everY
ทดลองอ่าน His Honey เลือก (มาก) นักรักซะให้เข็ด บทที่ 7-10 #นิยายวาย
บทที่ 9
ขณะอยู่บนรถเว่ยป๋อเหิงถามเซียวอี้ฉือพร้อมรอยยิ้มว่า “ตอนบ่ายที่ส่งข้อความบอกว่าจะไปกินมื้อดึก นายว่ายังไง ยังสนใจอยู่ไหม”
เซียวอี้ฉือละสายตากลับมาจากกระจกข้าง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงเห็นดีเห็นงามด้วย แต่คืนนี้เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ จึงเอ่ยขอโทษว่า “ขอโทษที ฉันคงกินบนเรือมากเกินไป ตอนนี้ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยสบายท้องน่ะ”
เว่ยป๋อเหิงไม่ถือสา ถามอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายท้องเหรอ ช่องเก็บของตรงหน้านายมียาโรคกระเพาะอยู่ นายกินยาบรรเทาอาการหน่อยไหม ฉันวางกระติกน้ำร้อนเผื่อไว้ที่เบาะหลัง นายดื่มน้ำร้อนสักหน่อยเถอะ”
เซียวอี้ฉือรู้สึกขอบคุณ “ไม่เป็นไรๆ ฉันสบายดี ให้มันย่อยสักพักคงจะดีขึ้น”
“ได้ ถ้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ ก็บอกฉันนะ”
“ขอบคุณนะ”
ทั้งสองรู้จักกันผ่านการนัดบอดและต่างก็มีความประทับใจดีๆ ต่อกัน ในคืนนี้…ถ้าอยากทำความรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้นจริงๆ ก็มีหลายอย่างที่ทำได้
น่าเสียดายที่คืนนี้พวกเขาทำได้แค่นี้
ก่อนลงจากรถเซียวอี้ฉือพูดกับเว่ยป๋อเหิงว่า “ขอบคุณที่มาส่งฉันที่บ้าน ไว้ว่างๆ ฉันจะนัดนายกินมื้อดึกชดเชยแน่นอน”
“ได้ ฉันจะรอ” เว่ยป๋อเหิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
เซียวอี้ฉือมองรถจากไปไกลก่อนที่จะก้าวเดินต่อ
เขาไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ซื้อปลากระป๋องหนึ่งกระป๋องและบุหรี่หนึ่งซอง จากนั้นก็เดินไปทางสวนสาธารณะเล็กๆ ช้าๆ
เขาเปิดปลากระป๋อง ไม่นานแมวจรน้อยก็วิ่งเข้ามาก้มหน้าก้มตากินอย่างดุเดือด
เซียวอี้ฉือจ้องมองมันที่กินเสร็จแล้วเลียๆ อย่างสงบ
คนกับแมวสบตากันครู่หนึ่ง แมวน้อยที่กำลังอุ้มท้องก็หมุนตัวกระโดดเข้าไปในพงหญ้าอย่างไร้สุ้มเสียง
ขนาดแมวยังไม่สนใจเขาเลย
เซียวอี้ฉือกลับถึงบ้านแล้วก็ปิดประตู ไฟในอาคารสูงสว่างเพียงพอแม้ในห้องจะไม่ได้เปิดไฟ แสงที่ส่องเข้ามาจากระเบียงสามารถส่องสว่างได้ถึงครึ่งหนึ่งของห้องนั่งเล่น
เขายืนอยู่ในห้องมืดสลัวที่แสงไฟส่องไม่ถึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปอาบน้ำ
ไม่นานเขาก็ออกมาจากห้องน้ำ ผมที่ถูกสระยังไม่แห้งดีและยังคงมีน้ำหยดอยู่ เขาหยิบบุหรี่ที่เพิ่งซื้อออกมาพลางเดินออกไปที่ระเบียง
มีเสียงแชะพร้อมกับเปลวไฟดวงเล็กๆ ถูกจุดขึ้น เซียวอี้ฉือคาบบุหรี่ เอียงหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจุดไฟ ก่อนจะสูดกลิ่นยาสูบเข้าไปในปอด
เขานั่งลงบนเก้าอี้หวายสบายๆ ยืดขาออกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างงอเข่าเหยียบบนขอบเก้าอี้
เมื่อกลางวันตอนที่อวี๋จือเหนียนพูดว่า ‘รักที่บริสุทธิ์และร้อนแรง’ แววตาของเขาดูจริงใจและอบอุ่น ราวกับว่าเปลือกหอยที่ปิดสนิทอยู่ตลอดเวลาได้เปิดออก ไข่มุกที่อยู่ข้างในจึงสาดแสงออกมาโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้นได้
ขณะนั้นหัวใจของเซียวอี้ฉือก็แน่นตึงขึ้นมาทันใด ไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่ามุมมองความรักของอวี๋จือเหนียนจะคล้ายกับเขาได้ขนาดนี้
ถ้าอายุสักสิบกว่ายี่สิบแล้วมีมุมมองแบบนี้ก็คงไม่แปลก แต่ในวัยที่ผ่านสิ่งต่างๆ มามากมายนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่มองความรักในลักษณะนี้ ทั้งยังเป็นผู้ลากมากดีอย่างอวี๋จือเหนียนที่จมอยู่ในวงจรของอำนาจ ชื่อเสียง และเงินทองมานาน
เขารู้สึกเหมือนได้เห็นดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ท่ามกลางโลกของปุถุชนที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงรื่นเริง
เซียวอี้ฉือคีบบุหรี่ไว้ระหว่างสองนิ้ว เงยศีรษะขึ้น และพ่นควันออกมา
เพียงแต่เขาไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่งดงาม ไม่คู่ควรที่จะเข้าใกล้…
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีวันที่ยกเรื่อง ‘รูปลักษณ์ภายนอก’ เข้าไปถึงระดับจิตใต้สำนึกและครุ่นคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับมัน
บางทีนี่อาจจะเป็นยุคของการปรุงแต่งอย่างพิถีพิถันก็ได้ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือไปกี่เล่มหรือเดินไปกี่เส้นทาง สุดท้ายแล้วทั้งหมดนั้นก็ล้วนต้องได้รับการปรับแต่งและแสดงออกมาบนใบหน้า เพื่อให้คนอื่นมองเห็นและตัดสินคุณค่าของเราได้ตั้งแต่แวบแรก
เขารั้งท้ายคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ริมทาง จนกระทั่งเสียงแตรดังขึ้นและดึงสติเขากลับมา
เยี่ยจ้าวหลินลดกระจกเบาะหลังลง เผยให้เห็นใบหน้าของเขา “ทำไมนายยังอยู่ที่นี่ล่ะ”
อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ และอาจเป็นเพราะดื่มมากเกินไปก็เลยไม่สบายท้อง อวี๋จือเหนียนไม่มีกะจิตกะใจจะขับรถ จึงพูดว่า “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ ขอนั่งรถนายก็แล้วกัน”
“ได้ ฉันจะให้คนขับรถนายกลับไปให้”
อวี๋จือเหนียนเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง “โอเค ขอบคุณมาก”
เยี่ยจ้าวหลินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องเกรงใจ ฉันยังต้องรบกวนฟางต๋าให้ทำข้อตกลงก่อนแต่งงานของฉันให้ดีที่สุดอยู่น่ะ”
อวี๋จือเหนียนตอบกลับ “วางใจเถอะ ถ้านายให้ผลประโยชน์กับฉันมากพอ ฉันก็จะทำงานหนักเป็นการตอบแทน”
“ฮ่าๆๆ! ฉันชอบความปากจัดของนายจริงๆ!”
อวี๋จือเหนียนกลับถึงบ้านของตัวเอง แสงไฟค่อยๆ สว่างขึ้นตามการก้าวเดินของเขา
เขายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น อาจเป็นเพราะไม่สบายท้องจึงไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะหยุดชื่นชมภาพวาดเหมือนอย่างที่เคยทำ
เขาเสียอาการมากไปหน่อยเมื่อตอนกลางวัน
เซียวอี้ฉือมีประสบการณ์ด้านความรักมากมาย พอได้ยินตัวเขาพูดแบบนี้แล้วอีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเป็นเด็กน้อยหรือเปล่านะ
เขารู้สึกอยากแข่งขันกับอีกฝ่ายโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม และไม่อยากตกเป็นรอง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไป
อวี๋จือเหนียนนั่งอยู่ในห้องทำงานเพื่อทำงานล่วงเวลาในตอนกลางคืน ระหว่างพักก็บังเอิญกดเข้าไปในโมเมนต์* ของเซียวอี้ฉือ
เขาไปกินมื้อดึกเมื่อหลายวันก่อน วันนี้เป็นวันพักผ่อน เขาไปดูรถที่โชว์รูม คำบรรยายทั้งหมดล้วนมีคำว่า ‘ไปกับเพื่อน’
มีบางอย่างดลใจให้อวี๋จือเหนียนกดเข้าไปในโมเมนต์ของเว่ยป๋อเหิง แม้มุมถ่ายรูปจะต่างกัน แต่ว่าทั้งรูปถ่ายกับวันที่โพสต์กลับเหมือนกันทุกอย่าง
หึ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพัฒนาไปอย่างราบรื่นดีนะ
คุณป้าพานกลับบ้านเกิดไปช่วงหนึ่ง วันนี้เพิ่งจะกลับมา อวี๋จือเหนียนจึงไปรับเธอที่สนามบิน
คุณป้าพานมีช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขณะยื่นถุงของฝากให้อวี๋จือเหนียน
“เยอะจังเลย” อวี๋จือเหนียนรับของด้วยรอยยิ้ม เพราะเมื่อก่อนคุณป้าพานจะพยายามประหยัดเงินของอวี๋จือเหนียนที่หามาด้วยความลำบากและไม่ซื้ออะไรมากมายโดยไม่จำเป็น
“อ้อ ครึ่งหนึ่งนั่นสำหรับอี้ฉือน่ะ เขาชอบกินของอร่อยๆ ฉันก็เลยซื้อมาให้ วันไหนเธอก็ชวนเขามาที่บ้านแล้วค่อยให้เขาสิ?” คุณป้าพานวางแผนให้อวี๋จือเหนียนเสร็จสรรพ
“…” หลังจากอวี๋จือเหนียนช่วยพาคุณป้าขึ้นรถและจัดการกับของฝากเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปนั่งยังที่นั่งคนขับ สตาร์ตรถพลางพูดว่า “เดาว่าช่วงนี้เขาคงไม่ค่อยมีเวลาหรอกครับ”
“ทำไมเหรอ งานยุ่งมากเหรอ” คุณป้าพานสงสัย
“เขามีคู่เดตคนใหม่แล้ว น่าจะเข้ากันได้ดีเลย”
“…งั้นเหรอ” คุณป้าพานเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามทำใจกับข่าวนี้ และในที่สุดเธอก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย “ก็นะ สมัยนี้จะคบใครก็เป็นเรื่องอิสระ ทุกคนมีสิทธิ์เลือกกันทั้งนั้น” เธอยิ้มอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอมีเวลาก็เอาไปให้เขาเถอะ ได้รู้จักกันนับว่าเป็นวาสนา”
“…ครับ”
ทันทีที่เซียวอี้ฉือออกจากโรงพยาบาลหลังจากตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงานเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณป้าม่าย เนื่องจากซานซานกำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง คุณป้าม่ายจึงเดินทางไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อดูแลเธอสักพัก
“ท่านป้า มีอะไรรับสั่งขอรับ” เซียวอี้ฉือทักทายปลายสายด้วยรอยยิ้ม
“อี้ฉือเอ๊ย เธอมีคู่เดตคนใหม่แล้วเหรอ”
เซียวอี้ฉือหยุดอยู่ที่เกาะกลางถนน ตอนแรกเขากะว่าให้คุณป้าม่ายกลับมาก่อนแล้วค่อยบอก เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นที่ต้องโทรไปบอกเธอโดยเฉพาะ
“อืม เพื่อนแนะนำน่ะครับ”
“เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ดีมากครับ เขาเป็นทนายเหมือนกัน แล้วก็ออกมาตั้งสำนักงานกฎหมายเอง”
“อ่อ งั้น…พวกเธอไปถึงไหนกันแล้ว”
“ก็เรื่อยๆ ครับ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นทำความรู้จักกัน พอว่างก็นัดกันออกไปข้างนอก”
“ฟังดูดีนี่ ไว้ฉันกลับไปแล้วเธอค่อยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังอีกทีนะ”
“ได้ครับ ตอนแรกผมก็คิดไว้แบบนั้น คุณป้าไปหาซานซานเป็นยังไงบ้างครับ”
ทั้งสองคุยกันสักพัก ในที่สุดคุณป้าม่ายก็วกกลับมาเรื่องความรักของเซียวอี้ฉืออีกครั้ง “อี้ฉือ เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ ตั้งใจหาคนที่ดีกับเธอแล้วก็รักเธอซะ ฉันก็จะหาให้เธออีกสักสองสามคน เธอก็อย่ากดดันมากนัก ลองคุยกับคนในตอนนี้ดู”
“…ผมรู้แล้วครับ”
พวกเขาคุยต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็จบการสนทนา
ป้าม่ายน่าจะรู้มาจากป้าพาน ถ้าอย่างนั้นป้าพานรู้มาจากใครล่ะ…
จู่ๆ เซียวอี้ฉือก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จริงๆ แล้วเขาก็ไม่อะไรหรอกที่พวกป้าๆ ตื่นเต้นกับเรื่องของพวกเขามากขนาดนี้ บางทีอวี๋จือเหนียนอาจจะพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจก็ได้ ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก
เรื่องของฉัน นายมายุ่งxอะไรด้วย
เวลาต่อมาอวี๋จือเหนียนส่งข้อความให้เซียวอี้ฉือ
‘ป้าพานเพิ่งกลับมาจากบ้าน ซื้อของฝากมาให้นายด้วย นายว่างเมื่อไร ฉันจะได้เอาไปให้’
อย่างไรก็ตามข้อความถูกส่งไปสองวันแล้ว แต่เซียวอี้ฉือกลับไม่ตอบ
วันที่สามอวี๋จือเหนียนกลับถึงห้องทำงานหลังจากประชุมเสร็จ ลองเช็กดูอีกครั้งก็ยังไม่มีการตอบกลับ เขาโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“หนานจิ่ง” เขากดอินเตอร์คอมบนโต๊ะ “เอาร่างข้อตกลงสิทธิการจำยอมของเมื่อวานเข้ามาหน่อย”
ไม่มีคำตอบจากปลายสาย
ดีมาก เจ้าเด็กคนนี้เดินเข้าไปในกับดักแล้ว
อวี๋จือเหนียนเดินออกจากห้องทำงาน เหลือบมองที่โต๊ะทำงานของหนานจิ่ง มันว่างเปล่า
เขาเดินเข้าไปในห้องชงชา
“…ได้ยินว่าแฟนเก่า…มาหาทนาย…”
“…แล้วก็ทะเลาะกัน…”
ในห้องชงชามีแต่ผู้ช่วยเต็มไปหมด คล้ายกำลังซุบซิบนินทาอะไรบางอย่าง
อวี๋จือเหนียนยืนอยู่ที่ประตู ตั้งใจกระแอมกระไอให้ได้ยิน “เด็กๆ ทั้งหลาย ได้เวลาทำงานแล้ว”
เหล่าผู้ช่วยตกใจ ทันทีที่หันกลับมาก็ต่างมีสีหน้ารู้สึกผิดที่ถูกจับได้ “ทนายอวี๋ สวัสดีครับ” หลังจากทักทายจบก็แยกย้ายกันไปเหมือนนกกระจอกแตกรัง
หนานจิ่งเดินเข้าไปหาอวี๋จือเหนียนอย่างรวดเร็ว “หัวหน้าครับ ขอโทษด้วย พอดีว่าเมื่อกี้ผมได้ยินเรื่องซุบซิบ พอร่วมวงด้วยก็เลยเพลินไปหน่อย”
อวี๋จือเหนียนเหลือบมองเขา เจ้าเด็กคนนี้คิดจะเอาเรื่องนินทามาเบี่ยงเบนความสนใจของเขาสินะ
อวี๋จือเหนียนเดินกลับไปยังห้องทำงานพลางพูดกับหนานจิ่งที่อยู่ข้างหลังว่า “งั้นนายเล่ามาให้ฉันฟังหน่อย ฉันจะดูว่าเรื่องซุบซิบนี้ใหญ่พอที่ฉันจะไม่ไปฟ้องปู่ของนายหรือเปล่า”
หนานจิ่งขยับแว่น “ทนายเว่ยป๋อเหิงที่คุณเคยร่วมงานก่อนหน้านี้น่ะครับ ได้ยินว่าแฟนเก่าของเขามาหาเมื่อคืนแล้วก็ทะเลาะกัน ส่วนแฟนใหม่ของเขาก็เหมือนจะอยู่ด้วย จากนั้นก็ดูเหมือนจะทะเลาะกัน…”
อวี๋จือเหนียนหยุดเดินกะทันหัน หนานจิ่งหยุดไม่ทันจึงชนหลังของเขาอย่างจัง “หัวหน้า?”
“ทะเลาะกันเหรอ หมายถึงแฟนเก่ากับแฟนใหม่น่ะเหรอ” อวี๋จือเหนียนขมวดคิ้ว
หนานจิ่งลูบๆ จมูกที่ถูกชน “เขาลือกันแบบนั้นครับ สุดท้ายแล้วเรื่องเมื่อคืนก็เกิดขึ้นหลังเลิกงาน มีคนเห็นแค่ไม่กี่คน อีกอย่างคนที่ทำงานที่นั่นต่างมองว่าตัวเองมีเกียรติกันทั้งนั้น ต่อให้เห็นเรื่องไม่งามก็คงจะไม่เอามือถือออกมาถ่ายทันที ตอนนั้นดูเหมือนว่า รปภ. ก็ตกใจเหมือนกัน แต่พวกเราก็แค่ได้ยินมาอีกทีน่ะครับ”
เซียวอี้ฉือ หวังว่านายจะไม่ใช่หนึ่งในคนที่อยู่ในข่าวลือนี้หรอกนะ
อวี๋จือเหนียนมอบหมายภารกิจให้หนานจิ่ง “นายไปสืบความจริงของข่าวลือนี้แล้วมาบอกฉัน”
หนานจิ่งกะพริบตาปริบๆ รู้สึกประหลาดใจกับความรู้สึกไม่คุ้นเคยนี้มาก
อวี๋จือเหนียนเตือนสติเขา “ยังไม่ไปอีก?”
หนานจิ่งยังไม่ลืมสิ่งที่อวี๋จือเหนียนพูดกับเขาเมื่อครู่ “งั้นก็หมายความว่าเรื่องซุบซิบนี้ใหญ่มากพอใช่ไหมครับ หัวหน้าจะไม่ฟ้องคุณปู่ของผมใช่ไหม”
“นายสืบความจริงมาก่อน แล้วฉันจะบอกนาย” เขาไม่ปล่อยให้เด็กน้อยน่าสงสารมีความสุขเลย
หนานจิ่งดำเนินการทันที
ความจริงของข่าวซุบซิบคือแฟนเก่าของเว่ยป๋อเหิงมาคุกคามเว่ยป๋อเหิงที่สำนักงานกฎหมายของเขา เดิมทีเซียวอี้ฉือนัดอีกฝ่ายให้มาเจอกันที่ชั้นล่าง แต่เพราะไม่มาสักทีเซียวอี้ฉือก็เลยขึ้นไปหา ขณะนั้นเว่ยป๋อเหิงกำลังโต้เถียงกับแฟนเก่า เซียวอี้ฉือก็เข้าไปยืนขวางเอาไว้ แฟนเก่าเว่ยป๋อเหิงต้องการผลักเซียวอี้ฉือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่กลับถูกเซียวอี้ฉือกดหลังลงไปกับโต๊ะ
“คุณชายท่านนี้ มีมารยาทหน่อยได้ไหม” เซียวอี้ฉือเตือนเขา
“ปล่อยฉัน!”
มีคนแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว “มีอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น”
เว่ยป๋อเหิงเห็นแบบนี้ก็รีบพูดว่า “อี้ฉือ ปล่อยเขาเถอะ ไม่คุ้มหรอก”
เซียวอี้ฉือปล่อยตัวแฟนเก่าเว่ยป๋อเหิง เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าเรื่องราวบานปลายใหญ่โตก็มองเว่ยป๋อเหิงอย่างขุ่นเคืองแล้วจากไป
ละครจบลงอย่างกะทันหัน แผนการที่จะไปดูหนังในตอนแรกก็หยุดชะงักไปด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็ขับรถไปที่ริมหาด หลังจากฟังเสียงลมเสียงคลื่นสักพักเซียวอี้ฉือก็มองเว่ยป๋อเหิง แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “อารมณ์สงบลงบ้างหรือยัง”
เว่ยป๋อเหิงยิ้มให้เขา รอยยิ้มเจือคำขอโทษและความจนปัญญา “ขอโทษนะที่ลากนายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้”
เซียวอี้ฉือไม่ได้คิดมาก ยังคงปลอบใจเขา “ไม่เป็นไร ฉันคิดว่ามันแปลกใหม่ดี”
“…ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความมาหาฉันตลอด อยากจะคืนดีกับฉัน แต่ฉันไม่สนใจ แถมยังย้ายที่อยู่ด้วย คิดไม่ถึงว่าเขาจะตามมาถึงสำนักงานกฎหมาย” เว่ยป๋อเหิงยิ้มอย่างขมขื่น “คิดว่าพรุ่งนี้ทั้งวงการทนายในย่านธุรกิจคงต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ”
พวกเขานั่งอยู่บนก้อนหินบนชายหาด เว่ยป๋อเหิงงอขาและพักคางไว้บนเข่า “ฉันตกหลุมรักคนแบบนี้ได้ยังไงนะ”
เซียวอี้ฉือมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเหนือทะเล “…ตอนที่ฉันยังเด็ก เคยคิดว่าจะต้องชอบแค่คนที่สูงหล่อรวยเท่านั้น แต่อันที่จริงคนที่สูงหล่อรวยคือตัวเขาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย และไม่ได้หมายความว่าคนแบบนั้นจะไม่ทำร้ายร่างกายนาย บางทีเวลาที่คนเราชอบใครสักคน ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเพอร์เฟ็กต์อะไรหรอก แต่เพราะผ่านช่วงเวลาที่พิเศษมาด้วยกันกับเขาต่างหาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างกัน พูดง่ายๆ ก็คือนายมีช่วงเวลาที่ลืมไม่ลงระหว่างที่คบกับแฟนเก่าไหม”
“…มี” เว่ยป๋อเหิงเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเขา “ก็เพราะว่ามี ตอนที่เขานอกใจฉันมันถึงยิ่งทำใจไม่ได้…หลังจากเลิกกันฉันไม่ได้บล็อกเขา…ตอนที่ออกไปเที่ยวกับนาย ฉันก็ตั้งใจถ่ายหลายๆ รูปแล้วโพสต์เป็นบางครั้ง ทำไมเขาถึงมีความสุขได้อยู่คนเดียวล่ะ ฉันอยากให้เขาเห็นว่าตอนนี้ฉันก็มีความสุขมากเหมือนกัน”
เซียวอี้ฉือถามเขา “นายอยากคืนดีกับเขาไหม”
“…ไม่รู้สิ ตอนนี้ฉันมีแต่เกลียดเขา” เว่ยป๋อเหิงอธิบายอย่างเศร้าสร้อย เอ่ยขอโทษเซียวอี้ฉืออีกครั้ง “ขอโทษนะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกใช้นาย นายตั้งใจหาคู่ชีวิต แต่ฉันกลับไม่จริงใจ แถมยังมีเรื่องส่วนตัวเยอะเกินไป ที่ต้าซานกังวลก็ถูกแล้ว”
เซียวอี้ฉือเอื้อมมือไปปัดผมของเว่ยป๋อเหิงที่ยุ่งเหยิงจากลมทะเลให้ “อย่าโทษตัวเองเลย บอกตามตรง ฉันไม่ได้คาดหวังความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมากนักหรอก ความรักก็เหมือนลูกพลับที่ยิ่งหวานเมื่อโดนความเย็น บางครั้งก็ต้องรอ รอจนผ่านลมฝนและพายุกว่าจะสุกงอม พอมันสุกอีกหน่อยก็ค่อยเด็ดตอนที่มันใกล้สุกเต็มที่ ตอนที่น้ำหวานฉ่ำแทบจะทะลุผ่านเปลือกบางๆ นั่นน่ะ พอกัดเข้าไปแล้วนายจะรู้สึกหวานชื่นใจเลย”
เว่ยป๋อเหิงหัวเราะ “นี่เป็นการอุปมาที่น่าอร่อยมากจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ! พูดมาถึงตรงนี้ฉันชักหิวซะแล้วสิ พวกเราไปหาอะไรกินกันไหม”
“เอาสิ”
หลังมื้อดึกเซียวอี้ฉือยืนส่งเว่ยป๋อเหิงกลับบ้าน ส่วนตัวเองก็เรียกรถกลับ เขาโทรหาต้าซานระหว่างอยู่บนรถ ให้อีกฝ่ายหาคนคุ้มกันเว่ยป๋อเหิงอย่างลับๆ
หลังจากที่ต้าซานเข้าใจสถานการณ์ก็ถามขึ้นว่า “…แล้วพวกนายสองคนยังพอมีหวังไหม”
เซียวอี้ฉือยักไหล่ “ขึ้นอยู่กับโชคชะตาล่ะมั้ง”
ไม่นานหนานจิ่งก็สืบที่มาที่ไปของเรื่องซุบซิบนินทาจนกระจ่าง
จังหวะการเคาะประตูของเขาเผยให้เห็นถึงความเร่งด่วน อวี๋จือเหนียนให้เขาเข้ามาแล้วพูดว่า “ว่ามา”
อวี๋จือเหนียนเซ็นเอกสารในขณะที่รอฟังรายงานไปด้วย
“หัวหน้าครับ ที่แท้แฟนคนปัจจุบันของทนายเว่ยก็คือเซียวอี้ฉือ คุณว่ามันบังเอิญไหมล่ะครับ?! ผมรู้แค่ว่าเขากลับเมืองจีนมาแล้ว แต่ไม่คิดว่าเขาจะอยู่เมืองเดียวกับเรา…”
“นายแน่ใจนะว่าตอนนี้พวกเขากำลังคบกัน” อวี๋จือเหนียนเงยหน้าขึ้นถามขัดจังหวะเขา
“เอ่อ” หนานจิ่งอึ้งไป “ผู้ช่วยของทนายเว่ยบอกว่าช่วงนี้นัดส่วนตัวของทนายเว่ยค่อนข้างเยอะ ผมก็แค่เดาไปตามเหตุผล…”
“อย่างนั้นก็แสดงว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน ในฐานะทนายนายต้องระวังคำพูดหน่อย”
หนานจิ่งทบทวนตัวเอง “ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว” เขาจำได้ว่าอวี๋จือเหนียนเคยขอให้เขาสืบเกี่ยวกับเซียวอี้ฉือจึงเอ่ยถาม “นักข่าวเซียวเป็นเป้าหมายความสนใจของลูกค้าท่านไหนหรือเปล่าครับ”
“ตอนนี้ฉันยังบอกนายไม่ได้”
หนานจิ่งได้แต่ยอมแพ้ “ครับ”
อวี๋จือเหนียนวางปากกาลง “กลับมาที่ประเด็นหลัก เรื่องมันเป็นไงมาไง”
“อ้อ” หนานจิ่งเล่าถึงสถานการณ์อย่างละเอียด สุดท้ายเขาก็เอา USB ออกมาวางไว้ตรงหน้าอวี๋จือเหนียน “ผมได้คลิปจากกล้องวงจรปิดในตอนนั้นมาด้วยครับ”
“ทำได้ไม่เลว ส่วนทางปู่ของนาย ฉันจะชมนายอย่างดีแน่นอน”
หนานจิ่งขยับแว่น สีหน้ามีความดีใจและความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ขอบคุณครับหัวหน้า”
เขากำลังจะจากไป แต่อวี๋จือเหนียนเรียกเขาไว้ “ ‘ทำร้ายผู้อื่น’ กับ ‘ป้องกันตัวเอง’ ไม่เหมือนกัน ในเมื่อนายรู้ความจริงแล้ว หรือว่า…”
หนานจิ่งเข้าใจในทันที “นักข่าวเซียวเป็นไอดอลของผม แน่นอนว่าผมต้องปกป้องเขาและไขความจริงให้กระจ่างครับ”
พอหนานจิ่งออกไปอวี๋จือเหนียนก็คลิกเปิดไฟล์วิดีโอของกล้องวงจรปิดดู
หลังจากดูจบเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ประสบการณ์หลายปีในฐานะทนายทำให้เขาคุ้นเคยกับการวางแผนที่ไร้ข้อผิดพลาด เขากดหมายเลขหนึ่ง “สวัสดีครับ ผมอยากให้คุณส่งคนไปคุ้มกันคนคนหนึ่ง…เขาไม่ใช่คนสำคัญ เป็นอดีตนักข่าว และตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ ช่วงนี้เขามีความขัดแย้งกับคนอื่นนิดหน่อย ‘ลูกค้า’ กังวลว่าเขาจะถูกแก้แค้น…ใช่ครับ ยิ่งเร็วยิ่งดี ครับ ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะส่งข้อมูลของเขาไปให้คุณ”
หลังเขาจบบทสนทนาไปไม่นาน โทรศัพท์มือถือก็มีข้อความใหม่เข้า
ในที่สุดเซียวอี้ฉือก็ตอบเขาแล้ว
ตอนที่เซียวอี้ฉือได้รับข้อความเรื่องของฝากจากอวี๋จือเหนียน เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือน้ำใจของคุณป้าพาน แต่เขาไม่อยากเจออวี๋จือเหนียนเลยจริงๆ
เดิมทีเขาตั้งใจจะตอบในวันถัดมา แต่พอเจอเรื่องที่เว่ยป๋อเหิงถูกแฟนเก่าคุกคามเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
หลังจากที่เซียวอี้ฉือตอบข้อความและนัดเวลากับอวี๋จือเหนียนแล้ว จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่เว่ยป๋อเหิงบอกว่า ‘ทั้งวงการทนายในย่านธุรกิจคงต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ’ ขึ้นมาได้
ข่าวดีไม่ออกประตู แต่ข่าวร้ายแพร่พันลี้* โดยเฉพาะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ประเภทนี้จะถูกปรุงเสริมเติมแต่งจนกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาได้ง่ายมาก
ไม่ใช่ว่าอวี๋จือเหนียนก็รู้แล้วนะ เซียวอี้ฉือครุ่นคิด ทนายอวี๋น่าจะไม่มีอารมณ์ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ ถ้าอีกฝ่ายได้ยินเข้าก็คงจะทำให้ความประทับใจที่มีต่อตัวเขาแย่ลงกว่าเดิมล่ะมั้ง
เซียวอี้ฉือส่ายหน้า ทำไมเขาถึงได้คิดเรื่องพวกนี้กันนะ
หลังอวี๋จือเหนียนทำงานล่วงเวลาเสร็จแล้วก็ขับรถไปที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้เขตชุมชนของเซียวอี้ฉือ
เซียวอี้ฉือเพิ่งจะให้อาหารแมวเสร็จ อวี๋จือเหนียนก็ปรากฏตัวแล้ว
“เอ้า ของฝาก” อวี๋จือเหนียนยื่นถุงออกมา
เซียวอี้ฉือรับไว้ “ขอบคุณ แล้วก็ฝากขอบคุณป้าพานแทนฉันด้วย”
การส่งมอบเสร็จสิ้น เดิมทีสามารถบอกลาได้แล้ว ทว่าอวี๋จือเหนียนกลับถามว่า “…ช่วงนี้กำลังยุ่งกับอะไรอยู่หรือเปล่า ไม่ค่อยตอบข้อความเลย”
เซียวอี้ฉือยิ้มเจื่อน “ขอโทษที กำลังยุ่งๆ อยู่น่ะ ก็เลยลืมตอบ”
อวี๋จือเหนียนรู้สึกว่าท่าทีของเซียวอี้ฉือไม่เหมือนเดิมตั้งแต่งานปาร์ตี้บนเรือยอชต์สิ้นสุดลง เป็นไปได้ไหมว่าตอนที่คุยโทรศัพท์ช่วงเย็นวันนั้นเขากับเว่ยป๋อเหิงจะตกลงความสัมพันธ์กันแล้ว
“…ช่วงนี้คุณกับทนายเว่ยไปถึงไหนกันแล้ว”
ไปถึงไหนกันแล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วย นายสนใจเหรอ หรือว่าอยากจะไปฟ้องป้าพานอีก
จู่ๆ ความโกรธก็ก่อตัวขึ้นในใจ เซียวอี้ฉือตอบว่า “ทนายอวี๋ ถ้านายมีเวลาที่จะสนใจฉันกับป๋อเหิง ทำไมนายไม่สนใจตัวเองแล้วเลิกเป็นโทรโข่งน้อยตลอดเวลาสักที”
อวี๋จือเหนียนหรี่ตา “…โทรโข่งน้อย?”
“เรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันจะเป็นคนบอกพวกคุณป้าเอง ไม่จำเป็นต้องผ่านนาย พูดตรงๆ หน่อยก็คือเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับทนายอวี๋ ไม่ว่านายจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กรุณาหุบปากด้วย”
แสงไฟข้างถนนไม่สว่างมากนัก แสงส่องกระทบใบหน้าของทั้งคู่ ทำให้เกิดเป็นเงาและแสงสว่างสลับกันไปมา
อวี๋จือเหนียนสวนกลับ “…คุณวางใจเถอะ ผมเล่าเรื่องซุบซิบนินทาอย่าง ‘แฟนเก่าทะเลาะกับแฟนใหม่’ ให้ป้าพานฟังไม่ลงหรอก”
เยี่ยมไปเลย ตอนนี้นอกจากตัวเองจะหน้าตาดีไม่พอแล้ว เรื่องการวางตัวและจัดการเรื่องต่างๆ ก็ยังทำได้ไม่ดีด้วย
เซียวอี้ฉือหัวเราะเสียงดัง “ใช่สิ ขอโทษทีนะ นายคงรู้สึกขายหน้าแย่เลยที่เคยนัดบอดกับคนอย่างฉัน” เมื่อความโกรธสุดขีดสงบลงเขาก็ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ทำให้นายลำบากแล้ว”
“…” อวี๋จือเหนียนเม้มริมฝีปากพลางกำหมัดแน่น
ในสวนสาธารณะเล็กๆ มีเพียงเสียงแมลงร้อง ทำให้ดูเงียบสงบยิ่งขึ้น
เซียวอี้ฉือสรุป “…ทนายอวี๋ ต่อไปพวกเราก็อย่าติดต่อกันเลย ฉันจะหาข้อแก้ตัวกับพวกคุณป้าเอง ที่ผ่านมารบกวนแล้ว”
อวี๋จือเหนียนล้มป่วยเป็นไข้หวัดรุนแรง เขารู้สึกมึนงง แม้แต่เวลาพูดก็ยังลำบากมาก
เขาพยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อโทรเรียกฝ่ายนิติบุคคลของเขตชุมชน โดยทางนั้นก็ตอบสนองด้วยการส่งคนมาดูแลเขาทันที
เมื่อคืนพอกลับมาเขาก็อาบน้ำเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า พยายามสงบความคิดและอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย
เขาแทบไม่เคยลาป่วยเลย เพราะว่ายุ่งจนไม่มีเวลาป่วย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแรง ไม่เพียงเดินไม่ไหวเท่านั้น แม้แต่คิดก็ยังคิดอะไรไม่ออก ดังนั้นวันนี้ถึงได้หยุดพักอยู่บ้าน
เขาเกลียดการนอนอยู่บนเตียงและไม่สามารถใช้สมองคิดอะไรได้ เพราะเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้ตนเองถูกความรู้สึกในใจครอบงำเท่านั้น
โชคดีที่ผู้เชี่ยวชาญมาถึงทันเวลา วินิจฉัยและจ่ายยาให้เขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากกินยาแล้วเขาก็หลับสนิท
เมื่อตื่นขึ้นก็ไม่ได้รู้สึกปวดศีรษะขนาดนั้นแล้ว พยาบาลเข้ามาตรวจดูอาการของเขา บอกให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ต่อไป และเธอจะปลุกเขาอีกทีเมื่อถึงเวลากินยา
สมัยยังเป็นเด็กเวลาป่วยคุณป้าพานจะเฝ้าไข้อยู่ข้างเขาพลางลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน ถ้าเขาไม่ยอมกินยาเธอก็จะเกลี้ยกล่อมเขาด้วยเสียงแผ่วเบา รับปากคำขออันไม่มีเหตุผลและไร้สาระทั้งหมดของเขา
สิ่งที่ได้ผลไม่ได้มีแค่ยาเท่านั้น
แต่ตอนนี้คุณป้าพานอายุมากแล้ว เขาเองก็โตแล้ว จะทำแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว
“คุณอวี๋ คุณอยากกินอะไรหน่อยไหมคะ ฉันจะจัดให้” พยาบาลถามอย่างเอาใจใส่
อวี๋จือเหนียนส่ายหน้า “คุณไปทำงานเถอะ ผมขอนอนอีกหน่อย”
“ได้ค่ะ”
ในห้องอันกว้างใหญ่มีเขาเพียงคนเดียว
ภายในใจพลันรู้สึกว่างเปล่าโดดเดี่ยว
เขาเลิกผ้าห่มออก ลุกจากเตียง แล้วเดินไปที่ห้องแต่งตัว เขาเปิดกล่องใต้ตู้ ข้างในมีตุ๊กตาสนูปี้เก่าๆ ตัวหนึ่ง
นั่นคือของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่คุณป้าพานให้เขา ตอนที่ได้มาสนูปี้ตัวนี้สูงถึงครึ่งตัวเขา แต่ตอนนี้มันดูตัวเล็กและบอบบางลงมาก จนสามารถกอดไว้ในอ้อมแขนของเขาได้เท่านั้น
เขากลับไปที่เตียง แล้วกอดสนูปี้
เขามีพ่อแม่แต่ก็เหมือนไม่มี หนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในวัยเด็กของเขาก็คือการที่ได้ดูคุณป้าพานซักสนูปี้…เธอถอดเสื้อของมันอย่างระมัดระวัง เช็ดตัวและหูยาวๆ ของมันอย่างพิถีพิถัน สุดท้ายก็ตากร่างเปลือยเปล่าของมันตรงระเบียง เขามองดูมันที่ยังคงยิ้มอย่างโง่เขลา
‘จือเหนียน สนูปี้ไม่ได้โง่นะ ไม่ว่าจะเจอกับอะไรมันก็จะยิ้มรับเสมอ นี่สิถึงเรียกว่าความฉลาด’
ป้าพาน น่าเสียดายที่ผมทำไม่ได้
เขากอดสนูปี้แน่น
เขาเพิ่งเจอเซียวอี้ฉือได้ไม่นานเอง ทั้งยังไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบคนรักสักหน่อย แต่กลับรู้สึกทรมานใจเหลือเกิน
* โมเมนต์วีแชต คือฟีเจอร์หนึ่งของแอพพลิเคชั่นวีแชต (WeChat) ที่ใช้แบ่งปันรูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความต่างๆ กับผู้ติดต่อของตน มีลักษณะคล้ายกับ VOOM ของไลน์ (Line)
* ข่าวดีไม่ออกประตู แต่ข่าวร้ายแพร่พันลี้ เป็นสำนวน หมายถึงข่าวดีหรือเรื่องราวดีๆ มักจะไม่ได้รับความสนใจเท่ากับข่าวร้ายหรือเรื่องราวที่ไม่ดี
Comments
