everY
ทดลองอ่าน How to… เดตออนไลน์ยังไงให้พัง เล่ม 3 บทที่ 86-87 #นิยายวาย
บทที่ 86
จิ่งฮวนมองตาเซี่ยงไหวจือ ครู่เดียวก็ลืมคำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อกี้นี้จนหมด
เสียงประกาศของโรงหนังดังขึ้นเตือนให้พวกเขาเข้าไปในโรงพอดี
เซี่ยงไหวจือถือป็อปคอร์นกับดอกไม้ลุกขึ้นยืน “ไม่ร้อนเงิน แล้วก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับยัยนั่นด้วย เข้าไปเถอะ”
จิ่งฮวนส่งเสียงร้อง “อ้อ” แล้วตามเขาไปอย่างว่าง่าย
ตอนต่อแถวตรวจตั๋วจิ่งฮวนถึงค่อยๆ ได้สติกลับมา
ความจริงเขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะเรียกไม่ได้ กลับกันเขาเคยชินกับการเรียกเซี่ยงไหวจือว่า ‘พี่ชาย’ ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรก็เรียกกันในเกมมาตั้งเยอะ ตอนเพิ่งรู้จักเซี่ยงไหวจือเขาก็เรียกผิดไปตั้งหลายครั้ง
แต่ว่านะ ตอนนี้ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็…จู่ๆ เขาก็รู้สึกแปลกเอามากๆ
พวกเขาสองคนคุยกันฆ่าเวลาระหว่างต่อแถวตรวจตั๋วอยู่ท้ายแถว
จิ่งฮวนถือโค้กสองแก้วเดินเข้าไปในโรงหนัง เขาเงยหน้ามองก็พบว่าในโรงมีคนอยู่บางตา แต่ละคนต่างนั่งเป็นคู่ๆ แถมยังมีกุหลาบคนละดอก ดูเหมือนที่นี่จะกลายเป็นสถานที่พิเศษสำหรับคู่รักไปแล้ว
ตอนนั้นเองเซี่ยงไหวจือก็หันกลับมา กุหลาบที่อยู่ในมือส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ออกมาเล็กน้อยตามการกระทำของเขา “ที่นั่งหมายเลขอะไร”
จิ่งฮวนว่า “แถวสุดท้ายหมายเลขเจ็ดกับแปดครับ”
สุดท้ายทั้งแถวก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน จิ่งฮวนวางโค้กให้เรียบร้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยงไหวจือเสียบดอกกุหลาบไว้ข้างๆ แก้วโค้ก
เหมือนคู่รักคู่อื่นในโรงหนัง
จิ่งฮวน “…”
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องกันนะ
พอหนังเริ่มฉายจิ่งฮวนก็นั่งยืดตัวตรงเตรียมตัวตั้งใจดู
ก่อนหนังฉายจะเป็นตัวอย่างหนังสักระยะหนึ่ง หลังจากจิ่งฮวนอดทนดูจนจบบนหน้าจอก็ปรากฏตัวอักษรตัวใหญ่ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง…
‘Cyborg She ยัยนี่…น่ารักจัง’
…?
จิ่งฮวนงุนงงเล็กน้อย เขาหยิบตั๋วหนังในมือขึ้นมายืนยันอีกรอบอย่างจริงจัง
วันนี้ตอนอยู่ในสนามบาสเขาไม่ได้ดูดีๆ แค่คิดว่าปกหนังเรื่องนี้ดูมีความไซไฟก็เลยเลือกมาส่งๆ
โรงหนังก็ยิ่งทำชุ่ยๆ บนตั๋วหนังไม่ได้พิมพ์แต่เป็นการใช้มือเขียน ด้านบนนั้นจึงมีแค่ ‘Cyborg’
ตกลงว่านี่ไม่ใช่หนังไซไฟหรอกเหรอ
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้จิ่งฮวนคงลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว แต่วันนี้ความอดทนของเขากว้างใหญ่จนถึงขีดจำกัดสูงสุด เขาไม่เพียงแค่ไม่เดินออกไป แต่ยังเลือกนั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ อีกด้วย
จิ่งฮวนมองดูพระเอกบนจอทีวีแกะห่อพัสดุ พอถึงฉากที่พบว่ามีหุ่นยนต์ไซบอร์กเพศหญิงตัวหนึ่งนอนเปลือยเปล่าในนั้น สีหน้าของเขาก็สับสนสุดๆ
เขามองออกเลยว่าเดิมสเกลหนังเรื่องนี้ใหญ่มาก แต่พอผ่านการเซ็นเซอร์แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง
จิ่งฮวนเท้าคางดูด้วยความเบื่อหน่าย พอก้มหน้าไปก็เห็นการกระทำของคู่รักที่อยู่ด้านหน้า
เมื่อตัวละครพระเอกเปิดกล่องพัสดุผู้หญิงก็นั่งตัวตรงขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็ปิดตาแฟนหนุ่มของตัวเองด้วยความเขินอาย
“…”
ยังจะมีอะไรต้องปิดอีก! ตัวละครนั้นโผล่ออกมาแค่คอเองนะ!!
จิ่งฮวนรู้สึกตลก เขาหันหน้าไปกะจะพูดแขวะสักหน่อย แต่กลับสบตาเข้ากับเซี่ยงไหวจือ
เซี่ยงไหวจือหลุบตามองมาที่เขาพลางถาม “มีอะไรเหรอ”
จิ่งฮวนโยนคำพูดแขวะของตัวเองกลับเข้าไปในหัวทั้งหมด
เขาละสายตาออกมาหยิบป็อปคอร์นโยนเข้าปากตัวเองจนรู้สึกหวานไปทั้งปาก “พี่…กินป็อปคอร์นไหมครับ”
เซี่ยงไหวจือถาม “อร่อยไหม”
“หวานไปหน่อย” จิ่งฮวนชะงักเล็กน้อย “แม่ง หวานเกินไปล่ะ…พี่อย่ากินเลย เลี่ยน”
ในดวงตาสีดำของเซี่ยงไหวจือฉายแววขบขันบางเบา “อืม”
จิ่งฮวน “…”
ให้ตาย ฉันกำลังพูดบ้าบออะไรอยู่วะ!!!
ฉันบ้าไปแล้วเหรอ ทำไมฉันต้องไปซื้อป็อปคอร์นตอนไม่มีอะไรทำด้วย! ทำไมต้องไปซื้อเซ็ตคู่รักมาด้วย!! สั่งโค้กแค่สองแก้วมันไม่พอใจหรือไง!!!
จิ่งฮวนเปลี่ยนท่านั่งอย่างไม่ค่อยเป็นตัวเอง ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา
ลู่เหวินเฮ่า เดี๋ยวนะ…จู่ๆ ฉันก็นึกคำถามนึงขึ้นมาได้
เสี่ยวจิ่งยา ?
ลู่เหวินเฮ่า มันน่าจะไปดูหนังด้วยกัน 3 คนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่มีชื่อฉันล่ะ
ลู่เหวินเฮ่า ทำไมนายกับรุ่นพี่เซี่ยงไม่ชวนฉันไป!
จิ่งฮวนอึ้งไป
อย่าว่างั้นงี้เลยนะ แต่เขาไม่เคยคิดจะพาลู่เหวินเฮ่ามาด้วยจริงๆ…
เสี่ยวจิ่งยา นานๆ ทีจะไม่มีเรียนทั้งวัน ฉันจะไปแย่งเวลาพักผ่อนของนายได้ไง
ลู่เหวินเฮ่า ?
เสี่ยวจิ่งยา พักผ่อนให้สบายนะ ดื่มน้ำร้อนเยอะๆ รีบนอนแต่หัววัน
จิ่งฮวนล็อกโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคู่รักสองคนที่อยู่ข้างหน้ากำลังแอบจูบกัน
ผู้ชายโน้มตัวเข้าไป ด้านหลังศีรษะขยับยุกยิกไปมา
จิ่งฮวนลำคอแข็งทื่อ ไม่กล้าหันหน้าไปอีก
ถ้าเซี่ยงไหวจือกำลังมองเขาอยู่ล่ะ
เซี่ยงไหวจือเห็นหรือเปล่าว่าสองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่
จิ่งฮวนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปถึงรู้สึกเขินอายไปทั้งตัว ตอนนี้เขาอยากจะพุ่งเข้าไปเอาเงินฟาดหน้าผู้ชายคนนั้นเพื่อให้หมอนั่นไปเปิดห้องในโรงแรมข้างๆ และเลิกทำเรื่องแบบนี้ในที่สาธารณะซะ
หนังฉายจบ ในที่สุดสองคนที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดการกระทำของพวกเขา
จิ่งฮวนหมดแรงทั้งกายใจ เขาไม่รู้เลยว่าหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องอะไร ได้แต่รีบลุกขึ้นยืน “เราไปเถอะครับ”
เซี่ยงไหวจือส่งเสียง “อืม” ตอบรับ มือก็หยิบดอกกุหลาบที่อยู่ข้างๆ แก้วโค้กและเดินออกไปด้านนอก
จิ่งฮวน “…”
จิ่งฮวนเดินออกไปจากโรงหนังด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาแบนสถานที่แห่งนี้ไว้ในใจ
สายลมเย็นเฉียบปะทะใบหน้า ในที่สุดจิ่งฮวนก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เขาพยายามหาเรื่องคุย “หนังเรื่องนี้ยาวจังนะครับ”
เซี่ยงไหวจือว่า “แค่แปดสิบนาทีเอง”
จิ่งฮวน “…” ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันผ่านไปนานเป็นศตวรรษเลยล่ะ
เซี่ยงไหวจือมองดูเวลา “ไปกินข้าวไหม”
“ได้ครับ” จิ่งฮวนว่า “ผมเลี้ยงพี่เอง อยากกินอะไรครับ”
“เซี่ยงไหวจือ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเรียกพวกเขาดังมาจากด้านหลัง
จิ่งฮวนหันกลับไปก็เห็นผู้ชายตัวสูงสองสามคนยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา แถมยังดูสะดุดตากันทุกคน
เซี่ยงไหวจือเลิกคิ้วเอ่ยปากทักทาย “หัวหน้าคลาส”
หัวหน้าคลาสเป็นหนุ่มตงเป่ย มีน้ำใจและเป็นกันเอง เขาเคยช่วยคนในห้องมาไม่น้อย แถมยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเซี่ยงไหวจือด้วย
“นายจริงๆ ด้วย นายบอกว่ามีธุระไม่ใช่เหรอ” หัวหน้าคลาสมองจิ่งฮวน “นี่ใครอะ”
“จิ่งฮวน ปีสอง!” ไม่รอให้พวกเขาได้ตอบคนที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าก็เอ่ยออกมาแทน “ก่อนหน้านี้นายยังบอกว่าอยากนัดเล่นบาสกับหมอนั่นอยู่เลย!”
ทันใดนั้นหัวหน้าคลาสก็นึกขึ้นได้ “อ๋อ หวัดดีนะน้อง”
จิ่งฮวนเองก็ยิ้ม “สวัสดีครับรุ่นพี่ พวกเราเพิ่งดูหนังจบน่ะครับ”
“ช่วงนี้มีหนังเรื่องไหนสนุกๆ บ้างล่ะ” หัวหน้าคลาสถาม “แล้วตอนนี้พวกนายว่าจะไปไหนกัน”
เซี่ยงไหวจือพูด “กินข้าว”
“เฮ้ย พอดีเลย ไปกัน วันนี้วันเกิดฉัน เดี๋ยวจะเลี้ยงเนื้อย่างนายเอง” หัวหน้าคลาสเข้ามาลากเขาไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทว่าทั้งที่หัวหน้าคลาสตัวสูงใหญ่แต่กลับไม่สามารถลากเซี่ยงไหวจือไปได้
เซี่ยงไหวจือกล่าว “ไว้ครั้งหน้าแล้วกัน ฉันมีคนมาด้วย”
หัวหน้าคลาสยกยิ้มด้วยอารมณ์กรุ่นๆ “ครั้งหน้า? หมายความว่าวันเกิดปีหน้าฉันค่อยมาชวนนายสินะ”
จิ่งฮวนจึงรีบพูด “อา ไม่เป็นไรครับ งั้นผมกลับก่อนดีกว่า…”
ไม่ทันถอยออกไปถึงสองก้าวเขาก็ถูกเซี่ยงไหวจือคว้าข้อมือเอาไว้ ขณะเดียวกันนั้นหัวหน้าคลาสก็คว้าแขนอีกข้างของเขาไว้เช่นกัน
“ไม่ต้องเลย ไปด้วยกันนี่แหละ” หัวหน้าคลาสว่า “แค่เพิ่มมาอีกคนเอง! ฉันจองโต๊ะใหญ่เอาไว้ นั่งได้น่า!”
ร้านเนื้อย่างเพิ่งเปิดใหม่เลยมีโปรโมชั่นราคาพิเศษเนื่องในโอกาสเปิดกิจการ หัวหน้าคลาสบอกว่าตัวเองรู้จักกับเจ้าของร้าน เขายกมือขึ้นสั่งเหล้าขาวมาสองขวดและเบียร์อีกหลายขวด
เมื่อลู่หังมาถึงและมองเห็นคนที่นั่งอยู่ก็เบิกตากว้าง “นายไม่ได้บอกว่า…จะไปอะไรนั่นหรอกเหรอ จิ่งฮวน? ทำไมนายมาอยู่นี่ล่ะ”
“จะอะไรซะอีกล่ะ สองคนนี้เพิ่งดูหนังจบ” หัวหน้าคลาสหยิบแก้วลุกขึ้นยืน “พอดีเลย คนมาครบแล้ว รีบมาดื่มอวยพรวันเกิดฉันคนละแก้วซะ!”
ทุกคนหัวเราะในความหน้าไม่อายของเขาพลางลุกขึ้นมาดื่มอวยพรวันเกิด
เดิมทีที่นั่งก็แน่นขนัดกันอยู่แล้ว ตรงนี้เป็นโซฟาตัวใหญ่รูปวงกลม หลังจากลู่หังเข้ามาเพิ่มก็ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก ทุกคนเลยแนบชิดติดกันไปครึ่งตัว
จิ่งฮวนกำลังจะนั่งลง เซี่ยงไหวจือก็เอนพิงมาทางเขา
“อีกเดี๋ยวถ้าพวกนั้นให้นายกินเหล้าขาวอวยพร นายก็ไม่ต้องกินนะ”
จิ่งฮวนพยักหน้าเล็กน้อย “ครับ”
บ้าเอ๊ย
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าลมหายใจของเซี่ยงไหวจือ…แทบจะปะทะเข้ากับหูเขาอยู่แล้วนะ
จิ่งฮวนไม่รู้จักคนบนโต๊ะเลยสักคน เดิมทีเขาคิดว่าเซี่ยงไหวจือจะกังวลมากไป แต่ไม่คิดเลยว่าพอดื่มเบียร์ไปสามยก หัวข้อสนทนาก็จะเปลี่ยนมาที่ตัวเขาจริงๆ
“นี่น้อง” หัวหน้าคลาสยกแก้วมาทางเขา “ได้ยินมาเป็นร้อยก็ไม่สู้ได้เห็นด้วยตาสักครั้ง นายนี่หน้าตาดูดีจริงๆ นะ”
จิ่งฮวนชนแก้วกับอีกฝ่าย “ไม่ได้ดูดีหรอกครับ แค่หล่อเฉยๆ”
หัวหน้าคลาสหัวเราะ “เออดี มั่นหน้าดี นายคงไม่รู้สินะว่าฉันเคยได้ยินเรื่องนายมาตั้งนานแล้ว ครั้งก่อนตอนที่พวกเราแข่งกันกับสาขาอื่น ไหวจือไม่อยู่ ผู้หญิงในสาขาเราเลยไม่มาสักคน”
เขายกนิ้วชี้ขึ้น “ไม่มาสักคนจริงๆ นะ นี่ฉันยังคิดอะไรตลกๆ อยู่เลย…หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าวันนั้นสาขาพวกนายมีแข่งกับสาขาอื่น พวกนั้นก็เลยตั้งใจไปดูนายหมด”
เซี่ยงไหวจือเหล่ตามอง เห็นคนที่อยู่ข้างๆ ถือแก้วเบียร์ด้วยมือเดียวพร้อมยกยิ้มดีใจเป็นพิเศษ
คุยไปคุยมาจิ่งฮวนก็ดื่มกับหัวหน้าคลาสไปหลายแก้วโดยไม่รู้ตัว โชคดีที่เป็นแก้วเล็กๆ ดื่มไปสองอึกก็หมดแล้ว
เขาว่า “ไว้คราวหน้าผมนัดมาเล่นบาสกันนะครับ พี่”
หัวหน้าคลาสพยักหน้า “งั้นนายก็ต่อให้ฉันสักหลายๆ ลูกหน่อยนะ ไม่งั้นผู้หญิงพวกนั้นคงไม่เห็นว่าฉันมีดีแน่”
“จะให้ผมต่อยังไงครับ” จิ่งฮวนว่า “ตัวของพี่ก็ตั้งขนาดนี้ คงบล็อกผมได้สบายๆ ไม่ใช่เหรอครับ”
หัวหน้าคลาสสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเต็มๆ หลังจากได้ยินคำนั้นก็หัวเราะชอบใจใหญ่ “จิ๊ ไหวจือ รุ่นน้องนายนี่ช่างพูดจริงๆ”
เซี่ยงไหวจือได้ยินก็ยกยิ้ม “อืม”
“ความจริงไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ ถ้านายอยากแบ่งดอกท้อให้เพื่อนร่วมชาติสักหน่อยจริงๆ ก็มีวิธีง่ายๆ อยู่นะ” หัวหน้าคลาสว่า “นายรีบไปจีบสาวสักคนเป็นการตัดความหวังของสาวๆ พวกนั้นซะ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
การกระทำของเซี่ยงไหวจือชะงักไป
จิ่งฮวนยิ้มขำ “งั้นก็ช่างเถอะครับ ใครเขาจะมาชอบผม ความรักที่มองกันแค่ภายนอกน่ะอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ”
หัวหน้าคลาสเอ่ย “อย่ามา นายลองคิดดูสิ หรือนายชอบแบบไหน พี่แนะนำให้นายได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับๆ” จิ่งฮวนโบกมือเอนตัวไปด้านหลังจนชนเข้ากับไหล่ของเซี่ยงไหวจือ
จิ่งฮวนรีบหันกลับไปถามด้วยความกังวล “ชนพี่เจ็บหรือเปล่า”
เซี่ยงไหวจือหลุบตาลง เขาเพียงจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรออกมา
เป็นแบบนี้อีกแล้ว
ทำไมเซี่ยงไหวจือต้องมองเขาด้วยสายตาแบบนี้อีกแล้วล่ะ
มองจนเขารู้สึกเกร็งไปทั้งตัวแถมยังพูดไม่ออกไปหมดแล้ว
“พวกนายทำอะไรกันอะ มองกันตาหวานอยู่เหรอ” หัวหน้าคลาสส่งเสียงขัด “จิ่งฮวน มานี่สิ ดื่มต่อเถอะ”
จิ่งฮวนได้สติกลับมา เขาแกล้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วหันกลับไปหยิบแก้วว่างเปล่าของตัวเองขึ้นมา “ได้ครับ เดี๋ยวผมขอรินเบียร์ก่อนนะ”
“เฮ้ย รอเดี๋ยว ไม่ต้องกินแล้ว เบียร์มันจะไปอร่อยอะไร” หัวหน้าคลาสหยิบเหล้าขาวที่อยู่ข้างมือขึ้นมา “มากินอันนี้สิ ของดีเลยนะ แพงด้วย”
หัวหน้าคลาสพูดไปก็ลุกขึ้นยืนก่อนโน้มตัวลงกะจะรินเหล้าใส่แก้วจิ่งฮวน แต่ขวดเหล้าขาวเพิ่งจะยื่นออกไปก็ถูกใครบางคนขวางไว้
เซี่ยงไหวจือยกมือขึ้นขวางขวดเหล้าพร้อมพูดขึ้น “เขากินไม่ได้”
คนที่อยู่บนโต๊ะพากันตกใจ ลู่หังตอบสนองเป็นคนแรกและลุกขึ้นยืนเช่นกัน “เขากินไม่ไหวจริงๆ ครั้งก่อนกินเบียร์ในคาราโอเกะไปไม่กี่ขวดก็น็อกไปเลย”
จิ่งฮวนเขินอายเลยพูดอย่างไม่ยอมรับ “ไม่ต้องเว่อร์ขนาดนั้นก็ได้ครับ ตอนนั้นผมมีสติจริงๆ นะ…”
“ไม่เป็นไร แค่แก้วเดียว เหล้าขาวอันนี้ไม่แรงหรอก แค่ดื่มสนุกๆ เอง” หัวหน้าคลาสพูด “หรือจะครึ่งแก้ว?”
จิ่งฮวนเองก็คิดว่าครึ่งแก้วคงไม่เมา เขาจึงค่อยๆ ยกแก้วขึ้นและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
“อย่าเลย เด็กนี่คออ่อน” เซี่ยงไหวจือว่า “ฉันรู้ช้าไปเลยไม่ทันได้เตรียมของขวัญให้นาย งั้นฉันดื่มกับนายสองแก้วแล้วกัน หัวหน้าคลาส”
คนที่อยู่บนโต๊ะพากันตกใจ หัวหน้าคลาสก็ยิ่งรู้สึกแปลก
วงเหล้าของผู้ชายในสาขาพวกเขาไม่ได้นิสัยดีอะไรมากมาย พวกเขาชอบชวนกันไปกินเหล้า แต่เซี่ยงไหวจือเป็นคนที่พวกเขาชวนไปยากมากที่สุด
ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวหน้าคลาสรีบพูดขึ้นมาทันที “ถ้าช่วยกินก็ต้องนับเป็นสามแก้วนะ”
จิ่งฮวน “…?”
นี่มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า
จิ่งฮวนรีบเปิดปากพูด “งั้นก็…”
“ได้” เซี่ยงไหวจือตอบรับโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
จิ่งฮวน “…”
ถึงระหว่างการสนทนาจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ไม่ว่าอย่างไรจิ่งฮวนก็ไม่ใช่คนในสาขาพวกเขา พอถึงช่วงหลังๆ จิ่งฮวนจึงไม่สามารถเข้าร่วมวงสนทนากับพวกเขาได้
เขาทนไม่ไหวเลยหันหน้าไปหาเซี่ยงไหวจือซึ่งกำลังคุยกับเพื่อนข้างๆ ด้วยสีหน้าปกติ แก้มของอีกฝ่ายขึ้นสีชมพูเพียงเล็กน้อยมองแทบไม่เห็น
“จิ่งฮวน” ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนหัวหน้าคลาสถึงเรียกเขาอีกครั้ง
จิ่งฮวนได้สติ “ครับ”
หัวหน้าคลาสแก้มแดงแจ๋ ดูเหมือนเขาจะดื่มจนเมาหน่อยๆ แล้ว “ทำไมแม่นายถึงตั้งชื่อนี้ให้นายล่ะ ฟังแล้วเหมือนชื่อผู้หญิงเลย”
คำพูดนี้ไม่ใช่ว่าจิ่งฮวนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เขาว่า “อ้อ พวกเขาบอกว่าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว แต่จิ่งไคกับจิ่งซินฟังดูไม่เพราะเลยตั้งว่าฮวน* แทนครับ”
คนบนโต๊ะพากันหัวเราะ หัวหน้าคลาสหัวเราะไปก็ยกนิ้วโป้งให้เขาไป “คุณป้าก็พูดมีเหตุผลนะ”
การกินเนื้อย่างในครั้งนี้ดำเนินไปจนถึงสามทุ่มครึ่ง แต่ทุกคนกลับยังไม่หนำใจ ดังนั้นหัวหน้าคลาสเลยโบกมือหนึ่งทีแล้วตัดสินใจไปต่ออีกหน่อยโดยนัดให้ทุกคนไปร้านเหล้าใกล้ๆ และใช้วิธีการแชร์กันจ่าย
ทุกคนย่อมตอบตกลงเป็นธรรมดา
เซี่ยงไหวจือลุกขึ้นหยิบเสื้อโค้ต “ฉันกับเขาจะไปแล้ว พวกนายก็เที่ยวกันระวังด้วยนะ”
ถึงจะรู้ดีว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะชวนเซี่ยงไหวจือมาได้ แต่หัวหน้าคลาสก็ไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร นายกลับไปคนเดียวแล้วกัน จิ่งฮวนไปกับพวกเราเถอะ”
จิ่งฮวนเพิ่งหายป่วยและยังไม่อยากเมาค้างจึงโบกมือไปมา “ผมก็ต้องไปเหมือนกันครับ”
หัวหน้าคลาส “ทำไมอะ”
จิ่งฮวนยักไหล่ “ช่วงนี้ผมช็อต ไม่มีเงินให้ผลาญหรอกครับ”
หัวหน้าคลาส “…”
เซี่ยงไหวจือฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าข้ออ้างนี้คุ้นหูเป็นพิเศษ
พอเดินไปถึงประตูถึงรู้ว่าด้านนอกฝนตก แถมยังดูเหมือนจะตกหนักกว่าเมื่อวานด้วย
ชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ไม่ได้พกร่มมา โชคดีที่หัวหน้าคลาสรู้จักกับเจ้าของร้านจริงๆ เจ้าของร้านเลยให้พวกเขายืมร่มไปหลายคัน
พวกจิ่งฮวนเองก็ได้รับร่มเก่าๆ สีดำมาคันหนึ่งเช่นกัน ทั้งสองคนเดินอยู่ใต้เงาร่มโดยไม่มีใครพูดอะไร สายตาจิ่งฮวนกวาดมองไปทั่ว สุดท้ายมันก็หยุดอยู่ที่ฝ่ามือของเซี่ยงไหวจือที่กำลังถือด้ามจับร่มอยู่
“เวียนหัวหรือเปล่า” จู่ๆ เซี่ยงไหวจือก็เปิดปากถาม
จิ่งฮวนเหมือนโดนจับได้ว่าทำผิดจึงละสายตาออกมาทันที “หา? ไม่ครับ ผมดื่มไปไม่เยอะ”
“ที่จริงพวกนั้นก็ไม่แย่นะ” เซี่ยงไหวจือพูด “แค่นิสัยการดื่มไม่ดีเท่าไร”
จิ่งฮวนพยักหน้า “เข้าใจครับ”
ฝนตกกระทบชายคาส่งเสียงดังซู่ซ่า เนื่องจากฝนตกหนักบนถนนจึงแทบไม่มีคนเดิน แสงสีเหลืองสลัวๆ ของหลอดไฟบนถนนสาดส่องลงมาบนแอ่งน้ำขังสะท้อนแสงเป็นประกาย
โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสั่นอยู่หลายครั้งจิ่งฮวนถึงได้หยิบออกมาดู
มันเป็นข้อความจากกิลด์ ไม่รู้ว่าในกิลด์กำลังฉลองอะไรกันอยู่จึงได้เอาแต่ส่งอั่งเปาตลอด จิ่งฮวนไม่ได้กดเลยสักอัน เขายัดโทรศัพท์กลับไป ฉับพลันก็คิดเรื่องสำคัญอีกอย่างขึ้นมาได้
เขายังไม่ทันได้อธิบายความผิดให้เซี่ยงไหวจือฟังอย่างชัดเจนเลย
เมื่อวานเขาป่วยเลยหาโอกาสไม่ได้ ตอนนี้มีแค่เขากับเซี่ยงไหวจือ เรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้ว
จิ่งฮวนอ้าปากพะงาบๆ อยู่นานแต่ก็พูดไม่ออกเลยสักประโยค
“วันนี้มียาบำรุงที่ต้องกินหรือเปล่า” เซี่ยงไหวจือถาม
จิ่งฮวนอึ้งไป ผ่านไปสักพักถึงตอบสนองขึ้นมา “กินแล้วครับ ผมจะกินหลังเที่ยงคืนทุกวัน เดี๋ยวคนรับใช้จะส่งข้อความมาเตือนครับ”
“ลูกจะคลอดเมื่อไร”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะวันอาทิตย์มั้งครับ?”
เซี่ยงไหวจือส่งเสียง “อืม” เป็นการตอบรับ “ลำบากนาย”
“…?”
เซี่ยงไหวจือว่า “ไว้ให้ลูกคลอดแล้วฉันจะพานายไปเก็บค่าประสบการณ์ชดเชยแล้วกัน”
“…”
ความจริงคำพูดนี้ก็ไม่มีอะไรแปลก แต่จิ่งฮวนกลับรู้สึกมึนนิดหน่อยอย่างบอกไม่ถูก
พูดอย่างกับพวกเขากำลังเป็นแฟนออนไลน์กันจริงๆ อย่างนั้นแหละ
จิ่งฮวนปัดความคิดอันตรายทิ้งไปทันที เขาสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนพูดออกมา “พี่ชาย ความจริงผมยังมีอีกเรื่องที่ต้องพูดกับพี่”
“เรื่องอะไร”
“เกี่ยวกับ…” เสียงจิ่งฮวนค่อยๆ เบาลง “เรื่องที่ว่าทำไมผมต้องเปิดเครื่องแปลงเสียง…หลอกพี่…”
พอพูดถึงคำสุดท้ายจิ่งฮวนก็อยากหารอยแยกบนดินแล้วมุดลงไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
ยากเกินไป
ยากเกินไปจริงๆ สอบรับราชการยังไม่ยากขนาดนี้เลย!!!
เซี่ยงไหวจือพูดขึ้นพร้อมจังหวะก้าวเดินตามปกติ “ฉันรู้”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ เมื่อหลายเดือนก่อน…” จิ่งฮวนงุนงง พอตระหนักได้ว่าเซี่ยงไหวจือพูดอะไรออกมาเขาก็หันหน้ามาด้วยความตกใจ “ฮะ?”
“ฉันบอกว่าฉันรู้” เซี่ยงไหวจือพูด
“…” นายรู้ได้ไง
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของจิ่งฮวน เซี่ยงไหวจือก็นึกอยากยิ้มออกมานิดๆ
“มองข้างหน้า เดินดีๆ” เขาว่า
จิ่งฮวนไม่รู้เลยว่าตนเองมาถึงชั้นล่างของอพาร์ตเมนต์ได้อย่างไร ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา เลยได้แต่ทำความเข้าใจกับตัวเอง
เขาอัดอั้นอยู่ตั้งนาน หวาดกลัวลนลานอยู่ตั้งนาน แต่เซี่ยงไหวจือกลับรู้หมดแล้วเนี่ยนะ
ที่ไม่อยากเชื่อที่สุดก็คือเซี่ยงไหวจือยินยอมเป็นเพื่อนกับเขาต่อไปทั้งที่รู้อยู่แล้ว
แถมยังเอาน้ำมาให้เขา
ชวนเขามาดูหนัง
ช่วยเขาปฏิเสธเหล้า…
จิ่งฮวนดึงตัวเองออกมาจากความคิดอันยุ่งเหยิง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประทับใจ
เซี่ยงไหวจือเป็นคนดีจริงๆ เป็นคนดีมาก
“พี่ชาย” เมื่อไม่มีเรื่องติดค้างในใจ เสียงที่จิ่งฮวนเรียกว่าพี่ชายจึงฟังดูจริงใจเป็นพิเศษ “ต่อไปผมจะดีกับพี่แน่นอน”
เดิมทีเซี่ยงไหวจืออยากจะบอกลา แต่พอได้ยินคำนั้นก็หยุดชะงักไป “…ดีกับฉัน?”
“ครับ” จิ่งฮวนกวาดตามองไปเห็นดอกกุหลาบในกระเป๋าของเซี่ยงไหวจือจึงโพล่งออกมา “พี่ชอบกุหลาบขนาดนี้เลยเหรอ ไว้คราวหน้าผมจะเอามาให้พี่ช่อโตๆ เลย”
เซี่ยงไหวจือเงียบไป “อืม ขึ้นไปเถอะ”
จิ่งฮวนว่า “ไม่ขึ้นไปด้วยกันล่ะครับ เดี๋ยวผมอุ่นนมให้พี่จะได้อุ่นท้อง เมื่อกี้พี่กินเหล้าไปตั้งเยอะ ไม่อืดท้องเหรอครับ”
เซี่ยงไหวจือถอนหายใจยาว เขาไม่ได้คออ่อนแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นดื่มเป็นพันแก้วก็ไม่เมา เมื่อกี้นี้หัวหน้าคลาสรินเหล้าขาวให้เขาตั้งเยอะ ตอนนี้เขาเลยรู้สึกร้อนไปทั้งหัวอยู่หน่อยๆ
“วันนี้ไม่ขึ้นแล้วกัน” เขากล่าว
จิ่งฮวนส่งเสียง “อ้อ” รับคำ “งั้นผมขึ้นไปก่อนนะ?”
“อืม”
จิ่งฮวนเดินเข้าไปด้านในสองก้าว จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้เลยหันกลับมาอีกครั้ง
เขาถอดผ้าพันคอของตัวเองมาคล้องที่เซี่ยงไหวจือ
การกระทำของเขาเป็นไปอย่างลวกๆ ผ้าพันคอยาวเมตรกว่าพันอยู่บนลำคอของเซี่ยงไหวจือหลวมๆ อย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบ เขามองดูแวบหนึ่งก็ยกมือช่วยพันให้เซี่ยงไหวจืออีกรอบ สุดท้ายก็ดึงปลายผ้าพันคอมามัดไว้ด้วยกัน
“คืนนี้อากาศเย็น พี่พันกลับไปเถอะครับ” จิ่งฮวนเอ่ย “จะได้อุ่นๆ หน่อย ตอนฝนตกมหา’ลัยชอบไม่เปิดประตูหลัง ใครจะรู้ว่าวันนี้คุณปู่คนนั้นจะปิดประตูหรือเปล่า…”
ผ้าพันคอถูกสวมมานานแล้ว ด้านบนจึงยังหลงเหลือความอบอุ่นของจิ่งฮวนอยู่ เซี่ยงไหวจือสูดดมกลิ่นอายบนผ้าพันคอและรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันเมื่อคืนที่ชวนให้หน้าแดงหัวใจเต้นแรง
หลังจากมัดเรียบร้อยแล้วจิ่งฮวนก็กล่าวด้วยความพอใจ “ผมขึ้นไปล่ะนะ พี่ถึงห้องแล้วก็ส่งข้อความหาผมด้วย”
เขาหมุนตัวกำลังจะเดินจากไปแต่ก็ถูกอีกคนคว้าแขนลากไปอีกทาง
เนื่องจากจิ่งฮวนเซไปสองก้าวจึงชนเข้ากับร่างเซี่ยงไหวจือและได้กลิ่นเหล้าบางๆ ที่ติดอยู่บนตัวอีกฝ่าย
จิ่งฮวนเอ่ย “มีอะไร…”
คำพูดสุดท้ายของเขาไม่สามารถเอ่ยถามออกไปได้
เซี่ยงไหวจือใช้มือซ้ายถือร่มปิดบังร่างกายของพวกเขาไปครึ่งร่าง ร่มสีดำคันใหญ่กางกั้นทั้งสองคนจากสายฝน หลอดไฟที่ควบคุมด้วยเสียงภายในตัวอาคารหลังใหญ่ดับวูบลง จิ่งฮวนรู้สึกเหมือนกลับไปในโรงหนังแห่งนั้นอีกครั้ง สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือภายในโรงหนังมีแค่เขากับเซี่ยงไหวจือเท่านั้น
ใต้ร่มเซี่ยงไหวจือก้มหน้าลงมาประทับจูบลงบนริมฝีปากของจิ่งฮวนอย่างแผ่วเบา เหมือนในความฝันที่ตนเองเห็นเมื่อคืน