everY
ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 1-3 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ผู้เขียน : เชียนสือจิ่ว (千十九)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในภาวะสงคราม
มีการกล่าวถึงเลือดและสภาพศพ การข่มขืน การฆ่าตัวตาย
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม
อาการป่วยทางจิต บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 1
ตอนที่สายตาของเซียวอี้ฉือหยุดที่นาฬิกาปาเต็ก ฟิลิปป์* บนข้อมือของอวี๋จือเหนียน เขาก็รู้แล้วว่านัดบอดครั้งนี้ล่มไม่เป็นท่า
คุณป้าม่ายเพื่อนบ้านเก่าแก่ของเขาแนะนำอวี๋จือเหนียนไว้แบบนี้ ‘ทำงานสำนักงานกฎหมาย 996** อายุสามสิบกว่าๆ เป็นคนซื่อสัตย์มาก’
คุณป้าม่ายเองก็ได้รับการแนะนำมาจากคุณป้าพานซึ่งเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มแอโรบิกกลางแจ้งมาอีกที คุณป้าพานบอกว่าเขาเป็นหลานชายของเธอ เป็นคนนิสัยดีเยี่ยม แต่ล้มเหลวเรื่องความรัก ตอนนี้กฎหมายการสมรสเท่าเทียมก็ผ่านแล้วก็เลยอยากจะหาคนดีๆ สักคนมาอยู่กับเขา
ในเมื่อเพื่อนบ้านอาวุโสเอ่ยปากแนะนำ เซียวอี้ฉือก็พูดไม่ออก อีกทั้งตัวเขาเองก็อยากจะมีใครสักคนเหมือนกันจึงได้ตอบตกลงไป
วันนี้เขาแต่งตัวออกจากบ้านมาอย่างดี ใครๆ ก็รู้ดีว่าความประทับใจแรกนั้นสำคัญ
พวกเขาไม่ได้เพิ่มเพื่อนกันบนบัญชีโซเชียลมีเดีย เป็นการนำพาของคุณป้าผู้กระตือรือร้นทั้งสองล้วนๆ ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงจะพบกันที่ร้านกาแฟใกล้กับเขตชุมชนที่เซียวอี้ฉืออาศัยอยู่
เซียวอี้ฉือสังเกตเห็นอีกฝ่ายทันทีที่ผลักประตูเข้าไป
อวี๋จือเหนียนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เพราะนั่งอยู่และมีโต๊ะบังทำให้มองเห็นไม่ชัดว่าอีกฝ่ายใส่กางเกงสีอะไร
แต่ว่าคนคนนี้สะดุดตามากเพราะหน้าตาที่หล่อเหลา โครงหน้าชัดเจน จมูกโด่ง แววตาล้ำลึก ต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นเซียวอี้ฉือแล้วเช่นกันจึงมองมาทางนี้
“สวัสดี ฉันคือเซียวอี้ฉือ” เซียวอี้ฉือเดินเข้าไปทักทายเขา
“สวัสดี ผมอวี๋จือเหนียน” อวี๋จือเหนียนยื่นมือออกมา
ด้วยเหตุนี้เซียวอี้ฉือจึงสังเกตเห็นปาเต็ก ฟิลิปป์บนข้อมือของเขา
เมื่อตระหนักได้ว่าการจับมือทักทายนั้นเป็นทางการเกินไป อวี๋จือเหนียนก็พูดว่า “ติดมาจากที่ทำงานน่ะ ขอโทษที”
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า จับมืออย่างเป็นมิตรกับอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร”
เซียวอี้ฉือนั่งลง พอได้มองใกล้ๆ ก็แน่ใจแล้วว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวอวี๋จือเหนียนนั้นแพงหูฉี่ เนื้อผ้านุ่มแต่ไม่บางหรือย้วย แนวไหล่ก็พอดี ดูสวมใส่สบายและมีรสนิยม
“คุณจะดื่มอะไร เดี๋ยวผมไปสั่งให้” อวี๋จือเหนียนถามเซียวอี้ฉือ
เซียวอี้ฉือหันไปมองเมนูเครื่องดื่มสีสันสดใสที่แขวนอยู่บนผนัง “อเมริกาโนแก้วกลางก็แล้วกัน”
“โอเค” อวี๋จือเหนียนลุกขึ้น
เขาสวมกางเกงขายาวสีกรมท่าทรงหลวมแต่ไม่ได้หลวมโพรก ช่วยเน้นความยาวจากเอวถึงข้อเท้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
คุณสมบัติขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องหาคู่ผ่านการนัดบอดเลยจริงๆ
ตรงเคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่มคนไม่เยอะ ไม่นานอวี๋จือเหนียนก็กลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มสองแก้ว โดยเขาสั่งกาแฟดำหนึ่งแก้ว
อวี๋จือเหนียนดื่มกาแฟไปอึกหนึ่งก็วางลง ก่อนจะพูดกับเซียวอี้ฉืออย่างตรงไปตรงมา “คุณเซียว ป้าพานที่แนะนำให้พวกเรามาเจอกันเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพมาก คุณป้ามักจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องความรักของผมตลอด ฉะนั้นผมอยากให้คุณช่วยหน่อย เดือนนี้มาเจอกันสี่ครั้ง แล้วคุณค่อยไปบอกคุณป้าว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้ รบกวนหน่อยจะได้ไหม”
แม้แต่เสียงของหนุ่มหล่อก็ยังมีเสน่ห์น่าดึงดูด น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน แต่ไม่สามารถปกปิดความจริงได้อย่างหนึ่ง…หลังจากได้คุยกันไม่กี่นาทีเขาก็ตัดสินได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจตัวเอง
เซียวอี้ฉือครุ่นคิดถึงข้อสรุปที่น่าเศร้านี้อยู่ในใจเพียงลำพัง ในหัวคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้ก็ไม่ได้ยุ่งอะไร ได้เจอกับหนุ่มหล่อสักหน่อย เจริญตาเจริญใจดี
เขาไม่ขัดข้อง ตอบตกลงว่า “ได้”
ทั้งสองคนแลกวีแชต* กัน
ตอนที่ออกจากร้านกาแฟอวี๋จือเหนียนเพิ่งจิบกาแฟไปเพียงคำเดียวเท่านั้น
เมื่อมาถึงหน้าร้านเซียวอี้ฉือที่อดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถาม “คุณอวี๋ ขอเสียมารยาทถามหน่อยเถอะ ทำไมถึงคิดว่าพวกเราไปด้วยกันไม่ได้ล่ะ”
ในเมื่อไปด้วยกันไม่ได้ หมูตายก็ไม่กลัวน้ำร้อน**
อวี๋จือเหนียนอึ้งไปเล็กน้อย เขาคงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าถามตรงๆ แบบนี้ ทว่าเขาก็ไม่หลบเลี่ยง “หน้าตาของคุณ…ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของผม”
“อ่อ” เซียวอี้ฉือมีท่าทีเข้าใจ
ว้าว โดนลูกนี้เข้าไปหน้าชาไปเลย แต่เขาเป็นฝ่ายถามก่อน เจ็บก็ต้องทน
“ฉันเข้าใจแล้ว” เซียวอี้ฉือพูดพลางกล่าวลาอวี๋จือเหนียน “งั้นฉันจะรอข้อความนัดจากนาย”
“โอเค” อวี๋จือเหนียนพยักหน้า
เขตชุมชนที่เซียวอี้ฉืออาศัยอยู่เคยเป็นศูนย์สวัสดิการของโรงงานซีอิ๊ว อาคารต่างๆ มีอายุเฉลี่ยประมาณยี่สิบปี เป็นอาคารที่มีแต่บันไดทั้งหมด เนื่องจากแผนพัฒนาเมืองพื้นที่นี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของใจกลางเมือง แม้แต่บ้านเล็กๆ ที่เก่าและทรุดโทรมก็มีมูลค่าหลายล้าน
การนัดบอดกินเวลาแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น เซียวอี้ฉือตั้งใจเตร็ดเตร่อยู่ในละแวกใกล้เคียงก่อนที่จะกลับเขตชุมชน เขาเดินขึ้นบันไดไปยังหน้าประตูบ้านของตัวเอง ประตูเป็นบานเหล็กเลื่อนแบบเก่า เขาปลดล็อก ทันทีที่ดึงประตูก็รู้กันทั้งตึกว่าเขากลับมาแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงของคุณป้าม่ายที่อยู่ห้องตรงข้ามดังขึ้นก่อนที่จะเห็นเจ้าตัวเสียอีก เธอเปิดประตูและถามอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านหลังเขา
เซียวอี้ฉือหันไปตอบพร้อมรอยยิ้ม “ครับ”
“ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ เด็กๆ อย่างพวกเธอน่ะชอบไปร้านกาแฟ นั่งคุยไปกินข้าวไปนี่…นี่ เป็นยังไงบ้าง” ดวงตาของคุณป้าม่ายเป็นประกาย
“ก็ดีครับ พวกเราตั้งใจว่าจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้น”
“โอ้โห เยี่ยมเลย! ตอนที่ฉันได้ยินอาพานแนะนำก็คิดว่าพวกเธอเหมาะสมกัน! มาๆๆ เข้ามาคุยกับฉัน เธอยังไม่ได้กินข้าวสินะ มากินที่บ้านฉันสิ เอ๊ะ ยังจะยืนอยู่ทำไมอีก เข้ามาสิ!”
เซียวอี้ฉือต้านทานความกระตือรือร้นของคุณป้าม่ายไม่ไหว เขาจึงได้แต่เกาๆ ท้ายทอยแล้วเดินเข้าไป
ระหว่างนั้นเขาก็ถามคุณป้าม่าย “คุณป้าแนะนำผมไปว่ายังไงเหรอครับ”
“หืม?” คุณป้าม่ายที่ทำนู่นทำนี่อยู่ในห้องครัวพูดขึ้นว่า “ก็เหมือนที่เธอบอกฉันก่อนหน้านี้น่ะว่าเป็นแรงงานที่ถูกส่งไปต่างประเทศ ที่ไหนมีงานก็ต้องไป ฉันบอกกับอาพานแล้วว่าถึงงานจะหนัก แต่เธอก็ทนลำบากได้ รู้ประสา แถมยังส่งเงินมาให้ฉันทุกเทศกาล เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตั้งสิบกว่าปี สุดท้ายก็ยอมกลับมาสักที”
เซียวอี้ฉือ “…”
ตอนนั้นเขากุเรื่องขึ้นมาเพื่อไม่ให้คุณป้าม่ายเป็นกังวล เป็นไงล่ะ ทีนี้กรรมตามสนองแล้ว
พูดกันตามตรง คำว่า ‘แรงงานที่ถูกส่งไปต่างประเทศ’ ก็ไม่ผิดอะไร แต่ในแง่ของวาทศิลป์ก็น่าจะแก้ไขคำพูดให้ดูดีกว่านี้หน่อย
“เอาล่ะ เธอไปล้างมือก่อน”
“ขอรับ!”
เซียวอี้ฉือเข้ามาในห้องน้ำ เมื่อหันหน้าให้กระจกก็กะพริบตาแล้วถอนหายใจ
ถ้อยคำอาจจะปรุงแต่งให้ดูดีได้ แต่ถ้าจะปรุงแต่งใบหน้าที่อยู่ในกระจกให้ดูดีได้นั้นคงเหนื่อยน่าดู เพราะตากแดดตากฝนหลายปีจนผิวหยาบกร้านหมองคล้ำ แม้แต่รอยคล้ำรอบดวงตาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เซียวอี้ฉือลูบคลำใบหน้า เขาพอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองก่อนออกจากบ้าน แต่ประเด็นคือเขาต่างกับอวี๋จือเหนียนมากเกินไป ตอนนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ขัดใจซะเหลือเกิน
เขามองเสื้อเชิ้ตของตัวเองอีกครั้ง แม้จะเพิ่งซื้อมาใหม่ แต่คุณภาพก็ธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ตอนเขาอยู่ต่างประเทศก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ เพียงแต่ตอนที่เก็บกระเป๋ากลับมา เขาให้ความสำคัญกับของจำพวกหนังสือและเอกสารเป็นอันดับแรก เสื้อผ้าถูกเขาส่งมาทางไปรษณีย์ แต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปครึ่งเดือนแล้วก็ยังมาไม่ถึง พอโทรทางไกลไปยังที่ทำการไปรษณีย์ในพื้นที่ อีกฝ่ายกลับบอกว่าของพวกนั้นสูญหายไปแล้ว
เฮ้อ เบาะแสต่างๆ พัวพันกันยุ่งเหยิงจนทำให้การนัดบอดครั้งแรกในชีวิตของเขาล้มเหลว ช่างน่าเศร้าจริงๆ
“อี้ฉือ เสร็จแล้วยัง ขาหมูตุ๋นซีอิ๊วเสร็จแล้วนะ เธอมาลองชิมดู!”
กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาตามคำพูดนั้น เซียวอี้ฉือหรี่ตาลงสูดกลิ่นเบาๆ หอมจังเลย!
“มาแล้วครับๆ!” ช่างเถอะ เวลาย้อนกลับไม่ได้ คิดมากไปก็เท่านั้น ควรดูแลกระเพาะอาหารให้ดีก่อน
อวี๋จือเหนียนขับรถเบนซ์กลับไปที่อ่าวซิงเยวี่ย
อ่าวซิงเยวี่ยเป็นเขตชุมชนพื้นที่สีเขียวระดับไฮเอ็นด์ มีคนอยู่น้อย ความเป็นส่วนตัวสูง เงียบสงบจากเมืองที่พลุกพล่าน และมีการบริการที่เอาใจใส่
อาคารที่อวี๋จือเหนียนอาศัยอยู่มีหนึ่งยูนิตต่อชั้น พื้นที่มากกว่าสองร้อยตารางเมตร สูงห้าเมตรจากพื้นถึงเพดาน หันหน้าไปทางทิศใต้ โล่งกว้างและสว่างโปร่ง
อวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปข้างในหลังจากปลดล็อกประตูด้วยลายนิ้วมือ ทีมทำความสะอาดได้ทำความสะอาดอย่างพิถีพิถันแล้ว ในห้องมีกลิ่นไม้อ่อนๆ พื้นเงาวับ ของตกแต่งแวววาว ไฟเซ็นเซอร์สว่างขึ้นอัตโนมัติในทุกที่ที่เขาไป เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่นก็มีภาพวาดสีน้ำมันขนาดสามคูณสี่เมตรบนผนังสูงที่สะท้อนแสงไฟปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิสีชมพูเข้มและอ่อนกระจายตัวอย่างเป็นระเบียบ ดอกซากุระโบยบินอยู่ทั่วท้องฟ้าอย่างอ่อนช้อยพร่างพราย ไม่อึกทึกครึกโครมและก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป แฝงด้วยความยินดีและมีชีวิตชีวา เปี่ยมด้วยพลังแห่งความงามที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ มีสีสันแต่ไม่วุ่นวาย เยียวยาสายตาและจิตใจได้เป็นอย่างดี
นี่เป็นของสะสมชิ้นล่าสุดที่เขาประมูลมาด้วยราคาสูงสุดในงาน
อวี๋จือเหนียนยืนชื่นชมอยู่ครู่หนึ่ง ดูเวลาแล้วเข้าไปเปิดคอมพิวเตอร์ในห้องเพื่อเลือกตอบอีเมลสำคัญ จากนั้นเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วก็โทรไปหาคุณป้าพานซึ่งรับสายอย่างรวดเร็ว
“ป้าพาน พวกเราเพิ่งแยกกันครับ”
“งั้นเหรอ เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เลวครับ พวกเราจะนัดเจอกันอีก” บอกตามตรงเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเซียวอี้ฉือหน้าตาเป็นอย่างไร
“เยี่ยมไปเลย!” น้ำเสียงแห่งความยินดีของปลายสายถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ เธอยังพูดอีกว่า “จือเหนียน คราวก่อนเธอไปเจอแค่ครั้งสองครั้งก็ไม่ไปต่อแล้ว ครั้งนี้เธอก็อดทนหน่อยนะ มองข้อดีของอีกฝ่ายให้มาก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะต้องได้เจอเนื้อคู่แน่ๆ!”
“ได้ครับ คุณป้าวางใจเถอะ”
“ดีแล้ว พวกเธอคุยกันนานแบบนี้ น่าจะคุยถูกคอล่ะสิ ป้าม่ายที่แนะนำเด็กคนนั้นก็บอกว่าเขารู้ประสาพึ่งพาได้ เธอคิดว่ายังไง”
อาจจะมั้ง…เขาไม่รู้ และไม่จำเป็นต้องรู้
อวี๋จือเหนียนตอบคุณป้าพานด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ พึ่งพาได้ทีเดียว”
“ได้ยินว่าเขาทำงานที่เมืองนอกลำบากไม่น้อย ครั้งหน้าเจอกันก็พยายามคิดถึงใจอีกฝ่ายให้มากหน่อยนะ”
“ครับ”
“วันไหนว่างๆ ก็มาเล่าให้ฉันฟังหน่อยนะ ฉันจะได้ให้คำแนะนำเพิ่ม”
“ไม่มีปัญหาครับ”
หลังจากวางหูอวี๋จือเหนียนก็นึกย้อนถึงการนัดบอดอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาจำได้คือรอยด้านบนฝ่ามือของเซียวอี้ฉือตอนที่พวกเขาจับมือกัน อีกอย่างก็คือกาแฟร้านนั้นรสชาติห่วยมาก
* ปาเต็ก ฟิลิปป์ (Patek Philippe) คือแบรนด์นาฬิกาสุดหรูชื่อดังระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1893 โดยแอนโทนี ปาเต็ก (Antoni Patek) และเอเดรียน ฟิลิปป์ (Adrien Philippe) เป็นแบรนด์ที่มีสถิติการประมูลนาฬิกาข้อมือที่แพงที่สุดในโลก
** 996 คือระบบการทำงานแบบหนึ่งในประเทศจีนที่ให้ทำงานตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม เป็นเวลาหกวันต่อสัปดาห์ซึ่งถือเป็นการทำงานที่หักโหม
* วีแชต (WeChat) คือแอพพลิเคชั่นสำหรับสนทนาและส่งข้อความซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในจีน
** หมูตายไม่กลัวน้ำร้อน เป็นสำนวน หมายถึงคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วก็จะไม่เกรงกลัวภัยหรือปัญหาอีกต่อไป
Comments
