ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 4-6 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 4-6 #นิยายวาย

บทที่ 5

 

เช้าตรู่ ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม ไฟนีออนบนตึกระฟ้ายังคงกะพริบอยู่ แต่ชั้นเมฆกลับกดทับลงมาด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง ภาพนี้ให้ความรู้สึกเหมือนงานเลี้ยงฉลองวันสิ้นโลก ราวกับโลกไซเบอร์พังก์

เซียวอี้ฉือคาบบุหรี่ ยันสองมือไว้บนขอบระเบียงพลางปล่อยใจให้โล่ง

ในเวลานี้เองโทรศัพท์มือถือก็มีข้อความเข้ามา

เขาหยิบมันขึ้นมา ยืนยันชื่อผู้ส่งอยู่หลายรอบ

ข้อความที่อวี๋จือเหนียนส่งมามีใจความว่า

 

เช้านี้ว่างไหม มีเรื่องเกี่ยวกับเชฟใหญ่จะคุยด้วย

 

“ถ้าต้องนัดเจอคนที่ไม่ชอบขี้หน้าตอนสภาพจิตใจไม่ดีนี่ต้องทำยังไงนะ ด่วนเหรอ รอไปก่อนเถอะ” เซียวอี้ฉือใช้มีมทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแสดงความรู้สึกของเขาหลังจากอ่านข้อความ

แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเชฟใหญ่ เซียวอี้ฉือจะไม่สนใจก็ไม่ได้ เขาตอบกลับไปว่า

 

ที่ไหน เมื่อไร

 

หลังจากกดส่งแล้วเซียวอี้ฉือก็ดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง

ดูเหมือนว่าอาชีพทนายไม่ง่ายเลยจริงๆ…

 

เมื่อถึงเวลาเข้างาน สถานที่ที่พวกเขานัดกันก็คือร้านกาแฟที่เจอกันครั้งแรก

อวี๋จือเหนียนมาถึงก่อน เขาสวมชุดสูทเนื้อละเอียดสีเทาถ่านที่ตัดเย็บอย่างดีกับเนกไทผ้าไหมสีไวน์ พนักงานหญิงที่เคาน์เตอร์รับออเดอร์จ้องมองเขาเงียบๆ อยู่นาน

เซียวอี้ฉือมาถึงที่หมายแล้ว ก่อนออกจากบ้านเขายังคิดว่าจะแต่งตัวให้ดูดีสักหน่อย ต่อมาก็ล้มเลิกความคิด ถ้าจงใจเกินไปจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย สู้เป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่เคยออกไปข้างนอกโดยให้ตัวเองอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แค่ทำตัวตามปกติก็พอแล้ว

เขาผลักประตูเข้าไปก็เห็นลูกค้าเพียงคนเดียวนั่งอยู่ที่นั่น กำลังถือแท็บเลตอยู่ในมือ

เป็นใบหน้าที่ไม่มีที่ติจริงๆ กิริยาท่าทางก็สง่างาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนภาพวาด

เมื่อเดินเข้าไปใกล้สายตาของเซียวอี้ฉือก็มองไปที่รอยต่อระหว่างไหล่กับแขนเสื้อสูทของอีกฝ่าย นั่นคือมาตรฐานการตรวจสอบว่าชุดสูทพอดีตัวหรือไม่ การเดินตะเข็บมีความประณีต ไม่หลวมไม่คับ มันคืองานสั่งตัดอย่างไม่ต้องสงสัย

อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้น ทันทีที่ดวงตาล้ำลึกของอีกฝ่ายเจอแสงสว่าง ความรู้สึกตื่นตะลึงก็กระแทกเข้ามาอย่างจัง อวี๋จือเหนียนนั้นดูเย็นชา เฉียบคม และเคร่งครัดเวลาที่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะมีออร่าความเย็นชา แต่บนตัวกลับเต็มไปด้วยอารมณ์กระหายเลือดและก้าวร้าว

ก่อนหน้านี้ต้าซานจงใจเข้าหากลุ่มลูกค้าของเขาเพื่อหาข้อมูลให้เซียวอี้ฉือโดยเฉพาะ คนอย่างอวี๋จือเหนียนก็คือ ‘เทพบุตรของกลุ่ม gay’ ที่ ‘ต่อให้ถูกเขารังแกก็เป็นเรื่องปกติ’

เซียวอี้ฉือยอมรับว่านี่ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลซะทีเดียว

“อรุณสวัสดิ์” เขานั่งลงแล้วเอ่ยทักทาย

อวี๋จือเหนียนมองดูรอยคล้ำรอบดวงตาของเซียวอี้ฉือ จากนั้นก็มองดูตัวการ์ตูนไข่ขี้เกียจตัวใหญ่บนเสื้อยืดของอีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตากลับเงียบๆ “ดื่มอะไร ผมจะไปสั่งให้”

เพราะทั้งคู่ต่างรู้ด้านไม่ดีของกันและกันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพก็ได้

“ฉันไม่เอา” เซียวอี้ฉือเริ่มรู้สึกปวดศีรษะขณะพูดตอบ

“ถ้าอย่างงั้นเราก็เข้าประเด็นกันเถอะ” อวี๋จือเหนียนเก็บแท็บเลต หยิบบัตรสีดำออกมาใบหนึ่ง “คุณเยี่ยบอกให้ผมเอาสิ่งนี้มาให้ ค่าใช้จ่ายระหว่างที่คุณอยู่กับเชฟใหญ่อยู่ในนี้หมดแล้ว”

เซียวอี้ฉือทำหน้ายิ้มๆ ไม่ได้รับไว้ “ฉันฝากขอบคุณคุณเยี่ยแทนด้วย เชฟใหญ่เป็นเพื่อนของฉัน ชวนเพื่อนออกไปกินข้าวไม่ต้องใช้แบล็กการ์ดหรอก ฉันจะรับน้ำใจของเขาไว้ ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องหรอก”

อวี๋จือเหนียนคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่รับ จึงเก็บบัตรอย่างรวดเร็ว “ได้ ผมจะไปบอกให้”

“แล้วยังมีเรื่องอื่นอีกไหม”

“หวังว่าอย่างน้อยภายในครึ่งเดือนนี้เชฟใหญ่จะไม่พูดถึงเรื่องลาออกอีกและทำงานตามสัญญาจ้างงาน เรื่องนี้สำคัญสำหรับคุณเยี่ยมาก”

“ถ้าสิ่งที่พวกนายต้องการมีแค่นี้ ฉันก็จะทำอย่างสุดความสามารถ สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นงานของเขาเหมือนกัน แต่นิสัยของเชฟใหญ่ไม่เหมาะกับเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ ถ้าพวกนายคิดจะหลอกใช้เขาก็หาตัวเลือกใหม่จะดีกว่า” เซียวอี้ฉือพูดอย่างชัดเจน

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณตัดสินใจได้ แต่ผมจะบอกความคิดของคุณตามจริงก็แล้วกัน” อวี๋จือเหนียนแค่พูดก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายเป็นต่อได้

เซียวอี้ฉือรู้สึกสนใจ อยากถามว่าอวี๋จือเหนียนได้ค่าทนายเท่าไร แต่ช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกปวดศีรษะมากเกินไป เขาต้องกลับไปกินยา

“ก็ได้ งั้นธุระของพวกเราวันนี้มีแค่นี้ใช่ไหม” เซียวอี้ฉือลุกขึ้น แต่จู่ๆ เบื้องหน้าก็พลันมืดลง เขายื่นมือไปค้ำโต๊ะจนเกิดเสียงดัง

“คุณเป็นอะไร” อวี๋จือเหนียนลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถาม

เซียวอี้ฉือโบกๆ มือ “ไม่มีอะไร แค่น้ำตาลตกน่ะ” เขารอจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้นก็มองอวี๋จือเหนียน “ขอโทษที ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

“ไปหาหมอเถอะ” อวี๋จือเหนียนกลับที่นั่งและหยิบกระเป๋าขึ้นมา

“อืม” ทั้งสองคนเดินตามกันออกจากร้านกาแฟ

เซียวอี้ฉือเดินอยู่ข้างหน้า ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูก็รู้สึกเหมือนแวมไพร์ที่แพ้แสงโดนแสงทิ่มแทง โลกทั้งใบพลิกกลับ เขาสะดุดบันไดสองขั้นที่อยู่ใต้เท้าโดยไม่ทันระวัง ทำท่าจะล้มลง

“ระวัง!”

นี่คือคำสุดท้ายที่เซียวอี้ฉือได้ยินก่อนจะหมดสติไป

 

นอกห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชน อวี๋จือเหนียนโทรหาหนานจิ่งเพื่อเลื่อนงานของเขาหลังจากนี้ออกไปก่อน

หลังจากวางสายเขาก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง เซียวอี้ฉือที่กำลังหลับสนิทเมื่อครู่ขมวดคิ้วแน่น ร่างกายบิดไปมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเหมือนกำลังฝันร้าย

อวี๋จือเหนียนเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ “เซียวอี้ฉือ ตื่น” ในขณะเดียวกันก็กดออดเรียกเจ้าหน้าที่

“เซียวอี้ฉือ!” เมื่อสิ้นเสียงเซียวอี้ฉือก็ลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาพร่ามัว หายใจหอบเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ

หลังจากคุณหมอเข้ามาตรวจสอบข้อมูลของเซียวอี้ฉือแล้วก็ถามว่า “คุณเซียว ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ”

เซียวอี้ฉือค่อยๆ ได้สติ เขาหันไปมองหมอ จากนั้นก็มองอวี๋จือเหนียนที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย “…ที่นี่คือโรงพยาบาลเหรอครับ”

“ใช่ครับ” คุณหมอเขียนอะไรบางอย่างลงในประวัติการรักษา “เมื่อกี้คุณฝันร้ายเหรอครับ”

เซียวอี้ฉือลุกขึ้นนั่ง และเพิ่งสังเกตว่ามีเข็มอยู่ที่หลังมือของเขา “…ครับ”

“มีอาการนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ”

“ประมาณหนึ่งเดือนมั้งครับ”

“คุณพอจะรู้ไหมครับว่าอะไรคือสาเหตุของฝันร้าย”

อวี๋จือเหนียนยืนฟังอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

เซียวอี้ฉือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบไปตามตรงว่า “ผมเป็น PTSD”

PTSD หรือภาวะความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ มันคืออาการทางร่างกายและจิตใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

“ไม่ทราบว่าได้รับการวินิจฉัยเมื่อไหร่ครับ”

“เมื่อสามปีก่อนครับ ผมเคยไปหาจิตแพทย์ แต่เพราะงานยุ่งเกินไปก็เลยไปบ้างไม่ไปบ้าง ต่อมาอาการดีขึ้นเลยไม่ได้ไปหาหมออีก…แต่พอกลับประเทศมาอาการก็กำเริบ”

คุณหมอเขียนลงในประวัติคนไข้ “จากการวินิจฉัยเบื้องต้น คุณต้องกลับไปรับการบำบัดทางจิตวิทยาใหม่ทั้งหมด พวกเรามีบริการส่งต่อให้แผนกอื่นนะครับ”

“เรื่องนี้ผมจัดการเองครับ ถ้ามีอะไรผมจะติดต่อพวกคุณทีหลัง” อวี๋จือเหนียนขัดขึ้น

คุณหมอพยักหน้า หลังจากตรวจสอบขวดน้ำเกลือแล้วก็ออกไป

ในห้องผู้ป่วยเหลือแค่พวกเขาสองคน

เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียน แล้วก็เอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณที่มาส่งฉันที่โรงพยาบาล” เขามองไปรอบๆ ห้องผู้ป่วย “ที่นี่…คงจะแพงสินะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง มันเป็นเงินของคุณเยี่ย ไม่ใช่เงินผมหรือเงินคุณ”

เซียวอี้ฉือลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ฉันไปได้หรือยัง”

“ไปน่ะไปได้ แต่หลังจากนี้คุณจะทำยังไง”

เซียวอี้ฉือยักไหล่ “ค่อยว่ากันเถอะ”

เขาดึงเข็มออกอย่างชำนาญ แล้วกดแผ่นห้ามเลือดไว้แน่น

อวี๋จือเหนียนมองดูการกระทำของเขาแล้วพูดแนะนำว่า “ผมมีจิตแพทย์ที่รู้จักอยู่ เขาเป็นมืออาชีพมาก บางทีอาจจะช่วยอะไรได้”

เซียวอี้ฉือยิ้ม “ได้รับการประเมินจากนายสูงขนาดนี้ เขาคงเป็นหมอที่ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ แต่ว่าไม่…”

เขาลงจากเตียง คำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ยังไม่ทันจะออกจากปากจู่ๆ แข้งขาก็อ่อนแรง ทว่าอวี๋จือเหนียนตอบสนองว่องไว ยื่นมือประคองเขาไว้ทัน

“อ่อนแอขนาดนี้ อย่าทำเป็นเท่แล้วปฏิเสธหน่อยเลย”

“…” จู่ๆ เซียวอี้ฉือก็รู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีดขนาดใหญ่หลายเล่ม

 

ขณะนั่งอยู่ในรถเบนซ์เซียวอี้ฉือสังเกตเห็นว่ามีกาแฟแบบซื้อกลับบ้านยี่ห้อหรูวางอยู่ในที่วางแก้วที่พนักแขนตรงกลาง ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ขึ้นชื่อในเรื่องกาแฟบดมือมาก

อวี๋จือเหนียนคาดเข็มขัดนิรภัย “ไว้ผมนัดหมอได้แล้วจะติดต่อคุณ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย เยี่ยจ้าวหลินจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”

เซียวอี้ฉือก็คาดเข็มขัดนิรภัยเหมือนกัน “แบบนี้ไม่ค่อยดีมั้ง รู้สึกเหมือนกำลังเอาเปรียบคนอื่น”

“ผมแยกแยะได้ คุณเอาไปใช้ก็พอ” อวี๋จือเหนียนสวมแว่นดำแล้วสตาร์ตรถ

เซียวอี้ฉือมองเขาแวบหนึ่งหลังได้ยินประโยคนั้น ให้ตายเถอะ รู้สึกอุ่นใจชะมัดเลย

เมื่อขับรถไปได้ระยะหนึ่งจู่ๆ เซียวอี้ฉือก็นึกอะไรได้ “ไม่สิ…” เขามองอวี๋จือเหนียน “นายควรจะถามฉันว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะมีเวลาว่างนัดกับคุณหมอไม่ใช่เหรอ”

อวี๋จือเหนียนชำเลืองมองเขา ก็มีเวลาว่างทั้งวันไม่ใช่หรือไง กำลังพูดเรื่องบ้าอะไรน่ะ “…แล้วคุณว่างเมื่อไหร่”

เซียวอี้ฉือรู้สึกเหมือนโดนดูถูก แม้อันที่จริงเขาจะว่างมาก แต่การที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะมองเขาอย่างทะลุปรุโปร่งมันหมายความว่ายังไงกันแน่

ราวกับถูกกระตุ้นให้อยากขัดขืน ปีศาจตัวน้อยตื่นขึ้นมาแล้ว

เซียวอี้ฉืออดทนไว้ “ก็ได้ ฉันจะเอาตามเวลาที่คุณหมอสะดวกก็แล้วกัน”

อวี๋จือเหนียนมาส่งเซียวอี้ฉือที่หน้าประตูเขตชุมชน หลังเซียวอี้ฉือลงจากรถแล้วก็โน้มตัวมองผ่านหน้าต่างรถที่เปิดอยู่ ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ทนายอวี๋ ลืมบอกไป ซอสมะเขือเทศที่นายทำอร่อยมาก”

อวี๋จือเหนียนหันขวับไปมองเซียวอี้ฉือ หน้ากากของทนายชั้นสูงผู้หยิ่งยโสแตกเพล้งทันที

“บ๊ายบาย!” เซียวอี้ฉือโบกมือ แล้วจึงหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปข้างใน

“นี่!”

ขณะนั้นเองรถคันหลังก็บีบแตรเตือนไม่ให้อวี๋จือเหนียนขวางทางและให้รีบขับรถออกไปโดยเร็ว

“จิ๊” อวี๋จือเหนียนหน้าบึ้ง เหยียบคันเร่งจากไปทันที

เซียวอี้ฉือกลับไม่รู้จักดีชั่ว เมื่อกลับถึงบ้านเขาก็นำขวดซอสมะเขือเทศที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งออกมาจากตู้เย็นเพื่อถ่ายรูปแล้วส่งให้อวี๋จือเหนียน…‘ขอบคุณทนายอวี๋! กินเหลือแค่นี้แล้ว ใครสั่งให้ฉันว่างนักล่ะ’

รูปภาพนั้นถูกส่งไปพร้อมกับรอยยิ้มสดใส

 

ขณะเห็นข้อความอวี๋จือเหนียนเพิ่งจะเดินออกมาจากลิฟต์ เตรียมเข้าไปในสำนักงาน ถ้าไม่ใช่เพราะมีเพื่อนร่วมงานเดินผ่านไปมาเขาคงจะสบถออกมาเสียงดังแล้ว

Sh*t!

เมื่ออวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปในห้องทำงานก็นึกได้ว่าเซียวอี้ฉือคงจะเข้าใจผิด…เข้าใจผิดว่าเขาตัดสินว่าเซียวอี้ฉือเป็นคนว่างงานโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกครั้ง

แต่ความจริงแล้วอวี๋จือเหนียนส่งคนไปจับตาดูเซียวอี้ฉือถึงได้รู้ว่าวันๆ อีกฝ่ายเอาแต่เล่นกับแมว…ประเด็นคือเขาจะพูดออกมาได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองเหรอ

สุดท้ายแล้วอวี๋จือเหนียนก็เป็นฝ่ายแพ้อยู่ดี

เขาเงยหน้ามองเพดานอย่างอับจนคำพูด ได้แต่กลืนความโกรธลงท้อง

หลังจากพักผ่อนได้ไม่นานอวี๋จือเหนียนก็สงบสติอารมณ์อีกครั้ง เขาส่งข้อความหาคุณป้าพาน บอกว่าจะไปกินอาหารเย็นกับเธอ

วันนี้คุณป้าพานดูมีความสุขมาก ตั้งใจทำกับข้าวเพิ่มอีกหลายอย่าง

อวี๋จือเหนียนช่วยเธอ แล้วลองถามว่า “ป้าพานครับ…ซอสมะเขือเทศในบ้านยังพอหรือเปล่า”

“อ้อ! ฉันให้ป้าม่ายกับเสี่ยวเซียวไปสองขวด น่าจะเหลือแค่ขวดเดียว ทำไมเหรอ วันนี้เธออยากกินเหรอ” คุณป้าพานตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

“เปล่าครับ ผมแค่ถามดู” อวี๋จือเหนียนพิจารณาคำพูดอย่างรอบคอบ พยายามที่จะแสดงให้ป้าของเขาเห็นอย่างละมุนละม่อมว่าเธอไม่จำเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกับเซียวอี้ฉือมากเกินไป

แต่คุณป้าพานกลับมองเขาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความยินดี “จือเหนียน เธออยากเอาให้เสี่ยวเซียวอีกใช่ไหมล่ะ งั้นยกขวดที่เหลือให้เขาดีไหม”

“หืม?” อวี๋จือเหนียนสับสน

“แหม วันนี้ป้าม่ายบังเอิญเห็นเสี่ยวเซียวลงมาจากรถเบนซ์ ป้าเขาถ่ายรูปเอาไว้แล้วส่งให้ฉันดู รถคันนั้นมันรถของเธอไม่ใช่เหรอ พวกเธอคงจะคุยเรื่องซอสมะเขือเทศแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าเขาชอบก็ให้เขากินให้มากหน่อยสิ!” คุณป้าพานยิ้มเอ่ยอย่างมีความสุข

พวกมนุษย์ป้านี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองที่เจาะลึกทุกด้านจริงๆ

“ผมกับเขา…”

“รู้แล้วๆ พวกเธอเป็นแค่เพื่อนกัน ฉันเข้าใจ!” รอยยิ้มของคุณป้าพานยังคงอยู่ “แยมสตรอเบอรี่ที่เธอทำเมื่อปีที่แล้วก็อร่อยมาก ปีนี้ถ้าที่สวนส่งสตรอเบอรี่มา เราก็ทำให้มากหน่อย แล้วค่อยให้เสี่ยวเซียวชิมดู!”

“…” อวี๋จือเหนียนคิด ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารซะแล้วล่ะ

 

เซียวอี้ฉือกินซอสมะเขือเทศคำสุดท้ายจนหมดเหมือนกินขนม

นี่เขาเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณใช่ไหม อวี๋จือเหนียนเพิ่งจะแนะนำจิตแพทย์ให้เขา แต่หลังจากนั้นเขากลับระบายความโกรธกับซอสมะเขือเทศที่อีกฝ่ายทำ

เขาพนันว่าอวี๋จือเหนียนจะต้องไม่รู้เรื่องที่คุณป้าพานเอาซอสมะเขือเทศมาให้พวกเขาแน่นอน

แต่เขากลับชอบที่จะกระโดดไปรอบๆ ทุ่นระเบิดของอวี๋จือเหนียนครั้งแล้วครั้งเล่า…เพียงเพราะอยากเห็นสีหน้าที่โกรธจัดแต่กลับทำอะไรไม่ได้ของอวี๋จือเหนียน

เซียวอี้ฉือล้างขวดจนสะอาดแล้วคว่ำไว้ให้แห้ง

ตอนแรกเขานึกว่ามันเป็นเพียงขวดแก้วธรรมดา ต่อมารู้สึกว่าสัมผัสที่มือแปลกไป เมื่อเช็กรอยปั๊มที่ก้นขวดก็พบว่าเป็นยี่ห้อที่พวกราชวงศ์ใช้ แม้แต่ขวดใส่ซอสมะเขือเทศยังเลิศหรูขนาดนี้ สามารถจินตนาการได้เลยว่าคนคนนี้มีชีวิตที่ประณีตขนาดไหน

เซียวอี้ฉือยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วกลับไปที่ห้องนั่งเล่น

ภายในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยกองเอกสารนานาชนิด มันเยอะเสียจนต้องเขย่งเท้ากระโดดข้ามไป เซียวอี้ฉือกลับไปที่กลางกองเอกสารแล้วนั่งลง จากนั้นจึงเปิดโน้ตบุ๊กที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ

อวี๋จือเหนียนบอกว่าเขาเป็นพวกว่างงาน อันที่จริงมันแทงใจดำเขาอยู่บ้าง

ก็ผู้ชายนี่นา ไม่มีงานทำไม่ได้หรอก

หลังจากเขากลับถึงจีนแล้วก็ต้องพักฟื้นตลอดเวลา อีเมลก็ไม่ได้เช็ก ทั้งยังเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ วันนี้ตอนที่เขาเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมลของตนเองก็พบว่ามีอีเมลที่ไม่ได้อ่านกว่าร้อยฉบับ

เซียวอี้ฉือเลื่อนเม้าส์ลงมาดูผ่านๆ บ้างติดต่อเขาเพื่อขอตีพิมพ์หนังสือ บ้างทักทายเขา บ้างก็พูดคุยเรื่องงาน…ดูสิ เขายังได้รับความนิยมอยู่นี่

ในขณะที่กำลังรู้สึกดีใจอยู่นั้นเขาก็เหลือบไปเห็นอีเมลฉบับสุดท้ายในกล่องข้อความและเป็นฉบับแรกที่ส่งมาจากชิวหลันสือ

มือของเซียวอี้ฉือที่จับเม้าส์หยุดชะงัก เมื่อลองคลิกเข้าไปดูก็พบว่าเนื้อหาในอีเมลนั้นเหมือนกับหัวข้ออีเมลเป๊ะ

 

กลับจีนแล้วเหรอ

 

เซียวอี้ฉือลูบท้ายทอย แล้วตัดสินใจที่จะเพิกเฉย

ตอนกลางคืนอวี๋จือเหนียนส่งข้อความมาด้วยถ้อยคำห้วนๆ เพื่อแจ้งเวลาที่นัดกับจิตแพทย์

 

‘รอที่ประตูเขตชุมชน ไปครั้งแรกผมจะพาคุณไป’

 

เซียวอี้ฉือเพิ่งอาบน้ำออกมา ผมยังไม่ทันแห้งดี พออ่านข้อความจบก็ตอบกลับอย่างว่าง่ายพร้อมส่งรูปยิ้มเขินอาย

 

ได้ครับ ขอบคุณทนายอวี๋!’

 

อวี๋จือเหนียนไม่ได้ตอบกลับอีก

ระหว่างนั้นผู้ช่วยหนานจิ่งก็นำเอกสารเข้ามาพอดี อวี๋จือเหนียนวางโทรศัพท์ลงแล้วถามเขาว่า “ก่อนหน้านี้นายบอกว่า…เซียวอี้ฉือเป็นไอดอลเฉพาะกลุ่มของนายใช่ไหม ทำไมล่ะ”

หนานจิ่งกะพริบตา ดึงตัวเองออกจากงานชั่วคราว ก่อนขยับแว่นขึ้น “เขาเขียนบทความได้ดีมาก ในความเย็นชาแฝงด้วยความหลงใหล ในควันปืนซ่อนไว้ด้วยดอกกุหลาบ”

อวี๋จือเหนียนตอบว่า “อืม” เสียงหนึ่ง “ไม่มีอะไรแล้ว”

“ครับ” หนานจิ่งออกไปจากห้องทำงาน

อวี๋จือเหนียนเปิดโฟลเดอร์ที่หนานจิ่งส่งมาให้ก่อนหน้านี้ ในนั้นเต็มไปด้วยไฟล์แน่นขนัด

แล้วเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจึงคลิกปิดทันที

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 1-3

บทที่ 1 แค้นเก่า หวงหร่างกลายเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ผู้เก่งกล้าจากสำนักเซียนหลายคนฝ่าฟันอันตรายลักพาตัวนางออกมาด้วยความยา...

ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน

ทดลองอ่าน ลำนำฝูหรงเคียงกระเรียน บทนำ-บทที่ 1.2

บทนำ บนโลกนี้มีการเดินทางข้ามกาลเวลาที่สมบูรณ์แบบอยู่หรือไม่ น่าจะมีอยู่ หยางหวั่นก็คือคนโชคดีที่ได้เดินทางข้ามกาลเวลาคร...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 4-6

บทที่ 4 แป้งชาด ตอนตี้อีชิวกลับถึงกองเสวียนอู่ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กำลังจะสว่าง เขาจึงมิได้นอนอีก ตัดสิน...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ห้วงฝันบันดาลรัก บทที่ 7-9

บทที่ 7 กิเลส หิมะแรกหลังย่างเข้าฤดูเหมันต์มาเยือนเมืองหลวง หิมะแรกเล็กละเอียด จากนั้นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ปกคลุมไปทั่ววัง...

community.jamsai.com