะก็ การใช้ชีวิตของหูซู่และผังจื่อฉีก็คงจะเป็นตัวสะท้อนเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี แล้วพวกมนุษย์ก็จะเจอเรื่องสัตว์ประหลาดและเรื่องแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องทำนองนี้คงจะยังไม่มีใครสามารถจัดการได้
เถ้าแก่ของร้านทำอาหารเร็วมาก ตอนนี้เนื้อแกะเสียบไม้ได้ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้ว
อากาศแบบนี้ต้องดื่มเบียร์เย็นๆ กับเนื้อที่เพิ่งย่างมาใหม่ๆ เนื้อแกะย่างถูกหั่นออกเป็นชิ้นบางๆ เวลาย่างรสชาติจึงเข้าเนื้อเป็นอย่างดี ลู่ชิงจิ่วหยิบขึ้นมาหนึ่งไม้ กินไปพร้อมกับเบียร์เย็นๆ
ไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวินไม่ค่อยสนใจพวกเครื่องดื่มมากนัก ทั้งหัวใจของพวกเขามอบให้กับเนื้อแกะเสียบไม้ไปแล้ว
ส่วนทางหูซู่และผังจื่อฉีก็ได้ข้อสรุปตรงกัน โดยตัดสินใจว่าพรุ่งนี้ให้เชิญเจ้าทุกข์คนนั้นมาอีกรอบเพื่อให้ปากคำอย่างละเอียดเกี่ยวกับไหพวกนั้น
“พี่ลู่ ตัวประหลาดที่อยู่ในไหนั่นมันเป็นอันตรายกับคนมากมั้ย” หูซู่กังวลเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
ลู่ชิงจิ่วยังไม่ทันได้ปริปากพูด ไป๋เยวี่ยหูก็พูดแทนขึ้นมาเองว่า “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก” ไม่งั้นเขาคงไม่ให้ลู่ชิงจิ่วเข้าไปร่วมวงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรอก
ผังจื่อฉีถาม “แปลว่านอกจากเสียงที่น่ารำคาญก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้วใช่มั้ย”
“อืม” ไป๋เยวี่ยหูตอบ เห็นได้ชัดว่าอาหารมื้อนี้ถูกอกถูกใจไป๋เยวี่ยหูไม่น้อย เพราะแบบนั้นเขาถึงได้พูดมากกว่าปกติ “ถึงฉันจะไม่เคยเห็นเจ้านี่มาก่อน แต่จากกลิ่นอายของมันแล้วไม่ได้มีพลังของพวกปีศาจอยู่ในตัว”
“ไม่มีกลิ่นอายปีศาจหมายถึงไม่อันตรายต่อผู้คนใช่มั้ย” หูซู่ย้ำอีกครั้ง
ไป๋เยวี่ยหูพยักหน้า
ลู่ชิงจิ่วพอจะเดาออกถึงสิ่งที่ผังจื่อฉีและหูซู่ได้ตกลงกันและก็เป็นไปตามที่คาดไว้เมื่อทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
ผังจื่อฉี “ในเมื่อไม่มีอันตรายอะไรงั้นก็ให้เขาเอากลับไปแล้วกันเนอะ จะเก็บไว้ที่สถานีตำรวจตลอดก็ไม่ได้ด้วย ไม่งั้นจะเสียภาพลักษณ์ตำรวจแย่”
หูซู่ “ใช่ๆ พูดถูก เขายังวัยรุ่นอยู่เลย ต้องกล้าๆ หน่อย ก็แค่ไหใบหนึ่งที่มีคนอยู่ในนั้นเอง อย่างมากก็อาจจะแค่เลี้ยงเพิ่มอีกสักปากท้องหนึ่ง”
ผังจื่อฉี “งั้นก็ให้เขามารับไปพรุ่งนี้แล้วกัน”
หูซู่ “ได้เลย ตามนี้แล้วกัน”
ลู่ชิงจิ่ว “…” เขาได้แต่นั่งงงที่เห็นพวกเขาทั้งสองรับส่งกันอย่างเข้าขาขนาดนี้ แล้วที่สำคัญดูจัดการกันอย่างชำนาญ ไม่รู้ว่าเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมากี่รอบแล้วกันแน่
เรื่องยุ่งๆ ก็ถือว่าจัดการตามนี้ ทั้งหูซู่และผังจื่อฉียิ้มกว้างออกมาด้วยความโล่งใจ
ส่วนไป๋เยวี่ยหูก็ยังคงง่วนอยู่กับเนื้อแกะย่างของเขา ดูท่าตอนนี้เขากำลังตกหลุมรักอาหารประเภทนี้เข้าแล้ว
แกะย่างเสียบไม้ร้านนี้รสชาติถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ลู่ชิงจิ่วกินไปพูดไปและเพลิดเพลินกับอาหารมื้อนี้มากจนลืมตัวไปเลยว่าตอนนี้ก็ดึกแล้ว ในเมื่อมื้อนี้ลู่ชิงจิ่วไม่ได้เป็นคนจ่าย ไป๋เยวี่ยหูจึงยัดเต็มที่อย่างไม่เกรงใจจนวัตถุดิบที่ทางร้านตุนเอาไว้หายเกลี้ยงในพริบตา ดีที่หูซู่รู้ดีว่าไป๋เยวี่ยหูกระเพาะไม่ธรรมดา จึงเตรียมใจไว้แล้วก่อนหน้า แต่เมื่อถึงตอนที่คิดเงินหูซู่เองก็ยังคงเจ็บจี๊ดราวกับถูกไม้จิ้มฟันทั้งกล่องทิ่มเข้ากลางอก
“เรื่องครั้งที่แล้วต้องขอบคุณพวกคุณมากๆ เลยนะ” ผังจื่อฉีค่อนข้างดื่มหนัก ส่วนหูซู่เองยังมีสติอยู่ ก่อนที่จะแยกย้ายหูซู่กล่าวขอบคุณกับลู่ชิงจิ่วอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ” ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นไป๋เยวี่ยหูต่างหาก”
หูซู่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะออกมาไม่พูดอะไรต่อ แม้ว่าคนที่ให้ความช่วยเหลือจะเป็นไป๋เยวี่ยหู แต่ถ้าไม่มีลู่ชิงจิ่วเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว เรื่องก็คงจะจัดการไม่สำเร็จ เพราะไป๋เยวี่ยหูดูท่าไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ ฉะนั้นถ้าไม่มีลู่ชิงจิ่ว พวกเขาเองก็คงจะไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ประกอบกับตอนนี้ได้คลุกคลีอยู่กับผังจื่อฉีมาพักหนึ่งทำให้หูซู่พอจะเดาสถานะที่แท้จริงของไป๋เยวี่ยหูออกอยู่บ้าง เขารู้ว่าไป๋เยวี่ยหูไม่ใช่มนุษย์ แต่ส่วนว่าเป็นอะไรนั้นตัวเขาไม่ขอพิสูจน์ดีกว่า
ก่อนจะแยกย้ายกันไป ไป๋เยวี่ยหูมองหน้าหูซู่แล้วพูดจาอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อนว่า “ถ้าเรื่องไหจัดการไม่ได้ ก็เอามาให้ฉันจัดการได้นะ”
หูซู่รู้สึกประหลาดใจแต่ก็รีบกล่าวขอบคุณทันที
ไป๋เยวี่ยหูไม่ตอบกลับอะไรหลังจากนั้น เขาหันหลังกลับไปที่รถ ลู่ชิงจิ่วรู้สึกประหลาดใจเลยถามว่าทำไมครั้งนี้ถึงดูออกตัวขนาดนี้
“เนื้อแกะย่างอร่อยดี” ไป๋เยวี่ยหูพูดตรงๆ
ลู่ชิงจิ่วพูดไม่ออกไปพักหนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมา เขาไม่คิดว่าไป๋เยวี่ยหูจะถูกซื้อง่ายๆ ด้วยเนื้อแกะย่าง ทว่าเมื่อหัวเราะไปได้พักหนึ่งลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา เพราะเขานึกถึงเรื่องที่เส่าเฮ่าชักชวนให้ไป๋เยวี่ยหูไปทำงาน และดูเหมือนว่าจะได้เงินเพิ่มมาแค่ห้าร้อยหยวนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ยังไม่พอกับเนื้อแกะย่างหนึ่งมื้ออยู่ดี
“พรุ่งนี้กลับไปตุ๋นเนื้อกินกัน” ลู่ชิงจิ่วประกาศออกไป “เอาขาหมูไปตุ๋นทำเซาไป๋* แล้วกัน”
ตามที่เสี่ยวฮวาเคยพูดไว้ จะลำบากแค่ไหนก็ไม่ควรให้เด็กลำบาก จอมเขมือบประจำบ้านอย่างไป๋เยวี่ยหูถ้าไม่เลี้ยงดูให้อุดมสมบูรณ์มีหวังคงได้ถูกหลอกง่ายๆ ด้วยเนื้อแกะย่าง
ส่วนทางหูซู่และผังจื่อฉีเมื่อพวกเขาได้รับคำยืนยันจากปากของไป๋เยวี่ยหูว่าไหนั่นไม่มีอันตรายก็รู้สึกสบายใจ หูซู่ไปส่งผังจื่อฉีที่หอก่อน หลังจากที่เขาอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวเข้านอนอย่างสบายใจ
แต่ใครจะรู้ว่าพอเอนตัวนอนเท่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หูซู่รับโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างงัวเงียและพบว่าเป็นสายมาจากเพื่อนร่วมงานของเขา
“ฮัลโหล มีอะไร” หูซู่รับโทรศัพท์
[หูซู่!] เสียงของเพื่อนร่วมงานดังออกมาจากสาย [นายกับผังจื่อฉีไปเอาอะไรกลับมาอีกแล้วเนี่ย ฉันหูจะแตกอยู่แล้ว]
หูซู่อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า “ใจเย็นก่อน นี่นายไม่ได้ไปเปิดห้องนั้นใช่มั้ย”
เพื่อนร่วมงาน [ไม่ได้เปิด นายรีบมาจัดการเลยนะ ฉันใกล้จะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว]
หูซู่ “ฉันจัดการไม่ได้หรอก ต้องรอให้พรุ่งนี้ก่อนถึงจะจัดการได้ ไม่งั้นตอนนี้ก็หาอะไรมาอุดหูไปก่อนแล้วกัน”
ทั้งสองเถียงกันอยู่สักพักใหญ่ จนสุดท้ายหูซู่ต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะรีบมาจัดการให้ในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน เพื่อนร่วมงานถึงยอมปล่อยไป ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงโดนตามรังควานไม่หยุดแน่นอน
หูซู่ล้มตัวนอนหลับจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เขาลากผังจื่อฉีที่สภาพเมาค้างไปเข้างาน พอเข้าไปถึงที่ตัวสถานีพวกเขาก็เห็นสภาพของเพื่อนร่วมงานที่ขอบตาดำคล้ำ สายตามองมาที่เขาทั้งสองด้วยความอเนจอนาถ
“สะ…สวัสดี” ผังจื่อฉีที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแต่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อถูกจ้องจึงรีบโบกมือทักทายไป
“สวัสดีกับผีน่ะสิ พวกนายรีบไปจัดการไอ้ของบ้าๆ นั่นเลยนะ หูฉันจะแตกอยู่แล้ว และอีกอย่างถ้าผู้กำกับมาแล้วเกิดได้ยินเสียงพวกนี้ล่ะก็…” เพื่อนร่วมงานหยิบกระดาษที่อุดหูออกมาอย่างทุกข์ทรมาน
“ได้ๆๆ ฉันจะรีบจัดการให้เลย” หูซู่ยอมทำตามทันทีเพราะเขาเองก็ไม่อยากจะให้ผู้กำกับต้องมาเห็นอะไรที่ยุ่งยากแบบนี้เหมือนกัน
หูซู่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรเรียกเจ้าทุกข์ให้มาที่สถานีตำรวจในทันที
คนที่เข้าแจ้งความคือเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อเฉินซวี่หยาง ตอนแรกที่ได้ยินเขาก็ปฏิเสธทันที แต่หูซู่ขู่ออกไปว่าถ้าไม่มาจะเอาไปส่งไว้ให้ที่หน้าบ้าน
เฉินซวี่หยางทำอะไรไม่ได้จึงต้องจำใจตอบตกลง
แน่นอนว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อไหใบนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้ตกลงว่าจะมาที่สถานีตำรวจ แต่เขาก็เล่นตัวลีลาอยู่นานกว่าจะมาถึง
หูซู่ที่ก่อนหน้าได้ตระเตรียมของเอาไว้แล้วนำไหสองใบบรรจุใส่กล่องเป็นที่เรียบร้อยเพื่อเตรียมส่งมอบให้เฉินซวี่หยางเอากลับไป
“ผมขอไม่เอากลับไปได้มั้ย” เฉินซวี่หยางถูกยัดเยียดใส่มือจนร้องไห้
“ไม่ได้ นี่มันของของนาย ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะมาเที่ยวเอาของของประชาชนได้ยังไง” หูซู่พูดอย่างไร้เยื่อใย
เฉินซวี่หยาง “…”
หูซู่ “ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันคือของประจำตระกูลนายนี่ จะมาซี้ซั้ววางได้ยังไง” ว่ากันตามตรงของสิ่งนี้คือสมบัติตกทอดตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ และแน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้ก็ได้ยินมาจากเฉินซวี่หยาง
เฉินซวี่หยางมองไปที่ไหนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาพูดขึ้นว่า “ถ้างั้นผมเอาไปบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ได้มั้ย ยังไงมันก็เป็นโบราณวัตถุ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เก็บเอาไว้จนถึงตอนนี้หรอก”
หูซู่เอ่ย “งั้นนายก็ลองไปติดต่อที่พิพิธภัณฑ์เอานะ ดูว่าเขาจะรับมั้ย”
เฉินซวี่หยาง “งั้นก่อนที่ทางนั้นจะรับของชิ้นนี้ไป…”
หูซู่ “นายก็เอากลับไปที่บ้านและดูแลมันให้ดีก่อน”
เฉินซวี่หยาง “…”
หูซู่นึกถึงเสียงร้องไห้ของมันที่ดังจนหูแทบแตกแล้วก็พูดออกไปว่า “มันคือไหที่ดีนะ”
เฉินซวี่หยางเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน เขาคิดว่าถ้ามันเป็นของดีแล้วทำไมต้องพยายามให้เขารีบเอากลับไปด้วย
แม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่ด้วยความที่หูซู่มาในมาดของการทำงาน เฉินซวี่หยางจึงจำใจต้องเอาไหกลับไปไว้ที่บ้านตามเดิมและทันทีที่ไหนั้นถูกหิ้วกลับไป ความสงบก็ได้กลับมาเยือนที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เสียงดังอึกทึกก็พลอยหายไปด้วยเช่นกัน
“ไหนั่นมันเกิดอะไรขึ้นอีกเหรอ” ผังจื่อฉีเอามือนวดไปที่ขมับของตัวเอง
หูซู่ทำท่าทางเพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เฉินซวี่หยางเอาไหกลับไปที่บ้าน แต่คราวนี้เขาไม่กล้าวางไว้ที่ห้องรับแขกตามเดิม แต่เอาไปเก็บที่ห้องเก็บของแทน ความจริงแล้วบ้านเขาชอบสะสมของประเภทนี้มาตลอด ทั้งพวกเครื่องลายคราม เครื่องหยก หรือของเล่นโบราณต่างๆ นานา สมัยที่บ้านเขายังมีฐานะ สิ่งของเหล่านี้ถูกจัดแสดงไว้เต็มห้องรับแขก ทว่าเมื่อตอนที่ตกอับ ข้าวของเหล่านี้ก็ถูกทยอยขายออกไป เหลือแต่เพียงของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้นที่ทำใจขายไม่ลง สุดท้ายเลยต้องเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนไหใบนี้ก็คือสมบัติที่พ่อของเฉินซวี่หยางทิ้งไว้ให้กับเขา
ลายดอกไม้ที่ประดับบนตัวไหค่อนข้างแปลกประหลาด ต่างจากลายศิลป์ของสมัยราชวงศ์หมิงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงยากที่จะขายออกเพราะผู้คนต่างมองว่าเป็นของมีตำหนิ ทว่าในความเป็นจริงแล้วไหใบนี้คือสมบัติตกทอดประจำตระกูลเขาจริงๆ แม้จะอยู่ในช่วงตกอับแค่ไหน เฉินซวี่หยางก็ไม่เคยคิดจะขายมันออกไปจนกระทั่งเกิดเรื่องประหลาดขึ้นในบ้าน โดยเริ่มจากมีซากสัตว์เล็กสัตว์น้อยในบ้าน ต่อมาก็ค่อยมีร่องรอยการเดินไปเดินมาของคน จนกระทั่งสุดท้ายที่เฉินซวี่หยางเห็นคือคนนั่งหมอบอยู่ที่โซฟา นัยน์ตาสีเขียวจ้องมองมาที่เขา
ในตอนนั้นเฉินซวี่หยางตกใจจนสลบไปและเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็วิ่งโร่เข้าแจ้งความทันที ตอนที่ตำรวจมายังจุดเกิดเหตุไม่พบกับร่องรอยประหลาดตามที่เฉินซวี่หยางว่าไว้ ทั้งยังคิดว่าตัวเขานั้นเป็นผู้มีปัญหาทางจิต ดังนั้นตำรวจทั้งสองนายจึงช่วยเขาด้วยการนำของกลางกลับไปไว้ที่สถานี แม้ว่าการช่วยเหลือครั้งนี้…จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม
เมื่อมองไปที่ไห เฉินซวี่หยางก็ยิ่งกังวลใจขึ้นมา ไหนี้ไม่มีลายเส้นเฉพาะ คิดดูแล้วทางพิพิธภัณฑ์ก็คงไม่รับไปอย่างแน่นอน แต่จะให้ทิ้งเขาเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
“เฮ้อ แล้วฉันควรจะทำยังไงกับแกดีเนี่ย ถ้าแกมีวิญญาณสิงอยู่จริงขออย่างเดียวอย่าทำให้ฉันตกใจเลยนะ” เฉินซวี่หยางยื่นมือออกมาลูบที่ไหอย่างทุกข์ใจ
ไหไม่มีการตอบสนองใดๆ
เฉินซวี่หยางรู้สึกตลกตัวเอง หลังจากถอนหายใจเขาก็ลุกไปปิดไฟและออกจากห้องเก็บของไป
หลายวันผ่านไป หูซู่กังวลว่าเฉินซวี่หยางจะกลับมาแจ้งความอีก แต่ตัวเขาเองก็ไม่คิดที่จะนำไหนั่นกลับมาที่สถานีจึงไม่ได้ติดต่อกับเฉินซวี่หยางเลย ทว่าหลังจากที่เขาตัดสินใจโทรกลับไปหาเฉินซวี่หยางจึงได้รู้ว่าที่บ้านของฝ่ายนั้นไม่ได้เกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆ เหมือนก่อนหน้าเลย
หูซู่พูด “ถ้างั้นแปลว่าตอนนี้ปกติแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว?”
เฉินซวี่หยาง [ใช่ครับ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว] เขาเพิ่งถึงตึกที่พักของตัว และกำลังกดลิฟต์ [คุณตำรวจหู ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงพยายามยัดเยียดให้เอาไหกลับมาที่บ้าน เพราะว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่าครับ]
หูซู่ “ไม่นะ ไม่มีอะไรนี่”
เฉินซวี่หยาง [ไม่มีจริงๆ เหรอครับ]
หูซู่ที่คันปากอยากจะพูดเต็มแก่ว่าไหมันร้องไห้ไม่หยุดตอนที่มันอยู่ที่สถานีตำรวจ แถมเสียงร้องของมันยังแทบจะทำให้คนเยื่อหูอักเสบ แต่สุดท้ายเขากลับทำได้แค่กัดฟันพูดไปว่า “ไม่มี”
เฉินซวี่หยาง [อ๋อครับ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ผมขึ้นลิฟต์ก่อนนะครับ แค่นี้ก่อน]
“โอเค มีเรื่องอะไรก็ติดต่อมานะ” หูซู่จบการสนทนาแต่เพียงเท่านี้
เฉินซวี่หยางเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขากดลิฟต์ไปชั้นที่ต้องการ ลิฟต์ค่อยๆ พาเขาขึ้นไปยังห้องของตัวเองทีละชั้นๆ และเมื่อเสียงเตือนดังขึ้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก เฉินซวี่หยางล้วงหยิบกุญแจออกมาไขประตูบ้าน
ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น สภาพบ้านที่ได้เห็นก็ทำเอาเขายืนตัวแข็งตาค้างอยู่ที่หน้าประตู ทั้งพื้นบ้านและบนผนังต่างเต็มไปด้วยรอยเลือดสีแดงเข้มที่ประทับเป็นรอยฝ่ามือไปทั่วทั้งห้อง และบางสิ่งบางอย่างที่ลักษณะคล้ายกับคนกำลังนั่งหมอบอยู่ที่พื้นโดยที่ในปากของมันกำลังขบเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ ตัวประหลาดนั่นเหมือนรับรู้อะไรได้ มันค่อยๆ หันหัวกลับมาอย่างช้าๆ เฉินซวี่หยางเห็นแต่ภาพสีดำสนิท ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือดวงตาสีเขียวคู่นั้นและปากที่กำลังกัดกินเนื้อซึ่งอาบชุ่มไปด้วยเลือดด้วยเขี้ยวสีขาวอันแหลมคม
หูซู่ไอ้เลว ไอ้คนชั่ว ไอ้คนลวงโลก เฉินซวี่หยางใช้แรงเฮือกสุดท้ายด่าทอหูซู่ในใจอย่างหยาบคาย