everY
ทดลองอ่าน Guardian เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
มหาวิทยาลัยหลงเฉิงเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและมีประวัติอันยาวนาน
ช่วงเวลานี้ใกล้จะเปิดภาคเรียน ตามหลักแล้วควรมีผู้คนจำนวนไม่น้อย แต่มหาวิทยาลัยหลงเฉิงได้ย้ายที่ทำการหลักไปอยู่ชานเมืองเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ นานแล้ว เขตมหาวิทยาลัยเก่าในตัวเมืองเหลือเพียงหน่วยงานฝ่ายบริหาร อาจารย์และนักศึกษาปริญญาเอกกับปริญญาโทบางภาควิชาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนบางตา
จ้าวอวิ๋นหลานอุ้มเจ้าแมวดำยืนรอกัวฉางเฉิงอยู่หน้าหอพักแห่งหนึ่งเป็นเวลานาน และแล้วคนที่เขารอก็มาถึง
เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กฝึกงานที่เขาเจอเมื่อคืนคนนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตา…กัวฉางเฉิงเดินไหล่ห่อคอตกอยู่บนถนน ก้มหัวต่ำจนแทบจะมองไม่เห็นผู้คน เส้นผมก็ยาวจนเกือบจะปิดตา เมื่อรวมเข้ากับชุดไว้ทุกข์สีดำล้วนไม่มีสีอื่นเจือปนบนร่าง มองจากระยะไกลก็ดูคล้ายดอกเห็ดที่แกว่งไกวในสายลม
จ้าวอวิ๋นหลานหรี่ตาเพ่งมองกัวฉางเฉิงที่กำลังเดินเข้ามาหา แล้วพูดกับเจ้าแมวดำว่า “อยากรู้จริงๆ ว่าวังเจิงพูดอะไรกับเขา ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าหน้าตาของเจ้าเด็กนี่มันโศกเศร้าอย่างกับคนถูกบังคับให้ค้าประเวณีไม่มีผิด”
เจ้าแมวดำหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน “คุณนายแม่ก็พูดเกินไป”
กัวฉางเฉิงขยับไปข้างหน้าทีละก้าวๆ จนมาถึงเบื้องหน้าของจ้าวอวิ๋นหลาน เขาพูดเสียงหงุงหงิงเหมือนหญิงสาวที่เพิ่งถูกหัวหน้าโจรป่าลักพาตัวไปเป็นภรรยา “…ให้ผมไปที่เกิดเหตุกับคุณ”
จ้าวอวิ๋นหลานจงใจถาม “ใครให้นายไปที่เกิดเหตุกับฉัน ฉันจะได้ไปเรียกเก็บค่าเสียเวลาถูกคน แล้วนี่นายพูดเสียงดังหน่อยได้มั้ย”
กัวฉางเฉิงขนลุกซู่ “เป็นวัง…วัง…วัง…”
จ้าวอวิ๋นหลานเริ่มรู้สึกเซ็ง เมื่อคืนเดินเฉียดกันแค่แวบเดียวเขาจึงไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานคนใหม่เป็นพวกห่วยแตก แค่พูดจาให้รู้เรื่องก็ยังทำไม่ได้ เขาจึงพูดพร้อมใส่แอ็กติ้งแบบจัดเต็ม “นายคงพอจะรู้สภาพที่เกิดเหตุบ้างแล้วใช่มั้ย นี่คือหอพักของผู้ตาย นายเข้าไปดูกับฉันก่อนก็แล้วกัน”
จ้าวอวิ๋นหลานพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในหอพัก ทว่าผ่านไปนานยังไม่ได้ยินเสียงคนเดินตามมา พอหันกลับไปก็เห็นว่ากัวฉางเฉิงยืนปิดปากเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาวพลางประสานสายตาอย่างหวานฉ่ำกับป้าเจ้าของหอพักหน้าตาโหด
จ้าวอวิ๋นหลานพยายามระงับความโมโห แล้วทำท่าเหมือนกวักมือเรียกสุนัข “มัวยืนเซ่ออยู่ทำไม ฉันทักทายป้าแกแล้ว นายเข้ามาได้เลยไม่ต้องรายงานตัว”
จ้าวอวิ๋นหลานไม่พูดซะยังจะดีกว่า เมื่อกัวฉางเฉิงได้ยิน เขาก็ตอบสนองด้วยการยืดตัวตรงแล้วตะโกนตามแบบของทหาร “ขอ…ขออนุญาตครับ!”
ต่อจากนั้นเขาก็ตระหนักว่าตัวเองได้ทำเรื่องโง่ๆ ลงไปเสียแล้ว เขาจึงยืนหัวหูแดงเป็นขนมปังโลงศพ* อยู่ที่ประตู
ความประทับใจแรกที่จ้าวอวิ๋นหลานมีต่อเด็กฝึกงานคนนี้สรุปออกมาเป็นคำว่า ‘เจ้าคนโง่เง่า’ สี่พยางค์นี้เอง
ห้องพักหมายเลข 202 เป็นห้องพักขนาดมาตรฐานสำหรับนักศึกษาหญิงสองคน
เจ้าแมวดำกระโดดลงจากอ้อมอกของจ้าวอวิ๋นหลาน มันตรวจตราดูใต้โต๊ะตู้เตียงอย่างละเอียด สุดท้ายจึงกระโดดไปที่ขอบหน้าต่าง ก้มหัวลงดมดู ทันใดนั้นมันก็หันหน้าไปแล้วจามออกมาอย่างแรง
เมื่อคืนกัวฉางเฉิงถูกทำให้อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก ตอนนี้เมื่อลองสังเกตดูเขาก็พบว่าเจ้านายสุดหล่อของตนมีเงาสะท้อน เมื่อรวบรวมความกล้าครุ่นคิดพิจารณา กัวฉางเฉิงก็มั่นใจว่าจ้าวอวิ๋นหลานเป็นคนจริงๆ เช่นนั้นเขาค่อยเบาใจ คอยเดินตามติดอีกฝ่ายราวกับขี้ปลาทอง
จ้าวอวิ๋นหลานล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า หยิบมันมาคาบไว้ในปากมวนหนึ่งแล้วจุดไฟแช็กอย่างชำนาญ เขาเดินตามเข้าไป ตบก้นเจ้าแมวดำสองสามทีเป็นการบอกให้มันหลบ จากนั้นจึงเขยิบเข้าไปใกล้ขอบหน้าต่าง หรี่ตามองพลางพ่นควันบุหรี่ขึ้นด้านบน
กลิ่นบุหรี่ของเขาไม่ฉุน มันผสมระหว่างกลิ่นเมนทอลและกลิ่นพฤกษาที่เย็นสดชื่น กลิ่นนั่นอบอวลอยู่บนตัวชายหนุ่มราวกับใส่โคโลญ ทำให้คนที่อยู่ใกล้เคลิบเคลิ้ม แต่น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ของเขากระเซอะกระเซิงเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาคงกลายเป็นเพลย์บอยไปแล้วล่ะ
กัวฉางเฉิงได้ยินจ้าวอวิ๋นหลานพูดอีกครั้ง “ดู”
เขาก้มลงมองตามเสียงของจ้าวอวิ๋นหลาน พลันสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อมองเห็นรอยบางอย่างบนขอบหน้าต่างที่แต่เดิมเคยว่างเปล่า…มันคือรอยกระดูกฝ่ามือมนุษย์!
จ้าวอวิ๋นหลานก้มลงดมกลิ่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มีกลิ่นคาว”
เจ้าแมวดำเอ่ยปาก “ไม่ใช่มันเหรอ”
กัวฉางเฉิงหันหน้าไปมองอย่างรวดเร็วจนกระดูกต้นคอส่งเสียงดังกร๊อบ เขาจ้องมองเจ้าแมวพูดได้ตัวแข็งทื่อ อาการชาที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในเส้นประสาทของเขา
จ้าวอวิ๋นหลานส่ายหน้าอยู่ในกลุ่มควันเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “น่าจะไม่ใช่ สิ่งที่ทำลายชีวิตมนุษย์ได้ไม่มีกลิ่นแบบนี้”
จ้าวอวิ๋นหลานยื่นมือไปผลักบานหน้าต่างให้เปิดออก สายตาเบนไปที่กัวฉางเฉิงอย่างไม่ตั้งใจ จากสีหน้ามืดมนและท่าทางเลื่อนลอยของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ามุมมองทั้งสาม** ถูกทำลาย และเส้นประสาทกำลังพันกันให้ยุ่งไปหมด จ้าวอวิ๋นหลานอดที่จะซ้ำเติมไม่ได้ เขาพูดกับกัวฉางเฉิงว่า “เด็กน้อย นายขึ้นไปดูให้หน่อยซิว่านอกหน้าต่างมีอะไร”
“เอ่อ…”
“เอ่ออะไรกัน ยังหนุ่มยังแน่น ให้มันว่องไวหน่อย ขึ้นไปเร็ว!”
กัวฉางเฉิงกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เขายื่นหัวออกไปเหลือบมอง ‘ระดับความสูง’ ของชั้นสองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เกิดอาการเข่าอ่อนขึ้นมาทันที แต่ถ้าเขาหันกลับไปบอกจ้าวอวิ๋นหลานว่า ‘ผมไม่กล้า’ เขาต้องโดนทดสอบความกล้าหาญและทักษะในการสื่อสารหนักกว่านี้แน่นอน
* ขนมปังโลงศพ (Coffin bread) เป็นขนมรูปสี่เหลี่ยมคล้ายหีบศพ ทำจากขนมปังชุบไข่ทอดกรอบ ตรงกลางเจาะเป็นช่องใส่ไส้
** มุมมองทั้งสาม หมายถึงมุมมองที่มนุษย์มีต่อโลก มุมมองที่มนุษย์มีต่อการดำเนินชีวิต และมุมมองที่มนุษย์มีต่อค่านิยม