everY
ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4 บทที่ 95-96 #นิยายวาย
บทที่ 96 สู้ๆ นะ
เฉินซวี่หยางตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองนอนสลบอยู่บนเตียง ขนาดลืมตาขึ้นมายังคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในฝันร้ายที่น่าสยดสยอง แต่เมื่อลุกขึ้นมาจากเตียงและเห็นสภาพห้องที่เลอะเทอะไม่มีชิ้นดี เขาถึงค่อยได้สติกลับมาว่านี่คือเรื่องจริง
พื้นและผนังของบ้านถูกละเลงไปด้วยคราบเลือดสดๆ ทั้งยังมีเศษเนื้อที่ถูกกัดแทะกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง อากาศในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดยิ่งทำให้บรรยากาศไม่ต่างกับฉากในนรก เฉินซวี่หยางที่เห็นภาพนี้แทบอยากจะล้มฟุบไปอีกรอบ ยังโชคดีที่เขาแข็งใจฝืนใช้มือข้างหนึ่งที่สั่นไม่หยุดล้วงหยิบมือถือออกมาอย่างทุลักทุเล
หูซู่รับสายจากเฉินซวี่หยางอย่างรู้สึกประหลาดใจพร้อมบอกว่า [เมื่อกี้บอกว่าไหนั่นไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่ทันไรก็คืนคำซะแล้วล่ะ]
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง” เฉินซวี่หยางแทบอยากจะร้องไห้ออกมา “รีบมาช่วยผมที ตอนนี้สภาพบ้านผมอย่างกับเกิดคดีฆาตกรรม”
หูซู่ไม่มีทางเลือก ได้แต่ปลอบใจพร้อมสั่งเฉินซวี่หยางไปว่า [ตอนนี้นายรีบออกมาจากบ้านก่อน แล้วลงมารอที่ใต้ตึก พวกเราจะรีบไปทันที]
เฉินซวี่หยางรีบตอบตกลง
เขาออกมาจากห้องนอนและต้องผ่านห้องรับแขก ระยะทางที่แต่เดิมก็ไม่ได้ไกลมากนัก ณ เวลานี้มันกลับทำให้รู้สึกว่าเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที เฉินซวี่หยางเตรียมอกเตรียมใจ เขากวาดสายตามองจนแน่ใจแล้วว่าในห้องรับแขกไม่มีตัวประหลาดที่เขาเห็นก่อนหมดสติ แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเท้าหนีออกมาอย่างห่วงหน้าพะวงหลัง
ทว่าเมื่อเขาไปถึงบริเวณส่วนกลางของห้องรับแขก เฉินซวี่หยางก็พบกับเศษซากและกระดูกที่เหมือนตั้งใจจัดวางเอาไว้ ความรู้สึกแรกของเขาบอกว่ามันคือสัญลักษณ์ในการเรียกปีศาจ ดังนั้นเขาจึงรีบพุ่งกระโจนข้ามไปและเอื้อมมือให้สุดเพื่อผลักประตูออก
ที่จริงแล้วอากาศในเดือนหกถือว่าร้อนมากเลยทีเดียว แต่เฉินซวี่หยางกลับรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว เขารออยู่ใต้ตึกพักหนึ่ง หูซู่และผังจื่อฉีค่อยมาถึง ทันทีที่เห็นเขาทั้งสอง เฉินซวี่หยางก็รู้สึกราวกับได้เจอผู้มีพระคุณ “คุณตำรวจมาถึงสักที…”
หูซู่ “เกิดอะไรขึ้น”
เฉินซวี่หยางรีบอธิบายเรื่องราวให้ฟัง เขาบอกว่าทั้งบนพื้นและผนังเต็มไปด้วยเลือดสดๆ กลางห้องรับแขกมีพวกเศษเนื้อและกระดูกถูกจัดวางไว้ ถ้าใครเห็นของพวกนี้เข้าก็ต่างต้องคิดว่าคนคนนี้มีจิตไม่ปกติทั้งยังต้องการที่จะฆ่าเอาชีวิตกัน พวกนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่ๆ เฉินซวี่หยางเล่าออกมาอย่างเป็นตุเป็นตะ ทำเอาคนรอบข้างที่ได้ฟังเหตุการณ์ถึงกับหนาวสั่นไปตามกัน
ผังจื่อฉีที่ยังคงคุมสติได้ดีกล่าว “พวกเรารีบขึ้นไปดูกันเถอะ”
พวกเขาสามคนขึ้นลิฟต์กลับไปที่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง แม้ว่าเฉินซวี่หยางจะรู้สึกหลอนมากจนไม่อยากจะกลับเข้าไปอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรจะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องกลับไปอยู่ดีเพราะที่นั่นคือบ้านของเขา
เขาใช้ลูกกุญแจปลดล็อกประตูอีกครั้งหนึ่ง สภาพที่หูซู่ได้เห็นตรงหน้าไม่ต่างจากที่ได้ฟังเฉินซวี่หยางเล่าไว้ก่อนหน้านี้ ข้าวของกระจัดกระจายราวกับถูกรื้อค้น ส่วนสิ่งของที่ขยับไม่ได้ก็แปดเปื้อนไปด้วยรอยเลือด หูซู่กวาดสายตาไปทั่วห้องก็พบกับสัญลักษณ์เรียกปีศาจอย่างที่เฉินซวี่หยางเล่าไว้
“เข้าไปดูกันเถอะ” ผังจื่อฉีคว้าปืนออกมาเพื่อเตรียมป้องกันตัว
หูซู่พยักหน้าพร้อมรวบรวมสติอย่างแน่วแน่
ตำรวจทั้งสองนายเดินเกาะติดกันเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง เริ่มจากสำรวจห้องต่างๆ ภายในบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบอยู่จริงๆ ไหเจ้าปัญหานั่นยังคงถูกวางไว้นิ่งๆ ที่ห้องเก็บของตามที่เฉินซวี่หยางบอก หูซู่หยิบไหออกมาและนำไปวางที่กลางห้องรับแขกเพื่อให้ผังจื่อฉีจับตาดูเอาไว้
“ตกลงไหนี่มันยังไงกันแน่” เฉินซวี่หยางพูดไปสั่นไป “คุณตำรวจหูไม่ได้บอกไว้หรอกเหรอว่ามันเป็นไหปกติ”
หูซู่มองเฉินซวี่หยางอย่างมีนัย “ก็ใช่ไง พวกเราก็ยังไม่มีใครเป็นอะไรนี่”
เฉินซวี่หยาง “…”
หูซู่ “ถ้าไหนี่มันมีปัญหาจริงๆ คนที่แจ้งความป่านนี้คงไม่ใช่นายหรอก คงต้องเป็นเพื่อนบ้าน”
เฉินซวี่หยางถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ผังจื่อฉีเพ่งสายตาไปที่สัญลักษณ์กลางห้องรับแขกแล้วค่อยๆ สังเกตอย่างละเอียด ทว่าเมื่อเขายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจจนแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน หูซู่เห็นก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ผังจื่อฉี นายเห็นอะไรจากตรงนั้น”
ผังจื่อฉีหันหน้าไปพูดกับเฉินซวี่หยาง “นายเกิดเดือนหกเหรอ”
เฉินซวี่หยางรีบตอบ “ใช่ครับ…อย่าบอกนะว่านี่มันเกี่ยวกับเวลาตกฟากของผม”
ผังจื่อฉี “เกิดวันที่ 26 ใช่มั้ย”
เฉินซวี่หยางตอบอย่างลนลาน “คุณตำรวจถามเรื่องพวกนี้ทำไม หรือว่าวันเกิดของผมมันมีอะไรพิเศษไปกว่านั้น หรือจริงๆ แล้วผมคือคนที่ต้องถูกเลือกมาเป็นของบูชายัญ”
ผังจื่อฉี “…ดูละครให้มันน้อยๆ หน่อย”
เฉินซวี่หยาง “ถ้างั้นมันคืออะไรล่ะ”
ผังจื่อฉีชี้ไปยังสิ่งที่เฉินซวี่หยางเรียกมันว่าสัญลักษณ์เรียกปีศาจเพื่อบอกให้เขาเข้าไปดูเอาเอง ตอนแรกเฉินซวี่หยางกลัวจนไม่กล้าขยับเข้าไปแม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยสายตาที่ดุดันและการบังคับของผังจื่อฉี เฉินซวี่หยางจึงต้องชะเง้อเข้าไปดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาใช้เวลาดูไปไม่กี่วินาทีเท่านั้น สีหน้าของเฉินซวี่หยางก็แสดงออกมาเช่นเดียวกับสีหน้าของผังจื่อฉี “นี่…นี่มันคืออะไรกันแน่”
หูซู่ถอนหายใจและตบไหล่ของเฉินซวี่หยาง “ก็อย่างที่บอกไปไง ไหบ้านนายน่ะโอเคดี”
ที่จริงแล้วสัญลักษณ์นั่นไม่ใช่อะไร เพียงแต่เป็นพวกเศษเนื้อและซากกระดูกที่เรียงรายกันเป็นตัวอักษรว่า
‘สุขสันต์วันเกิดอายุครบ 26 ปี เฉินซวี่หยาง’
แม้ว่าการจัดเรียงจะดูเป็นงานหยาบไปสักหน่อย อีกทั้งภาพที่ขีดเขียนก็ใช้เลือดสดๆ วาดออกมา แต่ที่แน่ๆ มันถูกจัดเป็นตัวหนังสือถึงแม้จะอ่านไม่ง่ายนักก็ตาม หูซู่ที่เห็นแบบนั้นถึงกับหลั่งน้ำตา “ดูสิ คนในบ้านนายจัดงานวันเกิดให้นายด้วยนะ”
เฉินซวี่หยางเห็นตัวอักษรเหล่านั้น ในใจก็เจ็บปวดรวดร้าวจนพูดอะไรไม่ออก
ผังจื่อฉีเดินเข้าไปที่ตรงกลางของวงล้อมตัวหนังสือเหล่านั้น เขาเก็บพวกเศษเนื้อและกระดูกขึ้นมา จากการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่าไม่ใช่ชิ้นส่วนหรือกระดูกของมนุษย์แน่นอนเพราะพวกมันมีขนาดที่เล็กเกินไปและไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกคน
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” หูซู่ปลอบใจเฉินซวี่หยาง “ดูสิ คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจจัดงานวันเกิดให้อย่างยากลำบาก”
เฉินซวี่หยาง “…” ชายหนุ่มสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง
หูซู่ “เอาอย่างนี้แล้วกัน นายอยู่กับมันไปก่อนสักสองวัน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวฉันจะหาคนมาจัดการไหนี้ให้”
เฉินซวี่หยางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วจะจัดการยังไงล่ะ”
หูซู่ “ก็ทุบทิ้งไปเลย จะมีวิธีไหนได้อีกเล่า”
เฉินซวี่หยางที่ได้ยินว่าจะทุบทิ้งก็เกิดความรู้สึกสับสนในตัวเองมากกว่าเดิม ทุบทิ้งแค่นี้เขาเองก็จัดการได้ แต่ปัญหาคือถ้าทุบทิ้งได้จริงๆ เขาคงจะทำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เรื่องบานปลายมาจนถึงขั้นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นของชิ้นนี้ดูแล้วก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา ถ้าหากทุบทิ้งก็คงจะทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายมากเกินไปหน่อย
“ก็ได้…งั้นก็ลองดูตามนี้แล้วกัน” เฉินซวี่หยางได้แต่ตอบรับไปตามนั้น
ผังจื่อฉี “ไอ้ของชิ้นนี้มันเข้าใจความรู้สึกของคนนะ นายก็ลองคุยกับมันดีๆ แล้วกัน เผื่อจะสอนกันได้”
เฉินซวี่หยาง “…งั้นก็ลองตามนี้”
ภารกิจลงพื้นที่จุดเกิดเหตุถือว่าได้เสร็จสิ้นลง ผังจื่อฉีและหูซู่กลับไปยังสถานีตำรวจ เหลือไว้เพียงเฉินซวี่หยางคนเดียวในบ้านที่ต้องทำความสะอาดอีกยกใหญ่ ยังดีที่บ้านหลังนี้เขาซื้อขาดและอยู่คนเดียวไม่อย่างนั้นเจ้าของบ้านหรือไม่ก็รูมเมตที่มาเห็นสภาพรอยเลือดขนาดนี้คงได้ตกใจย้ายหนีเตลิดไปแน่
เฉินซวี่หยางเก็บกวาดห้องจนแล้วเสร็จก็ไปจับๆ ที่ไหนั้นอีกครั้ง เขาใช้มือลูบไล้ที่ตัวของมันและตั้งใจว่าจะพูดกับมันดีๆ แม้ไม่รู้ว่ามันจะฟังออกหรือไม่ก็ตาม
ลู่ชิงจิ่วไม่รู้ข่าวคราวของทางฟากหูซู่ เนื้อแกะย่างมื้อนั้นยังสร้างความประทับใจให้เขาไม่รู้ลืมจนต้องลองฝึกทำด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่รสชาติก็เหมือนว่าจะขาดอะไรไปหลายอย่าง ดังนั้นจึงคิดที่จะกลับไปชิมที่ร้านนั้นอีกสักรอบ ไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวินตอบรับข้อเสนอของลู่ชิงจิ่วทันที ทว่ายังไม่ทันได้นัดแนะเวลา หูซู่ก็โทรมาหาลู่ชิงจิ่วโดยบอกว่ามีคนต้องการจะเชิญพวกเขาไปกินอาหารด้วย
“มีคนจะชวนไปกินข้าวเหรอ” ลู่ชิงจิ่วประหลาดใจ “ใครเหรอครับ”
หูซู่บอกแค่เพียงว่าเดี๋ยวพวกนายมาแล้วก็จะรู้เอง
ลู่ชิงจิ่วเข้าใจทันที “แปลว่ามีเรื่องอะไรที่สะสางไม่ได้ใช่มั้ย”
หูซู่ [อืม…ประมาณนั้น]
ลู่ชิงจิ่วพูดเข้าประเด็น “คงไม่ใช่เรื่องไหใบนั้นที่ยังจัดการไม่ได้ใช่มั้ยครับ”
หูซู่ถอนหายใจออกมา [เรื่องมันไม่ใช่ว่าจัดการไม่ได้แต่วิธีการมันแปลกไปหน่อย เล่นเอาเจ้าทุกข์ต้องโร่เข้ามาแจ้งความอยู่บ่อยๆ ครั้งสองครั้งยังพอไหว แต่หลายครั้งเข้าก็คงจะไม่ไหว]
“แจ้งความบ่อยๆ งั้นเหรอครับ ไม่ใช่ว่าจัดการได้แล้วหรอกเหรอ แล้วทำไมยังต้องมาแจ้งความอีก” ลู่ชิงจิ่วถามด้วยความสงสัย
[ต่อให้ไม่มีใครเสียชีวิต แต่ทุกครั้งที่เจ้าของบ้านเปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นแต่เศษเนื้อและซากกระดูกเต็มห้องไปหมด เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้นแหละ] หูซู่เล่าให้ฟังอย่างจนใจ
ลู่ชิงจิ่วพูดด้วยความประหลาดใจ “แล้วทำไมเขาไม่ทิ้งไหนั่นไปล่ะครับ ถึงจะบอกว่าเป็นสมบัติตกทอดมาก็เถอะ แต่สร้างเรื่องขนาดนี้แล้วเจ้าของยังกล้าเก็บไว้อีกก็ต้องใจกว้างประมาณหนึ่งแล้ว”
หูซู่มีสีหน้าอมทุกข์ [ปัญหามันก็คือตรงนี้แหละ]
ลู่ชิงจิ่ว “หมายความว่าไงครับ”
หูซู่ [ก็พวกเศษกระดูกกับเนื้อนั่นน่ะ มันถูกเรียงไว้เป็นข้อความ อย่างเช่น ‘วันนี้ทำงานเหนื่อยแย่เลย ดูแลตัวเองบ้างนะ’ หรือกระทั่ง ‘รีบๆ เข้านอนนะ’]
ลู่ชิงจิ่วกำลังดื่มน้ำอยู่ ทันทีที่เขาได้ยินก็ถึงกับเกือบพ่นน้ำออกมา เขาเอ่ยพร้อมกับไอไปด้วยว่า “ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่มั้ย มันเอาเศษกระดูกกับเนื้อมาเรียงกันเป็นตัวหนังสือเนี่ยนะ”
หูซู่พูดอย่างหมดหนทาง [ได้ยินไม่ผิดหรอก ที่หนักสุดก็คือมีอยู่วันหนึ่งเจ้าทุกข์กลับไปที่บ้าน บนเพดานมีรอยเลือดเป็นรูปฝ่ามือเรียงกันเป็นรูปหัวใจดวงใหญ่ๆ]
ลู่ชิงจิ่วรีบเอามือขึ้นมาปิดหน้า เขากลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ แม้จะเป็นการมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก็ตาม แต่จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ฟังอย่างไรก็น่าขำอยู่ดี
[หลังจากนั้นพวกเราก็พบว่าไม่มีทางที่จะพูดคุยกับไหนั่นรู้เรื่อง แม้ว่ามันจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของพวกเรา แต่มันก็จับได้แค่อารมณ์เท่านั้น ก็เลยอยากจะขอความช่วยเหลือสักหน่อยว่านายพอจะคุยกับไหนั่นรู้เรื่องมั้ย ให้มันเข้าใจว่าต่อไปนี้อย่าใช้วิธีนี้แสดงความห่วงใยกับเจ้าของอีก] หูซู่พูดอย่างเหนื่อยใจ
ลู่ชิงจิ่วขำออกมาเสียงดัง “ผมจะลองดูให้นะ แต่ยังไม่กล้ารับปากว่าจะทำได้มั้ย”
หูซู่ [ได้เลยๆ ถ้าทำได้สำเร็จพรุ่งนี้เย็นเรามานัดกินข้าวกัน เลือกเลยว่าอยากกินอะไร]
ลู่ชิงจิ่ว “เนื้อแกะย่างแบบวันนั้นแล้วกันครับ อร่อยดี ตอนนี้ที่บ้านมีแต่คนบ่นคิดถึงรสชาติของมันแทบทุกวันเลย”
หูซู่ตอบตกลง
จากนั้นลู่ชิงจิ่วก็นำเรื่องไปเล่าต่อให้ไป๋เยวี่ยหูฟัง ทันทีที่เขาทราบเรื่องก็ตกลงรับปากอย่างไม่รีรอ เพราะแค่ไปสื่อสารกับไหนั่นสำหรับเขาแล้วแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโอกาสได้กลับไปกินเนื้อแกะย่างอร่อยๆ อีกด้วย
เนื้อแกะย่างมีเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวถือว่าเป็นสูตรลับของเถ้าแก่ของร้านเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะลองทำกันเองอย่างไรรสชาติก็แทบจะคนละเรื่องกันเลย เหมือนว่าจะขาดอะไรบางอย่างไป ลู่ชิงจิ่วเองจึงคิดที่จะกลับไปกินอีกสักสองครั้งเพื่อดูว่าจะสามารถแกะสูตรลับนี้ออกมาได้หรือไม่
เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่อากาศร้อนอบอ้าว ลู่ชิงจิ่วขับรถกระบะคันเล็กของเขาที่บรรทุกไป๋เยวี่ยหูและอิ่นสวินมาด้วยไปที่ร้านเนื้อย่าง
ลู่ชิงจิ่วจอดรถและเห็นหูซู่กำลังคุยกับวัยรุ่นคนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเดินไปข้างสองคนนั้น จากนั้นหูซู่ก็รีบแนะนำตัวคนที่คุยอยู่ด้วยให้ฟัง
ลู่ชิงจิ่วรู้ว่าเจ้าทุกข์ที่เข้าแจ้งความชื่อเฉินซวี่หยาง
จะว่าไปแล้วเวลาที่พวกของลู่ชิงจิ่วยืนอยู่ด้วยกันสามคนถือว่าสะดุดตาทีเดียว แม้ว่าทั้งสามคนจะรูปร่างหน้าตาต่างกัน ทว่าแต่ละคนก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว เช่น ไป๋เยวี่ยหูหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ดูแล้วเหมือนคนไม่ค่อยพูดคุยและไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ ส่วนอิ่นสวินที่ดูมีความละอ่อนคล้ายเด็กวัยรุ่นเวลาแย้มยิ้มถือว่ามีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะฟันเขี้ยวที่ชวนให้หลงใหล ส่วนลู่ชิงจิ่วก็ดูเป็นคนหล่อแบบสะอาดสะอ้าน นิสัยใจคอสุขุมเยือกเย็น จะเรียกว่าเป็นที่หมายปองของใครหลายๆ คนก็ว่าได้ เพราะถ้าอยากจะเข้าหาสามคนนี้ใครๆ ก็คงจะเริ่มจากลู่ชิงจิ่วก่อนเป็นคนแรก ทว่าทั้งสามก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่เรื่องหนึ่งคือทันทีที่พวกเขามาถึงและนั่งลง สายตาของทุกคนต่างมองไปที่เตาย่างของร้านด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ดูท่าแล้วตอนนี้ทุกคนคงกำลังหิวอยู่มากๆ
เฉินซวี่หยางบอกว่าเนื้อแกะย่างที่เขาสั่งไว้ใกล้จะได้แล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็จะถูกยกมาเสิร์ฟ
ลู่ชิงจิ่วเก็บสายตาแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันรู้เรื่องของนายหมดแล้วล่ะ วันนี้เอาไหนั่นมาด้วยหรือเปล่า”
“เอามาครับ” เฉินซวี่หยางรีบตอบ
เฉินซวี่หยางพูดแล้วก็เดินไปที่ข้างๆ จักรยานนำห่อพัสดุออกมา ซึ่งข้างในก็คือไหใบนั้นที่ลู่ชิงจิ่วเคยเห็นก่อนหน้า
“ผมไม่รู้ว่ามันแอบอยู่ในใบไหนก็เลยเอามาทั้งหมดเลย” เฉินซวี่หยางอธิบาย
ลู่ชิงจิ่ว “แล้วนายอยากจะพูดอะไรกับมันล่ะ”
เฉินซวี่หยาง “ผมก็แค่อยากจะบอกว่าเลิกส่งอะไรพวกนี้ให้ผมสักที”
ลู่ชิงจิ่ว “ตัวอย่างเช่น?”
เฉินซวี่หยาง “อย่างเช่นที่เอาพวกเศษกระดูกกับเนื้อมาเรียงเป็นคำว่า ‘รีบๆ พักผ่อนนะ’”
จะว่าไปแล้วเห็นอะไรพวกนี้ใครเขาจะนอนหลับกัน แถมยังต้องใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมงในการเก็บกวาด ที่สำคัญแต่ละวันเขาต้องทิ้งถุงขยะหลายใบที่เต็มไปด้วยเศษเนื้อจนเพื่อนบ้านต่างมองเขาด้วยสายตาผิดๆ ทว่านี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนมาส่งอาหารและรออยู่หน้าบ้าน ทันทีที่เปิดประตูออกคนส่งอาหารก็เหลือบไปเห็นรอยเลือดเต็มไปทั่วฝาผนังและบริเวณพื้น เวลานั้นหน้าของคนส่งอาหารถึงกับซีดเซียวและรีบวิ่งเตลิดหนีออกไปอย่างกับกระต่ายที่โดนสุนัขไล่ฟัด เขาไล่ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน
หลังจากนั้นสองชั่วโมง เฉินซวี่หยางก็ได้รับโทรศัพท์จากหูซู่ว่าให้ระมัดระวังหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะมีคนตกใจตายได้
ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าพร้อมยื่นไหส่งไปให้ไป๋เยวี่ยหู
ไป๋เยวี่ยหูยื่นมือออกไปรับ เขาใช้นิ้วดีดไปที่มันหนึ่งทีในขณะที่ปากก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมา เสมือนว่ามันคือภาษาอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าลู่ชิงจิ่วไม่เคยได้ยินภาษาอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ด้วยสัมผัสพิเศษของเขาทำให้เขาเข้าใจสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูกำลังสื่อสารอยู่ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะสายเลือดมังกรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวของเขา
ไป๋เยวี่ยหูพูดความต้องการของเฉินซวี่หยางไปที่ไหใบนั้น และหลังจากที่มันฟังเสร็จก็ส่งเสียงขานกลับมาเบาๆ ลู่ชิงจิ่วได้ยินไม่ชัดในตอนแรก สุดท้ายจึงแนบหูไปที่ตัวไหนั้นถึงค่อยได้ยินอย่างชัดเจน
คนอื่นๆ ที่เหลือเฝ้ารออยู่ด้านข้างด้วยความตื่นเต้น แต่ดูจากสีหน้าของแต่ละคนก็รู้ได้เลยว่าไม่มีใครฟังออกว่าไหใบนั้นกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่
ลู่ชิงจิ่วที่ฟังไปได้สักพักหนึ่งก็เริ่มแสดงสีหน้าแปลกใจ เขามองไปที่เฉินซวี่หยางแล้วก็หันกลับมามองที่ไหอีกหน
เฉินซวี่หยางที่ถูกลู่ชิงจิ่วมองด้วยสายตาแปลกๆ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจนเกือบจะหลุดปากถามออกมา
ไป๋เยวี่ยหูหนักแน่นและใจเย็นกว่ามาก เขาพูดซ้ำถึงความต้องการของเฉินซวี่หยางให้ไหฟังอีกครั้งและเตรียมสร้างข้อตกลงกับมันต่างๆ นานา รวมถึงให้มันรับปากว่าจะไม่แสดงความห่วงใยด้วยวิธีเหล่านี้อีก
ลู่ชิงจิ่วที่พอจะจับประเด็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกลับมานั่งหลังตรงและถามเฉินซวี่หยางไปว่า “เมื่อเดือนที่แล้วนายเพิ่งขายบ้านหลังเก่าไปเหรอ”
เฉินซวี่หยางรีบตอบกลับ “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามอะไรแบบนี้ล่ะ” เขาแสดงทีท่าในทันที และมองไปมาระหว่างลู่ชิงจิ่วกับไห “หรือว่า…มันบอกให้คุณฟังเหรอ”
ลู่ชิงจิ่ว “ใช่น่ะสิ”
เฉินซวี่หยางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สีหน้ากลัดกลุ้มใจ เขาอธิบายให้ฟังถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่พ่อเขาล้มป่วยจนต้องยืมเงินเพื่อมารักษาอยู่ตลอด สมบัติต่างๆ ในบ้านก็รื้อเอาออกมาขายจนหมด สุดท้ายเหลือแต่บ้านหลังเก่าหลังนั้นและอพาร์ตเมนต์ที่เขาอยู่ปัจจุบัน ทว่าอพาร์ตเมนต์นั้นต่อให้ขายออกไปก็ใช้หนี้ไม่พออยู่ดี สุดท้ายจึงต้องยอมขายบ้านไป
ลู่ชิงจิ่ว “มันไม่ได้มีเจตนาร้ายกับนายหรอกนะ มันแค่เป็นห่วงน่ะ”
เฉินซวี่หยางพยักหน้าเพื่อบอกว่าเขาเข้าใจเจตนานี้ดี
“นายเงินเดือนไม่มาก ทุกวันกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เลยกลัวว่าจะขาดสารอาหาร มันเลยอยากจะเติมอาหารให้” ลู่ชิงจิ่วเล่าสิ่งที่ไหบอกมา
เฉินซวี่หยาง “…”
“เนื้อที่ว่าคือเนื้อของนก รสชาติจัดว่าดีเลยทีเดียว” ลู่ชิงจิ่วพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงของเขาก็แฝงไปด้วยความขบขัน “เอามากินได้”
ไหใบนี้นิสัยคล้ายกับพวกแมวที่กลัวเจ้าของจะอดตาย แม้ว่าจะลำบากแค่ไหนแต่ขอแค่ได้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ต่อหน้าเจ้าของมันก็ดีใจแล้ว
“เอ่อ…อันนี้ผมก็รู้ แต่ก็ไม่มีวิธีจะกิน” เฉินซวี่หยางรีบพูด “ช่วยบอกให้เลิกทำอะไรแบบนี้ได้มั้ย…”
“อืม” ลู่ชิงจิ่วพยักหน้า “บอกไปแล้วล่ะ หลังจากนี้คงจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”
เฉินซวี่หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเองรู้สึกถึงความอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าไหนี่จะมีวิธีแสดงออกที่ไม่เข้าท่าไปหน่อย แต่อย่างน้อยๆ มันก็มีความปรารถนาดีต่อเขา
ลู่ชิงจิ่ว “ยังมีอีกเรื่อง…มันถามว่านายต้องการอะไรอีกมั้ย”
“จะช่วยงั้นเหรอ” เฉินซวี่หยางพูดอย่างตื่นเต้น “หรือว่ามันจะให้พรสามประการกับผมเหรอ”
ลู่ชิงจิ่ว “ถ้าหากว่าพรสามประการคือการกินเนื้อล่ะก็…”
เฉินซวี่หยาง “…” งั้นก็ช่างมันเถอะ “ว่าแต่มีวิธีไหนที่จะช่วยให้ผมฟังมันรู้เรื่องบ้างมั้ย” เขาถามต่อ “ไม่งั้นผมก็สื่อสารกับมันไม่ได้”
ไป๋เยวี่ยหูที่เสร็จสิ้นภารกิจล่ามสื่อสารนั่งกินเนื้อแกะย่างอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อคำถามของเฉินซวี่หยางแว่วเข้ามาในหูเขาจึงตอบกลับไปว่า “จะว่าทำได้ก็ทำได้อยู่หรอก แต่อาจจะยุ่งยากหน่อย”
เฉินซวี่หยางถามอย่างดีใจ “จริงเหรอครับ ต้องทำอย่างไรล่ะ”
ไป๋เยวี่ยหู “ก็ให้ไหนี้เป็นเสมือนเทพเจ้าประจำบ้านไปเลย แค่นี้ก็เรียบร้อย”
เทพเจ้าประจำบ้านคือความเชื่ออย่างหนึ่งของชาวจีน ว่ากันว่าเทพเจ้าประจำบ้านสามารถคุ้มครองคนในตระกูลได้ เมื่อมีการบูชาเทพเจ้าประจำบ้านแล้ว เทพเจ้าเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล ฉะนั้นเมื่อถึงเทศกาลสำคัญหรือมีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ต้องมีการถวายเครื่องเซ่นแก่เทพเจ้าประจำบ้านเช่นกัน ไป๋เยวี่ยหูบอกว่าไหใบนี้มีกลิ่นอายของเทพอยู่ เพียงแต่ว่าภายหลังคนในตระกูลของเฉินซวี่หยางไม่ได้มีการเซ่นไหว้ต่อจึงทำให้กลิ่นอายของความเป็นเทพค่อยๆ จางหายไป ท้ายที่สุดจึงกลายมาเป็นปีศาจ
เฉินซวี่หยางฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากที่เขาได้ยินสิ่งที่ไป๋เยวี่ยหูเล่า ก็นึกถึงครั้งแรกที่เขาได้รับของชิ้นนี้ได้ทันทีว่าพ่อแม่เขาเองก็เคยเล่าเรื่องทำนองนี้ให้ฟัง โดยบอกว่าคนรุ่นก่อนๆ บูชาไหนี้ ทว่าพอมารุ่นหลังๆ กลับมีวิธีปฏิบัติที่เปลี่ยนไปจนสุดท้ายการบูชาก็ถูกยกเลิกไปในที่สุด และไหก็ถูกจัดเก็บไว้ในห้องเก็บของเสมือนเป็นแค่วัตถุโบราณชนิดหนึ่ง แม้ว่าภายหลังทางบ้านจะประสบปัญหาแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะขายมันออกไป
ก่อนหน้านี้ไหใบนี้อยู่นิ่งๆ ไม่แสดงอาการใดๆ จนเมื่อเฉินซวี่หยางขายบ้านหลังเก่าไปถึงได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น
ตอนนี้หลังจากที่ได้พูดคุยกับไป๋เยวี่ยหูและลู่ชิงจิ่ว เฉินซวี่หยางก็รู้ว่าไหใบนี้อยู่ในภาวะหลับใหลมาตลอดเวลา จนกระทั่งมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากเรื่องการขายบ้านหลังเก่า ทันทีที่มันตื่นขึ้นมาก็พบกับเฉินซวี่หยางที่โดดเดี่ยว แถมสภาพการกินอยู่ก็สุดแสนจะอัตคัด จึงรู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย ดังนั้นเลยแสดงความห่วงใยให้เห็น
ทว่าวิธีแสดงความห่วงใยกลับทำเอาเฉินซวี่หยางรับไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ถ้างั้นตัวตนที่แท้จริงของมันรูปร่างเหมือนกับคนมั้ยครับ” เฉินซวี่หยางนึกถึงใบหน้าที่มีผมยาวถึงไหล่ที่ตัวเองเห็น แต่ว่ากันตามตรงเขาก็เห็นไม่ชัดว่าปีศาจตนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร จำได้เพียงนัยน์ตาสีเขียวและฟันแหลมคมเป็นซี่ๆ เรียงติดกัน
“ร่างจริง?” ลู่ชิงจิ่วพูด “มันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้น่ะสิ”
เฉินซวี่หยาง “โอเคครับ ผมรู้แล้ว”
เรื่องยุ่งๆ ถือว่าจบลงตามนี้ ทั้งสองคนสามารถสร้างข้อตกลงร่วมกันได้ ไหนั่นก็รับปากว่าจะไม่นำของแปลกๆ มาให้เฉินซวี่หยางอีก ส่วนเฉินซวี่หยางเองก็สัญญาว่าจะไม่ทิ้งมันและจะขยันตั้งใจทำงานจนกว่าจะซื้อบ้านหลังนั้นกลับมาได้อีกครั้ง
แน่นอนว่าเพื่อที่จะฟังไหนี้ให้รู้เรื่อง เฉินซวี่หยางจึงตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะนำมันกลับไปบูชาอย่างเดิม ถึงอย่างไรไป๋เยวี่ยหูก็ได้บอกไว้แล้วว่าถ้าหากไหใบนี้ได้รับควันธูปที่มากเพียงพอ เขาจะสามารถสื่อสารกับมันได้รู้เรื่อง
หลังจากที่สะสางภารกิจเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนต่างก็กินเนื้อย่างกันอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งหูซู่และผังจื่อฉีรู้สึกโล่งอกไปตามๆ กัน เพราะจากนี้เรื่องยุ่งๆ ทั้งหลายก็จะถือว่าได้คลี่คลายลงเสียที
เมื่อกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง ลู่ชิงจิ่วแบกอิ่นสวินและไป๋เยวี่ยหูที่กินอาหารจนพุงกางกลับบ้าน เมื่อจอดรถเรียบร้อย พวกเขาทั้งสามก็เดินย่อยกันสักพักหนึ่งในหมู่บ้านก่อนที่จะแยกย้ายกันไปเข้านอน แม้จะเป็นค่ำคืนที่แสนมืดมิด แต่ก็ยังพบเห็นชาวบ้านออกมาเดินเล่นกันประปราย ทว่าตั้งแต่ที่รู้ว่าในหมู่บ้านนี้ไม่หลงเหลือคนเป็นอยู่เลย ในใจของลู่ชิงจิ่วเองก็รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก จะว่ารู้สึกกลัวก็ไม่ใช่ แต่จะว่าไม่กลัวก็ยังรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ดี
บาดแผลตามร่างกายไป๋เยวี่ยหูค่อยๆ สมาน ทว่าการฟื้นตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้าด้วยบาดแผลที่ค่อนข้างสาหัส แถมช่วงนี้เองก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเอ๋ารุ่นเลย เหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้าเสมือนถูกหิมะในครั้งนั้นพัดพาออกไป
ห้วงเวลาที่เงียบสงบทว่าไม่น่าเบื่อหน่าย ลู่ชิงจิ่วนอนซบใต้คางของไป๋เยวี่ยหู ทั้งสองนอนกอดก่ายเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน
สองวันต่อมาหลังจากที่กินเนื้อย่าง เฉินซวี่หยางกลับไปที่บ้านก็ไม่พบเศษซากเนื้อและกระดูกแล้ว แต่กลับเป็นบะหมี่ร้อนๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะชามหนึ่งพร้อมกับข้อความบนกระดาษโน้ตที่ตั้งใจทิ้งไว้ให้เขาด้วยลายมือที่สละสลวยว่า ‘รีบๆ เข้านอนนะ’
เฉินซวี่หยางอ่านข้อความบนกระดาษแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาลุกขึ้นไปอุ้มไหที่วางอยู่บนโซฟา จากนั้นจึงวางลงที่ข้างๆ ชามบะหมี่พลางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นอยู่กินบะหมี่เป็นเพื่อนหน่อยนะ”
ไหสั่นเบาๆ แม้ว่าจะไม่รู้ความหมายของมัน แต่เฉินซวี่หยางก็ยื่นมือออกไปลูบที่ตัวมันเหมือนกับเกาคางให้สุนัข
ไหรู้สึกอารมณ์ดี มันหมุนไปรอบๆ โต๊ะอยู่สองรอบอย่างไม่ระวังจนเกือบตกลงมา
“ทุกอย่างจะต้องกลับมาดีขึ้นแน่ๆ” เฉินซวี่หยางหยิบตะเกียบออกมาคีบบะหมี่
สู้ๆ นะเฉินซวี่หยาง สู้ๆ นะ ไหที่ไร้เสียงตะโกนพูดอยู่ข้างๆ อย่างสุดหัวใจ
* เซี่ยงจี๊ คือไตหมู
* เซาไป๋ คืออาหารเสฉวน มีลักษณะคล้ายพะโล้ แต่วัตถุดิบที่ใช้ในการตุ๋นจะมีการใส่ถั่ว เหล้า พริกไทย และต้นหอมเข้าไปด้วย
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 4
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN