everY
ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 4-6 #นิยายวาย
บทที่ 6
เซียวอี้ฉือตัดสินใจว่าจะไม่เหม่อมองท้องฟ้าในตอนเช้าอีก เขาเดินตามชายชราที่อาศัยอยู่ชั้นล่างไปที่สวนสาธารณะเล็กๆ เพื่อร่วมการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ
ท่าการเคลื่อนไหวนั้นเรียบง่าย จังหวะไม่เร็ว เซียวอี้ฉือเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังทำหน้าที่เป็นครูตัวน้อยให้กับสมาชิกใหม่ด้วย เซียวอี้ฉือสนุกกับการสอนพวกเขามาก
นอกจากเป็นครูตัวน้อยให้เหล่าผู้สูงวัย เขายังได้รับจดหมายเชิญจากมหาวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่งด้วย วันนี้จึงสวมสูทผูกไทและถือกระเป๋าเอกสารไปสมัครงาน
การสัมภาษณ์ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น หลังออกจากสำนักงานมหาวิทยาลัยและเดินผ่านสนามฟุตบอลเขาก็หยุดดูเด็กๆ ที่กำลังเหงื่อท่วมอยู่ในสนามครู่หนึ่ง เมื่อพวกเขาพักครึ่งเซียวอี้ฉือก็เดินเข้าไปหาและแนะนำตัวเอง
การเตะบอลในชุดสูทนั้นไม่คล่องตัวเลย เขาเตะไปได้แค่สิบนาทีก็ออกจากสนามแล้ว แต่พวกนักศึกษากระตือรือร้นมาก พวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อกันและนัดพบกันที่สนามฟุตบอลอีกครั้งในวันหนึ่ง
แม้ว่าผมบนหน้าผากจะเปียก แต่เซียวอี้ฉือก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เขาพาดเสื้อสูทไว้บนไหล่ ผิวปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนเดินออกจากประตูมหาวิทยาลัยแล้วขึ้นแท็กซี่จากไป
อวี๋จือเหนียนวางรูปถ่ายลง สรุปสั้นๆ
คนคนนี้สร้างความบันเทิงให้ตัวเองเก่งจริงๆ
เมื่อถึงวันนัดพบจิตแพทย์อวี๋จือเหนียนก็มารับเซียวอี้ฉือ นอกจากยิ้มทักทายกันตอนขึ้นรถแล้วเซียวอี้ฉือก็เงียบไปตลอดทางจนน่าประหลาดใจ
อวี๋จือเหนียนเปิดวิทยุ บทเพลงซิมโฟนีที่ประสานกันอย่างกลมเกลียวดังก้องไปทั่วรถ
ในที่สุดเซียวอี้ฉือก็เอ่ยปาก “ฉันเปลี่ยนได้ไหม”
“อืม” อวี๋จือเหนียนหมุนพวงมาลัย
เซียวอี้ฉือจึงเปลี่ยนไปที่คลื่นเพลงแร็พ “แบบนี้เป็นไง” แล้วก็มองอวี๋จือเหนียน
“แล้วแต่นาย”
เซียวอี้ฉือนั่งตัวตรง เคาะนิ้วเป็นจังหวะอยู่บนต้นขาเบาๆ
อวี๋จือเหนียนถูกโจมตีด้วยจังหวะที่หนักหน่วงและเนื้อเพลงที่เร็วตลอดทาง
เซียวอี้ฉือรู้สึกกลัวที่จะพบจิตแพทย์เล็กน้อย การเปิดเผยสิ่งที่อยู่ภายในโดยเฉพาะความเจ็บปวดในใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากยิ่งกว่าการเปลือยกายเสียอีก
เมื่อขับรถขึ้นภูเขามาครึ่งทางก็มาหยุดอยู่หน้าวิลล่าหลังเล็กๆ ต้นเฟื่องฟ้ากอใหญ่ที่เลื้อยปกคลุมกำแพงห้อยลงมา สีสันของมันช่วยเพิ่มความสว่างสดใสให้กับวิลล่าสีฟ้าขาวเล็กๆ หลังนี้
อวี๋จือเหนียนเดินมาหยุดข้างๆ เขา “เข้าไปเถอะ ถ้ามาที่นี่ครั้งแรกต้องมีคนรู้จักพาเข้าไปพบคุณหมอ”
พวกเขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในลานประตูวิลล่าก็เปิดออกจากด้านใน ผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าๆ ที่สวมชุดยาวมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ด็อกเตอร์เฝิง” อวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปเอาแก้มชนแก้มของเธอ “คนนี้ก็คือเซียวอี้ฉือที่ผมเล่าให้คุณฟังครับ”
“อี้ฉือ สวัสดีจ้ะ” ด็อกเตอร์เฝิงอ้าแขนรับเขา ขณะที่เซียวอี้ฉือยิ้มทักทาย “อยู่ที่นี่ห้ามเรียกฉันว่าคุณหมอนะจ๊ะ เธอจะเรียกฉันว่าด็อกเตอร์เฝิงหรือซีหลินก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น…ซีหลิน สวัสดีครับ”
วิลล่าเล็กๆ หลังนี้ตกแต่งได้ดูอบอุ่นมากจนแทบไม่รู้ว่าเป็นคลินิกเลย
“จือเหนียน จากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ ถ้าเธอยุ่งจะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ซีหลินพูดอย่างเกรงใจ
อวี๋จือเหนียนดูเวลา จากนั้นก็มองเซียวอี้ฉือ
“ไว้ถึงเวลาแล้วฉันค่อยเรียกรถก็ได้ นายไปทำงานเถอะ วันนี้ก็ขอบคุณนะ” เซียวอี้ฉือพูด
อวี๋จือเหนียนพยักหน้า
ซีหลินพาเซียวอี้ฉือไปที่ชั้นสอง
เนื่องจากเป็นการพบกันครั้งแรก การปรึกษาจึงกินเวลานานเกือบสองชั่วโมง
เมื่อซีหลินมาส่งเซียวอี้ฉือที่ชั้นหนึ่งก็เห็นว่าอวี๋จือเหนียนยังอยู่ที่นั่น เธอจึงยิ้มเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เธออยู่ที่นี่ตลอดหรือว่าเพิ่งกลับมา”
อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้น เก็บแล็ปท็อปของเขาพลางพูดว่า “กาแฟบดของคุณรสชาติดีมาก ผู้ช่วยอันอันก็ชงให้ผมแก้วหนึ่ง ผมก็เลยนั่งยาว”
ซีหลินยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”
สายตาของเซียวอี้ฉือมองไปที่แก้วกาแฟบนโต๊ะ จากนั้นก็มองอวี๋จือเหนียน
“การเปิดใจคุยครั้งแรกของพวกเราจบลงพอดี เธอก็ส่งเซียวอี้ฉือกลับไปด้วยนะ” ซีหลินเดินไปเปิดประตูให้พวกเขา “อี้ฉือ ไว้เจอกันคราวหน้า”
“ครับ”
หลังจากทั้งสองคนขึ้นรถอวี๋จือเหนียนก็สวมแว่นดำ “ผมจะส่งตำแหน่งให้คุณ คราวหน้าคุณมาเองแล้วกัน”
เซียวอี้ฉือตอบอย่างว่าง่าย “โอเค”
ไม่นานเซียวอี้ฉือก็ถามขึ้น “ทนายอวี๋ ฉันขอร้องเพลงได้ไหม”
อวี๋จือเหนียนตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้”
อวี๋จือเหนียนส่งเซียวอี้ฉือลงที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้กับเขตชุมชนโดยอ้างว่าเขารีบ แต่ความจริงแล้วเขากำลังหลบเลี่ยงเรดาร์ของพวกป้าๆ ต่างหาก
เซียวอี้ฉือไม่รู้เรื่องนี้ นึกว่าตัวเองทำให้อวี๋จือเหนียนอารมณ์ไม่ดีอีก แต่เขาอยากร้องเพลงเพราะรู้สึกอารมณ์ดีจริงๆ
หลังเซียวอี้ฉือเดินไปไกลพอสมควรเขาก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่ารถของอวี๋จือเหนียนได้ขับออกไปแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่า…อวี๋จือเหนียนสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของเขา จึงปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามใจระหว่างทางไปที่นั่น ทั้งยังรอเขาอยู่ที่บ้านของซีหลินถึงสองชั่วโมงด้วย
เซียวอี้ฉือส่ายศีรษะ นี่เป็นเพียงความรู้สึกของเขาเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้สักหน่อย อวี๋จือเหนียนเองก็ไม่ได้เข้าใจเขา คงไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างได้อย่างเฉียบคมขนาดนั้นหรอก
การพูดคุยกับซีหลินเป็นไปอย่างสบายๆ มาก แต่เมื่อเห็นว่าอวี๋จือเหนียนยังอยู่ตรงนั้น ความประหลาดใจที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจหรือไม่ แต่เซียวอี้ฉือก็มีความสุขมาก
เมื่ออวี๋จือเหนียนกลับไปถึงห้องทำงานก็ได้รับข้อความจากเซียวอี้ฉือ
‘วันนี้ขอบคุณมาก’
ไม่มีอีโมติคอนที่หวือหวา อวี๋จือเหนียนเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่าจะมาจากใจจริง
หนานจิ่งส่งตารางงานที่แก้ไขใหม่ให้เขา การไปมาเที่ยวนี้ทำให้กำหนดการล่าช้ากว่าสามชั่วโมง การประชุมบางส่วนจึงต้องเลื่อนออกไป ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาจะต้องทำงานล่วงเวลาอีกแล้ว
อวี๋จือเหนียนคิดทบทวน รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรใช้เวลากับเซียวอี้ฉือมากเกินไป ไหนๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพัฒนาความสัมพันธ์ใดๆ กับอีกฝ่ายอยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด โทรหาคนที่จับตาดูเซียวอี้ฉือให้หยุดติดตามอีกฝ่าย
ขณะที่เขากำลังจะเข้าสู่โหมดทำงานก็มีสายภายในโทรเข้ามาขอให้เขาไปที่ห้องทำงานของหุ้นส่วนอาวุโส
หนานเหว่ยผิงเป็นหุ้นส่วนอาวุโสชาวเอเชียคนแรกของฟางต๋า เขาอายุเกินหกสิบแล้วแต่ยังคงมีพลังงานล้นเหลือ
“ทนายหนาน คุณเรียกผมเหรอครับ” อวี๋จือเหนียนเคาะประตูกระจกที่แง้มอยู่ หนานเหว่ยผิงกำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจภาคค่ำ
“มาแล้วเหรอ นั่งสิ” หนานเหว่ยผิงพับเก็บหนังสือพิมพ์แล้วพูด หลังจากอวี๋จือเหนียนนั่งลงเขาก็เข้าประเด็นหลักทันที “ทางเยี่ยเอ้อร์* ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
‘เยี่ยเอ้อร์’ คือคำเรียกลูกชายคนรองรุ่นแรกของตระกูลเยี่ย พวกเขาเป็นหนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของฟางต๋าในเมืองนี้
“ตอนนี้สุขภาพของคุณท่านเยี่ยทรงตัว ทุกฝ่ายปรองดองกันชั่วคราว ไม่มีเรื่องอะไรครับ” อวี๋จือเหนียนพูดพลางยกกาน้ำชาดินเหนียวสีม่วงบนโต๊ะขึ้นมา แล้วเทชาร้อนลงในถ้วยชาของหนานเหว่ยผิง
“ดีแล้ว ลำบากเธอหน่อยนะ ช่วยดูแลพวกเขาให้มากหน่อย”
“เข้าใจแล้วครับ”
หนานเหว่ยผิงจิบชาไปคำหนึ่งก็วางถ้วยชาลง “ปีนี้ตำแหน่งหุ้นส่วนอาวุโสของฟางต๋าค่อนข้างจำกัด ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็มีแค่ตำแหน่งเดียว ฉันอยากจะแนะนำเธอ แต่การแข่งขันมันสูงมาก เธอต้องแน่ใจว่าทางเยี่ยเอ้อร์จะไม่มีปัญหานะ”
อวี๋จือเหนียนยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร
“จือเหนียน เราจะวางไข่ไก่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวไม่ได้** ถึงเยี่ยเอ้อร์จะมีอำนาจมาก แต่การมีแรงสนับสนุนมากขึ้นย่อมดียิ่งกว่า ตอนนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมก็ผ่านแล้ว ไม่คิดจะหาใครดีๆ สักคนหน่อยเหรอ”
ผู้อาวุโสหนานเคยบอกเป็นนัยให้อวี๋จือเหนียนขยายคอนเน็กชั่นผ่านการแต่งงานหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็เหมือนกับเผยความนัยออกมา
อวี๋จือเหนียนได้ยินดังนั้นก็ตอบไปตามตรง “ผู้อาวุโสหนาน ผมไม่มีความคิดแบบนั้นเลยครับ”
หนานเหว่ยผิงขัดใจที่อวี๋จือเหนียนไม่ได้ดั่งใจ “แก่นแท้ของการแต่งงานทั้งหมดก็คือการนำทรัพยากรมารวมเข้าด้วยกัน คุณสมบัติเธอดีขนาดนี้จะไม่พิจารณาอย่างจริงจังหน่อยเหรอ”
สิ่งเดียวที่อวี๋จือเหนียนไม่ยอมคือการแต่งงาน คนที่จะทำให้เขาคุกเข่าขอแต่งงานด้วยความเต็มใจนั้นจะต้องเป็นคนที่เขารักจากใจจริง
“ผู้อาวุโส ผมเข้าใจความคาดหวังที่คุณมีต่อผมดี ผมจะชั่งน้ำหนักให้ดี คุณไม่ต้องกังวลนะครับ”
หนานเหว่ยผิงถอนหายใจ เขาเองก็ยกระดับสถานะของตัวเองผ่านการแต่งงาน โลกนี้ไม่ขาดแคลนคนเก่งแต่ขาดโอกาสที่เพียงพอต่างหาก การแต่งงานทำให้เขามีโอกาสแสดงความสามารถและก้าวขึ้นสู่ที่สูง เขาสัมผัสได้ถึงความสำคัญของการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง อันที่จริงเขาชอบอวี๋จือเหนียนมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้หลานแท้ๆ ติดตามอีกฝ่าย เดิมทีเขาอยากช่วยหลานคนนี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่อวี๋จือเหนียนมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขาไม่อาจย่างกรายเข้าไปจึงไม่สามารถทำอะไรได้
อวี๋จือเหนียนรินชาให้เขาอย่างรู้งานอีกครั้ง ถือเป็นการขอโทษและปลอบใจไปในตัว
“เอาล่ะๆ เธอออกไปเถอะ ไปทำงานได้แล้ว”
“ครับ”
หลังทำงานล่วงเวลาถึงสี่ทุ่มอวี๋จือเหนียนก็ได้รับสายจากเยี่ยจ้าวหลิน บอกว่าให้ไปดื่มกันที่เดิม
เยี่ยจ้าวหลินดูมีความสุขมาก ซึ่งอวี๋จือเหนียนรู้สาเหตุดี ลูกสาวของตระกูลหานซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ในเมืองยอมรับการสู่ขอของเยี่ยจ้าวหลินแล้ว ข่าวด่วนนี้กำลังจะลงหนังสือพิมพ์ทั่วเมืองเร็วๆ นี้
แม้ว่าตระกูลหานกับตระกูลเยี่ยจะเป็นตระกูลใหญ่เหมือนกัน แต่ไม่ได้คบหากันลึกซึ้ง ตอนนี้ทั้งสองตระกูลกำลังจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว สิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจในสังคมชั้นสูงอย่างแน่นอน
“ยินดีด้วย” อวี๋จือเหนียนชูแก้วแสดงความยินดี
“ขอบใจ”
อันที่จริงเยี่ยจ้าวหลินตั้งใจตามจีบคุณหนูหานมานานแล้ว และอวี๋จือเหนียนก็เป็นคนให้คำแนะนำเขา
แล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้ข่าวนี้เลยล่ะ…ก็เพราะว่าเวลาที่คนรวยคบกันจะทำตัวหรูหราเต็มรูปแบบ ถ้าไม่นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปกินข้าวอีกเมืองหนึ่งก็จะเหมาเครื่องบินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อีกประเทศหนึ่ง ทั้งโรแมนติก ทั้งเป็นความลับ รับรองว่าพวกปาปารัซซี่ตามยังไงก็ตามไม่ถึง
“เรื่องนี้เพื่อให้คุณปู่มีความสุข แล้วก็เพื่อให้พวกเรายืนอยู่ในแนวหน้าของวงการนี้ได้อย่างมั่นคง” เยี่ยจ้าวหลินกล่าวกับอวี๋จือเหนียนขณะชนแก้ว “ยินดีด้วยนะ นายกำลังจะได้เป็นหุ้นส่วนอาวุโสแล้ว ฉันเคยบอกแล้วว่าจะช่วยดันนายขึ้นไปให้ได้”
“ขอบคุณ”
เยี่ยจ้าวหลินยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก ฉันแนะนำใครสักคนให้นายดีไหม”
“เลิกมาไม้นี้สักที”
“ทำไมล่ะ ในใจของนายยังมีรักแรกอยู่อีกเหรอ”
อวี๋จือเหนียนไม่พูดอะไร
“นายนี่มันรักฝังใจจริงๆ” เยี่ยจ้าวหลินดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “ในเมื่อนายไม่อยากพูดเรื่องความรัก ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาคุยเรื่องอื่นกันเถอะ ตระกูลเยี่ยทำให้นายขึ้นเป็นหุ้นส่วนอาวุโสของฟางต๋าได้ แต่ว่าถ้านายอยากเข้าร่วมคณะกรรมการบริหารระดับโลก นายต้องได้รับความช่วยเหลือจาก ‘ระดับที่สูงกว่า’ ถึงยังไงฟางต๋าก็เป็นสำนักงานกฎหมายข้ามชาติ ถ้าไม่มีระดับสูงคอยดูแลนายก็เข้าไปยาก”
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันเถอะ” อวี๋จือเหนียนวางแก้วเหล้าลง วันนี้เขาเข้าประชุมสามวงรวด ตอนนี้รู้สึกหมดแรงแล้ว
เยี่ยจ้าวหลินรินเหล้าให้เขา “ช่วงนี้เชฟใหญ่อารมณ์ดีมาก เมนูใหม่ของร้านอาหารเราก็มีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ต้องขอบคุณนายกับคุณเซียวแล้ว ฉันคิดว่าจะจัดงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ในอีกไม่กี่วัน นายกับคุณเซียวก็มาร่วมงานด้วยนะ”
“ฉันไม่สนใจเพื่อนเลวๆ ของนายหรอก ส่วนเซียวอี้ฉือก็ลืมไปซะเถอะ”
“คุณเซียวเดินทางเยอะ เห็นอะไรมาก็มาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสนุกกว่านาย พาเขามาที่นี่เถอะ ฉันจะปกป้องเขาเอง ถ้าเขาจะอยู่ที่นี่นานๆ รู้จักคนไว้บ้างก็น่าจะดีสำหรับเขาเหมือนกัน”
ถือว่าพูดได้มีเหตุผล วันนี้เขาเห็นว่าหลังจากเซียวอี้ฉือคุยกับซีหลินแล้วสีหน้าก็ดีขึ้น คิดว่าการรักษาคงผ่านไปด้วยดี จิตแพทย์ชั้นนำอย่างซีหลินเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดจึงเป็นเรื่องยากที่จะติดต่อหากไม่มีคนรู้จัก ได้ยินคุณป้าพานบอกว่าเซียวอี้ฉือเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กและใช้ชีวิตอยู่คนเดียว บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องการความช่วยเหลือ แถมนานๆ ทีเยี่ยจ้าวหลินถึงจะเอ่ยปาก ทำไมไม่ปล่อยไปตามน้ำล่ะ
“ก็ได้ ฉันจะลองถามเขาดู”
ภายในห้องโรงแรม เซียวอี้ฉือเพิ่งจะสวมเสื้อยืดเสร็จคนงามชาวอังกฤษก็เดินเข้ามากอดจากด้านหลัง ถามเขาด้วยภาษาจีนงูๆ ปลาๆ ว่า “อี้ฉือ พวกเรามาคบกันจริงจังดีไหม”
วาระการดำรงตำแหน่งของคนงามกำลังจะหมดลง เขาจะต้องจากไปในเร็วๆ นี้ แต่ถ้าเขากับเซียวอี้ฉือได้คบกัน เขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ
เซียวอี้ฉือหันไปมองอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “Derek, I am so so sorry.”
คนงามกัดริมฝีปากพลางไหล่ตก “เข้าใจแล้ว”
นี่ไม่ใช่การสารภาพรักครั้งแรกของเขา แต่บทลงเอยกลับเหมือนกันทุกครั้ง
เซียวอี้ฉือเปิดประตูรถแท็กซี่ให้เดเร็ค เดเร็คโอบรอบคอและจูบเขา เซียวอี้ฉือก็ทำตามความปรารถนาของอีกฝ่าย
“Last kiss” เดเร็คปล่อยเขา ดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ขอให้นายไม่เจอคนที่ดีกว่าฉัน”
เซียวอี้ฉือยิ้มอย่างจนปัญญา มองอีกฝ่ายขึ้นรถจากไป
หลายปีมานี้ใช่ว่าไม่มีคนสารภาพรักกับเขา แต่เขามักจะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง
‘อะไรสักอย่าง’ ที่ว่านี้มันคืออะไร ต้องวัดอย่างไร เซียวอี้ฉือเองก็บอกไม่ถูก
หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดเรื่องความรักเลย เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควร แต่เมื่อได้พบปะผู้คนและมีประสบการณ์ต่างๆ มากขึ้นเขาก็ค่อยๆ เริ่มรู้จักกับความรัก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร
มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ ดื่มไวน์ที่แรงที่สุด นอนกับคนที่รักที่สุด
เขาต้องการความรักที่เร่าร้อนและจัดจ้านจนทำให้แม้แต่ปลายนิ้วสั่นระริก เขาอยากคลั่งรัก อยากรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง เขายินดีที่จะคุกเข่าขอคืนดี แต่ก็ต้องการที่จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า อยากทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่หัวใจแตกสลาย แต่ก็ต้องการลิ้มรสน้ำผึ้งที่หวานที่สุด
จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้เขาหุนหันพลันแล่นและทำอะไรตามอำเภอใจได้ขนาดนั้นเลย
ถ้ามี…เขากล้ามั่นใจได้เลยว่าตนเองจะต้องเป็นทั้งน้ำผึ้งและภัยพิบัติของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
แต่ในทางกลับกันถ้าเขาไม่เจอคนแบบนั้นเลยตลอดชีวิตนี้ เช่นนั้นก็จะใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็แล้วกัน
ถ้ามีรักก็จะอยู่เพื่อความรัก ไม่มีรักก็จะอยู่เพื่อตัวเอง
หลังจากกินยาตามที่ซีหลินสั่งการนอนหลับในตอนกลางคืนก็ดีขึ้นเล็กน้อย วันนี้เซียวอี้ฉือจึงลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายแต่เช้า
วันนี้เขายังต้องหางานและตอบอีเมลต่างๆ ต่อไป…อีเมลก็เป็นเหมือนกล่องแพนโดร่าสำหรับเซียวอี้ฉือ เมื่อเปิดออกแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน
หนึ่งในนั้นมีอีเมลสำคัญ ซึ่งเป็นอีเมลตอบกลับจาก ‘เหม่ยลี่ต้าตี้’
‘เหม่ยลี่ต้าตี้’ เป็นองค์กรในประเทศที่ไม่แสวงหากำไรซึ่งให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดารที่ยากจน เซียวอี้ฉือเคยเขียนจดหมายเพื่อสมัครเป็นอาสาสมัคร
ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ของครอบครัว ภรรยาและลูกคือสองสิ่งที่เซียวอี้ฉือไร้วาสนาในชาตินี้ นอกจากนี้ทั้งเด็กและสตรียังเป็นกลุ่มเปราะบางในหลายๆ ระดับของสังคม หากเป็นไปได้เซียวอี้ฉือหวังว่าจะสามารถก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือพวกเขาได้ในสักวันหนึ่ง อันที่จริงแล้วมีหลายองค์กรในระดับนานาชาติที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถมั่นใจได้ว่าผู้เคราะห์ร้ายจะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที หากเขาสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างเหมาะสม การพัฒนาองค์กรช่วยเหลือในประเทศก็อาจจะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง
ตอนนี้เซียวอี้ฉือตั้งใจจะทำความเข้าใจรูปแบบการดำเนินงานในประเทศก่อน เพื่อดูว่าตัวเองจะนำความรู้เหล่านี้ไปใช้กับจุดใดบ้างในอนาคต
จัดการอีเมลอย่างเดียวก็ปาไปครึ่งวันแล้ว
เซียวอี้ฉืองีบกลางวันไปครู่หนึ่ง เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็ได้รับสายจากคุณป้าม่าย เขากดรับสาย “ฮัลโหลคนสวย มีอะไรให้กระผมช่วยไหมขอรับ”
คุณป้าม่ายหัวเราะ “ฉันกับป้าพานเพิ่งกลับมาจากซ้อมเต้นน่ะ ตอนนี้อยู่ตรงทางเข้าเขตชุมชนแล้ว เดี๋ยวฉันยังมีนัดกับเพื่อนเก่าๆ อีก เธอช่วยไปส่งป้าพานกลับบ้านได้ไหม”
ข้ออ้างในการนัดเจอแบบนี้มันชัดเจนเหมาะเจาะเป็นขั้นตอนเกินไป ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษของพวกป้าๆ เท่านั้น
เซียวอี้ฉือทำความเคารพแล้วพูดว่า “รับทราบ!”
เขาสวมเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วลงไปข้างล่าง
เมื่อมาถึงหน้าประตูก็เห็นคุณป้าพานกำลังรอเขาอยู่ ส่วนคุณป้าม่ายหายไปแล้ว
เซียวอี้ฉือยิ้มสดใส “ป้าพาน ผมเรียกรถให้ดีไหมครับ”
ครั้งนี้คุณป้าพานไม่ได้แต่งหน้าจัด ใบหน้าของเธอดูอ่อนโยน มุมปากยกโค้งขึ้น ดูอบอุ่นและใจดี เธอมองเซียวอี้ฉือพร้อมรอยยิ้มเต็มเปี่ยม “เรียกรถมันแพง พวกเรายืนรอแท็กซี่ตรงนี้สักพักแล้วคุยกันไปด้วยดีไหม”
“ได้ครับ” เซียวอี้ฉือทำตามและเก็บโทรศัพท์มือถือ
“เสี่ยวเซียว จือเหนียนค่อนข้างคุยด้วยยากใช่ไหม” คุณป้าพานระเบิดคำถามตั้งแต่เริ่มต้น
เซียวอี้ฉือยิ้ม “ก็ไม่ขนาดนั้นครับ”
ระหว่างนั้นบังเอิญมีรถแท็กซี่ผ่านมาพอดีเขาจึงโบกมือให้หยุด แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถ
หลังจากบอกที่อยู่แล้วคุณป้าพานก็พูดต่อ “อันที่จริงเขาดูเย็นชาแต่ใจดี ไว้เธอสนิทกับเขาแล้ว เขาก็จะดีกับเธอเอง”
มาตรฐานของคำว่า ‘ไว้สนิทแล้ว’ ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก
“แน่นอนครับ แต่ผมอาจจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาทั้งหมด อย่างเช่นเขาให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างมาก” เซียวอี้ฉือครุ่นคิด “มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ไหมครับ”
คุณป้าพานยิ้มเจื่อน ไม่ได้พูดอะไร อาจจะกำลังคิดว่าอยู่บนรถแท็กซี่ไม่สะดวกคุยเรื่องส่วนตัว ส่วนเซียวอี้ฉือก็ไม่ได้ถามต่อและเปลี่ยนหัวข้อคุยแทน อย่างเช่นงานใหม่ของเขา
รถแท็กซี่จอดที่หัวถนนผู่หยวน ทั้งสองคนก็ลงจากรถ
ถนนผู่หยวนดูเงียบสงบและโล่งกว่าถนนสายอื่น คุณป้าพานนำทางขณะที่ยังคงคุยเรื่องที่คุยค้างจากในรถ “ที่จริงแล้วจือเหนียนไม่ใช่หลานชายของฉัน ฉันเป็นพี่เลี้ยงของครอบครัวเขา”
เซียวอี้ฉือตั้งใจฟังเงียบๆ
“ครอบครัวเขา…ค่อนข้างซับซ้อนน่ะ ฉันคงจะเล่าให้เธอฟังโดยที่จือเหนียนไม่รู้ไม่ได้หรอกนะ แม่เขาเป็นนางแบบ ส่วนครอบครัวฝั่งพ่อเขาก็เป็นพ่อค้าอัญมณีที่ร่ำรวยมาก ระหว่างนั้นมีเรื่องน้ำเน่าเกิดขึ้นเยอะมาก จากนั้นแม่เขาก็คลอดเขา แต่เข้ามาอยู่ในตระกูลไม่ได้ ต่อมา…พอจือเหนียนโตขึ้นมาหน่อย เพราะหน้าตาที่โดดเด่นก็เลยทำให้ยีนหน้าตาธรรมดาๆ ของครอบครัวพ่อเขาดีขึ้นมาบ้าง ทางนั้นก็เลยยอมรับเขา…ฉันก็เริ่มดูแลเขาจากตอนนี้แหละ ตอนนั้นเขาน่าจะอายุประมาณเจ็ดขวบมั้ง”
เซียวอี้ฉือเดินตามเธออยู่บนทางเท้าที่เงียบสงบ “ป้าพานครับ ขอบคุณที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟัง”
คุยไปคุยมาพวกเขาก็มาถึงที่หมายแล้ว
“ถึงแล้ว ที่นี่ก็คือบ้านของฉัน”
“ถ้าอย่างนั้น…ป้าพาน ผมมาส่งคุณป้าเรียบร้อยแล้ว คุณป้ารีบเข้าไปพักผ่อนเถอะครับ” เซียวอี้ฉือกล่าวลา
คุณป้าพานยิ้มเอ่ยพลางดึงมือของเซียวอี้ฉือ “พูดอะไรน่ะเด็กโง่ ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปคุยกันก่อนแล้วค่อยกลับสิ ในบ้านมีแค่ฉันคนเดียว อยู่คุยเป็นเพื่อนฉันอีกหน่อยนะ”
มือของคุณป้าพานอบอุ่นมาก เซียวอี้ฉือยอมแพ้ “ได้ครับ”
“ดอกไม้พวกนี้ฉันเป็นคนปลูกเอง ถ้ามีเวลาฉันก็จะมาดูแลมัน” คุณป้าพานแนะนำเขาทั้งด้านในและด้านนอกวิลล่า สุดท้ายคือสวนด้านหลังซึ่งเป็นแปลงผักที่เต็มไปด้วยผักสวนครัว “ที่นี่เป็นพื้นที่พิเศษของจือเหนียน เขามักจะมาที่นี่ รดน้ำเอย ถอนหญ้าเอย กำจัดแมลงเอย อะไรพวกนี้น่ะ”
สายตาของเซียวอี้ฉือมองไปที่ชั้นไม้ในสวนซึ่งมีหมวกฟางและถุงมือสำหรับเพาะปลูกแขวนอยู่ด้านนอก
เขาเลิกคิ้ว พยายามจินตนาการถึงอวี๋จือเหนียนที่สวมหมวกฟาง ถุงมือ และนั่งยองๆ ทำงานอยู่ในทุ่งนา
พรืด…ภาพนั้นงามเกินไปจนเขาหัวเราะออกมาเสียงดัง
คุณป้าพานดูเหมือนมองทะลุความคิดของเขา พูดอย่างเห็นด้วย “บางทีเวลาที่เขาทำงานอยู่ในสวน ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเขาเป็นผู้ชายชั้นสูงที่สวมสูทและผูกเนกไทในเวลาปกติ”
เซียวอี้ฉืออดหัวเราะไม่ได้ “งานอดิเรกนี้ดีมากนะครับ”
คุณป้าพานเปิดใจ “บางครั้งในฐานะที่พวกเราเป็นผู้ใหญ่ เราก็เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกันนะ อยากให้คนอื่นมาทำในสิ่งที่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ฉันเปลี่ยนความคิดแย่ๆ ของจือเหนียนไม่ได้ ก็เลยหวังว่าจะมีคนมาเปลี่ยนเขา ทุกคนล้วนมีปัญหาของตัวเอง การอยู่ร่วมกันก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ฉันชอบเธอมาก และยิ่งหวังว่าเธอจะได้อยู่กับจือเหนียน ถ้าฉันทำให้เธอรู้สึกกดดันก็ขอโทษจากใจจริงๆ ถ้าพรหมลิขิตทำให้พวกเธอเป็นได้แค่เพื่อนก็ขอให้เป็นแค่เพื่อนเถอะ แต่หวังว่าเธอจะยังคงติดต่อกับจือเหนียนต่อไปนะ”
“มีคุณป้าคอยเป็นห่วงเขาก็เป็นวาสนาของเขานะครับ”
“ถ้าลูกของฉันยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็คงจะอายุเท่ากับจือเหนียน ฉันมองจือเหนียนเหมือนลูกในไส้ของตัวเอง รักแรกทำให้เขาเสียใจมากๆ บางทีในใจฉันคงอยากเอาคืน อยากให้เขาเจอคนที่ดีกว่านี้และมีชีวิตที่สมบูรณ์กว่านี้ก็ได้”
“รักแรกของเขา…”
เซียวอี้ฉือยังไม่ทันถามจบก็มีเสียงดังมาจากที่หน้าประตู ตามมาด้วยเสียงของอวี๋จือเหนียน “คุณป้าครับ ผมกลับมาแล้ว คืนนี้ผมเป็นคนทำกับข้าวนะ…”
“จ้ะ” คุณป้าพานตอบพร้อมกับลากเซียวอี้ฉือไปที่หน้าประตูเพื่อต้อนรับอวี๋จือเหนียน “ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย วันนี้เสี่ยวเซียวก็จะอยู่กินข้าวที่นี่ด้วย เขาจะได้ชิมอาหารฝีมือเธอ”
“…” อวี๋จือเหนียนที่กำลังพูดอยู่ชะงัก จากนั้นก็หุบปากลง เขาที่เปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้วได้ยินแบบนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเซียวอี้ฉือแล้วถามว่า “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คุณป้าพานช่วยพูดแทนเซียวอี้ฉือ “วันนี้เขามาส่งฉันกลับบ้าน ฉันก็เลยบอกให้เขาอยู่กินข้าวด้วยกัน เป็นเรื่องที่ต้องชวนแน่นอนอยู่แล้ว”
อวี๋จือเหนียนหรี่ตาลง คล้ายกำลังพูดกับเซียวอี้ฉือว่า ‘คุณยังมีหน้าอยู่ต่อจริงเหรอ’
“ขอบคุณป้าพานครับ ผมจะตั้งตารออาหารมื้อนี้เลย คืนนี้ก็ลำบากทนายอวี๋แล้วนะครับ” เซียวอี้ฉือเผยรอยยิ้มสดใสให้อวี๋จือเหนียน เหมือนกำลังตอบว่า ‘ฉันอยากอยู่ต่อ นายจะทำไม’
* เอ้อร์ ในภาษาจีนแปลว่าสอง ในที่นี้จึงหมายถึงลูกคนที่สอง
** จะวางไข่ไก่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวไม่ได้ เป็นการอุปมาถึงการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่ควรทุ่มลงทุนเพียงสิ่งเดียว
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
