everY
ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 4-6 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ผู้เขียน : เชียนสือจิ่ว (千十九)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในภาวะสงคราม
มีการกล่าวถึงเลือดและสภาพศพ การข่มขืน การฆ่าตัวตาย
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม
อาการป่วยทางจิต บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4
อวี๋จือเหนียนโมโหมากจนปอดแทบระเบิด เขาเคยถูกข่มจนกลายเป็นแบบนี้เมื่อไรกัน?! เยี่ยมไปเลย! เซียวอี้ฉือ ฉันจะคอยดูว่านายจะเล่นลูกไม้อะไรอีก ฉันจะเล่นกับนายจนถึงที่สุด!
อีกด้านหนึ่งเซียวอี้ฉือเดินออกมาจากตึกที่ร้านอาหารตั้งอยู่พลางพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ
ปีศาจน้อยตัวสั่น ส่ายหางแหลมๆ ไปมา แล้วก็หายตัวไป
เขาแค่ตอบสนองความอยากพูดของตัวเองและบีบให้อวี๋จือเหนียนก้มหัวอันสูงส่งเท่านั้น เขาไม่คิดที่จะนัดกับอีกฝ่ายจริงๆ
สุดท้ายแล้วอวี๋จือเหนียนก็พูดตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่หยิ่งยโสถึงขนาดมีแรงจูงใจแอบแฝงในการเป็นเพื่อนกับเขา เซียวอี้ฉือก็คงไม่คิดจะทะเลาะกับอีกฝ่ายหรอก
อันที่จริงจะว่าไปแล้วอวี๋จือเหนียนทำแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ก็แค่เจอหน้ากันสี่ครั้งเท่านั้น ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยล่ะ คนในสังคมมักจะมีแผนของตัวเองเสมอ
ช่างเถอะ คิดดูแล้วก็ยุติธรรมดี ลืมมันไปแล้วเริ่มใหม่ซะ
เซียวอี้ฉือเก็บกระเป๋ากล้อง แล้วมุ่งหน้าเดินกลับบ้าน
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาภายในสำนักงานกฎหมายฟางต๋า โครงการที่อยู่ในมือของอวี๋จือเหนียนเสร็จสมบูรณ์อย่างราบรื่น ทีมงานทั้งหมดกำลังประชุมสรุปงาน “ถึงโครงการควบรวมกิจการจะจบลงแล้ว แต่อีกฝ่ายก็อาจเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตก็ได้ ทุกคนก็อย่าลืมรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยนะครับ”
ทุกคนพยักหน้าอย่างจริงจัง ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สุดท้ายอวี๋จือเหนียนก็พูดว่า “โอเค วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ พวกเราไปกินข้าวสักมื้อเถอะครับ ผมเลี้ยงเอง”
“เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณครับหัวหน้า!” ทุกคนโห่ร้องยินดี
ระหว่างนี้ผู้ช่วยหนานจิ่งถามอวี๋จือเหนียนว่า “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ที่คุณถามผมเกี่ยวกับเรซูเม่ของเซียวอี้ฉือ มันเกี่ยวข้องกับงานต่อไปของเราหรือเปล่าครับ” ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะไม่สามารถเชื่อมโยงคนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้
อวี๋จือเหนียนตอบอย่างเฉยเมย “ไม่เกี่ยว ลูกค้าแค่ให้ฉันถามดู”
“โอเคครับ ตอนนี้ผมใส่ลิงก์บทความที่เขาเขียนแล้วก็วิดีโอบรรยายที่พอจะหาได้ลงไปในเรซูเม่โดยละเอียดแล้วครับ ถ้าคุณต้องการก็ลองหาดูได้”
อวี๋จือเหนียนตบไหล่ของหนานจิ่งเบาๆ “ทำงานเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลย”
หนานจิ่งขยับแว่น “กรุณาชมผมต่อหน้าคุณปู่ของผมด้วยครับ”
คุณปู่ของหนานจิ่งเป็นหนึ่งในกรรมการอาวุโสของสำนักงานกฎหมาย
อวี๋จือเหนียนตบศีรษะของเขาเบาๆ แล้วแหย่ว่า “ดูอารมณ์ก่อนก็แล้วกัน”
ภายนอกเป็นเรื่องหนึ่ง ภายในก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อวี๋จือเหนียนไม่ได้รับข้อความจากเซียวอี้ฉือมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว เขาเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา…ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดทำอะไรอยู่ กำลังแอบเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อยู่หรือเปล่า หรือจงใจเล่นตลกกับเขาอย่างนั้นเหรอ
ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญากับเยี่ยจ้าวหลินไว้ ทั้งรับประกันว่าเชฟใหญ่จะไม่ก่อเรื่องภายในครึ่งปีนี้ เขาจะถึงขั้นอ่อนไหวเพราะไม่ได้รับข้อความในโทรศัพท์มือถือไหมนะ
ขณะกำลังครุ่นคิดเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เยี่ยจ้าวหลินเป็นคนโทรเข้ามา
อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้วก่อนจะรับสาย
“จือเหนียน นายก็ทำได้เหมือนกันนี่นา วันนี้ผู้จัดการร้านมารายงานฉันว่าช่วงนี้เชฟใหญ่อารมณ์มั่นคงมาก แล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องลาออกอีก นี่เป็นแนวโน้มที่ดีมาก! ต้องขอบคุณนายกับคุณเซียวแล้ว! พวกนายทำได้ยังไงเนี่ย”
“ไม่รู้สิ”
“เอ๊ะ นายนี่…งั้นก็เป็นผลงานของคุณเซียวสินะ นายดูแลเขาดีหรือเปล่า จริงสิ ถ้าช่วงนี้มีค่าใช้จ่ายอะไรก็มาเก็บกับฉันนะ อย่าไปลำบากคุณเซียว เข้าใจไหม”
“…รู้แล้ว”
หลังจากวางสายอวี๋จือเหนียนก็ครุ่นคิด แทนที่จะรอให้ภัยพิบัติมาถึงที่ สู้ลงมือโจมตีก่อนดีกว่า แต่ถ้าจะให้เขาไปติดต่อเซียวอี้ฉือด้วยตัวเองก็คงเป็นไปไม่ได้ เขาจึงติดต่อเครือข่ายที่รู้จัก “ช่วงนี้ช่วยสะกดรอยตามคนคนหนึ่งให้หน่อย ราคาคุยกันได้”
ช่วงนี้เซียวอี้ฉือกำลังทำอะไรอยู่น่ะเหรอ เขากำลังสำรวจแผงร้านขายอาหารมื้อดึกในเมืองทั้งหมดกับเชฟใหญ่ แล้วก็อดัมครูสอนภาษาอาหรับคนแรกของเขา
เชฟใหญ่ต้องดูแลร้าน ส่วนอดัมก็ยุ่งอยู่กับธุรกิจของตัวเอง มีเวลาแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น เซียวอี้ฉือจึงนัดพวกเขาออกมาในตอนกลางคืนเพื่อสร้างความสัมพันธ์
ตอนนั้นเยี่ยจ้าวหลินถามว่าเขาพอจะมีเพื่อนชาวอาหรับในพื้นที่ที่พอจะแนะนำได้บ้างหรือเปล่า เขาจะบอกว่าไม่มีก็ได้ แต่ว่าเซียวอี้ฉืออยู่ห่างบ้านเกิดเมืองนอนมาหลายปี เข้าใจคำว่า ‘คิดถึงบ้าน’ อย่างลึกซึ้ง ถ้าช่วยได้ถึงจะลำบากเขาก็อยากยื่นมือเข้าช่วย เจตนาดีเล็กๆ น้อยๆ นี้อาจเปลี่ยนชีวิตของใครบางคนไปอย่างสิ้นเชิง
อีกอย่างนอกจากทั้งสองคนจะมาจากเมืองเดียวกันแล้ว คนหนึ่งยังเป็นเชฟ อีกคนทำธุรกิจเครื่องเทศ ไม่มีอะไรเข้ากันไปมากกว่านี้อีกแล้ว ช่วงนี้เชฟใหญ่เริ่มสนใจเครื่องเทศจีนที่อดัมส่งออกไปยังต่างประเทศ ประกอบกับการมีอยู่ของ ‘แผงขายอาหาร’ ทำให้เชฟใหญ่ได้เปิดหูเปิดตาและได้รับแรงบันดาลใจในการทำอาหารใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ส่วนอดัมที่สามารถทำธุรกิจจากสิ่งนี้ได้ก็รู้สึกมีความสุขมาก
ได้เห็นภาพฉากที่กลมกลืนแบบนี้เซียวอี้ฉือก็รู้สึกยินดีอย่างมาก แถมตอนกลางคืนเขาก็นอนไม่หลับ มีคนอยู่เป็นเพื่อนฆ่าเวลา แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะ
สิ่งที่ช่วยให้นอนหลับ นอกจากยาแล้วยังมีเพื่อนคุยกับเซ็กซ์
เซียวอี้ฉือมี ‘พฤติกรรมที่ก้าวร้าว’ มากช่วงที่เขาอยู่ต่างประเทศ ต่อมาก็ก้าวร้าวน้อยลง เมื่อกลับประเทศเขาก็บวชเป็นพระ
อดัมเล่าถึงเรื่องเซียวอี้ฉือว่าคู่นอนคนหนึ่งของเซียวอี้ฉือถูกส่งมาทำงานในสถานทูตที่นี่เมื่อสองปีก่อน อีกฝ่ายเคยถามถึงเซียวอี้ฉือด้วย ดูเหมือนว่ายังลืมเขาไม่ลง
“พวกนายมาฟื้นความสัมพันธ์หน่อยเป็นไง”
“ก็ดีนะ” เซียวอี้ฉือคาบบุหรี่ไว้ในปากพลางยิ้มอย่างเกียจคร้าน
จากนั้นไม่นานทั้งสองก็ติดต่อกัน
เมื่อถ่านไฟเก่าติดแล้วก็ไม่มีทางหยุดได้
ถนนผู่หยวนในเขตเมืองเก่าเคยเป็นโซนวิลล่าที่เจ้าหน้าที่กงสุลพักอาศัยอยู่ ปัจจุบันเป็นย่านที่พักอาศัยที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวาย แน่นอนว่าคนที่สามารถซื้อบ้านที่นี่ได้ต้องเป็นพวกคนรวยหรือไม่ก็พวกชนชั้นสูง
บริเวณสวนหน้าวิลล่าหลังเล็กสไตล์ยุโรปสองชั้นซึ่งทาผนังสีเหลืองมีดอกกุหลาบสีชมพูและสีแดงสดบานสะพรั่งเต็มรั้ว ช่อดอกไม้งดงามน่าดึงดูด เดินไปอีกหน่อยก็เป็นแปลงดอกกุหลาบสีแดงสด กลิ่นหอมของดอกไม้พัดอยู่ในสายลม ม้วนตัวเป็นหลายรูปทรง บางครั้งก็จะพัดผ่านไหล่ของผู้คน ชวนให้รู้สึกสะท้านหัวใจเมื่อได้กลิ่น
ในบ้านยังมีกลิ่นหอมอีกกลิ่นที่ลอยมาจากห้องครัว
อวี๋จือเหนียนเอามะเขือเทศที่หั่นเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยวลงในหม้ออย่างชำนาญ จากนั้นก็คนให้เข้ากับเนื้อที่ตุ๋นอยู่ด้วยไฟอ่อนๆ ปิดฝาหม้อและตุ๋นต่อไป
คุณป้าพานลงมาจากชั้นบนหลังพับผ้าเสร็จแล้ว เธอเดินเข้ามาหาอวี๋จือเหนียนพร้อมกับรอยยิ้ม “หอมจังเลย”
อวี๋จือเหนียนสวมผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ข้างหม้อ “ยังต้องตุ๋นต่ออีกหน่อย ให้น้ำมะเขือเทศค่อยๆ ซึมเข้าไปในเนื้อวัว รสชาติจะได้เข้มข้น”
“ยุ่งขนาดนี้ยังมาทำอาหารให้ฉันอีก ไม่เหนื่อยเหรอ” คุณป้าพานเกิดความรู้สึกสงสาร
“ได้กินข้าวกับคุณป้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่เหนื่อยเลยครับ” อวี๋จือเหนียนมองคุณป้าพานด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นี่ไม่ใช่คำพูดประจบประแจง เขาเข้าใจลำดับความสำคัญในชีวิตได้อย่างชัดเจน เขาทำงานเพื่อดำรงชีวิต ส่วนเพื่อนและครอบครัวในชีวิตของเขาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด…วิลล่าหลังนี้ก็คือของขวัญที่เขาซื้อให้คุณป้าพาน
เวลาที่อวี๋จือเหนียนยิ้มอย่างจริงใจ มุมปากโค้งทำมุมที่ถูกต้องสามารถทำให้ใจคนหวั่นไหวราวกับท่วงทำนองที่สะเทือนไปถึงใจ
คุณป้าพานรู้สึกเอ็นดูสุดๆ “เด็กดีขนาดนี้ ทำไมความรักถึงไม่ราบรื่นกันนะ” เธอถอนหายใจ “สองวันก่อนป้าม่ายบอกฉันแล้ว เสี่ยวเซียวบอกว่าพวกเธอเข้ากันไม่ได้ เป็นเพื่อนกันดีกว่า เรื่องนี้…เธอรู้หรือเปล่า”
รอยยิ้มของอวี๋จือเหนียนเจื่อนลง “รู้ครับ”
“เธอคิดว่ายังไง จะยอมรับทั้งอย่างนี้เหรอ”
อวี๋จือเหนียนพยักหน้า เขาดูเวลาแล้วเปิดฝาหม้อ ควันพวยพุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมเข้มข้นทันที
คุณป้าพานพูดถึงความรักของเขาอีกครั้งบนโต๊ะอาหาร “วันที่ฉันไปแข่งเต้นน่ะ ฉันเจอเสี่ยวเซียวที่หน้าประตูเขตชุมชนด้วย เขาเป็นเด็กดีมากเลยนะ พวกเธอ…ไปกันไม่ได้จริงเหรอ”
เพราะเขาคุมการปรุงรสและระดับไฟอย่างแม่นยำจึงทำให้เนื้อวัวดูดซับน้ำมะเขือเทศที่เปรี้ยวและหวานได้เป็นอย่างดี นุ่มแต่ไม่เละ เมื่อกัดลงไปแล้วน้ำมะเขือเทศก็จะพุ่งออกมา แต่อวี๋จือเหนียนกลับต้องขัดจังหวะการกินอาหารอย่างเพลิดเพลินของตนเองและคุณป้าพานเพื่อตอบคำถามกวนใจเกี่ยวกับ ‘เซียวอี้ฉือ’
“พวกเราไปกันไม่ได้ครับ”
คุณป้าพานได้ยินแบบนี้ก็ไม่ถามอะไรต่ออีก เพียงรู้สึกเสียดาย “เสี่ยวเซียวเป็นนักข่าวสงคราม อาชีพแบบนี้กว่าจะผ่านมาได้ไม่ง่ายเลย”
ตะเกียบของอวี๋จือเหนียนชะงักไปครู่หนึ่ง “คุณป้ารู้เหรอ”
คุณป้าพานยิ้ม “ถึงฉันจะแก่ แต่ก็รู้วิธีค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนะ”
นี่ถือเป็นการซ้ำเติมเงียบๆ อวี๋จือเหนียนวางตะเกียบลง ยกน้ำซุปขึ้นมาซด ทว่าน้ำซุปยังคงร้อนอยู่จึงลวกลิ้นเขาอย่างรุนแรง
พอเข้าไปพัวพันกับเซียวอี้ฉือแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย
คุณป้าพานเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่เหมือนเดิม เมื่อนึกถึงประสบการณ์นัดบอดของเขาก่อนหน้านี้จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า “จือเหนียน คนบางคนน่ะ ต้องใช้เวลาไปทำความรู้จักกับเขาก่อนถึงจะเห็นด้านที่เปล่งประกายของเขา รูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถบอกทุกอย่างได้หรอกนะ”
รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่สามารถบอกทุกอย่างได้ยังไง ทั้งๆ ที่หน้าตาดีถึงจะมีโอกาสมากยิ่งขึ้น มีคนชอบมากยิ่งขึ้น และได้รับการให้อภัยง่ายยิ่งขึ้น
ความงามก็คือคุณค่า
อวี๋จือเหนียนหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เขาคีบเนื้อวัวให้คุณป้าพาน พูดเอาอกเอาใจ “คุณป้าพูดถูก ผมจำไว้แล้ว มาครับ กินให้เยอะหน่อย”
สองวันผ่านไป อวี๋จือเหนียนทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น เมื่อเห็นว่าอีเมลส่งถึงมือลูกค้าเรียบร้อยแล้วเขาก็บิดขี้เกียจพลางเอนหลังบนเก้าอี้
ในตอนนี้เขาถึงนึกขึ้นได้ว่ามีพัสดุด่วนส่งมาถึงเขาเมื่อตอนกลางวัน คนที่จับตามองเซียวอี้ฉือเป็นคนส่งมา
อวี๋จือเหนียนเปิดซอง นอกจากรายงานแล้วยังมีรูปถ่ายหนาๆ อีกปึกหนึ่ง เขาพลิกดูทีละรูป มีแต่รูปที่เซียวอี้ฉือ เชฟใหญ่ และคนอาหรับอีกคนหนึ่งออกไปหาอาหารกินกัน เชฟใหญ่ที่อยู่ในรูปดูมีความสุขมาก
ทันใดนั้นอวี๋จือเหนียนก็หยุดพลิกดูรูปถ่าย
คนที่จับตามองเซียวอี้ฉือทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้แต่รูปตอนที่เซียวอี้ฉือออกมาจากโรงแรมกับคนอื่นตอนหกโมงเช้าก็ยังถ่ายมาได้
คนที่อยู่กับเขาเป็นชาวต่างชาติ แสงในรูปไม่ค่อยดีนัก แต่ดูจากรูปร่างและใบหน้าด้านข้างแล้วน่าจะหน้าตาดีทีเดียว
อวี๋จือเหนียนพลิกดูรายงาน มีคำแนะนำสั้นๆ และรูปถ่ายด้านหน้าของชาวต่างชาติคนนี้แนบมาด้วย…ผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้า เป็นความงามตามแบบฉบับชาวอังกฤษ ปัจจุบันทำงานอยู่ในสถานทูต ก่อนหน้านี้เคยเป็นเจ้าหน้าที่ในสำนักงานองค์กรระหว่างประเทศแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้
เขากลับมาดูรูปถ่ายในมืออีกครั้ง รูปถัดๆ มาหลายรูปถูกถ่ายติดกัน คนงามที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดลง หันกลับมาโอบกอดเซียวอี้ฉือแล้วจูบเขา ส่วนเซียวอี้ฉือก็ไม่ได้ปฏิเสธ
อวี๋จือเหนียนโยนรูปถ่ายกลับลงไปบนโต๊ะ หลับตาแล้วเอนหลัง
ชีวิตของเขาสมบูรณ์แบบมาก กินดีอยู่ดี เพลิดเพลินกับชีวิต
เพราะอะไร…คนคนนี้มีอะไรดี…
หน้าตาก็งั้นๆ นิสัยก็ห่วยแตก…
อวี๋จือเหนียนลืมตา หยิบรูปถ่ายที่ยังไม่ได้ดูขึ้นมาจากบนโต๊ะ จูบนี้จบลงเมื่อเซียวอี้ฉือผละออกจากคนงาม ส่วนคนงามก็ดูอาลัยอาวรณ์อย่างมาก
เซียวอี้ฉือคนนี้ทำตัวราวกับผู้ชายเฮงซวยจอมกะล่อน
จิตสำนึกในการแข่งขันของลูกผู้ชายถูกปลุกให้ตื่น อวี๋จือเหนียนโทรหาคลับหรูที่เขามักไปเยี่ยมเยียนเป็นประจำ “เดี๋ยวผมจะไปถึงในอีกครึ่งชั่วโมง บอกคนเตรียมให้พร้อม”
ณ ห้องสวีตในคลับสุดหรูหลังจากเสร็จกิจ มีเสียงน้ำไหลดังมาจากในห้องน้ำ ไอน้ำปกคลุมไปทั้งแถบ สามารถมองเห็นเนื้อหนังของคนที่กำลังอาบน้ำโดยหันหลังให้ประตูห้องน้ำได้อย่างเลือนราง
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ใต้ฝักบัว หลับตาลง ปล่อยให้น้ำร้อนสาดกระทบใบหน้าและร่างกาย
สำหรับเขาเซ็กซ์เป็นเพียงการกระทำเพื่อสนองความต้องการทางกาย เขารู้สึกดี แต่มันก็แค่นั้น เขาไม่สามารถได้รับความสุขจากมันมากนัก
บางทีอาจเป็นเพราะบาดแผลทางจิตใจจากอดีต เขาจึงไม่หลงใหลเรื่องพวกนี้เลย กระทั่งเรียกได้ว่าทำไปอย่างลวกๆ เท่านั้น
เมื่อได้สติคืนมาเขาก็เย้ยหยันตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมความปรารถนาที่จะเอาชนะของเขาถึงถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดายแบบนี้
เวลาตีสี่
เซียวอี้ฉือชอบระเบียงของตัวเองมากที่สุด มันไม่ใหญ่และไม่ได้ปลูกต้นไม้ไว้ เมื่อมองออกไปจากตาข่ายกันขโมยก็จะเห็นอาคารสูงเตี้ยสลับกัน อาคารหลังเก่าอยู่ใกล้มาก จึงสามารถได้ยินความเคลื่อนไหวของเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน อย่างเช่น บ้านไหนกำลังดุลูก บ้านไหนกำลังทำกับข้าว บ้านไหนกำลังดูโทรทัศน์ บ้านไหนกำลังเล่นไพ่นกกระจอก…หรือทะเลาะกัน ทำให้มันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างมาก
สักวันเขาคงฟังจนเบื่อ แต่ว่าตอนนี้เซียวอี้ฉือเพลิดเพลินกับบรรยากาศแบบนี้มาก
เขาเลื่อนเก้าอี้หวายที่มีพนักพิงและที่วางแขนไปที่ระเบียง งอเข่านั่งลงบนนั้น และจุดบุหรี่ ชายชราชั้นล่างเปิดวิทยุหลังจากตื่นนอน มีเสียงเพลงดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
เสียงเพลงแผ่วเบาทำให้แสงสลัวยามเช้ามีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป และช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานจากการนอนไม่หลับได้
อาการนอนไม่หลับเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและซ้ำซาก แต่อาการฝันร้ายกลับมีความหลากหลายที่ไม่เหมือนกันเลย
ครั้งนี้เขาฝันว่าเพื่อนร่วมงานของเขาโชคร้ายได้รับผลกระทบจากระเบิด
เขายังคงจดจำสัมผัสนุ่มนวลในมือของเขาได้ มันคือลำไส้ของอีกฝ่ายที่ระเบิดออกมา กลิ่นเลือดคลุ้งกระจายไปในอากาศ เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหยุดเลือด แต่รอบตัวเขากลับมีเพียงควันที่พวยพุ่งและซากปรักหักพัง
เมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เพื่อนร่วมทางเสียชีวิต ทั้งที่คืนก่อนหน้านี้พวกเขายังนัดกันว่าคืนนี้จะไปดื่มเหล้าอยู่เลย
ขี้เถ้าร่วงลงมาบนนิ้วเท้าของเขา ความระคายเคืองบนผิวหนังทำให้เซียวอี้ฉือกลับมามีสติอีกครั้ง…
พอตอนเช้าเซียวอี้ฉือก็มากินข้าวเช้าที่บ้านของคุณป้าม่าย
อาหารเช้าบนโต๊ะเปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่ซาลาเปา แป้งทอด และโจ๊กอีกต่อไป แต่เป็นไข่ดาว นม แซนด์วิช และขนมปังปิ้ง ทั้งยังมีดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งในแจกัน
“คุณป้า วันนี้มาแนวชนชั้นกลางติดหรูเหรอครับ ผมควรจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อหรือเปล่าเนี่ย” เซียวอี้ฉือเห็นคุณป้าม่ายเดินออกมาจากในห้องครัวก็ยิ้มแซว
“แหม ก็กินซาลาเปาจนเบื่อแล้ว เปลี่ยนเป็นอะไรใหม่ๆ บ้าง ฉันก็ตามเทรนด์แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีรสนิยมอยู่นะ เป็นยังไงบ้าง” คุณป้าม่ายวางน้ำมะเขือเทศลงบนโต๊ะ ปากถามความเห็น แต่สายตากำลังมองหาคำชม
“ยอดเยี่ยม!” เซียวอี้ฉือยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นทั้งสองข้าง
คุณป้ายม่ายพึงพอใจมาก “รู้อยู่แล้วว่าเธอน่ะปากหวาน รีบไปล้างมือแล้วมาลองชิมสิ”
“ได้เลยครับ!”
บนโต๊ะอาหารเซียวอี้ฉือพูดกับคุณป้าม่าย “เมื่อคืน…ซานซานโทรมาหาผม ให้ผมมาโน้มน้าวคุณป้าให้ย้ายไปอยู่กับเธอ”
ซานซานเป็นลูกสาวของคุณป้าม่าย หลังจากแต่งงานออกไปแล้วเธอก็ย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับสามีของเธอ คุณป้าม่ายแก่ตัวลงเรื่อยๆ บ้านของเธอก็เป็นอาคารที่มีบันได ซานซานจึงคิดว่ามันไม่ค่อยสะดวกเลยอยากรับเธอไปอยู่ด้วยกัน
“ฉันเคยไปอยู่บ้านซานซานแล้ว แต่ฉันไม่คุ้นกับสภาพอากาศหรืออาหารที่นั่นเลย ที่นี่สบายกว่าเยอะ” คุณป้าม่ายตอบ
อันที่จริงเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดก็คือเซียวอี้ฉือ
“คุณป้า ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมอยู่คนเดียวได้สบายมาก…ซานซานคิดถึงคุณป้ามาก คุณป้าไม่คิดถึงเธอเหรอ”
คุณป้าม่ายส่งไข่ดาวของตัวเองให้เซียวอี้ฉือ “เมื่อก่อนตอนที่ลุงฉินของเธอตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ฉันก็เลี้ยงลูกคนเดียว โชคดีที่มีพ่อแม่ของเธอกระตือรือร้นคอยช่วยเหลือ ตอนที่ซานซานป่วยกลางดึก ฉันทำอะไรไม่ถูกก็โชคดีที่มีพ่อแม่ของเธอ…ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากทำหน้าที่พ่อแม่ให้เธอ มองดูเธอตามหาความสุขของตัวเอง”
คุณป้าม่ายพูด “แน่นอน ถ้าเธอคิดว่าใครดี ฉันก็คิดว่าคนนั้นดีด้วย สรุปว่าเธออย่ากดดันตัวเอง ฉันยังไม่ไปอยู่กับซานซานตอนนี้หรอก เดี๋ยวฉันจะคุยกับซานซานเอง กินข้าวๆ!”
แม้จะมีคำพูดนับหมื่นพัน แต่สุดท้ายเซียวอี้ฉือก็พูดเพียงประโยคเดียว “คุณป้า ขอบคุณนะครับ”
“เกรงใจอะไรกัน” น้ำเสียงคุณป้าม่ายอบอุ่นมากยิ่งขึ้น “เอาล่ะ กินขนมปังปิ้งนี่ตอนยังร้อนสิ แล้วก็เหยาะซอสมะเขือเทศด้วย”
ทั้งที่ยังรู้สึกหนักอึ้งในใจ แต่เมื่อมีรสชาติมะเขือเทศที่เปรี้ยวหวานและเนื้อสัมผัสที่สดชื่นเข้าปาก อารมณ์ของเซียวอี้ฉือก็ดีขึ้นทันที “อร่อย!” เขากัดอีกคำใหญ่
คำต่อมาความกรุบกรอบ ความเปรี้ยว และความหวานผสมผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นรสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ทำให้อยากอาหารมากกว่าเดิม
“อร่อยล่ะสิ” คุณป้าม่ายยิ้มร่า
เซียวอี้ฉือลองชิมซอสมะเขือเทศเพียงอย่างเดียว มันเป็นความรู้สึกสดชื่นเหมือนกับการคั้นมะเขือเทศที่สุกงอมและชุ่มฉ่ำจนน้ำกระเซ็นออกมา เปรี้ยวหวานกำลังดี กระตุ้นต่อมรับรสแต่ไม่รู้สึกเลี่ยนจนเกินไป
“คุณป้า ซอสมะเขือเทศนี่อร่อยมากเลย! คุณป้าซื้อมาจากไหนเหรอครับ”
“อันที่จริงฉันไม่ได้ซื้อหรอก อาพานเอามาให้น่ะ ป้าเขาอยากให้เธอลองชิมดู”
เซียวอี้ฉือพลิกขวดแก้วดูซ้ายขวา “โฮมเมดเหรอครับ” ซอสมะเขือเทศที่เติมสารเคมีไม่สามารถมีรสชาติที่ธรรมชาติแบบนี้ได้
“ทายถูกแล้ว! อาพานเขาปลูกมะเขือเทศ ดอกกุหลาบนี่ก็ปลูกที่บ้านเหมือนกัน!”
เซียวอี้ฉือยิ้ม “ดูเหมือนว่าป้าพานจะไม่ได้มีแค่เสน่ห์ปลายจวักนะครับ แต่ยังรู้จักบริหารชีวิตด้วย!”
คุณป้าม่ายยิ้มอย่างมีความสุขกว่าเดิม “อันที่จริงดอกไม้น่ะป้าพานเป็นคนจัดการ แต่ซอสมะเขือเทศ ป้าพานไม่ได้เป็นคนทำ หลานของเขาต่างหาก”
“…” เซียวอี้ฉือกะพริบตาปริบๆ
“คิดไม่ถึงล่ะสิ ฉันเคยเห็นรูปถ่ายของเสี่ยวอวี๋คนนี้แล้ว ไม่ใช่แค่หล่อนะ แต่ยังทำอาหารเก่งอีก” คุณป้าม่ายกำลังรอเซียวอี้ฉืออยู่ “เธอลองทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจดีไหม”
เซียวอี้ฉือยอมแพ้คุณป้าม่าย พูดตามความจริง “พวกเราไม่เหมาะที่จะคบกันครับ”
คุณป้าม่ายรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเธอก็ถอนหายใจและยอมแพ้ “โอเค เป็นเพื่อนกันก็ดี จะได้มีคนดูแล”
สุดท้ายก็พูดว่า “เธอเอาซอสมะเขือเทศนี่กลับไป ทางฉันยังมีอีกขวด รีบกินให้หมดนะ เดี๋ยวมันจะเสีย”
เมื่อกลับถึงบ้านเซียวอี้ฉือก็มองซอสมะเขือเทศในมือตัวเอง
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอวี๋จือเหนียนจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย
นายจะนึกถึงได้เหรอ อีกฝ่ายสวมผ้ากันเปื้อน คนมะเขือเทศในหม้อบนเตาอย่างอดทนจนกระทั่งมะเขือเทศนิ่มและข้น จากนั้นจึงบรรจุลงขวดอย่างระมัดระวัง
เซียวอี้ฉือรู้สึกว่าภาพนี้ช่างขัดกันเหลือเกิน
สุดท้ายเขาก็ยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วนำซอสมะเขือเทศใส่ในตู้เย็น
ในห้องทำงานของอวี๋จือเหนียน คนที่จับตาดูเซียวอี้ฉือไม่เพียงส่งรูปถ่ายมาเท่านั้น แต่ยังส่งใบแจ้งหนี้มาใบหนึ่งด้วย…อีกฝ่ายต้องการที่จะขึ้นราคา
หลังจากอวี๋จือเหนียนเห็นรูปถ่ายก็เข้าใจ
เซียวอี้ฉือคนนี้ดึกๆ ดื่นๆ ไม่หลับไม่นอน นอกจากกินดื่มกับเพื่อนและใช้เวลายามดึกกับคนงามแล้ว ยังเดินเล่นไปรอบๆ เขตชุมชนคนเดียว แถมยังเล่นกับแมวในสวนสาธารณะเล็กๆ เป็นครั้งคราวด้วย
เขาทนได้ แต่คนที่จับตาดูคนนี้ทนไม่ไหวแล้ว
อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้ว
คนคนนี้มันยังไงกันนะ
Comments
