everY
ทดลองอ่าน I Can Do It ใครไม่ไหว ฉันลุยเอง! เล่ม 2 บทที่ 46 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง I Can Do It ใครไม่ไหว ฉันลุยเอง! เล่ม 2
ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)
แปลโดย : หมั่งสีโสว ซื่อเก้เหล้าก้าย
ผลงานเรื่อง : 我行让我来〔电竞〕 (Wo Xing Rang Wo Lai (Dian Jing))
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
46
เจี่ยนหรงพยักหน้าโดยไม่แม้แต่จะคิด “เคยครับ ตอนแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับโลกปีที่แล้วผมเองก็อยู่ในงาน”
ลู่ป๋อหยวนชะงักเล็กน้อยก่อนปล่อยเสียงหัวเราะ “ฉันไม่ได้ความจำแย่ขนาดนั้น ฉันหมายถึงก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ…”
เมื่อส่งข้อความให้พี่ติงเสร็จ ลู่ป๋อหยวนก็หันหน้ามามองผมของเจี่ยนหรง “ตอนที่นายยังไม่ได้ย้อมผม พวกเราเคยเจอกันมั้ย”
เจี่ยนหรงอ้าปาก ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าครั้งแรกสุดนับเป็นการ ‘เจอกัน’ หรือไม่ เขากล้ารับรองได้เลยว่าตอนนั้นลู่ป๋อหยวนต้องมองเห็นหน้าตาของตนไม่ชัดอย่างแน่นอน
สุดท้ายเจี่ยนหรงพูดว่า “ผมเคยเจอคุณ”
ลู่ป๋อหยวนผงกศีรษะ “ตอนที่ฉันเล่น LSPL?”
“ใช่” เจี่ยนหรงคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ตอนนั้นผมอยู่ในงาน”
ดังนั้นจึงมีหมวกที่ระลึกใบนั้น
งั้นก็มีเหตุผลแล้ว แม้ครั้งนั้นจะเป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ แต่ LSPL คือลีกดิวิชั่นหนึ่ง อีกทั้งตอนนั้นอีสปอร์ตยังไม่เป็นที่นิยมนัก สนามแข่งจึงมีขนาดเล็กอย่างมาก แวบเดียวก็เห็นคนดูได้ทั้งสนาม
แต่ลู่ป๋อหยวนจำไม่ค่อยได้ว่าตนเองมองที่นั่งคนดู
เขาขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นคลายออกอีก “ทำไมใส่แต่ผ้าปิดปาก”
“เผลอทำหมวกเปียกน่ะ ผมรีบก็เลยไม่ได้เป่าให้แห้ง ผ้าพันคอนั่นก็ส่งคืนกลับไปแล้ว”
ส่วนผ้าพันคอที่ได้มาเมื่อปีที่แล้วนั้นเจี่ยนหรงบริจาคให้แมวส้มน้อยไปแล้ว ฤดูหนาวปีนี้ก็ไม่ได้ซื้อเลยเพราะไม่ได้ออกไปข้างนอก
จังหวะนั้นเองที่หน้าต่างรถตรงที่นั่งคนขับถูกเคาะ คนทั้งสองมองไปพร้อมกัน เห็นตำรวจสองนายยืนอยู่นอกหน้าต่างรถ
ลู่ป๋อหยวนลดหน้าต่างลง ตำรวจชะโงกหน้ามา “พวกคุณเป็นคนแจ้งความ?”
เจี่ยนหรงตอบว่า “ใช่ครับ”
เจี่ยนหรงใส่ผ้าปิดปากเสร็จกำลังจะลงจากรถ แขนก็ถูกคนด้านข้างดึงเอาไว้เบาๆ
ลู่ป๋อหยวนโยนผ้าพันคอที่เพิ่งถอดมาให้เขา
บนผ้าพันคอยังมีอุณหภูมิร่างกายของลู่ป๋อหยวนอยู่ เจี่ยนหรงถือผ้าพันคอเอาไว้ระหว่างตกตะลึงอยู่สองวินาที “ไม่ต้องหรอก ผมไม่หนาว”
ลู่ป๋อหยวนไม่ได้ตอบ เขาเปิดประตูลงจากรถ ดึงคอเสื้อของเสื้อขนสัตว์คอสูงขึ้นอย่างง่ายๆ และพูดกับตำรวจที่นอกรถว่า “รบกวนคุณแล้ว กลอนประตูแคมป์เราถูกงัด คงมีคนเข้ามา พวกเราไม่ได้เข้าบ้านก็เลยยังไม่แน่ใจว่ามีความเสียหายหรือเปล่า…”
ประตูรถปิดลง เสียงของลู่ป๋อหยวนดังอยู่นอกรถ
ลู่ป๋อหยวนหันหลังให้เขา เสื้อคลุมทำให้ร่างกายท่อนบนของเขาดูหนาขึ้น รูปร่างอันประกอบด้วยไหล่กว้างขายาวของชายหนุ่มเด่นชัดกว่าเดิม ระหว่างที่ลู่ป๋อหยวนพูดกับตำรวจยังพยักหน้าเบาๆ ไม่รู้พูดว่าอะไร ตำรวจถึงชะโงกหน้ามองดูเจี่ยนหรงบนที่นั่งข้างคนขับ
เจี่ยนหรงได้สติกลับมาทันที เขาใส่ผ้าพันคอแล้วลงจากรถอย่างเร่งรีบ
ทางด้านตำรวจเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ และทำการบันทึกเอาไว้แล้ว เขาพูดว่า “ไปเถอะ เข้าบ้านไปดูหน่อย”
ไม่รู้ในบ้านมีคนหรือเปล่า ก่อนเปิดประตูตำรวจจึงเตรียมตัวไว้แล้ว จากนั้นประตูใหญ่ก็ถูกผลักออก ลู่ป๋อหยวนเปิดไฟห้องรับแขกอย่างคล่องมือ
ลิ้นชักใต้โทรทัศน์ถูกเปิดออก สิ่งของกระจายเต็มพื้นชนิดที่เห็นได้ชัดว่าถูกรื้อค้น ชั้นหนึ่งถูกค้นจนเป็นแบบนี้ สถานการณ์ที่ชั้นบนแค่คิดก็เดาได้
ยี่สิบนาทีให้หลัง กลุ่มคนก็ยืนยันความเสียหายได้คร่าวๆ แล้ว
เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่อย่างคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรทัศน์ล้วนยังอยู่ เงินสดถูกขโมยไปทั้งหมด รวมถึงโน้ตบุ๊กของพี่ติงกับเสี่ยวไป๋ เครื่องเล่นเกมของหยวนเชียนและรองเท้าของ Pine หายไปแล้ว นาฬิกาข้อมือของลู่ป๋อหยวนเองก็หายไปเช่นกัน
“นาฬิกาข้อมือของคุณมูลค่าเท่าไหร่ครับ” ตำรวจเปิดสมุดบันทึกแล้วจึงถาม
ลู่ป๋อหยวนคิดอยู่สองวินาที “ประมาณสองแสนครับ”
ตำรวจ “…”
เจี่ยนหรง “…”
เจี่ยนหรงแสดงสีหน้าเสียใจ “มีนาฬิกาข้อมือมูลค่าสองแสนอยู่ที่แคมป์…ทำไมคุณไม่บอกผม!”
ลู่ป๋อหยวนตอบว่า “เพิ่งนึกได้เหมือนกันว่ามีนาฬิกาข้อมือเรือนนี้”
เจี่ยนหรง “…”
สองแสนหายไปแล้ว
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาควรหน้าหนาไปวานคนในกลุ่มนิติบุคคลช่วยให้อาหารส้มน้อย ออกเงินสักหน่อยก็คงมีคนยอมช่วยเหลือ รอคนอื่นกลับแคมป์วันที่สามเขาค่อยไป…
แคมป์ใหญ่ขนาดนี้ เขาวางใจออกไปข้างนอกได้อย่างไร!
“เอาล่ะ” ตำรวจนิ่งเงียบหลายวินาทีก่อนพูดปลอบใจว่า “พวกเราจะพยายามตามสืบ ละแวกบ้านพวกคุณล้วนมีการตรวจตราอยู่แล้ว คงจับคนร้ายได้ง่ายครับ แม้แต่ย่านที่พักประเภทนี้ก็ยังกล้าบุกรุก โจรช่างทุ่มสุดตัวจริงๆ…ยังดีที่สมาชิกทีมของพวกคุณไม่อยู่บ้าน ไม่งั้นคงเกิดเรื่อง”
ลู่ป๋อหยวนเดินเคียงไหล่ไปกับตำรวจ ส่งเสียงอืออาแล้วพูดว่า “ครับ”
เมื่อตรวจสอบเรียบร้อย ก่อนจากไปตำรวจยังกำชับว่า “เปลี่ยนกลอนประตูดีกว่าครับ คืนนี้พวกคุณออกไปอยู่ข้างนอกเถอะ ที่นี่มีของมีค่าอยู่ไม่น้อย ผมกลัวว่ากลางดึกโจรจะย่องกลับมาขโมยอย่างอื่นอีก ไม่ปลอดภัย”
“มันกล้าเหรอ” เจี่ยนหรงกัดฟัน “ถ้าผมเจอมัน ผมจะ…”
“เข้าใจแล้วครับ” ลู่ป๋อหยวนพูดกับตำรวจ “คุณวางใจ คืนนี้พวกเราจะไม่อยู่ที่นี่”
หลังตำรวจจากไป เจี่ยนหรงมองดูรอบด้าน คิดหาอาวุธที่เหมาะมือไว้ดักรอโจรอยู่ที่แคมป์
เมื่อแน่ใจแล้วว่าทรัพย์สินที่เหลือไม่ได้รับความเสียหาย พวกเขาก็เปิดโทรทัศน์ในห้องรับแขกเอาไว้ หลังเสียงพิธีกรรายการส่งท้ายปีเก่าอ่านสคริปต์อย่างไพเราะก็เริ่มดำเนินการเคานต์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่
ขณะพิธีกรตะโกนถึง ‘1’ เจี่ยนหรงจึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ควรพูดอะไรบ้าง เขาพลันรั้งสายตากลับมาจากมีดในห้องครัว มองไปยังลู่ป๋อหยวนที่ข้างกาย “สวัสดีปีใหม่”
“สวัสดีปีใหม่” ลู่ป๋อหยวนพูดขึ้นพร้อมกัน
คนทั้งสองต่างตกตะลึง จากนั้นลู่ป๋อหยวนก็แย้มยิ้ม
เจี่ยนหรงมองดูรอยยิ้มของเขา คิดว่าตนควรแจ้งตำรวจก่อน จากนั้นค่อยโทรศัพท์หาพี่ติง มีตำรวจอยู่ พี่ติงก็คงไม่ให้คนอื่นดั้นด้นมา แบบนั้นตอนนี้ลู่ป๋อหยวนคงเคานต์ดาวน์อยู่กับครอบครัวแล้ว
“ไปเถอะ” ลู่ป๋อหยวนขัดจังหวะความคิดของเขา “ไปเอาเสื้อผ้าชั้นบน พวกเราไปกันได้แล้ว”
เจี่ยนหรงได้สติกลับมา “ไปที่ไหน”
“บ้านฉัน”
หลังขึ้นรถ
เจี่ยนหรงกอดกระเป๋าเป้นั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ คำว่า ‘ไม่รบกวนแล้ว ผมกลับบ้านตัวเองดีกว่า’ วนไปมาอยู่ครึ่งค่อนวันแต่ไม่ได้พูดออกมาสักที
เพิ่งขับไปได้ระยะทางหนึ่ง มือถือคนทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน เป็นการโทรกลุ่มของวีแชต ลู่ป๋อหยวนทายดูก็รู้ว่าเป็นกลุ่มพูดคุยกลุ่มไหน เขาจึงกดตัดสายและพูดว่า “นายรับ”
เมื่อเจี่ยนหรงกดปุ่มเปิดแฮนด์ฟรี ก็พบว่าหลายคนในนั้นพูดคุยกันได้พักหนึ่งแล้ว
[เครื่องเล่นเกมนั่นฉันจะเปลี่ยนอยู่แล้ว] หยวนเชียนไม่ค่อยสนใจ [ขโมยก็ขโมยไปเถอะ]
เสี่ยวไป๋ว่า [ฮือๆๆ ปีนี้ฉันไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กกลับบ้าน ในนั้นฉันเซฟไว้ตั้งหลายอย่าง ถ้าเอากลับมาไม่ได้จะทำยังไงฮะ]
เสียงประทัดในสายของ Pine ดังสนั่นขณะเขาถามอย่างเฉยชา [คลิปโป๊?]
เสี่ยวไป๋ตื่นตกใจ [Pเป่า นายสกปรกมาก แต่ก็ได้ มีตั้งหลายคลิปแน่ะ ฉันยังคิดจะส่งให้เจี่ยนหรงเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบแปดของเขาด้วยล่ะ]
เจี่ยนหรงขัดจังหวะทันที “ไสหัวไป ฉันไม่เอา”
[เอ๊ะ นายเข้ามาแล้ว?] ไม่รู้ว่าเสี่ยวไป๋กำลังกินอะไรอยู่ เสียงพูดฟังดูคลุมเครืออยู่บ้าง [อย่ารังเกียจสิ นั่นล้วนเป็นทรัพยากรชั้นยอด ฉันให้โอกาสนายถอนคำพูดสักครั้ง]
คำพูดไม่กี่คำของเสี่ยวไป๋ทำให้อารมณ์หดหู่เพราะถูกโจรขึ้นบ้านของทุกคนสลายไปบ้างแล้ว
[เอาล่ะ] พี่ติงขัดจังหวะพวกเขา พูดพึมพำว่า [ทำไมเสี่ยวลู่ยังไม่เข้าสาย]
ลู่ป๋อหยวนเอามือข้างหนึ่งจับพวงมาลัยพลางเอ่ย “ผมอยู่ครับ”
พี่ติงตกตะลึง [นายยังอยู่แคมป์?]
“อยู่บนรถครับ กำลังกลับ” ลู่ป๋อหยวนอธิบาย “คืนนี้เจี่ยนหรงพักกับผม”
[ได้ ฉันกำลังหาโรงแรมให้เขาอยู่เลย แต่กลับไปกับนายก็ดี] พี่ติงพูดอีก [เจี่ยนหรง นายไม่ตกใจใช่มั้ย]
เจี่ยนหรงกำลังมองดูปุยหิมะที่เพิ่งตกลงมานอกหน้าต่าง “ไม่ครับ”
พี่ติงระบายลมหายใจ [งั้นก็ดี ถึงบ้านแล้วบอกในกลุ่มหน่อย ฉันจะได้วางใจ]
พวกเสี่ยวไป๋พูดคุยในกลุ่มกันอีกครู่หนึ่ง จนเมื่อวางสายมือถือก็แสดงเวลาการโทรสี่สิบนาที
เจี่ยนหรงกดล็อกหน้าจอมือถือ “ยังไม่ถึงเหรอครับ”
ลู่ป๋อหยวนดูระบบนำทาง “อีกสักพัก”
เจี่ยนหรงตื่นตกใจ “คุณ…ต้องขับรถมานานขนาดนี้เลย?”
ลู่ป๋อหยวนส่งเสียงอืม “ไม่ได้ขับนานแล้ว ไม่คุ้นมือ นอนไปก่อนเลย ถึงแล้วจะเรียกนาย ปรับเบาะเป็นมั้ย”
เจี่ยนหรงนั่งตัวตรงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ผมไม่ง่วง”
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ขณะลู่ป๋อหยวนขับรถเข้าปั๊มน้ำมัน เจี่ยนหรงก็เอียงหน้าหลับไปแล้ว
แสงไฟของปั๊มน้ำมันส่องเข้ามาทางหน้าต่างรถ ลากเงาขนตาของเจี่ยนหรงออกมาหลายสาย ลู่ป๋อหยวนจ้องมองไฝตรงปลายจมูกเขาสองวินาที กระทั่งพนักงานปั๊มน้ำมันเดินมาจึงรั้งสายตากลับ
ลู่ป๋อหยวนลดกระจกลงทำท่าชู่วให้คนที่มา แล้วค่อยพูดเสียงเบาว่า “เต็มถังครับ ขอบคุณ”
ขณะเติมน้ำมัน เจี่ยนหรงขมวดคิ้วพลางขยับหัวเล็กน้อยเหมือนนอนไม่สบาย
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ลู่ป๋อหยวนหันหน้าไปมองเขาอีกแวบหนึ่ง ไม่นานก็รั้งสายตากลับ
ไม่กี่วินาทีให้หลัง ลู่ป๋อหยวนค่อยๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ผลักประตูลงจากรถ
เขาเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ มือข้างหนึ่งยื่นไปคลำหาปุ่มใต้เบาะ มืออีกข้างประคองศีรษะของเจี่ยนหรงเอาไว้ ปรับเบาะลงอย่างเชื่องช้า
ผมของเจี่ยนหรงนุ่มมาก ว่ากันว่าการย้อมผมจะทำร้ายรากผม แต่เขาทำสีหลายครั้งขนาดนี้กลับยังไม่มีผลกระทบอะไร ขณะลู่ป๋อหยวนปล่อยมือออกที่กลางฝ่ามือยังเหลือสัมผัสนุ่มนวลอยู่
สองนาทีให้หลัง ลู่ป๋อหยวนกลับไปยังที่นั่งคนขับแล้วจึงขับรถออกจากปั๊มน้ำมัน
ลู่ป๋อหยวนบอกว่าไม่คุ้นมือแต่กลับขับรถเร็วมาก
ไฟถนนตัดสลับกันสาดส่องเข้ามาในรถ ครึ่งนาทีให้หลังเจี่ยนหรงแอบลืมตา
สันกรามของลู่ป๋อหยวนมีเหลี่ยมมีมุมดูเป็นสันคมได้รูป ขณะกลืนน้ำลายลูกกระเดือกที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายจะกลิ้งเบาๆ
เจี่ยนหรงในวัยสิบสามปีรู้สึกว่าลู่ป๋อหยวนคือผู้ชายที่หล่อที่สุดบนโลก เจี่ยนหรงในวัยสิบเจ็ดปีก็เช่นกัน
เมื่อนานมาแล้วเจี่ยนหรงเองก็เคยมองเขาแบบนี้…มุมอาจต่ำกว่าเล็กน้อย
ตอนนั้นเจี่ยนหรงเพิ่งถูกเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ปฏิเสธการสมัครงาน
เจี่ยนหรงบอกว่า ‘ผมรู้ว่าคุณใช้แรงงานเด็ก คนดูแลที่เครื่องหมายเลขสองปีนี้เพิ่งอายุสิบหกปี ผมรู้หมด อีกอย่างเขาเล่นเกมไม่ดีเท่าผมหรอก!’
เด็กน้อยอายุสิบสามปีเสียงดังมาก ลูกค้าที่นั่งอยู่ใกล้เคียงต่างหัวเราะ
เจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ถลึงตาบอกว่า ‘อายุสิบหกปีคือแรงงานเด็ก แกอายุสิบสามปีก็นับเป็นแรงงานทารก รีบไสหัวออกไป อย่ารบกวนธุรกิจของฉัน’
เจี่ยนหรงถูกไล่ออกไป ตอนนั้นเขาเดินไปหลายร้าน รู้สึกเหนื่อยจริงๆ ดังนั้นจึงตบกางเกงนั่งตากแอร์บนพื้นหน้าประตูร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ เจ้าของร้านส่งเสียงไล่เขาหลายครั้งก็ไม่ไปไหน
กระทั่งหัวของเขาถูกใครบางคนตบ เจี่ยนหรงจับหัวแล้วหันหน้าไป ‘บอกว่าเดี๋ยวไป…’
เขามองเห็นกางเกงยีนสีน้ำเงินอันแปลกตา เจี่ยนหรงตกตะลึงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองดู…แต่คนคนนี้สูงเกินไปจริงๆ เขาต้องออกแรงแหงนหน้าอีกจึงมองเห็นได้
เด็กหนุ่มแปลกหน้าหลุบตามองเขา ในดวงตาแฝงด้วยความไม่แยแสอยู่จางๆ
สายตาจับจ้องประเภทนี้ไม่นับว่าเป็นมิตรนักในใจของเด็กน้อยอายุสิบสามปี
แต่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลือเกิน เจี่ยนหรงมองเขาอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง จึงถลึงตาเลียนแบบเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ถามว่าทำอะไรอย่างดุร้าย
เด็กหนุ่มไม่ได้พูด เพียงแค่ล้วงบัตรผ่านประตูใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า นำมาห่อแก้วกาแฟที่เพิ่งซื้อแล้วยื่นให้เขา
แม้เจี่ยนหรงยังเด็กแต่ก็เข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร เขากำลังลังเลว่าจะรับไว้หรือไม่ เด็กหนุ่มพลันรั้งมือกลับ หันกายกลับเข้าร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ไปแล้ว
เจี่ยนหรงน้อย ‘…?!’
เขารู้สึกว่าตัวเองถูกแกล้ง เจี่ยนหรงน้อยโกรธแทบตาย ซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองสู้คนคนนั้นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงระบายความโกรธบนศีรษะที่เพิ่งถูกตบ
กระทั่งเด็กหนุ่มออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้ในมืออีกฝ่ายมีขวดนมเพิ่มขึ้นมาขวดหนึ่ง เมื่อมองเห็นเจี่ยนหรงกำลังขยี้ผมตัวเอง เด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรมาก ยื่นบัตรผ่านประตูกับนมวัวมาพร้อมกันอีกครั้ง
‘อยากดูก็มา’ เสียงของเด็กหนุ่มต่ำอยู่บ้าง ‘ถ้าไม่อยากดูก็เอาไปขาย ได้เงินนิดหน่อย’
ไม่กี่วินาทีให้หลังจึงพูดอีก ‘แต่ขายได้ตามราคาบัตรเท่านั้นนะ’
เจี่ยนหรงรับของที่เขายื่นมาอย่างตกตะลึง ไม่ได้ตอบสนองทันทีทั้งยังลืมกล่าวขอบคุณ
บนบัตรเขียนว่า ‘บัตรผ่านประตูการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ LSPL ลีกออฟเลเจ็นดส์’ เวลาคือตอนบ่ายของวันนั้น
ตอนนั้นเขาเล่นลีกออฟเลเจ็นดส์ได้สองปีแล้ว แม้ไม่รู้ว่า ‘LSPL’ คือสิ่งใด แต่มองออกว่าเป็นการแข่งขัน
มือถือของเด็กหนุ่มดังขึ้น เขาดูสายโทรเข้าแวบหนึ่ง รับสายแล้วพูดว่า ‘ผมกำลังกลับไป’
กระทั่งเจี่ยนหรงน้อยได้สติกลับมา เด็กหนุ่มก็ข้ามทางม้าลายไปแล้ว เหลือเพียงเงาหลังเลือนรางสายหนึ่ง
ต่อมาเขาถือบัตรใบนั้นเข้าร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ต่อรองราคากับคน ต้องการขายในราคาแพงกว่าเดิมสองเท่า
อีกฝ่ายด่าเขาว่าเป็นพ่อค้ากำไรตัวน้อยไปพลางควักเงินไปพลาง ขณะอีกฝ่ายยื่นเงินมา เจี่ยนหรงน้อยพลันนึกถึงสายตาที่ยื่นบัตรมาให้ของเด็กหนุ่ม
เจี่ยนหรงเปลี่ยนใจ หอบบัตรหนีไปแล้ว
จากนั้นเขาก็เดินไปยังสเตเดี้ยม แต่เพราะเขาอายุน้อย เจ้าหน้าที่จึงลังเลอยู่นานก่อนปล่อยเขาเข้าสนาม
รออยู่สิบนาที เขามองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหอบคีย์บอร์ดเดินเข้าสู่สนามแข่ง
สวมเสื้อฮู้ดสีดำกับกางเกงยีนที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อเช้า เกร็งมุมปากไม่พูดกับคนรอบข้าง ยืนอยู่กลางกลุ่มคนเหมือนกระเรียนในฝูงไก่
ผู้บรรยายมีเพียงคนเดียว แนะนำทุกคนด้วยสำเนียงท้องถิ่น…คนนี้คือนักแข่งตำแหน่งจังเกิ้ลของทีม TTC…Road
รถจอดลง เจี่ยนหรงพลันได้สติกลับมา จากนั้นจึงรีบหลับตาลงทันที
“ถึงแล้ว” เมื่อจอดรถเรียบร้อย ลู่ป๋อหยวนก็ดับเครื่องยนต์
เมื่อเห็นคนข้างกายไม่มีความเคลื่อนไหว ลู่ป๋อหยวนจ้องมองขนตาที่สั่นระริกของเขาหลายวินาที ยิ้มพลางหลุบตา
“เจี่ยนหรง…วิชาแกล้งหลับของนายแย่กว่าแกล้งสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ซะอีก”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 23 ส.ค. 65