everY
ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 7-10 #นิยายวาย
ทดลองอ่านเรื่อง His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ผู้เขียน : เชียนสือจิ่ว (千十九)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรงในภาวะสงคราม
มีการกล่าวถึงเลือดและสภาพศพ การข่มขืน การฆ่าตัวตาย
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การใช้ถ้อยคำเหยียดหยาม
อาการป่วยทางจิต บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 7
เมื่ออวี๋จือเหนียนประชุมเสร็จกลับมาที่ห้องทำงานหนานจิ่งก็วางเอกสารด่วนที่ส่งถึงเขาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ในเอกสารด่วนเหล่านี้ไม่มีซองกระดาษสีน้ำตาลที่ข้างในมีรูปถ่ายซึ่งโดยปกติจะมาส่งตรงเวลาอยู่
ไม่รู้ว่าเขากับหนุ่มชาวอังกฤษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้ว่าเขายังต้องหยอกแมวทุกคืนหรือเปล่า
อวี๋จือเหนียนสลัดความคิดไร้สาระที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวทิ้งแล้วกลับไปนั่งยังเก้าอี้และทำงานต่อไป
ทว่าพอกลับมาถึงบ้านของคุณป้าพาน ตอนที่สบสายตากับเซียวอี้ฉือ และได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสและยั่วเย้าของอีกฝ่ายก็มีเพียงความคิดเดียวที่แวบเข้ามาในใจของอวี๋จือเหนียน ปีศาจร้ายยังไม่จากไป
ทางด้านปีศาจน้อยมีความสุขมากที่ได้กระโดดลงไปในทุ่งระเบิดของอวี๋จือเหนียนอีกครั้ง
ตอนนี้เซียวอี้ฉือมีป้ายทองละเว้นโทษตายจากคุณป้าพานแล้ว เขาจึงกล้าทำชั่วอย่างเปิดเผย
อวี๋จือเหนียนลงมาจากชั้นบนหลังจากเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสีฟ้าอ่อนแล้ว
คุณป้าพานซึ่งกำลังคุยกับเซียวอี้ฉือเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจ “จือเหนียน เธอจะไม่ใส่ชุดอยู่บ้านลายสนูปี้ตัวนั้นแล้วเหรอ เพิ่งจะใส่ไปเมื่อวานเอง”
ก้าวเดินของอวี๋จือเหนียนหยุดชะงัก ขณะที่เซียวอี้ฉือไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากได้อีกต่อไป เขาป้องปากกดริมฝีปากไว้ พร้อมกับไหล่ที่สั่นไหวรุนแรง
“…ชุดนี้ใส่สบายกว่า” อวี๋จือเหนียนตอบอย่างไว้ท่าที
“อ้อ” พอคุณป้าพานเห็นเขาเข้าไปในห้องครัวแล้วก็หันมาหาเซียวอี้ฉือ เปิดเผยความลับของเด็กน้อยอย่างใจกว้าง “อาจเพราะวันนี้เธอมา เขาก็เลยอยากจะรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าเธอน่ะ ตอนเด็กๆ เขาชอบสนูปี้มากเลยนะ”
“เหรอครับ” เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว ยิ้มถามว่า “เขายังมีอะไร…”
“เซียวอี้ฉือ” ห้องครัวเป็นแบบกึ่งเปิดโล่ง อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ที่ประตูและเรียกชื่อเต็มของเขา “มาช่วยที่ครัวหน่อย”
เซียวอี้ฉือยิ้มให้คุณป้าพานเป็นเชิงขอโทษ “คุณป้า ผมขอตัวไปดูเขาก่อนนะครับ”
“จ้ะ ไปเถอะ”
เซียวอี้ฉือเดินเข้าไปหาอวี๋จือเหนียน แสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “ทนายอวี๋ มีอะไรจะสั่งขอรับ”
อวี๋จือเหนียนลดเสียงลง “คุณป้าชอบเวลามีแขกมาที่บ้านก็เลยให้คุณอยู่กินข้าวด้วย แต่หวังว่าแขกอย่างคุณจะวางตัวให้ดีหน่อย”
“แต่ว่า…” เซียวอี้ฉือมีท่าทางน้อยใจ “นายชอบสนูปี้ก็ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย…”
“…” สายตาของอวี๋จือเหนียนเหลือบไปยังที่วางมีด
เซียวอี้ฉือเห็นดังนี้ก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “เมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย ฉันเป็นแค่คนที่มากินข้าว!”
อวี๋จือเหนียนชำเลืองมองเขาอย่างอารมณ์เสีย “คุณมีอะไรที่กินไม่ได้ไหม”
คนที่มากินข้าวส่ายหน้า “ไม่มี!”
“คุณป้าอายุมากแล้ว ถ้าไม่ลองอะไรใหม่ๆ ปกติกลางคืนก็จะกินอะไรเบาๆ” อวี๋จือเหนียนพูดพลางเปิดตู้เย็น หยิบเนื้อปลาออกมาแล้วถามเซียวอี้ฉือ “กินเนื้อนี่ได้ไหม”
เซียวอี้ฉือทำมือโอเค
จากนั้นอวี๋จือเหนียนก็พาเซียวอี้ฉือไปที่สวนผักและชี้ไปด้านข้าง “ผักนี่กำลังโตได้ที่เลย คุณอยากกินอันไหน”
เซียวอี้ฉือมองตาม มีผักบางชนิดที่เขาไม่รู้จัก จึงพูดว่า “ได้หมด?”
อวี๋จือเหนียนไม่พูดมาก เขาสวมรองเท้าบูตยางและถุงมือทำสวน จากนั้นก็เก็บผักจากในแปลงขึ้นมาสองสามอย่างอย่างชำนาญแล้วใส่ลงในตะกร้า
ทันใดนั้นเซียวอี้ฉือที่กำลังดูจากด้านข้างก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของทนายอวี๋นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ
อวี๋จือเหนียนกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเซียวอี้ฉือนั้นช่วยเขาถือตะกร้าอย่างรู้หน้าที่
ตอนส่งผักให้อีกฝ่ายอวี๋จือเหนียนถามว่า “รู้จักผักพวกนี้ไหม”
เซียวอี้ฉือยอมรับอย่างถ่อมตัวว่า “ไม่รู้”
เดิมทีเขาอยากจะรอให้อวี๋จือเหนียนเฉลย ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับแค่นเสียง “เฮอะ” ออกมาทีหนึ่ง แล้วพูดเพียงว่า “ขนาดเด็กประถมยังรู้มากกว่าคุณเลย”
หึๆ ที่แท้ก็รอจะแกล้งเขานี่เอง
เซียวอี้ฉือไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย เขายิ้มเอ่ยว่า “ทนายอวี๋ ถึงยังไงนายก็ต้องทำอาหารให้ ‘คนที่สู้เด็กประถมไม่ได้’ อย่างฉันกินอยู่ดี ฉันไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณนายยังไงดี!”
แววตาของอวี๋จือเหนียนมืดครึ้ม
เซียวอี้ฉือหมุนตัวกลับทันที “คุณป้า ดูสิครับว่าคืนนี้เราจะกินผักอะไรบ้าง!” แล้ววิ่งเข้าไปหาอย่างเอาอกเอาใจ
หลังเซียวอี้ฉือถือตะกร้าผักกลับมาที่ห้องครัว อวี๋จือเหนียนก็ยุ่งอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ทำอาหารแล้ว เขาใช้มือข้างเดียวตอกไข่ที่ขอบชามเบาๆ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือแบะออกอย่างชำนาญ ไข่แดงและไข่ขาวไหลลงชามทันที จากนั้นเขาก็ตีไข่สามฟองเข้าด้วยกัน ทำทุกอย่างรวดเดียวด้วยความราบรื่นและคล่องแคล่วอย่างมาก
“ล้างผัก” อวี๋จือเหนียนตีไข่พลางสั่งเซียวอี้ฉือโดยไม่มองเขาสักนิด
สุดท้ายแล้วก็มากินข้าวบ้านคนอื่น เซียวอี้ฉือจึงได้แต่หุบปากแล้วทำงานไป
หลังจากที่เขาล้างผักเสร็จแล้วอวี๋จือเหนียนก็ตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบผักใบเขียวขึ้นมา เลือกมีดทำครัวเล่มหนึ่งแล้วล้าง จากนั้นก็หั่นผักเป็นชิ้นๆ ใบผักถูกตัดอย่างประณีตมากซึ่งสอดคล้องกับรสนิยมด้านความงามของผู้ย้ำคิดย้ำทำอย่างแน่นอน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคนทำอาหารมาก่อน แต่เพราะคนทำอาหารเป็นอวี๋จือเหนียนจึงมีความขัดแย้งกันอย่างมาก จนแทบจะเป็นเหมือนสีสันของละครเรื่องหนึ่ง ทำให้เซียวอี้ฉือมองอย่างไม่ละสายตา
อวี๋จือเหนียนเองก็มองเซียวอี้ฉือตรงๆ ดวงตาเป็นประกายของอีกฝ่ายกำลังมองดูการเคลื่อนไหวในมือเขาราวกับกำลังดูการแสดงมายากล
“เกะกะ ออกไปรอข้างนอก”
ไม่ต้องให้เขาช่วยงานยิ่งดี เซียวอี้ฉือเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับบ่นในใจ
คุณป้าพานเห็นเขาออกมาก็ยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ ทำราวกับว่าต้องการจะแบ่งปันความลับบางอย่าง
เซียวอี้ฉือเดินเข้าไป เมื่อมองใกล้ๆ ก็เห็นว่าคุณป้าพานถืออัลบั้มรูปของอวี๋จือเหนียนอยู่ในมือ “ฉันจะให้เธอดูรูปถ่ายตอนที่จือเหนียนยังเป็นเด็ก”
ป้าพานเป็นคนที่ดีมากเลยครับ รักคุณป้านะ!
สิ่งแรกที่สะดุดตาเขาคือรูปถ่ายของทารกอายุไม่กี่เดือน ในภาพเป็นทารกตัวอ้วนกลมที่กำลังนอนคว่ำ มีผมนุ่มๆ รุงรังบนศีรษะ ยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก ไม่มีฟัน ดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว…ความน่ารักของทารกตัวน้อยทำให้หัวใจละลายเมื่อได้เห็น
“นี่คือ…ทนายอวี๋?”
“ใช่สิ ทุกครั้งที่ฉันโกรธเขาก็จะดูรูปนี้ พอคิดว่าเด็กคนนี้ก็มีช่วงเวลาที่น่ารักเหมือนกันก็ไม่ได้รู้สึกโกรธขนาดนั้นแล้ว” คุณป้าพานอธิบายด้วยรอยยิ้ม
เสียงทำอาหารดังมาจากในห้องครัว ตามมาด้วยกลิ่นหอมน่ากิน เซียวอี้ฉือหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว คิดในใจว่านี่มันเรื่องเหนือจริงอะไรกันเนี่ย
บนโต๊ะอาหารค่ำ อวี๋จือเหนียนเหลือบมองเซียวอี้ฉือด้วยหางตา อีกฝ่ายคีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้ง แล้วกะพริบตาพร้อมกับตามีแสงวิบวับขึ้นมาทันที “อร่อย!”
“ใช่ไหมล่ะ! จือเหนียนทำอาหารเก่งมาก เธอก็กินเยอะๆ หน่อยนะ!” คุณป้าพานมีความสุขมาก
เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียนแล้วพูดย้ำอีกครั้ง “อร่อย!”
ตอนนี้อวี๋จือเหนียนถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีดวงดาวอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย แม้ว่าดวงตาของเซียวอี้ฉือจะมีลักษณะธรรมดา แต่มันกลับกักเก็บทางช้างเผือกไว้ได้ ไม่ใช่ความสว่างไสวที่สะท้อนแสงไฟ แต่เป็นอารมณ์ที่ไหลล้นออกมาจากหน้าต่างของจิตวิญญาณจากภายในสู่ภายนอก
มันเป็นพลังแห่งการส่งต่อที่แข็งแกร่งมาก
คุณป้าพานคีบปลาชิ้นใหญ่ให้เซียวอี้ฉือ “ลองชิมนี่ดูสิ!”
“ครับ!” เซียวอี้ฉือกัดไปคำหนึ่ง “อร่อยมาก!”
เห็นได้ชัดว่าอวี๋จือเหนียนไม่ได้ใช้เครื่องปรุงรสสูตรลับอะไรเลย ใช้เพียงน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำส้มสายชูธรรมดาเท่านั้น เขาทำอาหารบ้านๆ ให้มีรสชาติอร่อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
เซียวอี้ฉือเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอวี๋จือเหนียน อีกฝ่ายไม่แสดงอาการอะไรเลย แต่เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังภูมิใจ
เซียวอี้ฉือตัดสินใจที่จะเก็บความชื่นชมของตัวเองไว้
แต่มันอร่อยมากจริงๆ เขาพอใจมาก
“จือเหนียน เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วย คีบอาหารให้อี้ฉือหน่อยสิ” พอคุณป้าพานพูดแบบนี้ อวี๋จือเหนียนก็คีบผัดผักใส่ไข่ให้เซียวอี้ฉืออย่างเสียไม่ได้
“ขอบคุณครับทนายอวี๋!” เซียวอี้ฉือเอาถ้วยไปรับ แล้วก็เอาเข้าปาก แก้มป่องขึ้น ตาก็หรี่ลง
คราวนี้เขาไม่ได้พูดอะไร แต่การแสดงออกก็ชัดเจนอยู่แล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จคุณป้าพานก็นำขวดแก้วสีเขียวที่แช่ลูกบ๊วยไว้ครึ่งหนึ่งออกมา “อี้ฉือ ลองชิมเหล้าบ๊วยที่เราทำเองสิ”
นี่เป็นการรับแขกขั้นเทพเลยนี่นา
“ขอบคุณครับคุณป้า!”
ฝาขวดเหล้าถูกเปิดออก เหล้าถูกเทลงในแก้ว กลิ่นหอมของเหล้าบ๊วยทำให้รู้สึกสดชื่น เซียวอี้ฉือหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดมแล้วจิบไปคำหนึ่ง
ในรสหวานแฝงความฝาดเล็กน้อย ฤทธิ์เหล้าไม่แรงมาก แต่ทิ้งรสติดปากยาวนานที่อยู่บนปลายฟัน ราวกับว่ากำลังลิ้มรสฤดูร้อน เซียวอี้ฉือวางแก้วเหล้าลง ฟังเสียงแมลงเจื้อยแจ้วในสวนพลางหายใจออกยาวๆ ช้าๆ
มีอาหารสามมื้อ ใช้ชีวิตทั้งสี่ฤดู พร้อมกับห้าประสาทสัมผัสที่ครบถ้วน นี่คือโลกที่เขาแสวงหา
ชายหนุ่มหันมามองอวี๋จือเหนียน “ทนายอวี๋ ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นคนติดดินขนาดนี้ ฉันยังนึกว่านายต้องผูกผ้าเช็ดปาก แล้วเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศทุกมื้อซะอีก”
อวี๋จือเหนียนนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หวาย คร้านจะสนใจเขา
ทันใดนั้นเซียวอี้ฉือก็รู้สึกว่าคู่รักของอวี๋จือเหนียนจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ จู่ๆ เขาก็ยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล ดื่มเหล้าในแก้วจนหมด
ก่อนกลับเซียวอี้ฉือขอคุณป้าพานเอาเศษเนื้อปลากลับบ้านด้วย
“เธอเลี้ยงสัตว์ที่บ้านด้วยเหรอ” คุณป้าพานถาม
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า ขณะเดียวกับที่อวี๋จือเหนียนเปลี่ยนเสื้อลงมาจากชั้นบนพอดี
“มีแมวจรตัวน้อยๆ อยู่ในสวนเล็กๆ แถวบ้านผมน่ะครับ ผมจะเอาไปให้มันกิน”
“ถ้าไม่คิดจะเลี้ยงมัน ให้อาหารมันบ่อยๆ จะทำให้มันต้องพึ่งพาคนอื่น ต่อไปมันจะหากินเองยากนะ” อวี๋จือเหนียนเตือน
“ฉันรู้” ก่อนหน้านี้เซียวอี้ฉือแค่หยอกมันโดยที่ไม่เคยให้อาหารเลย แต่ช่วงกลางวันเมื่อสองวันก่อนเขาเจอมันพร้อมกับเห็นพุงที่เคยแบนราบป่องขึ้นมาจนมันเดินได้ไม่ค่อยถนัด
“มันท้อง ก็เลยต้องบำรุงร่างกาย ไม่อย่างนั้นลูกแมวจะโตได้ไม่เต็มที่” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขณะพูด
อวี๋จือเหนียนไม่ได้ตอบอะไรอีก
“ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านก็แล้วกัน” เขาว่าพลางเปลี่ยนรองเท้า
“ฉันเรียกรถเองก็ได้”
คุณป้าพานบอกว่า “เด็กโง่ เรียกรถที่ถนนผู่หยวนแพงกว่าที่อื่นเยอะมาก ให้จือเหนียนไปส่งเธอเถอะ”
อวี๋จือเหนียนหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไปข้างนอก
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อกี้เขาไม่ดื่มเหล้า
เซียวอี้ฉือหันไปบอกลากับคุณป้าพาน “คุณป้าครับ ผมกลับก่อนนะครับ คืนนี้ผมกินข้าวอย่างมีความสุขมากเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว ต่อไปก็มาบ่อยๆ นะ ถ้ามีโอกาสก็มาชิมฝีมือฉันบ้าง”
“ได้ครับ”
ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนดอกไม้ในสวนยังคงส่งกลิ่นหอมอบอวล โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศไม่แจ่มใส กลิ่นหอมจะยิ่งน่าดึงดูด หอมหวานละมุน
เซียวอี้ฉือหลงคิดไปเองว่าตัวเองได้กลิ่นหอมของดอกไม้เมื่อขึ้นรถ ความคิดที่ชวนฝันนี้ทำให้จิตใจอันมึนเมาเล็กน้อยของเขามีความสุขมากยิ่งขึ้น
ขณะรถกำลังเคลื่อนที่เซียวอี้ฉือเอียงศีรษะพิงหน้าต่างแล้วฮัมเพลงเบาๆ โดยไม่รู้ตัว
อวี๋จือเหนียนที่กำลังขับรถอยู่ไม่สนใจเขา ทั้งยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เซียวอี้ฉือฮัมเพลงเสียงต่ำโดยไม่เพี้ยนหรือผิดทำนอง อีกทั้งยังเจือด้วยเอกลักษณ์ของชนเผ่าที่ชัดเจนซึ่งก็คือมาคัม* แห่งดินแดนตะวันตก เนื้อเพลงต้นฉบับมีใจความว่า ‘ฉันรู้ อัลลอฮ์รู้ แต่ไม่มีใครรู้…ใบหน้าของฉันเหมือนแอปเปิ้ล ความคิดถึงทำให้มันเหี่ยวเหลือง ด้านซ้ายคือความรักร้อนแรง ด้านขวาก็คือความฝันที่ตามหลอกหลอน’
รถหยุดตรงไฟแดง เซียวอี้ฉือได้สติกลับมาแล้วก็ไม่ฮัมเพลงอีกต่อไป เขามองอวี๋จือเหนียนอย่างขอโทษ “ขอโทษที ฮัมเพลงออกมาโดยไม่รู้ตัวน่ะ”
“ดีกว่าแร็พวันก่อนหน่อยหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ!” เซียวอี้ฉือกลั้นหัวเราะ แล้วเอ่ย “ขอบคุณมากนะ”
ในที่สุดรถก็มาจอดที่สวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ทนายอวี๋ บ๊ายบาย”
อวี๋จือเหนียนกำลังรอให้เซียวอี้ฉือแซวเรื่องที่ตนเองชอบสนูปี้ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจากไปเฉยๆ เขาจ้องมองไปที่กระจกมองหลังและเห็นร่างของเซียวอี้ฉือค่อยๆ หายเข้าไปในความมืด
เซียวอี้ฉือนั่งยองๆ อยู่กับพื้น มองแมวกินอย่างตะกรุมตะกราม
“หิวแล้วล่ะสิ” เซียวอี้ฉือพึมพำกับตัวเอง “แมวจรตัวไหนมาทำเธอท้องโตเนี่ย วันไหนพามาให้ฉันรู้จักบ้างนะ”
แมวน้อยไม่สนใจเขาเลย ก้มหน้าก้มตากินลูกเดียว
เซียวอี้ฉือเอียงหน้าแล้วยิ้ม “อวี๋จือเหนียนไม่ได้แค่ทำอาหารอร่อยนะ ปลาที่บ้านเขาก็อร่อยมากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
“อะแฮ่ม” การเตือนอย่างตั้งใจนี้ทำให้เซียวอี้ฉือหันกลับไปมอง คนที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟถ้าไม่ใช่อวี๋จือเหนียนแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เซียวอี้ฉือลุกขึ้นยืน “ทนายอวี๋?”
“ลืมบอกคุณไป” อวี๋จือเหนียนเดินเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว “เยี่ยจ้าวหลินอยากเชิญคุณไปงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ของเขา ยังไม่ตัดสินใจเรื่องเวลา คิดว่าคงอีกไม่กี่วัน คุณลองดูว่าพอจะหาเวลาไปเข้าร่วมได้ไหม”
“อ่อ” เซียวอี้ฉือรับเสียงหนึ่ง
“ผมคิดว่าไปเข้าร่วมหน่อยก็ดี ตระกูลเยี่ยมีเส้นสายในเมืองเยอะ ไปทำความรู้จักคนหน่อย เวลาทำอะไรจะได้สะดวก”
“ก็ได้ ไว้ฉันจะหาเวลา”
“งั้นก็ตามนี้” อวี๋จือเหนียนเหลือบมองแมวตัวนั้น พยักหน้าให้เซียวอี้ฉือ ก่อนจะหมุนตัวจากไป
“ขับรถระวังด้วย”
อวี๋จือเหนียนมาแล้วก็ไปราวกับสายลม เซียวอี้ฉือลูบๆ ที่ท้ายทอยพลางคิดว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาเงียบๆ แบบนี้คราวหน้าถ้าจะนินทาอีกฝ่ายลับหลังก็ต้องระวังหน่อยแล้ว
วันต่อมาเซียวอี้ฉือไปที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ เมื่อออกกำลังกายเสร็จต้าซานก็มาคุยเล่นกับเขา
“วันนี้นายดูอารมณ์ดีนะ คงไม่ได้มีความรักหรอกใช่ไหม”
เซียวอี้ฉือหัวเราะเสียงดัง “ถ้าฉันมีความรักล่ะก็ จะต้องบอกให้ทั้งโลกรับรู้อย่างแน่นอน” นี่เท่ากับเป็นเรื่องดี จะไม่เฉลิมฉลองได้อย่างไร
“ถ้านายกับทนายอวี๋คนนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ฉันมีคนจะแนะนำให้ นายคิดว่ายังไง”
เซียวอี้ฉือรู้สึกสนใจจึงหยุดดื่มน้ำ “ไหนว่ามาซิ”
“อีกฝ่ายก็เป็นทนายความเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดังเท่าทนายอวี๋ เขาเป็นลูกค้าเก่าของฉัน เราเข้ากันได้ดี เขาเป็นคนดีมาก เพิ่งจะเปิดสำนักงานกฎหมายเล็กๆ ของตัวเองเมื่อสองเดือนก่อน เขาเลิกกับแฟนแล้ว ได้ยินมาว่าโดนแฟนนอกใจ เขาทำใจอยู่สักพักและตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ฉันอยากแนะนำเขาให้นายรู้จัก” ต้าซานพูดขึ้นอีกครั้ง “เขาเป็นคนอ่อนโยน คิดถึงคนอื่นเสมอ มีหัวใจที่รักความยุติธรรม แน่นอนว่าฉันก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเขาลืมแฟนเก่าได้แล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นถ้าแนะนำให้นายรู้จักเขาตอนนี้ก็เหมือนใช้นายเป็นเครื่องมือ นายคิดว่ายังไง ถ้านายโอเคฉันจะลองคุยกับเขาดู แล้วก็ดูว่าเขาเต็มใจจะออกมาเจอนายหรือเปล่า”
โชคชะตาของคนเราเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก สิ่งที่เป็นน้ำผึ้งสำหรับคนหนึ่งอาจเป็นยาพิษสำหรับอีกคน ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งหรือยาพิษก็ต้องมีก้าวแรกเสมอ
เซียวอี้ฉือพยักหน้า “ฉันโอเค”
ฟางต๋าได้รับจดหมายเชิญจากสถานทูตอังกฤษ พวกเขาหวังว่าสำนักงานกฎหมายจะส่งตัวแทนไปร่วมงานการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่กำลังจะจัดขึ้น
ในอดีตงานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องส่งอวี๋จือเหนียนไป ดังนั้นหนานจิ่งจึงแค่พูดถึงมันระหว่างที่ไล่ไปตามกำหนดการประจำวัน
‘ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบงานนี้เอง จะให้คนหาข้ออ้างมาบอกว่าหุ้นส่วนเลือกแต่งานสบายๆ ไม่ได้หรอกนะ’ อวี๋จือเหนียนพลิกอ่านเอกสารขณะสั่งงานหนานจิ่ง
หนานจิ่งขยับแว่น ‘รับทราบครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวผมจะส่งตารางที่แก้แล้วไปให้อีกทีหนึ่ง’
อวี๋จือเหนียนปิดเอกสาร แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองเพดานอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง จากนั้นเขาก็เปิดลิ้นชัก หยิบกองเอกสารออกมา และเปิดไปหน้าที่เกี่ยวกับคนงามชาวอังกฤษ
วันงานอวี๋จือเหนียนพาเสี่ยวเฮ่อจากแผนกประชาสัมพันธ์ของฟางต๋าไปด้วย เสี่ยวเฮ่อเป็นลูกสาวของบุคคลสำคัญในเมืองนี้ เธอมีหน้าที่ประสานงานระหว่างฟางต๋ากับภายนอก และคุ้นเคยกับข้อมูลองค์กรที่ฟางต๋าดูแลอยู่
อวี๋จือเหนียนถือแก้วแชมเปญและมองดูรอบๆ สถานที่จัดงาน เขาไม่ได้มองหาอะไรเป็นพิเศษ แต่แค่รู้สึกอยากเสี่ยงโชคดู
“ทนายอวี๋ คนที่รับผิดชอบงานครั้งนี้อยู่ทางนั้น พวกเราเข้าไปทักทายดีไหมคะ” เสี่ยวเฮ่อทำหน้าที่อย่างเต็มที่
“ได้ครับ” อวี๋จือเหนียนมองไปตามสายตาของเสี่ยวเฮ่อ…นั่นมันคนงามชาวอังกฤษไม่ใช่เหรอ
เสี่ยวเฮ่อกระซิบระหว่างทางว่า “เดเร็ค มิดเดิลตัน เรียนจบจากโรงเรียนฮาร์โรว์ เรียนต่อมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในสาขารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และปรัชญา เคยทำงานในแอฟริกาใต้ พูดภาษาจีนได้ สนใจในวัฒนธรรมจีนมาก วาระการดำรงตำแหน่งของเขากำลังจะสิ้นสุดลง แล้วก็จะกลับอังกฤษปลายเดือนนี้ค่ะ”
อวี๋จือเหนียนได้ยินแบบนั้นก็หยุดเดิน “แน่ใจนะ?”
เสี่ยวเฮ่อสับสน หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน ก่อนจะพยักหน้า “ข่าวไม่ผิดแน่ค่ะ”
อย่างนั้นเซียวอี้ฉือกับเขาก็…เลิกกันแล้ว?
“ทนายอวี๋คะ?” เสี่ยวเฮ่อเรียก
“พวกเราไปกันเถอะ” อวี๋จือเหนียนเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
เสี่ยวเฮ่อเคยคุยกับเดเร็คมาก่อน หลังจากทักทายตามมารยาทครู่หนึ่งเธอก็แนะนำอวี๋จือเหนียนให้อีกฝ่ายรู้จัก
คนงามชาวอังกฤษพูดจาด้วยสำเนียงลอนดอนแท้ๆ ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ท่าทีสุภาพ ระหว่างการพูดคุยเดเร็คก็ใช้ภาษาจีนกับพวกเขาจนเสี่ยวเฮ่อกับอวี๋จือเหนียนต่างยอกันยกใหญ่
สุดท้ายคนงามก็ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่ผมจะไปจากที่นี่แล้ว ไม่อยากไปเลยจริงๆ”
เสี่ยวเฮ่อหยอกเขา “คิดถึงอาหารที่นี่เหรอคะ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วครับ” คนงามพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “แล้วก็คิดถึงคนที่นี่ด้วย”
พวกเขาเพียงแวะมาทักทายเท่านั้น การพูดคุยสัพเพเหระสิ้นสุดลงเมื่ออวี๋จือเหนียนยกแก้วขึ้น “หวังว่าจะมีโอกาสเจอกันในเมืองนี้อีกนะครับ”
“Cheers.”
หลังจากเดินออกมาไกลแล้วเสี่ยวเฮ่อก็ถอนหายใจ “เดเร็คเป็นคนดีมาก แถมยังทำงานเก่ง ฉันรู้สึกดีมากที่ได้คุยงานกับเขาอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าคนที่มารับตำแหน่งต่อจะเป็นยังไง…”
อวี๋จือเหนียนหันกลับไปมองก็เห็นคนงามกำลังคุยกับคนอื่นอย่างออกรสแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งอวี๋จือเหนียนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมโยงอีกฝ่ายกับเซียวอี้ฉือ แล้วก็ยากจะจินตนาการว่าคนงามที่เป็นฝ่ายจูบก่อนในรูปถ่ายกับสุภาพบุรุษตรงหน้าจะเป็นคนคนเดียวกัน
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเข้าใจหัวอกของผู้ชมที่เฝ้ามองสัมพันธ์ของตัวละครผ่านหน้าจอโทรทัศน์แล้ว
ฉันรู้ในสิ่งที่นายไม่รู้ และมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับนายที่ฉันไม่รู้จนต้องรอการเปิดเผยในตอนต่อไป รู้สึกดีที่ได้รู้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวิตกกังวลกับสิ่งที่ไม่รู้ อยากมองเห็นภาพรวมทั้งหมด แต่โชคไม่ดีที่ทำไม่ได้
เซียวอี้ฉือ นายมีความสามารถแบบไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้คนหน้าตาดีแบบนั้นเอาแต่คิดถึงนายจนลืมไม่ลง
หลังจากประสบกับความล้มเหลวในการนัดบอดครั้งแรก ครั้งนี้เซียวอี้ฉือเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทั้งยังสวมเสื้อสูทราคาแพงยี่ห้อดังที่อวี๋จือเหนียนซื้อให้เขาด้วย
คนที่ต้าซานแนะนำมีชื่อว่าเว่ยป๋อเหิง อีกฝ่ายนัดเซียวอี้ฉือที่ร้านอาหารหรูในเมืองซึ่งต้องจองโต๊ะก่อนล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับนัดครั้งนี้มาก
อีกฝ่ายจริงจังขนาดนี้ เซียวอี้ฉือจะเสียมารยาทไม่ได้
เซียวอี้ฉือดูเวลาเมื่อมาถึงร้านอาหาร เขามาก่อนเวลานัดห้านาที แต่พนักงานต้อนรับที่หน้าประตูกลับบอกเขาว่าคุณเว่ยมาถึงแล้ว
เว่ยป๋อเหิงสวมแว่นไม่มีกรอบ ดูสุขุมสง่างาม เขามองเซียวอี้ฉือ ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “คุณเซียว? สวัสดีครับ! เชิญนั่ง”
เซียวอี้ฉือนั่งลง “สวัสดีครับคุณเว่ย! มารอนานแล้วเหรอ”
เว่ยป๋อเหิงส่ายหน้า “เพิ่งมาได้ไม่นาน คุณก็มาถึงพอดี” เขาพูดพลางส่งถุงเล็กๆ ใบหนึ่งให้ “นี่เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสที่ได้เจอกัน หวังว่าคุณจะชอบ”
เซียวอี้ฉือรับมาด้วยความประหลาดใจ “ขอบคุณมาก!” คิดในใจว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว เขาไม่ได้คิดเรื่องเตรียมของขวัญเลย
“ลองเปิดดูสิ”
เซียวอี้ฉือเปิดถุงก็พบปากกาหมึกซึมยี่ห้อดังในกล่องกำมะหยี่สี่เหลี่ยม
“ได้ยินต้าซานบอกว่าคุณกำลังจะเป็นอาจารย์มหา’ลัย นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าคุณจะชอบ”
“ผมชอบมาก ขอบคุณนะ!” เซียวอี้ฉือเก็บของขวัญไว้เป็นอย่างดี “ขอโทษด้วยนะ ผมไม่ได้เตรียมของขวัญมา”
เว่ยป๋อเหิงไม่สนใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้างั้นเดี๋ยวคุณเซียวตอบแทนด้วยไวน์ก็แล้วกัน ดื่มกับผมให้มากหน่อยเป็นไง”
“ได้!”
เนื่องจากเศรษฐีในเมืองต้องการตั้งสำนักงานประจำตระกูล หลังจากอวี๋จือเหนียนกับคนอื่นๆ คุยธุระเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวกันในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังแห่งหนึ่ง หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยต่างฝ่ายต่างก็บอกลากัน
คืนนี้หนานจิ่งมีธุระที่บ้าน อวี๋จือเหนียนจึงบอกให้เขากลับไป ส่วนตัวเองก็ไปเรียกรถที่หน้าล็อบบี้
เมื่อออกมาจากลิฟต์อวี๋จือเหนียนก็ก้มหน้าเช็กอีเมลงานที่เพิ่งได้รับ
ติ๊ง
ลิฟต์ข้างๆ เปิดออก
อวี๋จือเหนียนหลีกทางให้ตามปกติ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเรียกเขา “ทนายอวี๋?”
อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้นมองด้านข้าง คนที่เรียกเขามีใบหน้าหล่อเหลาและคุ้นตาเล็กน้อย เขานึกชื่อไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ว่าคนที่อยู่ข้างๆ…หึ เขากลับเรียกชื่อออกมาได้
เซียวอี้ฉือ
* มาคัม (Maqam) คือสเกลดนตรี (บันไดเสียง) ที่ใช้ในดนตรีอาหรับแบบดั้งเดิม มักใช้ในการแสดงด้นสดและประพันธ์เพลง มีอิทธิพลอย่างมากต่อดนตรีในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และเอเชียกลาง
Comments
