everY
ทดลองอ่าน Guardian เล่ม 1 บทที่ 3 #นิยายวาย
สุดท้ายเจ้าเด็กอับโชคก็ค่อยๆ ปีนกระดืบๆ เหมือนหอยทากขึ้นไปนั่งยองๆ บนขอบหน้าต่างด้วยสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขานั่งอยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับไปไหน พยายามเกาะหน้าต่างฉลุลายเอาไว้สุดชีวิต ทั้งร่างกายเขากล้าเคลื่อนไหวก็แค่ลำคอ
เขาใช้พลังทั้งหมดเพื่อหันศีรษะมองไปรอบๆ เนื้อตัวสั่นงันงก
ทันใดนั้นกัวฉางเฉิงก็มองเห็นเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างที่เปิดอยู่ เพียงพริบตาเส้นขนทั้งร่างของเขาก็ลุกพรึบขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับถูกสั่ง เขาตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่างไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว!
บนกระจกมีเงาสะท้อนของโครงกระดูกมนุษย์ซึ่งนั่งคุกเข่าตรงบริเวณเดียวกับที่เขานั่งยองๆ อยู่ มือที่มีแต่กระดูกชี้ไปที่รอยฝ่ามือบนขอบหน้าต่างทะลุผ่านข้อเท้าของเขา พลางมองเข้าไปในห้อง
กัวฉางเฉิงก้มหน้าลงทันที แต่ตรงนั้นกลับไม่มีอะไรเลย!
เขาแยกไม่ออกว่าข้อเท้าตัวเองที่เขามองเห็นอยู่นี้ไม่ใช่ความจริงหรือสิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกไม่ใช่ความจริงกันแน่ วินาทีนั้นเขารู้สึกหนาวจับใจ แม้แต่ลมหายใจยังขาดห้วง
จากนั้นโครงกระดูกนั่นก็หันหน้ามา สายตาที่สะท้อนในกระจกสบตากับเขาเข้าพอดี กัวฉางเฉิงเหมือนมองเห็นใครบางคนอยู่ในเบ้าตาที่กลวงโบ๋ของมัน
ทั้งตัวและหัวของใครคนนั้นมีผ้าคลุมอยู่ ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ในมือถืออะไรบางอย่าง…
ก่อนที่จะมองเห็นชัดๆ ว่าชายคนนั้นถืออะไรอยู่เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งจากชั้นล่าง “เฮ้! นักศึกษา คุณปีนขึ้นไปทำอะไรบนนั้น!”
เสียงตะโกนที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหันนี้ทำให้กัวฉางเฉิงที่ประสาทกำลังตึงเครียดตกใจจนสะดุ้ง บังเอิญว่าบนขอบหน้าต่างมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ มันจึงลื่นมาก เมื่อเท้าข้างหนึ่งของเขาไม่ได้เหยียบอย่างมั่นคง โศกนาฏกรรมเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกจึงอุบัติขึ้น
จ้าวอวิ๋นหลานแขนขาตาไว รีบพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พยายามยื่นมือไปคว้าตัวกัวฉางเฉิงไว้ แต่ก็คว้าตัวไม่ได้ จับได้เพียงเส้นผมที่แข็งกระด้างเหมือนหมวกของอีกฝ่ายเท่านั้น กัวฉางเฉิงร้อง “โอ๊ย!” ออกมาทันที เวลานั้นจ้าวอวิ๋นหลานเกิดมือสั่น กัวฉางเฉิงจึงหลุดมือตกลงไป
เจ้าแมวดำยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง แกว่งหางไปมา “เมี้ยว…”
“ซวยแล้ว” จ้าวอวิ๋นหลานรีบหมุนตัววิ่งลงบันไดไปพลางก่นด่าไปพลาง “ไอ้เด็กไม่เอาไหนเอ๊ย!”
โชคยังดีที่คนข้างล่างมีใจเมตตา ผู้ชายคนนั้นยื่นแขนมารับกัวฉางเฉิงเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาตกลงมาฟาดกับพื้นโดยตรง
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ในฤดูที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้เขาก็ยังสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวและกางเกงสแล็กส์ขายาวอย่างเรียบร้อย บนจมูกที่โด่งเป็นสันมีแว่นตาไม่มีกรอบสวมอยู่ เขาถือแฟ้มแผนการสอนอยู่ในมือ ดูสุภาพเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน มีกลิ่นอายของปัญญาชนแผ่ออกมาอย่างเด่นชัด
เขาเอ่ยถามกัวฉางเฉิง “คุณเป็นอะไรรึเปล่านักศึกษา ไม่รู้หรือว่าปีนหน้าต่างแบบนั้นอันตรายมาก”
กัวฉางเฉิงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนัก เขามัวแต่แหงนหน้ามองไปที่หน้าต่างชั้นสองนั่น ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
ราวกับโครงกระดูกในกระจกหน้าต่างกับคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำในดวงตาของมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาเอง สุดท้ายกัวฉางเฉิงก็นั่งแปะลงกับพื้นด้วยแข้งขาอ่อนแรง
“ข้อเท้าแพลงรึเปล่า ระวังหน่อยสิ” ชายหนุ่มสวมแว่นเอ่ยพลางก้มลงเล็กน้อย ก่อนพูดกับเขาต่ออย่างอดทนว่า “อีกอย่างมหา’ลัยมีกฎห้ามปีนป่ายสิ่งปลูกสร้าง ถ้าถูกจับได้ต้องโดนหักคะแนนความประพฤตินะ”
กัวฉางเฉิงก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนตัวเองเกิดมาเป็นไม้ผุที่ไร้ค่า เขาคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่ได้นอกเสียจากจะเกาะผู้หญิงกิน…แค่ทำงานวันแรกเขาก็เกือบจะเป็นบ้าแล้ว
จ้าวอวิ๋นหลานวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากตึก เขาจับกัวฉางเฉิงขึ้นมายืนดีๆ บนพื้นด้วยการหิ้วคอเสื้อราวกับหิ้วคอลูกเจี๊ยบ
แม้ใจจริงจ้าวอวิ๋นหลานจะอยากถอดรองเท้าออกมาฟาดหน้าเจ้าเด็กติงต๊องนี่สักทีสองที แต่เขาไม่อยากทำลายภาพลักษณ์อันทรงเกียรติและดีงามที่ตัวเองสู้อุตส่าห์ฉาบบังหน้าเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงบังคับตัวเองให้เบือนหน้าหนีกัวฉางเฉิง และปล่อยให้เรื่องนี้มันจบไป
“สวัสดีครับ” เขาพูดกับชายหนุ่มที่ใส่แว่นตาพลางยื่นมือออกไป “ผมชื่อจ้าวอวิ๋นหลาน พวกเราเป็นคนจากกระทรวงความมั่นคงฯ ไม่ทราบคุณชื่ออะไรครับ”
ใบหน้าของชายหนุ่มที่สวมแว่นแสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ราวกับว่ามีบางสิ่งทำให้เขาตกใจโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่สีหน้านั้นก็เลือนหายไปในพริบตาจนทำให้คนอื่นคิดว่ารู้สึกไปเอง จากนั้นเขาก็ลดระดับสายตาลงแล้วจับมือจ้าวอวิ๋นหลานตามมารยาท “ผมชื่อเสิ่นเวย ผมสอนอยู่ที่นี่ ต้องขอโทษด้วย เมื่อกี้ผมคิดว่าเขาเป็นนักศึกษาที่มาเรียนซัมเมอร์”
มือของเสิ่นเวยเย็นเยียบราวกับศพที่เพิ่งออกมาจากช่องแช่แข็ง จ้าวอวิ๋นหลานสัมผัสแล้วรู้สึกตกใจ จนอดเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายไม่ได้ การกระทำนี้ทำให้เขาสบสายตาที่อยู่หลังแว่นของเสิ่นเวยเข้าพอดี
แม้เสิ่นเวยจะหลบสายตาอย่างรวดเร็ว แต่จ้าวอวิ๋นหลานก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่เสิ่นเวยมองเขามันแปลกๆ…ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่มันไม่ใช่สายตาที่คนเราใช้มองคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน
ในฐานะนักสืบคดีอาชญากรรม แม้จะเป็นนักสืบในคดีอาชญากรรมที่ค่อนข้างผิดปกติ แต่เขาก็มีความรู้พื้นฐาน…อย่างเช่นทักษะในการสังเกตคนอยู่บ้าง
ทำงานสายนี้ การมีภาวะบอดใบหน้าส่งผลเสียต่องานมากที่สุด ถ้าเขาเจอหน้าใครสักครั้ง ต่อให้เจอกันเพียงแวบเดียว ภายหลังหากมีความจำเป็นเขาก็ต้องนึกให้ออกจนได้
ด้วยเหตุนี้จ้าวอวิ๋นหลานจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอคนคนนี้มาก่อน
ในตอนนั้นเอง เจ้าแมวดำตัวใหญ่ที่ตัวกลมเหมือนลูกบอลไม่รู้ว่ากินยาอะไรผิดสำแดง มันเดินยักย้ายส่ายก้นตรงดิ่งเข้าไปเกาะข้อเท้าของเสิ่นเวยแล้วดมกลิ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ มันเดินวนรอบเท้าเขาหลายรอบ สุดท้ายก็ร้องเรียกเขาเบาๆ อย่างออดอ้อน
เจ้าแมวแก่ตัวนี้มีนิสัยเกียจคร้านเอาแต่กิน แต่ไหนแต่ไรมันชอบทำท่าเหมือนตัวเองเป็นผู้สูงส่ง คอยเหยียดมองมนุษย์บนโลกผู้โง่เขลา มันไม่เคยทำตัว…เหมือนแมวตัวหนึ่งแบบนี้มาก่อนเลย
จ้าวอวิ๋นหลานตกตะลึงเมื่อเห็นเจ้าแมวดำหมอบแทบเท้าของเสิ่นเวยอย่างสนิทชิดเชื้อเหมือนหญิงคณิกาที่หายางอายไม่ได้ สุดท้ายนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะเอียงคออย่างประจบประแจง ใช้ขาหน้าเล็กสั้นที่ดูน่าขำสะกิดเข่าของเสิ่นเวย เหมือนพยายามขอให้เขาอุ้มมันขึ้นมา
เสิ่นเวยก้มลงไปอุ้ม เจ้าแมวดำไม่ใส่ใจมือที่เย็นเฉียบของเขา แล้วยังร้อง ‘เหมียว’ ออกมาอย่างนุ่มนวลอีกด้วย มันขดตัวกลมเป็นลูกบอลอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างว่าง่าย ดวงตาสีเขียวมรกตของมันประสานกับดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นของชายหนุ่ม
จ้าวอวิ๋นหลานเกิดภาพลวงตาเหมือนว่าทั้งสองกำลังจ้องมองซึ่งกันและกัน
ผ่านไปครู่หนึ่งเสิ่นเวยจึงส่งเจ้าเหมียวคืนให้จ้าวอวิ๋นหลานอย่างไม่เต็มใจนัก เขาลูบหัวมันไปมา “เจ้าแมวตัวนี้แสนรู้มาก มันมีชื่อรึเปล่า”
“มีสิ มันชื่อต้าชิ่ง” จ้าวอวิ๋นหลานพูดต่อไปว่า “ชื่อเล่นว่าเจ้าอ้วน ฉายาเจ้าแมวผี”
เจ้าแมวดำร้องเสียงดังสลัดภาพสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องในฝันทิ้งไป มันพองขนกางกรงเล็บจะข่วนจ้าวอวิ๋นหลาน
“โอ๊ะ ข่วนคนเป็นด้วย” เสิ่นเวยหัวเราะ ยื่นมือเข้าขวางกรงเล็บของมันกลางคัน เขาจับอุ้งเท้าของมันมาเขย่าเบาๆ กรงเล็บของเจ้าแมวดำหดกลับเข้าไปแต่โดยดี เหมือนมันไม่เป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังปล่อยให้เสิ่นเวยลูบหัวอย่างว่าง่าย
“เมื่อเช้าผมได้ยินมาว่าเกิดเรื่องที่มหา’ลัย เป็นยังไงบ้าง ผู้ตายเป็นนักศึกษาของเราจริงรึเปล่า” เสิ่นเวยเอ่ยถาม
เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของเจ้านาย กัวฉางเฉิงก็ฝืนใจหยิบถุงใส่เอกสารแล้วล้วงเอารูปถ่ายกับบัตรนักศึกษาของหญิงสาวคนหนึ่งออกมา เขาส่งให้เสิ่นเวยมือไม้สั่น แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “ศาส…ศาสตราจารย์เสิ่นเวย สวัส…สวัสดีครับ รบกวนคุณช่วยดูหน่อย คุณรู้จักคนคนนี้รึเปล่า”