everY
ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 7-10 #นิยายวาย
บทที่ 8
บนโต๊ะอาหารคนแซ่เซียวและคนแซ่เว่ยพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ท้ายที่สุดเว่ยป๋อเหิงก็สารภาพว่า “คุณเซียว ก่อนหน้านี้ต้าซานเคยถามผมว่าพร้อมสำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่หรือยัง เขาบอกว่าคุณเป็นคนดี คุ้มค่าที่จะจริงจังด้วย ผมก็เลยอยากจะใช้โอกาสในวันนี้สารภาพกับคุณว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าผมพร้อมแล้วหรือยัง แต่ผมอยากเริ่มการเปลี่ยนแปลงก้าวแรก ถ้าคุณไม่รังเกียจ เรามาเริ่มจากเป็นเพื่อนก่อนดีไหม”
“คุณเว่ยอย่ากดดันไปเลย วันนี้ที่ผมมา ผมก็อยากจะเริ่มจากเพื่อนก่อนเหมือนกัน หลังจากนี้จะเป็นยังไงก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันเป็นไป”
“ถ้าอย่างนั้น…” เว่ยป๋อเหิงยิ้มพร้อมกับชูแก้วขึ้น “แด่เพื่อนใหม่”
เซียวอี้ฉือชูแก้วขึ้น ยิ้มแล้วพูดตาม “แด่เพื่อนใหม่ ต่อไปนายก็เรียกฉันว่าอี้ฉือเถอะ ไม่ต้องห่างเหินกันมาก”
“งั้นนายก็เรียกฉันว่าป๋อเหิง?”
ทั้งสองคนกำลังคุยกันถึงเวลานัดครั้งต่อไป เมื่อออกมาจากลิฟต์ก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้า เซียวอี้ฉือยังไม่ทันรู้สึกตัว เว่ยป๋อเหิงก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ทนายอวี๋?”
อวี๋จือเหนียนได้ยินดังนี้ก็หันไปหาพวกเขา วินาทีต่อมาเขาก็เผยรอยยิ้มอันอบอุ่น “สวัสดี”
เว่ยป๋อเหิงเป็นคนรู้จักกาลเทศะ เขาแนะนำตัวเอง “ผมชื่อเว่ยป๋อเหิง ผมเคยร่วมงานกับคุณในเคส IPO* ในฐานะตัวแทนของสำนักงานกฎหมายเหอเหยียนครับ”
“ผมจำได้ครับทนายเว่ย ได้ยินว่าคุณตั้งสำนักงานกฎหมายของตัวเองแล้วเหรอครับ”
เว่ยป๋อเหิงถ่อมตัว “ใช่ครับ ผมคงไม่เหมาะกับการทำงานในสำนักงานกฎหมายใหญ่ๆ สักเท่าไร ก็เลยออกมาทำสำนักงานเล็กๆ เอง”
“ทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเองดีที่สุดแล้วครับ ยินดีกับการเปิดสำนักงานด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ” เว่ยป๋อเหิงไม่ได้ลืมเซียวอี้ฉือ “ผมขอแนะนำก่อนนะครับ คนนี้คือ…”
“ผมรู้ครับ” อวี๋จือเหนียนพยักหน้าให้เซียวอี้ฉืออย่างสุภาพ “คุณเซียว”
“สวัสดีครับ ทนายอวี๋” เซียวอี้ฉือตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
สายตาของเว่ยป๋อเหิงกวาดไปมาระหว่างทั้งสองคน “ที่แท้พวกนายก็รู้จักกันเหรอ”
“พวกเรามีคนรู้จักแนะนำให้รู้จักกันอีกที” เซียวอี้ฉือคลายข้อสงสัยของเขา
เว่ยป๋อเหิงยิ้ม “อย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องแนะนำแล้ว”
อวี๋จือเหนียนกลับพูดขึ้นว่า “ทั้งสองคนรู้จักกันนานแล้วเหรอ”
“พวกเราเพิ่งเจอกันคืนนี้เป็นครั้งแรก” เว่ยป๋อเหิงไม่ปิดบัง ยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว แล้วเหลือบมองเว่ยป๋อเหิง
“อ้อ” อวี๋จือเหนียนไม่พลาดการแสดงออกของเซียวอี้ฉือ
“ทนายอวี๋ คุณมากินข้าวกับเพื่อนเหรอครับ”
“เปล่าครับ เพิ่งจะกินข้าวกับที่ทำงานเสร็จ กำลังจะกลับ”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ อย่างนั้นพวกเราไม่รบกวนคุณแล้ว” เว่ยป๋อเหิงกล่าวคำอำลาอย่างสง่างาม
“แล้วเจอกันครับ” อวี๋จือเหนียนมองพวกเขาจากไป
การเผชิญหน้านี้กินเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น หลังจากเดินออกจากอาคารแล้วเซียวอี้ฉือถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขากำลังสวมเสื้อผ้าที่อดีตคู่เดตซื้อให้มานัดบอดกับคู่เดตคนใหม่ และท้ายที่สุดยังบังเอิญเจอกับคู่เดตคนเก่าด้วย
สุดยอด
เมื่อครู่เว่ยป๋อเหิงบอกไปว่าพวกเขาเพิ่งเจอกันในคืนนี้เป็นครั้งแรก อวี๋จือเหนียนคงจะเดาออกแล้วว่าพวกเขานัดบอดกัน
ชายคนเมื่อกี้ดูดีมีสง่าราศี แต่ไม่แน่ว่าอาจกำลังด่าอยู่ในใจก็ได้ หรือบางทีชนชั้นสูงอย่างเขาอาจจะยุ่งมากจนลืมที่มาที่ไปของเสื้อตัวนี้ไปแล้ว
“อี้ฉือ? รถมาแล้วนะ” เว่ยป๋อเหิงพูดขึ้นเพื่อดึงสติของเซียวอี้ฉือกลับมา
“โอเค” เซียวอี้ฉือชื่นชมทัศนคติที่สง่างามและใจกว้างของเว่ยป๋อเหิงเมื่อครู่มาก
“คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอทนายอวี๋ด้วย” เว่ยป๋อเหิงคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วพูดกับเซียวอี้ฉือ
“นั่นสิ” เซียวอี้ฉือไม่ได้บอกเว่ยป๋อเหิงทุกอย่างเพราะไม่รู้ว่าอวี๋จือเหนียนจะรังเกียจว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาเคยนัดบอดกับตัวเองหรือเปล่า จึงเพียงถามว่า “ที่แท้พวกนายก็เคยร่วมงานกันเหรอ”
เว่ยป๋อเหิงยิ้ม “ใช่ ตอนนั้นทุกคนในสำนักงานกฎหมายต่างก็อิจฉาฉันมาก เพราะทนายอวี๋เป็นคนดังในแวดวงทนายในย่านธุรกิจของเรา…เขาเป็นคนหน้าตาดี ทำงานเก่ง รู้จักรุกและถอยเวลารับมือกับคนอื่น แถมยังกลายมาเป็นหุ้นส่วนในสำนักงานกฎหมายขนาดใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นคนที่พวกเรานับถือเลยล่ะ แต่ชีวิตรักของเขาเป็นปริศนามาก คิดว่าคนที่จะมาเป็นคนรักของเขาคงต้องเก่งรอบด้านมากๆ ล่ะมั้ง” เขามองเซียวอี้ฉือ “จริงสิ นายรู้ไหมว่าตอนนี้เขามีแฟนหรือเปล่า”
เซียวอี้ฉือยิ้มอย่างจนปัญญา “อันที่จริงฉันไม่ได้สนิทกับเขาเท่าไร”
ทางด้านอวี๋จือเหนียนกำลังมองร่างของคนสองคนที่เดินจากไปไกล
สวมชุดที่ซื้อให้เพื่อไปนัดบอดกับคนอื่นเนี่ยนะ เซียวอี้ฉือ นายมันสุดยอดไปเลย
ดูจากสายตาของเซียวอี้ฉือที่มองเว่ยป๋อเหิงเมื่อครู่ คิดว่าเขาจะต้องพอใจอีกฝ่ายมากแน่ๆ
คนงามชาวอังกฤษคนนั้นเพิ่งจะจากไป ทางนี้ก็มีคู่นัดบอดคนใหม่ที่พอจะพัฒนาความสัมพันธ์ได้ซะแล้ว
เก่งจริงๆ
หลังจากเซียวอี้ฉือกลับถึงบ้านก็ถอดเสื้อออกแล้วแขวนไว้
แม้เขาจะบอกว่าตัวเองไม่สนิทกับอวี๋จือเหนียน แต่พวกเขาก็เคยพบหน้ากัน เคยกินข้าวด้วยกัน ตอนเขาเป็นลมอวี๋จือเหนียนก็เป็นคนพาไปส่งโรงพยาบาล ยิ่งไปกว่านั้นอวี๋จือเหนียนยังเป็นคนแนะนำซีหลินให้เขารู้จัก
เซียวอี้ฉือมองเสื้อที่แขวนไว้ มาคิดๆ ดูแล้วเขาติดค้างอวี๋จือเหนียนเยอะมากเหมือนกัน
คืนนี้ดันถูกอีกฝ่ายเห็นเข้าซะได้ เซียวอี้ฉือลูบๆ จมูก ดูเหมือนว่า…เขาเองจะเป็นฝ่ายผิดสินะ?
งานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ของเยี่ยจ้าวหลินมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ อวี๋จือเหนียนส่งข้อความเชิญไปให้เซียวอี้ฉือ พร้อมกับเพิ่มประโยคสั้นๆ ต่อท้ายของข้อความเชิญว่า
‘รอผมที่หน้าประตูเขตชุมชนตอนแปดโมงครึ่ง’
วันก่อนปาร์ตี้เซียวอี้ฉือหยิบเสื้อเชิ้ตลำลองอีกตัวที่อวี๋จือเหนียนซื้อให้ออกมาจากถุงผ้า
ประการแรกเขาต้องใส่มันไปงาน ประการที่สองเขาต้องการเอาใจอวี๋จือเหนียน
นอกจากเสื้อตัวนี้จะมีเนื้อผ้าที่สวมใส่สบายแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มันมีราคาแพงก็คือสี เสื้อตัวนี้เป็นสีน้ำผึ้ง อยู่ระหว่างสีขาวกับสีเหลืองอ่อน ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ไม่สดใสหรือฉูดฉาดจนเกินไป หายากมากที่เมื่อสวมใส่แล้วเนื้อผ้าจะยังคงตัว อีกทั้งทรงของเสื้อยังช่วยเสริมรูปร่างและมอบความสุขทางตาให้กับผู้มอง
เซียวอี้ฉือตั้งใจจับคู่เสื้อด้วยกางเกงลำลองสีน้ำตาลเข้มโทนสีเดียวกัน เขาหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเดินทางที่ยังไม่ได้เก็บ เมื่อเปิดออกก็เห็นนาฬิกาข้อมือปาเต็ก ฟิลิปป์อยู่ด้านใน มันเป็นของขวัญที่เพื่อนสนิทที่นิวยอร์กส่งมาให้ เนื่องจากมันมีค่ามากเกินไปเขาจึงใส่มันแค่ครั้งเดียว
ไม่ใช่ว่าเขาเข้าไม่ถึงสินค้าแบรนด์เนม เพียงแต่ส่วนใหญ่เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ ถ้าสินค้าแบรนด์เนมเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ เขาก็คงไม่ถึงขั้นนั้นแน่ๆ ถ้าเขาใช้สินค้าแบรนด์เนมก็คงเหมือนกับเด็กวัยเตาะแตะที่สวมหมวกทรงสูง ดูไม่เข้ากันเลย
เช้าวันงานอวี๋จือเหนียนมาตรงเวลา เขาสวมเสื้อเชิ้ตยี่ห้อโปโลสีขาวที่มีแถบสีฟ้าอ่อน กางเกงลำลองขายาวสีฟ้า สวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ ผมด้านข้างถูกไถออกให้เรียบเล็กน้อย ทรงผมนี้สามารถทำให้ทั้งดูเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการจัดแต่งทรงผมแบบไหน
“อรุณสวัสดิ์!” เซียวอี้ฉือยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย
“อรุณสวัสดิ์” อีกฝ่ายทักทายกลับอย่างไร้อารมณ์
เซียวอี้ฉือนั่งอยู่ที่เบาะผู้โดยสารของรถเอสยูวี เพิ่งจะรัดเข็มขัดนิรภัยก็มีถุงกระดาษโยนเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
“คุณป้าอบขนมปังไว้เมื่อเช้าน่ะ ท่าเรือค่อนข้างไกล ถ้าหิวก็กินซะ” อวี๋จือเหนียนสตาร์ตรถแล้วหมุนพวงมาลัยขณะพูด
ถุงกระดาษยังคงร้อนอยู่ มีกลิ่นหอมของขนมปังอบอวลไปทั่ว เซียวอี้ฉือถือมันไว้พลางมองอวี๋จือเหนียน “ขอบคุณนะ!”
โครงหน้าด้านข้างของอวี๋จือเหนียนไปจนถึงลูกกระเดือกของเขาที่โผล่พ้นคอเสื้อนั้นคมชัด ดูเท่และเซ็กซี่
อื้ม…ขณะที่เซียวอี้ฉือกัดลงบนขนมปังนุ่มๆ ก็สังเกตเห็นว่ามีแผ่นพลาสเตอร์สีเนื้อแปะอยู่ที่ข้างคอของอีกฝ่าย
ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์น่าจะรู้ดีว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร
ดูเหมือนว่าทนายอวี๋จะมีค่ำคืนที่ร้อนแรงมากทีเดียว…
เซียวอี้ฉือละสายตากลับมา แล้วกัดขนมปังอีกคำ
‘ท่าเรือ’ ที่อวี๋จือเหนียนพูดถึงคือท่าเรือส่วนตัวของตระกูลเยี่ย ด้านในมีของเล่นชิ้นใหญ่ของคนรวยจอดอยู่อย่างเป็นระเบียบ
งานมงคลของเยี่ยจ้าวหลินกำลังใกล้เข้ามา เขายืนอยู่หน้าท่าเทียบเรือยอชต์ลำหนึ่งเพื่อต้อนรับแขกทุกคนด้วยใบหน้าฉายแววแห่งความสุข
“จือเหนียน คุณเซียว!” ชายหนุ่มตบไหล่ของอวี๋จือเหนียน แล้วพยักหน้าให้เซียวอี้ฉือ “วันนี้ดื่มกินให้เต็มที่เลยนะ!”
“ขอบคุณครับ!”
หนุ่มหล่อสาวงามจำนวนไม่น้อยอยู่บนเรือแล้ว บางคนพิงราวเรือแล้วยิ้มให้อวี๋จือเหนียนและคนอื่นๆ “จือเหนียน นั่นบอยเฟรนด์เหรอ”
อวี๋จือเหนียนที่สวมแว่นดำเงยหน้าขึ้น พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ลองเดาสิ”
เซียวอี้ฉือโบกมือให้พวกเขาอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า “สวัสดีทุกคน! กรุณาตัดคำว่าบอยออกดีกว่านะ ฉันกับทนายอวี๋มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ต่อกัน…”
คนบนเรือเริ่มส่งเสียงดัง “รีบขึ้นมาให้พวกเราดูหน่อยซิว่า ‘เฟรนด์’ ของทนายอวี๋เป็นใครมาจากไหน!”
อวี๋จือเหนียนมองอย่างเย็นชาขณะที่เซียวอี้ฉือขึ้นเรือยอชต์อย่างรวดเร็วและพูดคุยกับกลุ่มเศรษฐีหญิงชายอย่างกระตือรือร้น
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าเซียวอี้ฉือจะอึดอัด แต่อีกฝ่ายกลับสนุกเหมือนกับปลาได้น้ำ
“คุณเซียว นายทำงานอะไรเหรอ”
“เป็นอาจารย์ในมหา’ลัยน่ะ”
“เอ๋?…แล้วนายสอนอะไรเหรอ”
“การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม บางทีต่อไปอาจจะสอนภาษาสเปนด้วย”
“ภาษาสเปน? ไหนพูดมาให้ฟังสักสองสามประโยคได้ไหม” คนถามคือหญิงสาวหน้าตาสวยหวาน มีดวงตาสดใสและฟันขาวสะอาด
ลิ้นสั่นสะเทือนเปล่งบทกวีออกมา มันเจือด้วยเสน่ห์ตราตรึง และยิ่งให้ความรู้สึกโรแมนติกโดยเฉพาะเวลาที่ผู้ชายเป็นผู้พูด
“แปลว่าอะไรเหรอ”
“ดวงตาของคุณดุจแสงกระทบทะเลสาบที่ใสสะอาด เปี่ยมไปด้วยกลิ่นหอมหวานแห่งชีวิต”
“ว้าว…” ทุกคนส่งเสียงฮือฮาพร้อมกัน
นอกวงสนทนาเยี่ยจ้าวหลินแตะไหล่ของอวี๋จือเหนียนเบาๆ พลางหยอกเขาว่า “คุณเซียวเขารู้จักสนุกยิ่งกว่านายซะอีก นายคิดว่าไง”
อวี๋จือเหนียนสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่ได้พูดอะไร
คนบนเรือจำนวนมากสังเกตเห็นแผ่นพลาสเตอร์ที่ข้างคอของอวี๋จือเหนียน สีหน้าของพวกเขาหลากหลายมาก บ้างประหลาดใจ บ้างจ้องมอง บ้างนินทา ไม่ก็อิจฉา หึงหวง และไม่พอใจ
ทุกคนรู้ดีว่าอวี๋จือเหนียนเป็นคนไม่เปิดเผยชีวิตส่วนตัวง่ายๆ มีหลายคนที่สนใจเขา แต่ช่วยไม่ได้ที่ทนายอวี๋เหมือนมีกำแพงเหล็กและผนังทองแดงปิดกั้นไว้อีกทีหนึ่ง ยากที่จะฝ่าทะลุเข้าไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยพยายาม แต่ความพยายามที่นำมาซึ่งความล้มเหลวทุกครั้งนั้นน่าหงุดหงิดยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับอวี๋จือเหนียน
เนื่องจากวันนี้มีผู้มาใหม่อย่างเซียวอี้ฉือซึ่งมาได้ถูกจังหวะเวลาแบบนี้ ทำให้คำถามประเภทที่ว่า ‘ในที่สุดจือเหนียนก็ถูกปราบแล้วเหรอ’ กลับกลายเป็น ‘แฟนของเขาคืออาจารย์เซียวจริงเหรอ’
อวี๋จือเหนียนอธิบายอย่างอดทน “คุณเซียวเป็นเพื่อนที่จ้าวหลินเชิญมา ผมแค่เป็นคนนำทางเท่านั้น” ทุกคนถามเยี่ยจ้าวหลินเพื่อขอคำยืนยัน เจ้าตัวจึงพยักหน้าก่อนจะจากไป
แผ่นพลาสเตอร์ชิ้นนี้ทำให้อวี๋จือเหนียนโกรธจัด เวลาใช้บริการที่คลับหรูเขาไม่เคยอนุญาตให้ใครจูบเขา นับประสาอะไรกับทิ้งรอยไว้บนตัวเขา แต่ช่วงนี้อารมณ์ในตัวเขาพลุ่งพล่านจึงอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ทำให้เผลอถูกอีกฝ่ายฝากรอยจูบบนตัว ตอนที่สังเกตเห็นความสุขจากการถึงจุดสุดยอดก็หายไปทันที เหลือไว้เพียงความไม่พอใจ และเมื่อตระหนักถึงความจริงดังกล่าวเขาก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว…เดิมทีเขาแค่อยากระบายความต้องการ แต่มันกลับกลายเป็นประสบการณ์อันเลวร้ายไปซะได้
ซีหลินเคยบอกเขาว่า ‘นี่ไม่ได้เกี่ยวกับความอยากที่จะเป็นฝ่ายควบคุมบนเตียง แต่นายกำลังยับยั้งตัวเองมากกว่า นายอาจจะยังไม่ได้เผยธาตุแท้ของตัวเองในกิจกรรมอันดิบเถื่อนและเร้าอารมณ์นี้’
มันเข้าใจได้ในแง่ของเหตุผล แต่ในแง่ของการปฏิบัตินั้นออกจะลำบากในหลายๆ ด้าน
เขายืนอยู่ที่ท้ายเรือและมองเข้าไปในห้องโดยสาร มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากกลุ่มคนเป็นครั้งคราว เซียวอี้ฉือกำลังเล่นโป๊กเกอร์กับคนอื่นๆ และดูเหมือนว่าจะชนะอีกตาแล้ว ใบหน้านั้นดูยิ้มแย้มและสบายใจมาก
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกเขา “ทนายอวี๋”
อวี๋จือเหนียนหันไปมอง เซียวอี้ฉือเดินเข้ามาโดยถือเหล้าสองแก้วอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถอนตัวจากการเล่นโป๊กเกอร์ตั้งแต่เมื่อไร
“มา ลองชิมนี่ดูสิ” เขาพูดพลางยื่นแก้วให้
หลังจากที่อวี๋จือเหนียนรับแก้วมาก็เห็นเซียวอี้ฉือยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก จิบไปคำหนึ่ง แล้วเอาศอกพิงที่ราวเรือ
เซียวอี้ฉือก็ถูกคนถามตลอดว่าเป็นอะไรกับอวี๋จือเหนียน เขาเดาว่าวันนี้อวี๋จือเหนียนก็คงตอบคำถามแนวนี้ไปไม่น้อยเหมือนกันถึงได้ปลีกวิเวกมาอยู่ที่ท้ายเรือคนเดียว
ดังนั้นเขาถึงได้นำเหล้ามาปลอบใจอีกฝ่าย
“วันนี้ดูคุณสนุกมากเลยนะ” อวี๋จือเหนียนชูแก้วขึ้น ไม่ได้ดื่ม แต่พูดกับเขา
เซียวอี้ฉือยิ้ม “อยู่ในงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ แทนที่จะสนุกไปด้วย แต่นายกลับมาที่ท้ายเรือเพื่อไตร่ตรองชีวิตหรือไง” คำพูดของเขาแฝงนัย
อวี๋จือเหนียนเหลือบมองเขา พูดอย่างไม่จริงจังมากนัก “ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้คุณหมดสนุก”
เซียวอี้ฉือหยุดหัวเราะไม่ได้ สายตาเหลือบไปมองแผ่นพลาสเตอร์ของอีกฝ่าย “ทนายอวี๋ นายรู้จักสำนวน ‘ยิ่งซ่อนยิ่งชัด’ ไหม ฉันเคยคิดว่านายเป็นคนเก็บตัว แต่ไม่คิดว่าที่แท้นายก็เป็นคนเปิดเผยนี่เอง วันนี้มีคนถามฉันเกี่ยวกับความเจ้าชู้ของนายเยอะแยะเลย”
“เรื่องเจ้าชู้น่ะ ผมสู้คุณไม่ได้หรอก” อวี๋จือเหนียนโต้กลับ “เพิ่งเจอกันก็ร่ายกลอนรักให้ฟังซะแล้ว”
“ฮ่าๆๆ! นี่มันความอยากเอาชนะเชิงลบอะไรกันเนี่ย” อวี๋จือเหนียนมักจะมีความน่ารักแปลกๆ บางอย่างที่ทำให้เขานึกอยากแกล้งอยู่เสมอ เหมือนกับแกล้งแมวให้มันหงายท้องมาให้ลูบพุงที่มีขนปุย
เซียวอี้ฉือแสร้งปาดน้ำตาตรงหางตาด้วยท่าทางเกินจริง อวี๋จือเหนียนคร้านจะสนใจเขา
“ฉันท่องข้อความของอูนามูโน* เขาเป็นห่วงชะตากรรมของประเทศ นายจะมองว่ามันเป็นกลอนรักหรือกลอนรักชาติก็ได้”
“อ้อ…ระดับทางวัฒนธรรมสูงมากจริงๆ”
เซียวอี้ฉือมองอวี๋จือเหนียน แล้วพูดภาษาสเปนอีกสองประโยค ขณะที่อวี๋จือเหนียนกำลังสับสนเขาก็แปลออกมาว่า “ฉันรักคุณ ความสุขของฉันก็คือการได้กัดริมฝีปากเชอรี่ของคุณ ฉันอยากจะมอบตะกร้าดอกไม้ป่าที่เต็มไปด้วยจูบให้คุณ ฉันอยากทำกับคุณเหมือนอย่างที่ฤดูใบไม้ผลิทำกับต้นเชอรี่”** เซียวอี้ฉือยกมุมปากยิ้ม “ทนายอวี๋…นี่แหละที่เรียกว่ากลอนรัก”
ในร่างกายเกิดความร้อนอย่างอธิบายไม่ถูก อวี๋จือเหนียนไม่ได้พูดอะไร แค่จิบเหล้าไปอึกหนึ่ง
หลังจิบไปคำหนึ่งเขาก็รู้สึกประหลาดใจ วอดก้ากับน้ำส้มผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้มีรสหวานยิ่งขึ้น ความเผ็ดร้อนลดลง เหล้าคำนี้มีทั้งความเข้มข้นของวอดก้าและกลิ่นหอมของส้ม
“รสชาติเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นว่าอวี๋จือเหนียนกำลังลิ้มรส เซียวอี้ฉือก็อวดว่า “ฉันชงเองที่บาร์เลยนะ อร่อยใช่ไหมล่ะ”
“…ก็พอได้” อวี๋จือเหนียนยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
“นี่เป็นการประเมินสูงสุดที่ฉันได้จากนายเลยนะ” เซียวอี้ฉือยู่ปาก แสร้งทำเป็นน้อยใจ
อวี๋จือเหนียนวางแก้วเหล้าลง พร้อมลดการระวังตัวลงเล็กน้อยเช่นกัน “…ทำไมวันนี้คุณไม่บอกไปว่าตัวเองเป็นนักข่าวสงครามล่ะ”
ขณะเดียวกันนั้นบนท้องฟ้าก็มีเมฆก้อนใหญ่ลอยมาบังแสง ทำให้บริเวณโดยรอบมืดลง
เซียวอี้ฉือเอียงศีรษะพลางยิ้มน้อยๆ “ถ้าตอนที่ยังเด็กกว่านี้ฉันคงจะพูดอยู่หรอก”
ตอนยังเด็กเขาก็มักบอกทุกคนที่เขาพบ โดยหวังให้โลกหันมาสนใจภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์และช่วยเหลือผู้คน
“จากนั้นฉันถึงได้ค้นพบว่าสำหรับใครหลายคน การเป็น ‘นักข่าวสงคราม’ ก็เป็นเหมือนการเล่านิทานที่มีเรื่องราวต่างๆ อยู่ในนั้น ทำให้คนอื่นได้เห็นและได้สัมผัสจนพอใจ จากนั้นพอหนังสือถูกปิดลงก็เป็นอันเสร็จสิ้น แล้วนายก็ดำเนินชีวิตอย่างที่ควรต่อไป” เซียวอี้ฉือจิบเหล้าอีกคำหนึ่ง “ฉันเองก็ค่อนข้างเป็นคนไร้สาระ แต่พอได้เล่าออกมาทุกคนก็ชื่นชมฉัน และฉันก็พอใจกับมันมาก”
จากนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า
“ตอนนี้ก็ยังพูดอยู่นะ แต่ขึ้นอยู่กับผู้ฟัง แล้วก็กาลเทศะ”
ในงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์ของลูกหลานเศรษฐี ‘นักข่าวสงคราม’ ถูกกำหนดให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความฮือฮา เป็นเรื่องราวที่ทุกคนอยากรู้อยากได้ยิน
“…ความทุกข์ของคนอื่นไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความสนุกสนาน”
อวี๋จือเหนียนมองเขา “แล้วทำไมคุณไม่สอนวิชาสื่อสารมวลชนในมหา’ลัยล่ะ”
“สิ่งที่ยากที่สุดของคนเราก็คือการรู้จักตัวเองนี่แหละ นอกเหนือจากการเจริญเติบโตทางกายภาพแล้ว พวกเรายังถูกวัฒนธรรมหล่อหลอมด้วย ฉันอยากให้นักศึกษาของฉันเข้าใจว่าตัวเองคือใครและควรจะทำอะไรท่ามกลางแรงกระตุ้นของวัฒนธรรมที่หลากหลายน่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วอาชีพนักข่าวก็มีแต่จะนำพาพวกเขาเข้าสู่ความสับสนและความตื่นตระหนก”
นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้รับตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อวี๋จือเหนียนไม่ถามอะไรอีก เขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง
เมฆก้อนใหญ่บนท้องฟ้าสลายไป บริเวณโดยรอบสว่างขึ้น เซียวอี้ฉือเงยหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แสงสว่างส่องลงบนใบหน้าของเขา ตกกระทบบนเสื้อสีน้ำผึ้ง เมื่อเรือโคลงเคลงเล็กน้อยแสงสว่างก็ไหลออกมาราวกับสายน้ำผึ้งที่หยดลงมาจากไม้ตักน้ำผึ้ง
อวี๋จือเหนียนค้นพบบางอย่างก่อนหน้านี้ และวันนี้เขาก็ได้เห็นมันอีกครั้ง…มีแสงสว่างในดวงตาของเซียวอี้ฉือ ไม่ใช่แสงที่เกิดจากการสะท้อน แต่เป็นแสงสว่างที่เกิดจากการสั่งสมความพรั่งพร้อม ราวกับพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์และมั่นคง สิ่งนี้คือความมั่นใจ
ไม่แปลกเลยที่เขาประพฤติตัวได้อย่างสง่างามและผ่อนคลาย ไม่ว่าจะในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม ในร้านอาหารสุดหรูของเยี่ยจ้าวหลิน หรือบนเรือยอชต์สุดหรูอย่างตอนนี้ เขาคงเคยเจอเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อน เขาจึงไม่รู้สึกแปลกแยกกับงานปาร์ตี้บนเรือยอชต์นี้ นอกจากนี้เขายังไปที่บาร์บริการตนเองเพื่อชงเหล้าให้ตัวเองอีกด้วย
“ทนายอวี๋ น้ำใจต้องตอบแทนด้วยน้ำใจ ฉันขอถามอะไรนายอย่างหนึ่งได้ไหม” เซียวอี้ฉือหมุนตัวมา สองมือค้ำอยู่บนราวเรือ
อวี๋จือเหนียนดึงสติกลับมา “…คุณอยากถามอะไร”
“ใครเป็นคนทิ้งรอยนั่นไว้ให้นาย” เซียวอี้ฉือชี้ไปที่ข้างคอของตัวเอง ตรงบริเวณเดียวกับที่ติดแผ่นพลาสเตอร์ของอวี๋จือเหนียน
เขาได้ยินคนบนเรือพูดว่าใครก็ตามที่กล้าทิ้งรอยไว้บนตัวของอวี๋จือเหนียนจะต้องเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นมากแน่ๆ
อวี๋จือเหนียนจิบเหล้าแล้วตอบว่า “ผมเป็นเมมเบอร์ของคลับระดับไฮเอ็นด์น่ะ”
เซียวอี้ฉือกะพริบตา เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดนั้น เขาเอียงศีรษะด้วยความสนใจอย่างมาก “ฉันนึกว่านายมีคู่นอนเยอะซะอีก”
อวี๋จือเหนียนชำเลืองมองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ถ้าผมอยากมีล่ะก็ คงมีเยอะมาก แต่การทำกิจกรรมทางเพศโดยใช้เงินนั้นสามารถหลีกเลี่ยงความยุ่งยากทางอารมณ์ที่ไม่จำเป็นได้มาก”
“คุณสมบัติอย่างนายน่ะ ดึงดูดคนได้มากเลย” เซียวอี้ฉือหันไปมองบรรดาชายหญิงที่ร้องเล่นเต้นรำอยู่ในเรือ “ไม่มีใครเข้าตานายบ้างเหรอ”
อวี๋จือเหนียนมองไปตามสายตาของเซียวอี้ฉือ เข้าใจความหมายของเขา
“สเป็กของผมคงสูงเกินไปล่ะมั้ง” เขาพูดพลางดื่มรวดเดียวหมด
“สูงแค่ไหน” เซียวอี้ฉือเลิกคิ้ว
คงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ อวี๋จือเหนียนมองเข้าไปในตาของเซียวอี้ฉือ “รักที่บริสุทธิ์และร้อนแรง” ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มั่นคงไร้ความโลเลแม้ต้องเผชิญโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่
“…” เซียวอี้ฉือนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็หัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ว้าว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทนายอวี๋จะเป็นคนโรแมนติกขนาดนี้”
อวี๋จือเหนียนจับได้ถึงความไม่เป็นธรรมชาติของอีกฝ่าย เขาก้มหน้าลงจ้องก้อนน้ำแข็งในแก้วเหล้า รู้ตัวว่าตัวเองได้พลาดไปแล้ว
ในเวลานี้เองหญิงสาวที่เพิ่งขอให้เซียวอี้ฉือพูดภาษาสเปนก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ดึงมือของเซียวอี้ฉืออย่างสนิทสนม “อาจารย์เซียว มาแอบอยู่ที่นี่เอง! มาเต้นรำกันเถอะ!” เธอหันไปมองอวี๋จือเหนียน “จือเหนียน มาด้วยกันสิ!”
อวี๋จือเหนียนส่ายหน้า “พวกคุณไปเถอะ”
เซียวอี้ฉือหันมามองเขา จากนั้นก็ถูกลากออกไป
หลังจากเต้นไปสองสามเพลงบนฟลอร์เต้นรำเซียวอี้ฉือก็ขอตัวโดยอ้างว่าเหนื่อย เขาเดินมาที่ท้ายเรือ ทว่าอวี๋จือเหนียนไม่อยู่แล้ว
โซนกิจกรรมบนเรือยอชต์อยู่ที่ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ไม่มีใครสนใจชั้นใต้ดิน
เยี่ยจ้าวหลินกำลังหารือกับอวี๋จือเหนียนเกี่ยวกับข้อตกลงก่อนแต่งงานระหว่างเขากับคุณหนูหาน
เซียวอี้ฉือเดินไปถึงมุมของบันไดวนก็ได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน ฟังออกว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องงานจึงหยุดเดิน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรรบกวน ขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับไปก็ได้ยินเยี่ยจ้าวหลินขัดจังหวะด้วยหัวข้อซุบซิบนินทา หัวเราะแล้วแหย่ว่า “วันนี้มีคนมาถามฉันตั้งหลายคนว่านายกับเซียวอี้ฉือเป็นแฟนกันหรือเปล่า ว่าไง พวกนายมีความเป็นไปได้บ้างหรือเปล่า”
อวี๋จือเหนียนกำลังตรวจสอบบันทึกที่เพิ่งเขียนลงไป เขานึกถึงสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติของเซียวอี้ฉือ คิดว่าตัวเองเผยตัวตนมากเกินไป ซึ่งไม่ใช่นิสัยปกติของเขาเลย ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนต้องหาข้อแก้ตัวบ้าง “เขาไม่ใช่สเป็กที่ฉันชอบ”
เยี่ยจ้าวหลินเข้าใจทันที “อ้อ ฉันนึกออกแล้ว นายชอบคนหน้าตาดีนี่นา! งั้นพวกหนุ่มหล่อวันนี้เป็นยังไงบ้าง มีคนที่ฉันพอจะแนะนำให้ได้ไหม”
อวี๋จือเหนียนพูดอย่างไม่น่าฟัง “ไม่เข้าตาสักคน นายก็อย่าไปใส่ใจนักเลย”
เซียวอี้ฉือเดินย่องขึ้นบันได
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้ว่าอวี๋จือเหนียนหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์ แต่พอได้ยินเป็นครั้งที่สองผลกระทบมันกลับรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก
หลังจากเพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันโดยเชฟมิชลินสามดาวแล้วปาร์ตี้ก็สิ้นสุดลง แขกทุกคนต่างทยอยบอกลาและจากไป
หลังอวี๋จือเหนียนขึ้นมาจากชั้นใต้ดินก็พบว่าเซียวอี้ฉือกำลังคุยกับกลุ่มคนอย่างสนุกสนานจึงไม่ได้รบกวน หลังจากกินอาหารเสร็จเขาก็ไปหาเซียวอี้ฉือ “ให้ผมส่งคุณกลับบ้านไหม”
เซียวอี้ฉือยิ้มให้เขา “ไม่รบกวนทนายอวี๋แล้ว เมื่อตอนบ่ายป๋อเหิงบอกว่าคุยงานอยู่ที่เขตปินไห่พอดี เดี๋ยวเขาจะมารับฉันกลับ”
วินาทีต่อมาอวี๋จือเหนียนก็รับว่า “อ๋อ” เสียงหนึ่ง “ตรงนี้เป็นท่าเรือส่วนตัว ผมไปส่งคุณที่ข้างทางด่วนดีกว่า”
“งั้นก็รบกวนแล้ว” เซียวอี้ฉือยังคงยิ้มอยู่ แต่อวี๋จือเหนียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
พอขึ้นรถทั้งสองคนก็เงียบไปตลอดทาง
เมื่อมาถึงแยกทางด่วนรถของเว่ยป๋อเหิงก็รออยู่ที่นั่นแล้ว ชายหนุ่มยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างรถ เมื่อเห็นเซียวอี้ฉือก็วางสายและเดินเข้าไปหาพร้อมยิ้ม ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นทนายอวี๋ ฉันไปก่อนนะ ขอบคุณสำหรับวันนี้” เซียวอี้ฉือโบกมือลาอย่างมีมารยาท
“อืม” อวี๋จือเหนียนพยักหน้า
“ไว้เจอกันครับทนายอวี๋ ขับรถดีๆ นะครับ” เว่ยป๋อเหิงเอ่ยลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นรถ
“พวกคุณก็ด้วยนะ” อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ข้างทาง มองส่งรถของพวกเขาขับไกลออกไป
เซียวอี้ฉือนั่งที่เบาะข้างคนขับ มองดูเงาอวี๋จือเหนียนที่ค่อยๆ เล็กลงจากกระจกด้านข้าง สุดท้ายเขาก็กลายเป็นจุดเล็กๆ และหายไป
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ที่เดิม มีรถวิ่งผ่านไปมาบนทางด่วนเป็นครั้งคราว
น่าประหลาดที่เขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย
* IPO (Initial Public Offering) คือการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน ซึ่งจะทำให้บริษัทเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชน (Private Company) เป็นบริษัทมหาชน (Public Company)
* อูนามูโน หรือมิเกล เด อูนามูโน (Miguel de Unamuno) เป็นนักประพันธ์ นักปรัชญา และนักวิชาการชาวบาสก์ซึ่งโด่งดังจากทั้งนวนิยาย บทกวี และบทความปรัชญา
** มาจากบทกวีในหนังสือ ‘กวีนิพนธ์แห่งรักยี่สิบบทและบทเพลงความสิ้นหวังหนึ่งบท’ โดยปาโบล เนรูดา กวีและนักการทูตชาวชิลีซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม
Comments
