ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 1-3 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 1-3 #นิยายวาย

บทที่ 2

 

ในคลาสวีไอพีของฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งหนึ่งใจกลางย่านธุรกิจ

หน้าอกของเซียวอี้ฉือกระเพื่อมขึ้นลง หลังจากนอนบริหารกล้ามเนื้ออกบนม้านั่งครบหนึ่งเซ็ตเขาก็หันไปพูดกับโค้ชว่า “มาทำอีกเซ็ตเถอะ”

โค้ชต้าซานยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้เพิ่มน้ำหนักตลอดเลยนะ”

“ก็แน่สิ ฉันอยากจะดูว่ามันจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือด เร่งการผลัดเซลล์ผิวอะไรแบบนั้นได้รึเปล่า”

ต้าซานรู้สึกขบขัน “ออกกำลังกายต้องค่อยเป็นค่อยไป จะใช้อารมณ์ไปทำไม” พูดพลางยื่นมือดึงเซียวอี้ฉือให้ลุกขึ้น “คราวก่อนนายบอกว่าจะไปนัดบอด ทางนั้นได้พูดอะไรหรือเปล่า”

เซียวอี้ฉือซับเหงื่อด้วยผ้าขนหนู “สมกับที่เป็นทหารสอดแนมเก่า ทายถูกเผง”

ต้าซานเคยเป็นสมาชิกของกลุ่มคุ้มกันก่อนที่เขาจะเกษียณอายุ เซียวอี้ฉือเคยอยู่บนเรือกับพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพราะเรื่องงานก็เลยสนิทกัน

“ทางนั้นเขาเป็นใคร ถึงทำให้นายกังวลเรื่องรูปลักษณ์ได้” ต้าซานตั้งเวลาพักสิบนาทีบนนาฬิกาข้อมือ

เซียวอี้ฉือเบ้ปาก “ฟังดูเหมือนนายกำลังดูถูกฉันอยู่เลยนะ”

เมื่อก่อนเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ แต่การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าใครในประเทศก็พูดนั้นทำให้เขาต้องคิดใหม่อีกครั้ง บวกกับความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเขากับอวี๋จือเหนียน ไหนจะคำพูดที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ทำให้เซียวอี้ฉือเกิดความสงสัยว่าควรจะดูแลใบหน้าของตัวเองให้ดีกว่านี้หรือเปล่า

“การดูดีขึ้นอย่างสมเหตุสมผล เช่น การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ฉันเห็นด้วยกับวิธีพวกนี้มากกว่า แต่ถ้าอยากดึงต้นกล้าเพื่อให้โตเร็ว* ฉันว่ามันเกินไปหน่อย”

“เฮ้ๆ ทำไมประโยคที่ว่า ‘ดึงต้นกล้าเพื่อให้โตเร็ว’ ไม่ค่อยเข้าหูเลยแฮะ!” เซียวอี้ฉือปาผ้าขนหนูใส่ต้าซาน

“คู่นัดบอดของนายหล่อมากเลยเหรอ เลยรู้สึกว่าต่างชั้นกัน?” การตัดสินของอดีตทหารสอดแนมนั้นแม่นยำมาก

เซียวอี้ฉือยอมรับ “ใช่”

เขาหันไปมองดูอาคารระฟ้านอกหน้าต่างที่สูงจากเพดานจรดพื้นแล้วลองถาม “ฟิตเนสของนายเปิดอยู่ในศูนย์กลางการเงินมาหลายปีแล้วใช่ไหม นายเคยได้ยินคนที่ชื่อว่า ‘อวี๋จือเหนียน’ ไหม”

ต้าซานที่กำลังดื่มน้ำชะงักไป ก่อนจะวางแก้วลง “นายไปนัดบอดกับ ‘อวี๋จือเหนียน’ มาเหรอ”

ดูจากเสื้อผ้าและพฤติกรรมของอวี๋จือเหนียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พวกที่ทำงาน 996 ทั่วไป น่าจะเป็นคนสำคัญ เมื่อเซียวอี้ฉือเห็นปฏิกิริยาของต้าซานแบบนี้แล้วก็คิดในใจว่าใช่เลย

เซียวอี้ฉือพยักหน้า “เขาก็มาออกกำลังกายที่ฟิตเนสของนายด้วยเหรอ”

“เปล่า ฟิตเนสของฉันถือว่าเป็นสถานที่ราคาถูก ระดับของพวกเขาต้องไปที่ที่สูงกว่านี้ แต่พนักงานในสำนักงานกฎหมายของพวกเขาบางคนก็เป็นลูกค้าเก่าเรา เข้าๆ ออกๆ อยู่บ่อยๆ ฉันเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับทนายอวี๋ไม่น้อยเหมือนกัน”

เซียวอี้ฉือกลืนน้ำลาย “ไหนลองเล่ามาซิ”

ต้าซานขมวดคิ้ว “เขาเป็นคู่นัดบอดของนาย แต่นายไม่รู้อะไรเลยเหรอ”

เซียวอี้ฉือลูบจมูก “ฉันกำลังสืบอยู่นี่ไง”

“สำนักงานกฎหมายฟางต๋าที่เขาทำงานอยู่เป็นบริษัทกฎหมายข้ามชาติ ได้ยินว่าซับซ้อนมาก อวี๋จือเหนียนเคยถูกลดตำแหน่งไปขยายสาขาที่เมืองระดับสองด้วย แต่สองปีต่อมาเขาไม่ใช่แค่กลับมานะ แต่ยังจัดการกับเพื่อนร่วมงานที่เคยทำให้เขาล้มเหลวได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้เป็นหุ้นส่วนของบริษัท ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขากำลังไต่เต้าขึ้นเป็นหุ้นส่วนอาวุโสล่ะมั้ง ได้ยินมาว่าเขาหล่อมาก แต่เป็นคนคาดเดายาก แถมไม่ใช่คนดีอะไร”

เมื่อเห็นว่าเซียวอี้ฉือไม่ได้ตอบ ต้าซานก็พูดอย่างเป็นห่วง “นายจะคบกับเขาจริงเหรอ”

“ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจหรอกโอเคไหม เขาเห็นฉันครั้งแรกก็บอกว่าเราไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ฉันแค่สงสัยว่าคนแบบนี้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า”

เวลานี้นาฬิกาข้อมือของต้าซานก็ดังติ๊ดๆ “ไปด้วยกันไม่ได้แล้วนายจะอยากรู้มากไปทำไม มาๆ พวกเรามาเทรนต่อ!”

 

กลางคืนตอนเข้านอนเซียวอี้ฉือลากร่างอันปวดร้าวของตนนอนลงบนเตียง อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาเพิ่มจำนวนเซ็ตการออกกำลังกายก็คืออาการนอนไม่หลับที่แย่ลง นอกจากอายุที่มากขึ้นและปรับตัวกับเวลาที่ต่างกันยากแล้ว ฝันร้ายก็เป็นหนึ่งในตัวการหลักเหมือนกัน

เขาเคยเป็นนักข่าว และใช้เวลาครึ่งหนึ่งเดินทางไปมาระหว่างสนามรบตอนที่อยู่ต่างประเทศมาสิบกว่าปี

ควันปืน เสียงร้องไห้ เลือด ความเจ็บปวด…ฉากที่ดูเหมือนจะก้าวผ่านไปได้แล้วปรากฏขึ้นในฝันหลังจากที่เขากลับบ้านเหมือนถูกผีไล่ตาม

เหตุผลที่เขาตกลงไปนัดบอดไร้สาระนี้โดยไม่ลังเล อาจเพราะต้องการค้นหาจุดมุ่งหมายใหม่ของชีวิตก็ได้

เซียวอี้ฉือพึมพำ “พรุ่งนี้ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยแล้ว…”

 

วันต่อมาเซียวอี้ฉือออกมาจากโรงพยาบาล เขารู้สึกว่าหมอคนนี้ตรวจเหมือนไม่ได้ตรวจ นอกจากยานอนหลับแบบเดิมๆ แล้วก็มีแค่ข้อแนะนำทำนองว่าให้หาความสนุกในชีวิตเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจบ้าง

ในตอนนี้เองเขาก็ได้รับข้อความจากอวี๋จือเหนียน

 

เสาร์นี้ว่างไหม สะดวกมาเจอกันหน่อยไหม

 

เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว ความสนุกมาแล้ว

 

เช้าวันเสาร์ เซียวอี้ฉือตื่นแต่เช้ามาแต่งตัวด้วยความระมัดระวังและพิถีพิถันกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรก เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันนี้เขายังมาสก์หน้ามาทั้งสัปดาห์อีกด้วย (ซื้อจากห้องไลฟ์สด แบรนด์ดัง ซื้อหนึ่งแถมหก คุ้มสุดๆ) เสื้อผ้าก็เลือกและเปรียบเทียบอย่างเอาใจใส่ ทั้งยังรีดอย่างจริงจังในคืนก่อนหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีรอยยับแม้แต่รอยเดียว ผมก็ถูกฉีดสเปรย์จัดแต่งทรงเรียบร้อย ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือคนเราเมื่อล้มแล้วต้องรู้จักลุกขึ้นมาใหม่!

สิบโมงเช้า เซียวอี้ฉือเพิ่งจะเดินออกจากเขตชุมชนก็ถูกเงาของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนดึงดูดความสนใจ

อวี๋จือเหนียนสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมม่วงคู่กับกางเกงขายาวสีเบจ ด้านหลังเป็นรถยนต์เอสยูวีเทสลาสีดำ

เซียวอี้ฉือเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็พบว่าเสื้อตัวนั้นมีลวดลายซึ่งขับให้อีกฝ่ายดูเด่นยิ่งขึ้น ถ้าไม่ระวังสีแบบนี้อาจจะทำให้ดูเชยหรือแก่ไปเลย แต่กลับทำอะไรอวี๋จือเหนียนไม่ได้ มันเข้ากับหน้าตาและภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างลงตัว ทำให้ดูเหมือนคุณชายผู้สูงศักดิ์สง่างาม

เขาอยากบอกอวี๋จือเหนียนว่าสีนี้มีชื่อเรียกที่เพราะมาก มันคือ…โยวถานรุ่ย* แต่พูดออกมาแล้วก็ดูเหมือนจะอวดรู้ไปหน่อย เซียวอี้ฉือจึงได้แต่ยิ้มๆ “วันนี้นายดูสดใสมากเลย”

อวี๋จือเหนียนยิ้ม “คุณก็ด้วย”

พูดจบทั้งสองคนก็ขึ้นรถ

“ขอบคุณที่ยอมไปเลือกเสื้อเป็นเพื่อนผม นิทรรศการภาพวาดอาทิตย์หน้าเป็นของศิลปินที่ผมชอบน่ะ ผมตั้งตาคอยมากเลย” อวี๋จือเหนียนพูดอย่างสุภาพ

“ไม่ต้องเกรงใจ อัลมา วลาสซิสเป็นจิตรกรที่สุดยอดมากจริงๆ ฉันก็ชอบเธอเหมือนกัน”

อวี๋จือเหนียนหันไปมองเขาแล้วยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าเราไปนิทรรศการด้วยกันไหม”

เซียวอี้ฉือนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ได้สิ”

“ถ้าคุณไม่ว่างก็ไม่เป็นไร” อวี๋จือเหนียนสังเกตเห็นความลังเลของอีกฝ่าย

เซียวอี้ฉือพูดต่อ “ไม่เป็นไร ฉันจัดเวลาหน่อยก็ได้แล้ว”

อันที่จริงเขาไม่ได้ลังเลเลยว่าจะมีเวลาหรือเปล่า

 

ระหว่างที่พวกเขาคุยกันก็มาถึงห้างสรรพสินค้าหรูแห่งหนึ่งในตัวเมือง

อวี๋จือเหนียนกับเซียวอี้ฉือเดินมาถึงร้านแบรนด์ดังแห่งหนึ่ง พนักงานขายเดินเข้ามาต้อนรับ “คุณชายทั้งสอง ยินดีต้อนรับครับ วันนี้ไม่ทราบว่ากำลังหาเสื้อผ้าแบบไหนอยู่เหรอครับ”

“อาทิตย์หน้าผมจะไปร่วมงานนิทรรศการภาพวาดที่สำคัญมากครับ คุณมีอะไรแนะนำไหม”

เวลานี้เองผู้จัดการร้านก็เดินออกมาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณอวี๋ คุณมีสไตล์ของตัวเองอยู่เสมอก็อย่ารังแกเด็กใหม่ของพวกเราสิครับ ผมจะพาพวกคุณมาทางนี้ ผมเตรียมเสื้อผ้าที่คุณชอบไว้เรียบร้อยแล้วครับ” จากนั้นอีกฝ่ายจึงหันมาทางเซียวอี้ฉือ “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมต้องเรียกคุณว่าอะไรดี”

เซียวอี้ฉือยิ้มตอบ “ผมแซ่เซียวครับ”

“สวัสดีครับคุณเซียว คุณลองดูก่อนครับว่าชอบเสื้อผ้าแบบไหน แล้วค่อยลองสวมดูดีไหมครับ”

“ได้ครับ” เซียวอี้ฉือตอบ

อวี๋จือเหนียนหันมามองเขา “ใช่ ชอบแบบไหนก็ลองสวมดู” จากนั้นก็มองผู้จัดการร้าน “ถ้าคุณเซียวชอบเสื้อตัวไหนก็ช่วยจัดการให้เขาด้วยนะ”

“ได้ครับ”

อวี๋จือเหนียนกับผู้จัดการร้านเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จู่ๆ เซียวอี้ฉือก็ตระหนักได้

อวี๋จือเหนียนมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเอง แต่เลือกเสื้อผ้าให้เขามากกว่า

เซียวอี้ฉือนึกถึงกาแฟดำที่อวี๋จือเหนียนดื่มไปแค่อึกเดียวแล้วก็ไม่แตะต้องอีกตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก เขาจะไม่แตะสิ่งใดก็ตามที่ไม่ถูกใจ แต่ถ้าเขายืนกรานที่จะแตะต้องเขาก็จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ

เซียวอี้ฉือเกือบจะหลุดขำ

อวี๋จือเหนียนเลือกเสื้อสองสามตัวสำหรับตัวเองอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด จากนั้นจึงหันไปหาเซียวอี้ฉือ

ผู้จัดการร้านเลือกสองสามตัวให้เซียวอี้ฉือ แล้วเชิญให้เขาไปลอง

เซียวอี้ฉือที่เข้าไปในห้องลองเสื้อมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้ม

Interesting!

นี่อาจจะเป็นความสนุกจริงๆ ก็ได้

เขาก้มลงมองซิกซ์แพ็กส์ของตัวเองขณะเปลี่ยนเสื้อ รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที อย่างน้อยเขาก็ยังรักษารูปร่างเอาไว้ได้ และไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกอุจาดตา

เมื่อเซียวอี้ฉือออกมาจากห้องลองเสื้อ ผู้จัดการร้านก็ชมยกใหญ่ “คุณเซียว คุณดูดีมากเลยครับ! ครั้งนี้ได้อวดหุ่นด้วย หล่อมากจริงๆ!” ผู้จัดการร้านชูนิ้วหัวแม่มือ

หล่อหรือไม่หล่อเซียวอี้ฉือรู้ดีแก่ใจ เขาหันไปมองอวี๋จือเหนียนที่ยิ้มพลางพยักหน้าน้อยๆ ดูเหมือนพึงพอใจ “เอาชุดนี้ใส่ถุงให้คุณเซียวด้วย”

“ได้ครับ”

เวลานี้เองเสียงโทรศัพท์มือถือของอวี๋จือเหนียนก็ดังขึ้น เขากล่าวขอโทษเซียวอี้ฉือ “ที่ทำงานโทรมา ผมออกไปรับแป๊บนะ”

เซียวอี้ฉือพยักหน้า

ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาอีกครั้ง “คุณเซียวครับ คุณอวี๋เลือกชุดลำลองให้คุณด้วย คุณจะลองไหมครับ”

เซียวอี้ฉือยิ้มกว้าง “ไม่ต้องลองแล้ว ใส่ถุงเลยแล้วกันครับ”

ไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนจ่ายทั้งหมดนี้ คำตอบคืออวี๋จือเหนียน

ผู้จัดการร้านเข้าใจแล้วรีบจัดการทันที

ระหว่างที่อวี๋จือเหนียนคุยเรื่องงานเซียวอี้ฉือก็เลือกเนกไทด้วยตัวเองเส้นหนึ่ง รูดบัตรจ่ายเงินเอง และขอให้พนักงานขายห่อให้ด้วย

 

การพบกันครั้งที่สองของพวกเขาจบลงเช่นนี้

อวี๋จือเหนียนมีประชุมด่วน เขาส่งเซียวอี้ฉือกลับไปที่เขตชุมชน และไม่ลืมที่จะขอบคุณ “ขอบคุณที่วันนี้มาซื้อเสื้อเป็นเพื่อนผม”

เซียวอี้ฉือยิ้มตอบ “ฉันต่างหากที่ควรขอบใจนาย ใช้เงินนายตั้งเยอะขนาดนี้”

เขาชูถุงกระดาษ ชี้ไปที่เสื้อผ้าทั้งหมด แล้วพูดต่อว่า “รับมาก็ต้องให้ไป” ก่อนจะล้วงกล่องเนกไทที่ห่ออย่างดีออกมาจากถุงกระดาษ “นี่เป็นของตอบแทนของฉัน วันนี้ฉันสนุกมาก ขอบคุณนะ!”

อวี๋จือเหนียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้ เขารับกล่องไว้ “ไม่ต้องเกรงใจ งั้นเราค่อยคุยกันอาทิตย์หน้า?”

“โอเค”

 

อวี๋จือเหนียนกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ก็หยิบเสื้อผ้าออกจากถุงกระดาษแล้วแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าตรงโถงทางเดิน ซึ่งแม่บ้านจะเป็นคนรับผิดชอบทำความสะอาดเสื้อผ้าของเขา

สุดท้ายเขาก็เปิดของขวัญที่เซียวอี้ฉือให้ มันเป็นเนกไทเส้นหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นสีน้ำตาลก็ไม่ใช่ สีดำก็ไม่เชิง มันไม่ใช่สีปกติและไม่ใช่สีที่อวี๋จือเหนียนชอบสักนิด

รสนิยมทางสุนทรียะของอีกฝ่ายคงอยู่ในระดับนี้ เขาเองก็ไม่อาจฝืน

อวี๋จือเหนียนนึกถึงตอนที่พวกเขาทักทายกันวันนี้ สเปรย์จัดแต่งทรงผมของเซียวอี้ฉือนั้นมีกลิ่นเคมีแรงเกินไป พอดมก็รู้ทันทีว่าเป็นของคุณภาพทั่วไป เสื้อผ้าก็ดูตั้งใจแต่งให้เนี้ยบ ทว่าในสายตาของอวี๋จือเหนียนมันคือการพยายามเอาใจคนอื่น แต่ก่อนแม้ว่าคู่นัดบอดของเขาจะพยายามเอาใจเขา แต่คนเหล่านั้นก็จะแต่งตัวให้ดูเป็นธรรมชาติและไม่สะดุดตามากนัก คนอย่างเซียวอี้ฉือที่สามารถมองเห็นได้เพียงแค่แวบเดียวนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ อีกอย่างตอนอยู่บนรถเซียวอี้ฉือบอกว่าตัวเองชอบอัลมา วลาสซิส แต่เขาไม่รู้หรือว่าแฟนคลับของเธอต่างเรียกเธอว่า ‘อ้ายฝู’ เห็นได้ชัดว่าเซียวอี้ฉือลังเลตอนที่ชวนไปงานนิทรรศการ คงกลัวว่าความรู้ที่อัดมาในนาทีสุดท้ายจะไม่เพียงพอสำหรับนิทรรศการนี้ล่ะมั้ง

เขาพยายามนึกถึงใจอีกฝ่ายให้มากตามที่คุณป้าพานบอก ดังนั้นเขาถึงได้ซื้อเสื้อให้ทางอ้อม เพราะสุดท้ายแล้วยังมีวันที่ต้องออกไปข้างนอกด้วยกันอีก เขาไม่เห็นด้วยกับรสนิยมการแต่งตัวของอีกฝ่ายเลยจริงๆ

เขามองเนกไทในมืออีกครั้ง เนกไทเส้นนี้ไม่อยู่ในใบเสร็จ เซียวอี้ฉือน่าจะซื้อเองต่างหาก ซึ่งอวี๋จือเหนียนรู้ดีว่าของร้านนั้นแพงแค่ไหน

ช่างเถอะ แขวนไว้ก่อนก็แล้วกัน เขาแขวนเนกไทไว้ข้างเสื้อผ้าตัวใหม่

แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงเปิดตู้อีกครั้ง

เนกไทสีแปลกเส้นนี้ดูเข้ากันได้ดีกับเสื้อชุดใหม่ของเขา อวี๋จือเหนียนหยิบเนกไทออกมา แล้วเลือกเสื้อเชิ้ตมาตัวหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนทันที

เมื่อมองกระจกก็พบว่าทั้งเนกไท เสื้อเชิ้ต และตัวเขาดูกลมกลืนกันอย่างมาก

นี่ไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ

 

เมื่อกลับถึงบ้านเซียวอี้ฉือก็หยิบเสื้อทั้งสองชุดออกมาแขวน

เขาอ่านฉลากการซักอย่างตั้งใจ ทุกตัวต้องซักแห้งและ ‘ดูแลโดยมืออาชีพ’

เขาเกาศีรษะ อวี๋จือเหนียนใส่ใจกับการซื้อเสื้อผ้าให้เขามากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่จัดทีมงานมืออาชีพมาดูแลเรื่องน่าเบื่อก่อนและหลังการสวมใส่ด้วยล่ะ

สั้นๆ ก็คืออวี๋จือเหนียนสนใจแค่ความรู้สึกตอนที่ตนเองมองเห็น ส่วนเรื่องที่มองไม่เห็นก็ไม่สนใจ

เซียวอี้ฉือตบศีรษะตัวเองเบาๆ และคิดทบทวน วันนี้ตัดสินเรื่องนู้นเรื่องนี้มาทั้งวันแล้ว อย่าวิจารณ์อะไรง่ายๆ สิ นายจะบรรยายสิ่งที่เห็นก็ได้ แต่ต้องตรวจสอบให้ละเอียดก่อนที่จะสรุปอะไร โดยเฉพาะกับคน

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน เขาเขียนข่าวมาสิบกว่าปี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตีตราอวี๋จือเหนียนจากสิ่งที่ได้ยินมาและการเจอหน้าแค่สองครั้ง นับประสาอะไรกับอวี๋จือเหนียนที่เข้าไปพัวพันกับความปากหวานก้นเปรี้ยวในหมู่ชนชั้นสูงตลอดเวลาล่ะ

พอคิดแบบนี้เขาก็ปล่อยวางได้ จากนั้นก็นึกถึงเนกไทเส้นนั้นที่ตนซื้อให้อวี๋จือเหนียน ตอนอวี๋จือเหนียนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก เขาตั้งใจสังเกตสีเสื้อที่อีกฝ่ายซื้อ สีของเนกไทที่เขาเลือกนั้นคือสีหมึก ซึ่งเป็นสีประจำเดือนกันยายน เป็นสีแห่งความมั่นคง สง่างาม และเป็นสัญลักษณ์ของการเก็บเกี่ยว

กลับมาเรื่องนิทรรศการสัปดาห์หน้า เขากับอัลมา วลาสซิสเป็นเพื่อนเก่ากัน ตอนอัลมาเดินทางไปตะวันออกกลางเพื่อรวบรวมเอกสาร เพื่อนนักข่าวชาวสเปนได้แนะนำเซียวอี้ฉือซึ่งกำลังเรียนภาษาสเปนอยู่ให้เธอรู้จัก คนหนึ่งกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา ในขณะที่อีกคนไม่ละอายเลยที่จะเรียนรู้ภาษาสเปน ทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็วและเป็นเพื่อนร่วมทางกัน

ระหว่างทางได้พบเจอเหตุการณ์ระเบิดถล่มเมืองของกลุ่มต่อต้าน สัญญาณโทรศัพท์มือถือขาดหาย ทั้งสองคนติดอยู่ในบ้านร้าง อาศัยน้ำสองขวดกับขนมปังสองชิ้นประทังชีวิต เซียวอี้ฉือแบ่งสองในสามของขนมปังของตัวเองให้กับอัลมา วลาสซิส ถ้ามีแค่คนเดียวที่รอดออกไปได้ เขาก็อยากให้เธอมีชีวิตอยู่ เพราะเขาเห็นเด็กกับผู้หญิงผู้บริสุทธิ์ตายในสนามรบมากเกินไป พวกผู้ชายต่อสู้เพื่อความเชื่อของพวกเขา ทิ้งให้ผู้หญิงและเด็กตกเป็นเป้าหมายของเครื่องจักรสงครามที่ไร้ความปรานี ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่มีวันมองดูอยู่เฉยๆ แบบนี้

หลังจากพวกเขาติดอยู่ที่นั่นสามวัน กำลังเสริมก็เข้าช่วยเหลือ

ทั้งสองคนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม แต่อัลมา วลาสซิสกลับสารภาพรักเขา

‘ขอโทษด้วย ฉันเป็นเกย์’

อัลมา วลาสซิสผิดหวังมาก ‘ลองดูสักครั้งไม่ได้เหรอ’

‘เคยลองแล้ว มันไม่ได้’

เธอเสียดาย ‘ผู้ชายดีๆ เป็นเกย์กันหมด’

เซียวอี้ฉือปลอบเธอ ‘สุดท้ายแล้วผู้หญิงดีๆ ก็จะเจอกับความสุข’

‘ฉันขอจูบนายได้ไหม แค่ครั้งเดียว’

เซียวอี้ฉือครุ่นคิด ‘ได้’

‘จูบแบบดูดดื่มนะ’

‘ได้สิ’

จากนั้นพวกเขาก็ติดต่อกันเรื่อยมา สองปีต่อมาอัลมา วลาสซิสบอกว่าเธอวาดภาพหนึ่งเสร็จแล้ว อยากมอบให้เขา แต่เพราะเขาเดินทางไปทั่วจึงยังไม่ได้รับ ภาพวาดนั้นยังอยู่ที่เธอ หลังจากที่เขากลับประเทศภาพวาดก็ถูกจัดส่งไปยังหอศิลป์ในประเทศแล้ว เซียวอี้ฉือจึงเดินทางไปที่หอศิลป์เพื่อเซ็นรับ ภาพวาดชิ้นใหญ่ขนาดสามคูณสามเมตรนั้นน่าตกใจกว่าที่เขาเห็นในวิดีโอมาก แม้ภาพวาดจะมีชื่อว่า ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ แต่กลับมีท้องฟ้าสีเหลืองและดวงดาวสีดำ สีเหลืองคือสีของผิวหนัง สีดำคือสีของดวงตา นอกจากนี้ยังมีเจ้าของหอศิลป์มาหาเขาถึงที่ด้วยตนเอง โดยหวังว่าเซียวอี้ฉือจะให้ยืมภาพวาดนี้ไปเป็นคอลเล็กชั่นพิเศษสำหรับนิทรรศการในเดือนหน้า

‘ไม่มีปัญหาครับ’

‘คุณจะมางานนิทรรศการด้วยไหมคะ ฉันสามารถแนะนำนักสะสมคนอื่นให้คุณรู้จักได้นะคะ’

‘ไม่ล่ะครับ ผมไม่ค่อยชินกับงานแบบนี้เท่าไร’

‘ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนใจก็ติดต่อฉันได้ทุกเมื่อ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้เซียวอี้ฉือจึงตัดสินใจโทรหาอีกฝ่าย และขอให้ช่วยรักษาความลับต่อหน้าอวี๋จือเหนียน

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้อัลมา วลาสซิสถือเป็นจิตรกรแนวโมเดิร์นนิสม์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการศิลปะ แค่ราคาประมูลขั้นต่ำที่สุดสำหรับภาพวาดของเธอเพียงภาพเดียวก็แตะสองล้านเหรียญสหรัฐแล้ว แม้เธอจะมาร่วมงานในครั้งนี้ไม่ได้ แต่ผู้คนกลับได้ยินว่าเธอต้องการจะจัดแสดงภาพวาดบางภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนในงานนิทรรศการครั้งนี้ด้วย

เซียวอี้ฉือสวมเสื้อราคาแพงยืนอยู่หน้าโถงนิทรรศการขณะมองดูผู้คนผ่านไปมา แม้คนจะเยอะแต่ก็ยังรักษาระเบียบ มีการพูดคุยกันเบาๆ เป็นครั้งคราว ได้ยินเสียงดนตรีที่ดังคลอเป็นพื้นหลังได้อย่างชัดเจน อวี๋จือเหนียนกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ไม่ไกล เขาสวมเนกไทที่เซียวอี้ฉือเลือกให้ด้วย

แม้จะพูดว่าไม่สามารถตัดสินคนได้ แต่เซียวอี้ฉือมักจะรู้สึกว่ามีปีศาจตัวน้อยอยู่ในหัวของเขา ปีศาจน้อยพูดกรอกหูเขาตั้งแต่เช้าว่า ‘วันนี้อวี๋จือเหนียนไม่ใส่เนกไทที่แกซื้อให้หรอก’ แต่อวี๋จือเหนียนกลับสวมเนกไทเส้นนั้นมารับเขา ปีศาจน้อยเลยไปนั่งวาดวงกลมอยู่ที่มุมผนัง

อวี๋จือเหนียนเดินกลับมาหาเซียวอี้ฉือ ยิ้มน้อยๆ แล้วถามว่า “คุณคิดว่านิทรรศการนี้เป็นยังไงบ้าง”

เซียวอี้ฉือพยักหน้าชม “ดีมาก”

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงหน้าภาพ ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ อวี๋จือเหนียนก็พูดขึ้นมาว่า “นี่ก็คือภาพวาดที่อ้ายฝูไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อน”

ได้ยินอีกฝ่ายเรียกว่า ‘อ้ายฝู’ ปีศาจน้อยที่อยู่ในหัวของเซียวอี้ฉือก็บินไปบินมา ‘ได้ยินไหม คราวก่อนที่นายเรียกเธอว่าอัลมาน่ะมันผิด! นายไม่มีคุณสมบัติเป็น ‘แฟนตัวยง’! นายมันตัวปลอม!’

เซียวอี้ฉือรู้สึกผิดมาก

อวี๋จือเหนียนมองภาพวาดแล้วพูดว่า “อ้ายฝูไม่ค่อยใช้สีเหลืองกับสีดำแบบนี้ ไม่รู้ว่าเป็นนัยบอกว่าไอเดียของเธอกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางอื่นหรือเปล่า คุณคิดว่าไง”

“…ฉันว่าไม่น่าใช่”

อวี๋จือเหนียนถามต่อ “ทำไมล่ะ”

ภาพนี้ไม่มีข้อมูลที่เป็นสาธารณะมากนัก เซียวอี้ฉือเองก็ไม่ได้เปิดเผยความจริง

ดังนั้นคำตอบของเขาจึงขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด “เซ้นส์ล่ะมั้ง”

ดวงตาของอวี๋จือเหนียนฉายแววไม่พอใจเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไรอีกแต่มองไปที่ไกลๆ “ขอโทษที ผมเจอคนรู้จัก ขอตัวสักครู่”

“ได้”

ปีศาจน้อยเอ่ยปากอีกครั้ง ‘อวี๋จือเหนียนไม่พอใจกับคำตอบของนายมากๆ! นายทำให้เขาโกรธ!’ แต่มันกลับดูมีความสุขมาก ‘ถ้าเขารู้ว่านายก็คือเจ้าของภาพวาดนี้ เขาจะทำหน้าแบบไหนกันนะ ฮี่ๆๆ’

เซียวอี้ฉือก้มหน้าลงปิดปากยิ้ม

อวี๋จือเหนียนไม่พอใจจริงๆ เดิมทีมุมมองที่เขามีต่อเซียวอี้ฉือเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะเนกไท แต่ตอนนี้ดูเหมือนเนกไทที่เขาสวมอยู่ก็แค่เพราะอีกฝ่ายโชคดีเลือกถูกก็เท่านั้น ทั้งที่รู้ว่าจะมางานนิทรรศการศิลปะ ต่อให้ความรู้มีไม่มากก็ควรจะทำการบ้านมาไม่ใช่เหรอ แต่เซียวอี้ฉือล่ะ? เขาไม่สามารถแสดงความคิดที่เจาะจงได้ด้วยซ้ำ อวี๋จือเหนียนไม่เคยเห็นทัศนคติแบบนี้จากคู่นัดบอดคนอื่นในอดีตเลย ระดับสังคมเป็นตัวกำหนดความสำเร็จในชีวิตจริงๆ เซียวอี้ฉือทั้งไม่ใช่คนหน้าตาดี ไม่มีรสนิยมและทัศนคติ แถมดูเหมือนว่านี่แค่เป็นการออกมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะคุยกันว่าจะเจอกันสี่ครั้งในตอนแรกอวี๋จือเหนียนก็ไม่อยากจะเสียเวลาเลยจริงๆ

 

* ดึงต้นกล้าเพื่อให้โตเร็ว เป็นสำนวน หมายถึงการกระทำที่เร่งรัดหรือบีบบังคับเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น แต่แทนที่จะได้ผลดี กลับทำให้เกิดความเสียหายหรือผลกระทบที่ไม่คาดคิด

* โยวถานรุ่ย คือสีเคลือบเซรามิกที่มีสีหลักเป็นสีม่วง โดยเซรามิกเมื่อถูกนำไปเผาแล้วอาจจะมีเฉดสีม่วงที่แตกต่างกันหรือมีการผสมผสานกับสีอื่นๆ เล็กน้อย ขึ้นอยู่กับพื้นผิวของชิ้นงานและกระบวนการเผา

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 1-3

บทที่ 1 แค้นเก่า หวงหร่างกลายเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ผู้เก่งกล้าจากสำนักเซียนหลายคนฝ่าฟันอันตรายลักพาตัวนางออกมาด้วยความยา...

ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทนำ-บทที่ 1.2

บทนำ บนโลกนี้มีการเดินทางข้ามกาลเวลาที่สมบูรณ์แบบอยู่หรือไม่ น่าจะมีอยู่ หยางหวั่นก็คือคนโชคดีที่ได้เดินทางข้ามกาลเวลาคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 4-6

บทที่ 4 แป้งชาด ตอนตี้อีชิวกลับถึงกองเสวียนอู่ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กำลังจะสว่าง เขาจึงมิได้นอนอีก ตัดสิน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 7-9

บทที่ 7 กิเลส หิมะแรกหลังย่างเข้าฤดูเหมันต์มาเยือนเมืองหลวง หิมะแรกเล็กละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ปกคลุมไปทั่ววัง...

community.jamsai.com