ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 1-3 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 1-3 #นิยายวาย

3 of 3หน้าถัดไป

บทที่ 3

 

หลังจากทักทายคนรู้จักเสร็จอวี๋จือเหนียนก็ไปเข้าห้องน้ำ อารมณ์ของเขาสงบลงแล้ว

การพบกันเป็นภารกิจตั้งแต่แรก แค่ทำภารกิจให้สำเร็จก็พอ ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลย

พอเขาออกมาก็มองหาเซียวอี้ฉือ

อีกฝ่ายกำลังยืนอยู่หน้าภาพวาดอีกภาพ ดูเหมือนกำลังครุ่นคิด

ดูจากด้านข้าง เซียวอี้ฉือหุ่นดีมาก หลายคนมีท่ายืนที่ไม่ดีนัก ถ้าไม่ใช่หลังค่อมและแอ่นตัวไปข้างหน้า ก็ยืดขามากเกินไปจนส่งผลต่อรูปลักษณ์ แต่ท่ายืนของเซียวอี้ฉือสง่างามมาก ไม่ได้จงใจทำตัวเกร็งตามแบบทหาร แค่กอดอก เอียงศีรษะเล็กน้อย อีกฝ่ายไหล่และหลังกว้าง เอวตรง ขาเรียวยาว…

น่าเสียดายที่หน้าตาธรรมดาไปหน่อย

รูปลักษณ์ภายนอกสำคัญมาก อย่าพูดว่าหน้าตาไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องไร้สาระ รูปลักษณ์ภายนอกในจินตนาการของคนทั่วไปนั้นมีค่าเท่ากับ ‘ความงาม’ ด้วยซ้ำ

ส่วนเซียวอี้ฉือนั้นกำลังทบทวนตัวเองอีกครั้ง อวี๋จือเหนียนชอบภาพวาดของอัลมาจากใจจริง และเมื่อกี้เขาเองก็แสดงอาการน่าผิดหวังจริงๆ แต่การแสวงหาความรู้สึกเหนือกว่าจากคนที่ไม่รู้ความจริงและได้รับความสุขในการทำสิ่งชั่วร้ายเล็กๆ น้อยๆ มันผิดตรงไหนล่ะ

อวี๋จือเหนียนยิ้มพลางเดินเข้ามาหาเซียวอี้ฉือ “ขอโทษที่ทำให้รอนาน”

เซียวอี้ฉือดึงสติกลับมา ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”

แม้จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับภาพ ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ ไม่ได้ แต่ก็พอจะคุยเกี่ยวกับภาพวาดตรงหน้านี้ได้บ้าง เขากำลังจะเริ่มบทสนทนา อวี๋จือเหนียนกลับเอ่ยว่า “ผมมีงานด่วนต้องจัดการ แล้วก็ต้องกลับไปที่สำนักงานกฎหมายด้วย จะให้ไปส่งคุณก่อนไหม หรือคุณอยากอยู่ดูนิทรรศการที่นี่ต่อล่ะ โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ ผมไม่อยากขัดความสนุกคุณ”

เซียวอี้ฉือส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ “เรื่องงานสำคัญ นายไม่ต้องส่งฉันหรอก ฉันขอดูอีกหน่อย เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านเอง”

อวี๋จือเหนียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “โอเค งั้นพวกเราค่อยคุยกัน”

“โอเค”

อวี๋จือเหนียนกำลังจะจากไป เซียวอี้ฉือก็เรียกเขาอย่างลังเล “เมื่อกี้…ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาพวาด ‘เที่ยงคืนในตะวันออกกลาง’ เท่าไร ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมาก ฉันไม่อยากหน้าแตกต่อหน้านายในฐานะแฟนศิลปะรุ่นพี่ แต่ฉันเข้าใจภาพวาดอื่นนะ น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีเวลา ไว้มีโอกาส ฉันค่อยขอคำแนะนำจากนายแล้วกัน”

ถ้อยคำเหล่านี้ช่วยคลายความกังวลใจของอวี๋จือเหนียนได้อย่างแม่นยำ

เข้าใจพูดเหมือนกันนี่

ใบหน้าของอวี๋จือเหนียนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เขาแค่ยิ้มๆ “ผมไม่ได้ใส่ใจหรอก ก็ได้ ไว้มีโอกาสพวกเราค่อยคุยกัน”

เซียวอี้ฉือมองแผ่นหลังของอวี๋จือเหนียนที่กำลังจากไป ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง

วันนี้ได้รับความสนุกแล้ว

 

เมื่อกลับถึงบ้านเซียวอี้ฉือก็ถอดเสื้อที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษออก หลังจากใส่ถุงอย่างดีเขาก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้วไปที่ร้านซักแห้ง

หน้าทางเข้าเขตชุมชนครึกครื้นมาก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าบรรดาคุณป้าที่เต้นแอโรบิกกลางแจ้งกำลังรอรถบัสมารับไปแข่ง

“อี้ฉือ!” เสียงตะโกนที่คุ้นเคยนี้ ถ้าไม่ใช่คุณป้าม่ายแล้วจะเป็นใครได้อีก

คุณป้าม่ายโผล่ออกมาจากหมู่มวลสีสันอันสวยงาม เธอยิ้มให้เซียวอี้ฉือด้วยใบหน้าที่แต่งจนหนาเตอะ

“เอ๊ะ สาวสวยคนนี้ใครนะ” เซียวอี้ฉือยิ้มหวาน เขาเดินเข้าไปรับร่มกันแดดของคุณป้าม่ายมาและช่วยกางให้เธอ “พวกป้าๆ แข่งกันวันนี้เหรอครับ”

“ใช่สิ วันนี้แข่งรอบชิงแล้ว! พวกเรามีโอกาสชนะสูงมาก! ถ้าพวกเราได้ที่หนึ่งล่ะก็ ฉันจะกลับมาทำของอร่อยๆ ให้เธอกิน!”

“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ วันนี้พวกเราชนะแน่!”

“พ่อหนุ่มนี่…” จู่ๆ ก็มีคนพูดแทรกขึ้นมา

“เอ๊ะ จริงสิๆ!” คุณป้าม่ายพาคุณป้าที่อยู่ข้างๆ มาแนะนำให้เซียวอี้ฉือรู้จัก “คนนี้ก็คือป้าพาน! ป้าเขาอยากเจอเธอมานานแล้ว วันนี้เหมาะเจาะพอดีเลย!”

เซียวอี้ฉือจ้องมองอย่างตั้งใจ เครื่องสำอางที่หนาจัดปกปิดลักษณะใบหน้าที่แท้จริงของเธอ แต่คุณป้าพานคนนี้ดูอ่อนโยนมาก

“สวัสดีครับป้าพาน! ผมคือเซียวอี้ฉือครับ”

คุณป้าพานมองสำรวจเขาขึ้นลง ดูพึงพอใจอย่างมาก “ดีจังเลย เป็นเด็กดีจริงๆ”

“ใช่ไหมล่ะ ฉันก็บอกเธอแล้วว่าเซียวอี้ฉือของฉันเป็นเด็กดี! อย่าไปมองว่าเขาผ่านโลกมาเยอะนะ เขายังเด็กกว่าหลานของเธอตั้งครึ่งปี!”

หา? ป้าม่าย นี่คุณป้าสนิทกับผมแท้ๆ แต่ผมกลับไม่รู้ว่าคุณป้ากำลังชมหรือด่าผมกันแน่

คุณป้าพานหัวเราะ “ผ่านโลกไม่เยอะหรอก กำลังดี”

เซียวอี้ฉือรู้สึกซาบซึ้ง “ขอบคุณครับป้าพาน!”

“เธอกับจือเหนียนเข้ากันได้ดีไหม” คุณป้าพานมองเขาอย่างคาดหวัง

…จะพูดว่ายังไงดีล่ะ พวกเขาเจอหน้ากันอีกแค่ครั้งเดียวก็จะบอกลากันแล้ว

เซียวอี้ฉือตอบ “ก็ดีครับ พวกเราเจอกันสองสามครั้งแล้ว”

คุณป้าพานกับคุณป้าม่ายได้ยินแล้วก็หน้าบานพลางมองหน้ากัน “เยี่ยมไปเลย!”

โชคดีที่หัวหน้าคณะเต้นเป่านกหวีดอยู่ข้างหน้า “ทุกคน! รวมกลุ่มได้แล้ว! รถใกล้จะเลี้ยวมาแล้ว!”

“เอาล่ะ ไม่คุยแล้ว พวกเราจะไปรวมกลุ่มกันก่อน!” คุณป้าม่ายเป็นคนใจร้อน เธอลากคุณป้าพานเตรียมจะวิ่งกลับไป

คุณป้าพานมองเซียวอี้ฉือ “ไว้ว่างๆ แล้วพวกเราค่อยคุยกันนะ”

“ได้ครับๆ ระวังตัวด้วยนะครับ อย่าล้มนะครับ!” เซียวอี้ฉือมองพวกเธอจากไป แล้วก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

รถบัสจากไปไกลแล้ว ทว่าเซียวอี้ฉือยังคงยืนอยู่ที่เดิม

ถ้าพ่อแม่ของเขายังอยู่ พวกเขาจะเป็นห่วงเรื่องแต่งงานของลูกตัวเองเหมือนคุณป้าม่ายกับคุณป้าพานไหมนะ…

 

เซียวอี้ฉือรู้ว่าตัวเองชอบเพศเดียวกันตั้งแต่สมัยวัยรุ่น

ความผันผวนรุนแรงในใจทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายด้วยความมึนงง จากนั้นก็เข้ามหาวิทยาลัยท้องถิ่นธรรมดาๆ ด้วยความมึนงงเช่นกัน แต่ระหว่างที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเขาได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น ทำให้เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้น พออยู่ปีสามเขาจึงอยากเปิดเผยตัวตนกับพ่อแม่

แม้พ่อแม่ของเขาจะเป็นเพียงคนงานในโรงงานซีอิ๊ว แต่พวกเขาก็มีจิตใจที่เปิดกว้าง ซื่อสัตย์ และรักการอ่านหนังสือ ดังนั้นพวกเขาน่าจะ…เข้าใจ

เดิมทีคืนนั้นเป็นคืนเข้ากะของพวกเขา เพราะลูกชายบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยทั้งสองจึงลากลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับพวกเขาประสบอุบัติเหตุจากรถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด รถจักรยานยนต์ถูกชนจนกระเด็นไปไกล ตอนที่ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลทั้งคู่ก็เสียชีวิตแล้ว

เซียวอี้ฉือยืนอยู่หน้าเตาเผาพลางคิดว่าถ้าไม่ได้ให้พวกเขากลับมาก็ดีสิ

ถ้าเขาไม่ได้เป็นเกย์ก็ดีสิ…

เขาทำให้พ่อแม่ตาย…

เพราะเขาไม่ใช่คนปกติ…

ตอนใกล้จะจบปีสี่สำนักงานข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่งขาดคนจึงมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อรับสมัครคนไปต่างประเทศ แม้จะไม่ได้เขียนไว้ชัดเจน แต่ไม่ว่าใครต่างก็พูดว่าต้องไปสนามรบและค่อนข้างเสี่ยงอันตรายทำให้คนสมัครน้อยมาก

สุดท้ายแล้วเซียวอี้ฉือจึงเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียว

ขณะที่เขากำลังจะเดินทางก็โกหกคุณป้าม่าย บวกกับอินเตอร์เน็ตในเวลานั้นยังไม่พัฒนา และเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นคุณป้าม่ายจึงต้องให้เขาไป

เซียวอี้ฉือออกเดินทางด้วยความตั้งใจที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรม ตายก็ตาย บางทีตายไปก็อาจจะดีกว่า

แต่เขาไร้เดียงสาเกินไป

แม้จะได้รับการฝึกฝนมาแล้ว แต่พอได้เหยียบสนามรบเข้าจริงๆ ไม่สิ นั่นเป็นแค่รอบนอกของสนามรบ…เขาก็รู้สึกกลัวจากใจจริง

ความกลัวอย่างรุนแรงประกอบกับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดอันแรงกล้าทำให้เขาตระหนักได้ว่าไม่มีหรอก คิดอยากตายก็ตายได้น่ะ เพราะนั่นก็เหมือนกับเด็กที่ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

ในช่วงสองปีแรกเขาใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมาก ทั้งในแง่ชีวิตประจำวันที่ยุ่งเหยิง หรือแม้แต่แง่ของจิตใจ

แต่เขาเข้าใจยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดว่าเขาอยากมีชีวิตรอด

เซียวอี้ฉือจำเป็นต้องยอมรับตัวตนของตัวเอง

ซึ่งนี่เป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก

ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ด้านมืดด้านสว่างของธรรมชาติมนุษย์ วัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผู้คนที่บังเอิญเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว ผู้คนที่มีความขัดแย้ง หรือผู้คนที่มีความสนใจคล้ายคลึงกันจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในท้ายที่สุด ทั้งหมดนี้ต่างหลอมรวมกันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่อีกครั้ง

 

สำหรับอวี๋จือเหนียนแล้วเป็นเรื่องปกติที่จะมีหลายโครงการกำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน บางโครงการอาจอยู่ในระหว่างการตรวจสอบอย่างรอบคอบ บางโครงการต้องมีการสอบถามเพิ่มเติม บางโครงการกำลังเตรียมออกคำวินิจฉัยทางกฎหมาย แต่ช่วงนี้เขายุ่งมากเป็นพิเศษ เพราะว่าตระกูลเยี่ยในเมืองกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วน

ผลประโยชน์ของตระกูลเศรษฐีนั้นเกี่ยวพันกัน โชคไม่ดีที่นายท่านอาวุโสของตระกูลเยี่ยไม่สบายจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการเสียเปรียบเมื่อต้องแบ่งทรัพย์สินของครอบครัว ทุกคนจึงพยายามงัดทักษะทั้งหมดที่มีเพื่อแสดงความเทพของตัวเอง

ลูกชายคนรองของตระกูลเยี่ยและพรรคพวกเป็นลูกค้าของฟางต๋า ในกลุ่มนี้หลานชายอย่างเยี่ยจ้าวหลินเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นที่โปรดปรานของนายท่านอาวุโส และเป็นที่จับตามองของทุกฝ่าย ปัจจุบันเยี่ยจ้าวหลินรับผิดชอบธุรกิจโรงแรมและการจัดเลี้ยงของครอบครัว ตั้งแต่เขาดำรงตำแหน่งก็ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงอย่างแข็งขัน สร้างร้านอาหารที่มีชื่อเสียงทางอินเตอร์เน็ตมากมาย อีกทั้งยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ฟิวชั่นที่เขาเพิ่งลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่เมื่อสองเดือนก่อนก็ติดอันดับต้นๆ ของร้านอาหารที่ต้องไปลองของแบล็กเพิร์ลไกด์* ในพื้นที่ทันที

แต่ตอนนี้ร้านอาหารดังกล่าวกำลังเผชิญกับวิกฤต นั่นก็คือเชฟชาวฝรั่งเศสวางแผนจะลาออก

เยี่ยจ้าวหลินกับอวี๋จือเหนียนพูดคุยกันขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์ “จุดขายของร้านอาหารนี้ก็คือเชฟ ถ้าเขาไปร้านก็จบ เพิ่งจะเปิดมาได้สองเดือนเอง ถ้าพวกญาติๆ ของฉันรู้ พวกเขาต้องไปโพนทะนาเกินจริงแน่ๆ” จู่ๆ เยี่ยจ้าวหลินก็นึกขึ้นได้ “คิดว่ามีใครเล่นสกปรกอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า”

อวี๋จือเหนียนตอบ “ฉันส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่นายก็รู้ว่าเชฟใหญ่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ อาจจะไม่ใช่ปัจจัยภายนอกก็ได้ที่กระตุ้นให้เขาลาออก ตอนที่จ้างเขามาใหม่ๆ ฉันก็เตือนนายแล้วว่าเขาคือปัจจัยที่ไม่มีความแน่นอน”

เยี่ยจ้าวหลินถอนหายใจ “แต่ฝีมือการทำอาหารเขาเยี่ยมมากจริงๆ นะ แถมยังโด่งดังบนแพลตฟอร์มโซเชียลเมืองนอกมากด้วย ถ้าตอนนั้นฉันไม่สร้างอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาก็คงจะถูกบริษัทภาพยนตร์ของอาสามขโมยซีนไปหมด”

“วางใจเถอะ เขาเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนแล้ว ถ้าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผล พวกเราก็ค่อยใช้ไม้แข็งทีหลัง”

วันนี้มีการชิมอาหารที่ร้านอาหาร พวกเขาจึงเคลียร์พื้นที่ในตอนเที่ยงเป็นกรณีพิเศษ ตั้งใจว่าจะคุยกับเชฟใหญ่หลังกินข้าวเสร็จ

ตอนนี้อวี๋จือเหนียนกำลังทำงานอยู่ ออร่าของทนายชั้นยอดเฉิดฉายออกมาอย่างเต็มที่

จนกระทั่งเขาเห็นเซียวอี้ฉือที่แบกกระเป๋ากล้องตรงทางเข้าร้านอาหาร

 

เมืองนี้กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เซียวอี้ฉืออยู่ในสถานะคนเร่ร่อนว่างงานที่เดินเตร่ไปมาในตอนกลางวัน

แอพฯ แนะนำร้านอาหารบอกว่าร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ฟิวชั่นที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุดอยู่แถวๆ นี้ เขารู้สึกสนใจจึงคิดจะลองเสี่ยงโชคดูว่าจะได้กินอาหารกลางวันโดยไม่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้าได้ไหม

น่าเสียดายที่พนักงานต้อนรับกล่าวขอโทษว่าวันนี้ร้านอาหารยุ่งนิดหน่อย และจะเปิดอีกทีช่วงบ่าย

ขณะเซียวอี้ฉือยืนอยู่หน้าประตูและนึกเสียดายว่าตัวเองไม่มีโชคก็เจอกับอวี๋จือเหนียนเข้า

เจ้าหน้าที่แผนกต้อนรับตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทักทายอย่างสุภาพว่า “คุณเยี่ย คุณอวี๋ ยินดีต้อนรับครับ ทุกอย่างข้างในพร้อมแล้วครับ”

อวี๋จือเหนียนมองเซียวอี้ฉือ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

เยี่ยจ้าวหลินเห็นดังนี้ก็ถามว่า “คนรู้จักเหรอ”

อวี๋จือเหนียนแค่ตอบรับว่า “อืม” ทีหนึ่ง

เซียวอี้ฉืออธิบายว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร “ฉันบังเอิญผ่านมา ได้ยินว่าร้านอาหารนี้ดังมาก ก็เลยลองมาเสี่ยงโชคดูว่าจะมีที่ว่างหรือเปล่า”

อวี๋จือเหนียนพูด “วันนี้มีเรื่องงานต้องคุย ร้านอาหารไม่สะดวกรับลูกค้านอก”

แต่เยี่ยจ้าวหลินกลับใจกว้าง “ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นเพื่อนของจือเหนียน ไหนๆ มาแล้วก็เข้าไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเถอะ ถึงยังไงพวกเราก็จะคุยเรื่องงานหลังกินข้าวอยู่แล้ว”

เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียน อวี๋จือเหนียนก็เข้าใจสถานการณ์ ในเมื่อเจ้าของร้านเอ่ยปากแล้ว เขาในฐานะคนที่มาด้วยกันก็ไม่มีเหตุผลที่จะหักหน้าอีกฝ่ายจึงพูดยิ้มๆ ว่า “งั้นก็เข้าไปด้วยกันเถอะ”

เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว ยิ้มไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย หมายถึงการแสดงออกของอวี๋จือเหนียนในตอนนี้น่ะนะ

หลังจากเข้าไปในร้านอาหารเยี่ยจ้าวหลินก็ไปสอบถามสถานการณ์กับผู้จัดการก่อน

ที่โต๊ะกินข้าวมีแค่คนแซ่อวี๋กับคนแซ่เซียวสองคนเท่านั้น

การพบกันส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง แต่การเจอกันในสถานการณ์ตอนนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อวี๋จือเหนียนยังคงรักษารอยยิ้มบางๆ “ขอโทษด้วย ถ้าผมทำให้คุณรู้สึกอึดอัด ผมอยากจะขอโทษก่อน”

เซียวอี้ฉือรู้จักลำดับความสำคัญ ในเมื่อเขาตามเข้ามาแล้วก็เป็นได้แค่คนกินอาหารเท่านั้น เขารู้จักกาลเทศะดี “ฉันจะคอยระวังเอง ถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะออกไปก่อน”

ได้ยินแบบนี้อวี๋จือเหนียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เยี่ยจ้าวหลินเดินเข้ามาแล้วนั่งลง ก่อนจะมองไปที่เซียวอี้ฉือ “ผมควรเรียกคุณว่าอะไรดี”

“ผมแซ่เซียว เซียวอี้ฉือ”

“คุณเซียว คุณก็เป็นทนายเหรอ”

“เปล่าครับ”

“ถ้าอย่างนั้น…”

อวี๋จือเหนียนพูดแทรกอย่างไม่รีบร้อน “เขาเพิ่งกลับจากต่างประเทศน่ะ”

“อ้อ? อย่างนี้นี่เอง” เยี่ยจ้าวหลินยิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่าคุณเซียวก็รู้จักเพลิดเพลินกับชีวิตเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวพอกินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ขอฟีดแบ็กบ้างนะครับ”

เซียวอี้ฉือพยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ครับ”

อาหารอร่อยๆ ไม่ควรถูกมองข้าม เขาอาจพูดเรื่องอื่นไม่ได้มากนัก แต่เรื่องกินเขาไม่เคยแพ้

วันนี้เป็นการลองเมนูใหม่ทั้งหมดห้าอย่าง สองเมนูหลักที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือสเต๊กปลาและฟิเลต์เนื้อแกะ หนังปลาถูกทอดจนกรอบหอม แต่เนื้อปลานุ่มละมุนลิ้น ชั้นสีจากด้านนอกสู่ด้านในค่อยๆ ไล่จากเข้มไปอ่อน รสสัมผัสหลากหลาย เมื่อเสิร์ฟพร้อมซอสสูตรพิเศษก็ทำให้รสชาติเหนือคำบรรยาย เซียวอี้ฉือเคี้ยวช้าๆ รสชาติของซอสให้ความรู้สึกคุ้นเคยแต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ส่วนเนื้อแกะมีความชุ่มฉ่ำและมีไขมันแทรกอยู่ข้างใน คำแรกนุ่มลิ้น คำต่อมาเนื้อแน่น คำที่สามทั้งไขมัน เนื้อแกะ และน้ำของมันผสมผสานกันอย่างลงตัว มอบประสบการณ์รสชาติอันสมบูรณ์แบบ และรสชาติเครื่องเทศที่ใช้ในจานนี้ก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอีกครั้ง

ไม่ทันรอให้พวกเขากินหมดทั้งห้าจานเชฟใหญ่ก็ออกมา รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเขียวล้ำลึก ใบหน้าหล่อเหลา อีกทั้งยังมีเสน่ห์ที่แปลกตาเล็กน้อย

เยี่ยจ้าวหลินชมอาหารของเขาเป็นภาษาอังกฤษ แต่เชฟใหญ่กลับมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผมจะไปได้เมื่อไหร่”

บรรยากาศเย็นเยียบลงทันที

อวี๋จือเหนียนส่งสายตาให้เซียวอี้ฉือเป็นนัยว่าให้เขากลับไปก่อน แต่ขณะที่เซียวอี้ฉือก้มลงหยิบกระเป๋าจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ารสชาติที่คุ้นเคยนี้มาจากไหน

เขามองเชฟใหญ่ แล้วถามเป็นภาษาอาหรับว่า “คุณใส่สมุนไพรจากหมู่บ้านซาร์นาลงในจานหลักเหรอ”

ทั้งสามคนมองเซียวอี้ฉือพร้อมกัน

เชฟใหญ่กะพริบตาปริบๆ ตอบเป็นภาษาอาหรับว่า “คุณรู้ได้ยังไง”

“ผมเคยอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง แล้วก็ล้มป่วย ต้องดื่มยาสมุนไพรทุกวัน รสชาติมัน…ยากที่จะลืม”

เชฟใหญ่ได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะเสียงดัง “ใช่เลย รสชาติทำให้ลืมไม่ลงไปชั่วชีวิต คุณยายผมโตที่นั่น ต่อมามีสงครามก็เลยย้ายไปที่ฝรั่งเศส”

เยี่ยจ้าวหลินกับอวี๋จือเหนียนเหมือนกำลังฟังหนังสือสวรรค์* มองหน้ากันไปมองกันมา

ตอนนั้นเซียวอี้ฉืออยู่ที่หมู่บ้านนั้นเพื่อติดตามความคืบหน้าล่าสุดของกลุ่มติดอาวุธในบริเวณใกล้เคียง คู่หูของเขาที่เป็นช่างภาพ (และเป็นครูสอนภาษาอาหรับคนแรกของเขา) ก็มาจากหมู่บ้านซาร์นาเหมือนกัน ดังนั้นเซียวอี้ฉือจึงมีสำเนียงอาหรับที่เข้มข้น ต่อมาไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็แก้สำเนียงไม่ได้แล้ว

เพราะสำเนียงนี้เองที่ทำให้เชฟใหญ่เกิดความรู้สึกสนิทสนม เขาพูดกับเซียวอี้ฉือว่า “ผมอยู่กับคุณยายมาตั้งแต่เด็ก เคยกลับไปที่หมู่บ้านแค่สองครั้ง ผมหลงใหลประเทศของคุณมาก แต่พอมาที่นี่ก็รู้สึกเหงามากๆ ผมคิดถึงซาร์นา แต่ผู้ชายสองคนนี้คงไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ๆ ผมควรทำยังไงดี”

‘ผู้ชายสองคน’ ที่ว่ากำลังนิ่งอึ้งเพราะไม่รู้อะไรเลย ทั้งสองมองเซียวอี้ฉือพร้อมกัน รอให้เขาถ่ายทอดความคิดของเชฟออกมา

เซียวอี้ฉือปลอบใจเชฟใหญ่ก่อน “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ คุณรอผมสักครู่นะ ผมจะคุยกับสองคนนี้ดู พวกเขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล อาหารของคุณเป็นที่นิยมมากที่นี่ ลูกค้ามากมายชมไม่ขาดปาก พวกเขาไม่อยากให้คุณไป”

สีหน้าของเชฟใหญ่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาตอบว่า “งั้นผมขอตัวก่อน” เป็นภาษาอังกฤษ แล้วกลับห้องครัวไป

“พวกคุณคุยอะไรกัน” เมื่อเชฟใหญ่จากไปไกลแล้วเยี่ยจ้าวหลินก็ถามทันที

“เขาอยู่ที่นี่แล้วเหงามาก อยากกลับบ้านเกิดที่ตะวันออกกลาง”

เยี่ยจ้าวหลินถอนหายใจโล่งอก “ที่แท้ก็เพราะรู้สึกต่างที่ต่างถิ่นนี่เอง เรื่องนี้พอเข้าใจได้ เดี๋ยวผมจะให้คนพาเขาไปรู้จักกับคนอาหรับในท้องที่ พอได้เพื่อนใหม่แล้วก็อาจจะดีขึ้นบ้าง”

“เขาพูดแค่นี้จริงเหรอ” อวี๋จือเหนียนหรี่ตา มองไปที่เซียวอี้ฉือพลางถามให้แน่ใจ

เขาควรตีความคำถามอวี๋จือเหนียนว่าอย่างไรดีล่ะ แค่ระมัดระวังตัว หรือว่ากำลังสงสัยในสิ่งที่เขาแปล?

ในฐานะทนายความ การที่อวี๋จือเหนียนจะรู้สึกสงสัยอะไรในขอบข่ายการทำงานแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่ คนที่ล้ำเส้นคือเซียวอี้ฉือเองต่างหาก เขาควรจะออกไปแต่แรกแล้ว แต่กลับยิงคำถามโดยไม่ทันคิดเพียงเพราะมันไปกระตุ้นความทรงจำของตัวเอง นอกจากนี้เขายังถามด้วยภาษาที่คนที่อยู่ตรงนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่สุภาพในทุกประการ

ดังนั้นเซียวอี้ฉือจึงให้ความร่วมมืออย่างดี “ใช่ ฉันจะแปลทุกอย่างที่เราคุยกันก็ได้ แล้วพวกคุณค่อยเอาวิดีโอจากกล้องวงจรปิดไปให้คนเปรียบเทียบ”

“ช่างเถอะ เป้าหมายของพวกเราก็แค่อยากเข้าใจปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหาให้เยอะกว่าเดิม” เยี่ยจ้าวหลินหันไปหาเซียวอี้ฉือ “จือเหนียนขึ้นชื่อเรื่องการทำงานที่เข้มงวด คุณเซียวอดทนกับเขาได้ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ” เขาถามอีก “จริงสิ คุณเซียว คุณรู้ได้ยังไงว่าเชฟใหญ่พูดภาษาอาหรับได้”

“เครื่องเทศที่เขาใส่ในอาหารเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคหนึ่งในตะวันออกกลาง ผมก็เลยลองถามดู”

เยี่ยจ้าวหลินยกนิ้วให้เขา “คุณเซียวนี่รอบรู้จริงๆ!”

เซียวอี้ฉือตอบกลับอย่างสุภาพ “ครั้งนี้ก็แค่โชคดีน่ะครับ”

เยี่ยจ้าวหลินคำนวณผลประโยชน์ของตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรวดเร็ว “คุณเซียว ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่ คุณพอรู้จักชาวอาหรับที่จะแนะนำให้เชฟใหญ่รู้จักได้บ้างไหมครับ คุณเป็นเพื่อนของจือเหนียน ผมไว้ใจคุณ”

อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้ว ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ไม่ได้พูดอะไร

“…อันที่จริงครูสอนภาษาอาหรับคนแรกของผมเป็นคนบ้านเดียวกับเชฟใหญ่ เขาทำธุรกิจเครื่องเทศอยู่ที่นี่”

“จริงเหรอ อย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย!”

ระหว่างที่เซียวอี้ฉือไปโน้มน้าวความคิดเชฟใหญ่ อวี๋จือเหนียนก็จ้องเยี่ยจ้าวหลินเขม็ง ทำหน้าราวกับว่าพายุฝนกำลังจะมา

“ตอนนี้เป็นช่วงเซนซิทีฟ ไม่ว่าให้ใครจัดการฉันก็ไม่ไว้ใจทั้งนั้น มีแต่นาย คุณเซียวเป็นเพื่อนของนาย นายช่วยฉันจับตาดูเขาไว้ ฉันก็วางใจ” เยี่ยจ้าวหลินยังพูดอีกว่า “ตอนนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือ ช่วยทำดีกับเขาแทนฉันด้วย ให้เขาโน้มน้าวเชฟใหญ่ให้สำเร็จ อย่างน้อยก็อย่าให้เกิดปัญหาอะไรภายในหกเดือนนี้ จากนั้นเชฟใหญ่อยากจะไปไหนก็ไปได้ตามใจชอบเลย”

“…เพิ่มค่าทนายของฉันเป็นสามเท่า”

“ได้”

“ฉันตั้งใจจะรับตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสด้วย”

“นายช่วยฉันแก้ปัญหา ฉันก็จะเลื่อนตำแหน่งให้นาย”

“ตกลงตามนี้”

“จริงสิ” เยี่ยจ้าวหลินพูด “คุณเซียวทำงานอะไรเหรอ”

“ไม่รู้”

“นี่ ถ้านายไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ แต่อย่าใช้ข้ออ้างเด็กๆ แบบนี้สิ”

“…”

อวี๋จือเหนียนแอบส่งข้อความให้ผู้ช่วยหนานจิ่งอยู่ใต้โต๊ะ

 

ค้นหาคนที่ชื่อ เซียวอี้ฉือให้หน่อย แล้วส่งเรซูเม่ให้ฉันภายในสิบนาที

 

สองนาทีต่อมาอีกฝ่ายตอบกลับมาว่า

 

ไม่ต้องถึงสิบนาทีหรอก เขาเป็นไอดอลเฉพาะกลุ่มของผม ด้านล่างนี้เป็นข้อความคร่าวๆ ผมส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดไปที่อีเมลของคุณแล้ว

 

‘เซียวอี้ฉือ สำเร็จการศึกษาจากภาควิชาภาษาจีน เชี่ยวชาญภาษาสี่ภาษา ได้แก่ จีน อังกฤษ สเปน และอาหรับ เคยเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ต่อมาได้ผันตัวมาทำอาชีพอิสระ เป็นนักเขียนและบรรณาธิการให้กับสื่อใหญ่ที่มีชื่อเสียงกว่ายี่สิบแห่งทั่วโลก เคยสัมภาษณ์คนดังหลายคน เคยเป็นนักวิชาการรับเชิญที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในอเมริกา ทำงานวิจัยด้านสังคมวิทยาการเมือง ต่อมาก็ยังคงเป็นนักข่าวสงครามต่อ เขาเป็นคนเรียบง่ายมาก ทั้งยังปฏิเสธคำเชิญให้ไปทำงานจากองค์กรแห่งหนึ่งในเจนีวาก่อนจะเดินทางกลับจีน’

 

ในโลกนี้ไม่มีมื้อกลางวันฟรีจริงๆ หลังจากกินอิ่มแล้วก็ต้องตอบแทนบุญคุณ เซียวอี้ฉือคิดแล้วก็แลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อกับเชฟใหญ่

เมื่อเดินออกมาจากร้านอาหารเยี่ยจ้าวหลินก็ให้อวี๋จือเหนียนดูแลเขาต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณเซียว เดี๋ยวผมยังมีธุระ ให้จือเหนียนส่งคุณกลับบ้านก็แล้วกันนะ”

เยี่ยจ้าวหลินเพิ่งจะออกไป อวี๋จือเหนียนก็ยิ้มน้อยๆ “เมื่อกี้เสียมารยาทแล้ว ในฐานะทนาย ผมต้องทำหน้าที่ แล้วก็ขอบคุณที่คุณช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้พวกเรา จากนี้ไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็บอกพวกเราได้ พวกเราจะช่วยคุณแน่นอน”

จากรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติเมื่อครู่ จนกระทั่งยิ้มธุรกิจในตอนนี้ เขาไม่ได้แสดงความจริงใจออกมาเลย

ตอนเจอกันส่วนตัวก็เหมือนกัน เซียวอี้ฉือเดาว่ามีแค่ความไม่พอใจที่เป็นของจริง ส่วนรอยยิ้มก็เป็นแค่หน้ากากทางสังคมทั้งนั้น

ความสนุกแบบนี้เจอมากไปก็น่าเบื่อ

เซียวอี้ฉือพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ ฉันก็ต้องขอโทษที่เมื่อกี้เสียมารยาทเหมือนกัน สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ที่ที่ฉันควรจะพูดอะไรออกไป แต่โชคดีที่ไม่มีผลเสียอะไร”

ที่ควรขอโทษก็ขอโทษไปแล้ว ส่วนหลังจากนี้…

“ทนายอวี๋ ถึงตอนนี้พวกเราก็เจอกันสี่ครั้งแล้ว ต่อไปพวกเรา…ก็ไม่ต้องเจอกันแล้วสินะ”

รอยยิ้มของอวี๋จือเหนียนยังคงเหมือนเดิม “ต่อให้พวกเราไม่มีดวงเป็นคู่รักกัน แต่ผมก็หวังว่าจะเป็นเพื่อนกับคุณเซียวได้นะ ต่อไปพวกเรายังกินข้าว คุยกัน ติดต่อกันเรื่อยๆ ได้ คุณคิดว่าไง”

อวี๋จือเหนียนเป็นคนหล่อ เวลายิ้มดวงตาจะโค้งเป็นสระอิ สามารถละลายน้ำแข็งได้

สำหรับคนแบบนี้เขาก็แค่ต้องกระชากหน้ากากให้เผยธาตุแท้ออกมา

เซียวอี้ฉือสามารถเป็นคนมีเหตุผลและถ่อมตัวหรือเป็นคนเอาแต่ใจและช่างยุแหย่ได้เช่นกัน ปีศาจน้อยในใจเขาส่ายเอวไปมา บอกว่ามันพร้อมแล้ว

เขามองอวี๋จือเหนียน “นายอยากเป็นเพื่อนกับฉัน เพราะมีเรื่องจะขอร้องฉันใช่ไหม…ตอนนี้เชฟใหญ่สำคัญกับพวกนายมาก พวกนายอยากได้คนไปโน้มน้าวเขา ฉะนั้นนายก็เลยบอกลาฉันง่ายๆ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

อวี๋จือเหนียนยังคงสงบเมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลง “คุณเซียว การคาดเดาของคุณแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

เซียวอี้ฉือหัวเราะเบาๆ “งั้นตอนนี้ฉันเข้าไปพูดกับเชฟใหญ่แล้วยุให้เขารีบๆ ไปดีไหม ให้พวกนายผิดใจกัน วุ่นวายจนต้องขึ้นศาล ทุกคนรู้กันทั่ว แต่พวกนายเป็นฝ่ายถูก เพราะอย่างงั้นก็ถือว่าไม่ได้เสียอะไร คิดว่าไง”

รอยยิ้มของอวี๋จือเหนียนค่อยๆ หายไป “คุณเป็นนักข่าวสงครามแบบนี้เหรอ”

เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว “นายรู้แล้วเหรอ”

“คุณไม่ได้พูดตั้งแต่แรก คุณตั้งใจปิดบังผม!”

“ข้อแรก ฉันไม่ได้ตั้งใจปิดบัง แต่เป็นนายเองที่ไม่คิดจะทำความรู้จักกัน ข้อสอง ตอนนี้อินเตอร์เน็ตพัฒนาไปมากแล้ว แค่ขยับนิ้วนิดเดียวนายก็ได้ข้อมูลแล้ว หรือว่าทนายอวี๋มาจากหมู่บ้านที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงล่ะ”

เซียวอี้ฉือพูดอย่างใจเย็น “นายคิดว่าฉันเป็นคนงานที่ถูกส่งไปต่างประเทศ หน้าตาไม่ดี ไม่มีรสนิยม แถมทัศนคติก็แย่อีก ฉะนั้นตั้งแต่ที่เราเริ่มเจอกันจนกระทั่งเมื่อกี้นายเลยไม่มีความคิดที่จะกินข้าวกับฉันเลย เพราะกลัวว่าฉันจะไม่รู้จักมารยาทบนโต๊ะอาหาร กลัวทำให้นายขายหน้า แล้วทำให้งานล่าช้า อ้อ สุดท้ายนายก็ยังอุตส่าห์ซื้อเสื้อให้ฉัน ขอบคุณนะ”

เส้นเลือดบนหน้าผากของอวี๋จือเหนียนปูดขึ้น ในใจเขาคิดอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การถูกคนเยาะเย้ยและมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อวี๋จือเหนียนไม่ชอบหน้าของเขา เซียวอี้ฉือกลับจงใจเข้ามาใกล้ๆ “กลับไปที่คำถามเดิม ทนายอวี๋ นายมีเรื่องจะขอร้องฉันใช่ไหม”

เดิมทีอวี๋จือเหนียนยังนึกว่าเซียวอี้ฉือนิสัยพอใช้ได้ ตอนนี้เขาเห็นเรซูเม่ของอีกฝ่ายก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกตบหน้า เวลานี้มาคิดดูแล้ว ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายแค่ไม่ได้เผยเขี้ยวเล็บออกมาก็เท่านั้น

อวี๋จือเหนียนกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงทุ้มต่ำจนน่ากลัว “เซียวอี้ฉือ มันจะเกินไปแล้วนะ!”

เซียวอี้ฉือหมุนตัวกลับไปที่ร้านอาหารทันทีโดยไม่พูดอะไร อวี๋จือเหนียนเข้าไปขวางเขาอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ

“ฉันไม่มีความอดทนหรอกนะ ขอถามอีกครั้ง นายมีเรื่องจะขอร้องฉันใช่ไหม” เซียวอี้ฉือมองเหยียด เผชิญหน้ากับเขาซึ่งๆ หน้าโดยไม่กลัวเลย

แววตาของอวี๋จือเหนียนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาบดฟันกรามจนแทบแตกละเอียด “ใช่”

“ฉันไม่ได้ยิน”

“ผมบอกว่าผมมีเรื่องจะขอร้องคุณ!”

เซียวอี้ฉือแสยะยิ้ม “ถ้ายอมรับเร็วกว่านี้พวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ถ้างั้นหลังจากนี้พวกเราก็จะเจอกันอีกหลายครั้งสินะ ฉันจะเป็นคนนัดเอง หวังว่าทนายอวี๋จะให้ความร่วมมือ”

“เซียวอี้ฉือ คิดไม่ถึงว่าคุณจะเฮงซวยแบบนี้!”

“เพราะว่าหน้าตาของนายไม่ได้อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของฉันไง เพราะงั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตา นายเข้าใจเหตุผลนี้ใช่ไหม ทนายอวี๋”

ฝีปากที่เฉียบคมของเซียวอี้ฉือทำให้อวี๋จือเหนียนโมโหจนพูดอะไรไม่ออก

“วันนี้คงไม่รบกวนทนายอวี๋ส่งฉันกลับหรอก เพราะนายยังต้องกลับหมู่บ้านไปต่ออินเตอร์เน็ตก่อน ไม่อย่างนั้นเป็นยากนะ ทนายเนี่ย”

พูดจบเขาก็โบกมืออย่างสง่างามแล้วจากไป

 

* แบล็กเพิร์ลไกด์ (Black Pearl Restaurant Guide) เป็นคู่มืออาหารเล่มแรกที่ออกโดยเหม่ยถวน (แพลตฟอร์มช็อปปิ้งของจีน) ซึ่งเสนอมาตรฐานอาหารจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายการอาหารติดอันดับของชาวจีนเอง

* หนังสือสวรรค์ เป็นการอุปมาถึงเรื่องที่เข้าใจยาก

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 1-3

บทที่ 1 แค้นเก่า หวงหร่างกลายเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ผู้เก่งกล้าจากสำนักเซียนหลายคนฝ่าฟันอันตรายลักพาตัวนางออกมาด้วยความยา...

ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทนำ-บทที่ 1.2

บทนำ บนโลกนี้มีการเดินทางข้ามกาลเวลาที่สมบูรณ์แบบอยู่หรือไม่ น่าจะมีอยู่ หยางหวั่นก็คือคนโชคดีที่ได้เดินทางข้ามกาลเวลาคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 4-6

บทที่ 4 แป้งชาด ตอนตี้อีชิวกลับถึงกองเสวียนอู่ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กำลังจะสว่าง เขาจึงมิได้นอนอีก ตัดสิน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 7-9

บทที่ 7 กิเลส หิมะแรกหลังย่างเข้าฤดูเหมันต์มาเยือนเมืองหลวง หิมะแรกเล็กละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ปกคลุมไปทั่ววัง...

community.jamsai.com